Friday, 5 July 2024
TheStatesTimes

‘BYD’ ร้อนแรง!! ประกาศหั่นราคา SEAL 3 รุ่น ลดสูงสุด 126,000 บาท ถึง 31 ก.ค.นี้

(2 ก.ค. 67) หลังจากเมื่อวานมีการประกาศลดราคารถ บีวายดี รุ่นออตโต้ 3 ถึง 340,000 บาท วันนี้ บีวายดี ออกแคมเปญลดราคา บีวายดี รุ่น SEAL อย่างต่อเนื่อง

โดยลูกค้าที่ ซื้อรถไฟฟ้า BYD SEAL รุ่น Dynamic รุ่น Premium และ รุ่น Performance และได้รับใบกำกับภาษีออกในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 โดยจะได้รับสิทธิพิเศษดังนี้

>> BYD SEAL รุ่น Dynamic ส่วนลด 126,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 1,325,000 บาท เหลือราคาพิเศษ 1,199,000 บาท หลังหักส่วนลด

>> BYD SEAL รุ่น Premium ส่วนลด 50,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 1,449,000 บาท เหลือราคาพิเศษ 1,399,000 บาท หลังหักส่วนลด

>> BYD SEAL รุ่น Performance ส่วนลด 100,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 1,599,000 บาท เหลือราคาพิเศษ 1,499,000 บาท หลังหักส่วนลด

‘เนทันยาฮู’ ลั่น!! ‘อิสราเอล’ จะไม่ยุติสงครามจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ย้ำ!! จะโจมตีฉนวนกาซาต่อไปจนกว่า ‘กลุ่มฮามาส’ จะถูกกวาดล้าง

(2 ก.ค. 67) รอยเตอร์ส/อัลจาซีรา รายงาน นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แถลงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอิสราเอลประจำสัปดาห์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มิ.ย. ว่า กองทัพอิสราเอลยังคงปฏิบัติการทั้งในเมืองราฟาห์ เชไจยา และทุกที่ในฉนวนกาซามีนักรบและผู้ก่อการร้ายถูกสังหารทุกวันเป็นสงครามที่ยากลำบาก ทหารต้องรับมือทั้งการรบระยะประชิดและการถูกซุ่มโจมตีทั้งบนพื้นดินและใต้ดิน แต่ยืนยันว่า อิสราเอลจะไม่หยุดทำสงครามในฉนวนกาซา จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย คือการกวาดล้างและคว้าชัยชนะเหนือกลุ่มฮามาส

ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้าส่งทั้งรถถังและกำลังพลประชิดเข้าไปลึกในย่านเชไจยา ทางตอนเหนือของฉนวนกาซาและรุกกดดันพื้นที่ทางตะวันออกและตอนกลางของเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของกาซาในช่วงสุดสัปดาห์นี้ มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจากการโจมตี 6 นาย บ้านเรือนหลายหลังเสียหาย นอกจากนี้ยังมีการยิงปะทะดุเดือดกับนักรบทั้งของกลุ่มฮามาสและอิสลามิกจีฮัด ในย่านทางตอนเหนือของกาซาและในเมืองราฟาห์ นักรบของทั้ง 2 กลุ่มได้ยิงจรวดต่อต้านรถถังและลูกกระสุนปืน ค. เพื่อต่อต้านกองกำลังอิสราเอล

ขณะที่นับตั้งแต่เริ่มเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา เมื่อ7 ตุลาคมปีที่แล้ว มีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลแล้ว37,834 ศพแล้ว บาดเจ็บอีกกว่า 86,800 คนส่วนเมื่อวันเสาร์ที่ 29 มิ.ย. มีทหารอิสราเอลเสียชีวิตเพิ่ม 2 นาย ระหว่างปฏิบัติการทางทหารในย่านเชไจยา ส่งผลให้จนถึงขณะนี้ มีทหารอิสราเอลเสียชีวิตจากสงครามในฉนวนกาซาแล้วอย่างน้อย 670 นาย

ในอีกด้านหนึ่ง โอซามา ฮัมดาน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส แถลงที่กรุงเบรุตของเลบานอนว่า ไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซากับอิสราเอล อย่างไรก็ดี กลุ่มฮามาสยังคงพร้อมดำเนินการในเชิงสร้างสรรค์กับทุกข้อเสนอที่จะนำไปสู่การทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร การถอนทหารอิสราเอลทั้งหมดออกจากฉนวนกาซาและการมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวประกันในกาซากับชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังในเรือนจำอิสราเอลอย่างจริงจัง เจ้าหน้าที่ฮามาสยังได้กล่าวโทษสหรัฐฯ ว่า กดดันให้ฮามาสยอมรับเงื่อนไขของอิสราเอลโดยไม่ต้องปรับแก้ไข ซึ่งกลุ่มฮามาสไม่เห็นด้วย

ด้านชาติอาหรับ ทั้งอียิปต์และกาตาร์ ที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยพยายามที่จะทำให้เกิดการหยุดยิง แต่ยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้จนถึงขณะนี้ ฮามาสยืนยันว่า ข้อตกลงใด ๆ ก็ตามจะต้องยุติสงคราม ถอนทหารอิสราเอลทั้งหมดออกจากกาซา ขณะที่อิสราเอลยืนยันว่า จะยอมรับการพักรบต่อเมื่อกลุ่มฮามาสที่ปกครองกาซามาตั้งแต่ปี 2550 ถูกกำจัด

11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 ‘สมเด็จพระนารายณ์มหาราช’ เสด็จสวรรคต กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ปราสาททอง

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ปราสาททอง กรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศ เมืองลพบุรี หลังจากประชวรหนักในช่วงที่ ‘พระเพทราชา’ กระทำการชิงราชสมบัติ

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์ปราสาททอง ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าปราสาททองและพระนางเจ้าสิริกัลยานี พระราชสมภพในปีพ.ศ. 2175 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2199 มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา ขณะทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา

หลังจากประทับที่กรุงศรีอยุธยาได้ 10 ปี พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในปีพ.ศ. 2209 และเสด็จไปประทับทุก ๆ ปี ครั้งละเป็นเวลานานหลายเดือน กระทั่งเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2231 ขณะพระชนมายุได้ 56 พรรษา รวมเวลาที่ทรงครองราชสมบัติ 32 ปี

พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก ด้วยพระปรีชาสามารถหลายด้านของพระองค์ ทั้งด้านการปกครอง การทหาร ทรงชำนาญด้านการศึก ทรงปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ให้มาสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้งเสด็จออกรับคณะฑูต ฝีมือวาดช่างฝรั่งเศส จากหนังสือนวนิยายเรื่อง รุกสยาม ในนามของพระเจ้า โดย มอร์กาน สปอร์แตช

ด้านการทูต ทรงสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน เช่น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะราชทูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส การค้ากับต่างประเทศจึงเจริญมาก มีชาวต่างชาติเข้ามารับติดต่อค้าขาย และบางส่วนเข้ารับราชการในพระราชอาณาจักรด้วย

อีกทั้งยังทรงรับวิทยาการสมัยใหม่ เช่น กล้องดูดาว และยุทโธปกรณ์บางประการ การวางระบบท่อประปาภายในพระราชวังอีกด้วย

นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์เป็นยุคที่วรรณคดีและศิลปะเจริญถึงขีดสุด มีงานวรรณคดีชิ้นสำคัญเกิดขึ้นหลายชิ้น อาทิ สมุทรโฆษคำฉันท์, คำฉันท์กล่อมช้าง, อนิรุทธคำฉันท์ และ จินดามณี ของพระโหราธิบดี ซึ่งจัดเป็นตำราเรียนเล่มแรกของไทย

เกิดขึ้นแน่!! Internet of Bodies อนาคตมนุษยชาติที่มิอาจแยกร่างจากอินเทอร์เน็ต โลกสุดล้ำที่กำลังส่งสัญญาณแห่งความเหลื่อมล้ำระหว่าง 'คนรวย-คนจน' ชัดขึ้น

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญอย่างมากในการเชื่อมต่อสังคมมนุษย์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน เป็นสื่อกลางในการรับส่งคลังข้อมูล ข่าวสารที่ทรงพลัง และส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมนุษย์ แต่นั่นยังไม่สุดขีดความพัฒนาของโลกอินเทอร์เน็ต เพราะอีกไม่นาน นอกจากเราจะขาดอินเทอร์เน็ตในชีวิตไม่ได้แล้ว เราอาจแยกตัวออกจากมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ เราคงเคยได้ยินคำว่า 'Internet of Things' หรือ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งรอบตัวเรา แต่ทว่าในปี 2016 ได้เกิดนิยามศัพท์ใหม่ของโลกยุคอินเทอร์เน็ตขึ้น

โดย ด็อกเตอร์ แอนเดรีย แมทไวชิน นักวิชาการด้านกฎหมาย นโยบายเทคโนโลยี และ คอมพิวเตอร์ จาก The Pennsylvania State University ได้ให้คำนิยามของโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต ว่ากำลังพัฒนาสู่ระดับ 'Internet of Bodies' หรือ IoB โดยได้อธิบายว่า มันคือเครือข่ายของร่างกายมนุษย์ที่บูรณาการ หรือมีฟังก์ชันการทำงานอย่างน้อย 1 ส่วนที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปัญญาประดิษฐ์

ซึ่งนั่นหมายความว่า อีกไม่นาน อินเทอร์เน็ต จะไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์เสริมสำหรับใช้งานภายนอกเท่านั้น แต่ในไม่ช้า จะมีอุปกรณ์ที่สามารถผสานเข้ากับการทำงานของร่างกายคนเราได้อย่างสมบูรณ์ และเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วสัมผัสอีกต่อไป

คลื่นลูกใหม่ของ Internet of Bodies ในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่...

ยุคที่ 1 - อุปกรณ์ที่ยังใช้ได้เพียงภายนอกร่างกาย อาทิ Apple Watch ที่สามารถตรวจสอบการเต้นของหัวใจ จำนวนก้าว หรือการเผาผลาญแคลอรีของผู้สวมใส่ได้

ยุคที่ 2 - อุปกรณ์ที่ใช้ภายในร่างกาย อาทิ ประสาทหูเทียม เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า หรือ ยาดิจิทัล ที่ทำหน้าติดตาม หรือควบคุมการทำงานของร่างกายเราจากภายในและส่งข้อมูลออกมายังภายนอกได้

ยุคที่ 3 - อุปกรณ์ที่ฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ ที่สามารถเชื่อมโยง และควบคุมอุปกรณ์ภายนอกได้แบบเรียลไทม์ 

และหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีในยุคที่ 3 ที่โดดเด่นที่สุดคือ Neuralink ของ อีลอน มัสก์ ที่กำลังพัฒนาชิปรุ่นพิเศษขนาดเท่าเหรียญเงิน ให้สามารถฝังไว้ใต้กะโหลกศีรษะเพื่ออ่านสัญญาณสมอง จากนั้นก็จะเชื่อมต่อสัญญาณสมอง เข้ากับการทำงานของคอมพิวเตอร์หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายนอก ที่เรียกว่า 'The Link'

โดย Neuralink ได้ทำการทดสอบกับมนุษย์รายแรก ซึ่งเป็นผู้พิการอัมพาตตั้งแต่ไหล่ลงไป โดยได้ทดลองใช้อุปกรณ์นี้เล่นหมากรุกบนแล็ปท็อปของเขา แม้ว่าการทดลองครั้งนั้น ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจาก Neuralink พบการทำงานผิดปกติบางอย่างหลังจากการทดสอบขั้นนี้ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกของคลื่นลูกใหม่ในยุค Internet of Bodies ที่ยังต้องพัฒนากันต่อไป 

ด้านผู้ที่สนับสนุนเทคโนโลยี IoB กล่าวว่า ประโยชน์ที่ได้จากการผสานเทคโนโลยียุคใหม่เข้ากับร่างกายมนุษย์นั้นชัดเจนมาก ที่ทำให้เราปรับปรุงการรับรู้ของสมอง และการทำงานของร่างกายเราได้ดียิ่งขึ้น ที่จะช่วยประหยัดต้นทุนในการดูแลสุขภาพ ส่งเสริมการทำงานของผู้คน และ องค์กร

แต่สำหรับผู้ที่เห็นต่าง และกังขาการมาถึงของ Internet of Bodies มองว่า อันตรายจากการฝังอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่ยังต้องใส่ใจ แต่ยังมีอีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ตราบใดที่อุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ สามารถติดตาม สอดแนมหรือ ส่งต่อข้อมูลไปยังบุคคลที่ 3 ได้ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดปัญหาการแฮ็กข้อมูลจากอัตลักษณ์ และร่างกายของแต่ละคนในภายหลัง 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม หากกลุ่มคนร่ำรวยมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีในโลกยุคใหม่ได้มากกว่า ซึ่งยุค Internet of Bodies สามารถสร้างความแตกต่าง และความได้เปรียบในศักยภาพร่างกายของมนุษย์ได้ และจะยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนร่ำรวย และ คนยากจน ขยายตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

ซึ่งประเด็นที่ยังถกเถียงอยู่นี้ คงไม่อาจหยุดยั้งการพัฒนาในโลกยุคอินเทอร์เน็ตในร่างกายของคนเราได้ ในปัจจุบันธุรกิจอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในยุคเริ่มต้นของ IoB สร้างมูลค่าได้ถึง 6.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2024 และคาดว่าธุรกิจนี้จะโตได้ถึง 1.32 แสนล้านเหรียญภายในอีก 5 ปีข้างหน้า คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเกือบ 15% ต่อปีเลยทีเดียว

‘เคทีซี ทัช’ สุขุมวิท 33 คว้ารางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรม 2024 ดีไซน์สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์การใช้งานอย่างลงตัว

(2 ก.ค. 67) ‘เคทีซี’ เผยศูนย์บริการ ‘เคทีซี ทัช’ (KTC TOUCH) ได้รับรางวัลระดับโลกด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม ‘Silver Winner of The International Architecture & Design Awards 2024’ สาขา Interior Professional Environment Design จาก Architecture & Design Community โดยชนะใจกรรมการด้วยการออกแบบสถานที่ที่สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานอย่างลงตัว

นางสาวชนิดาภา สุริยา ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจ ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ‘เคทีซี ทัช’ สำนักงานใหญ่บนถนนสุขุมวิท 33 ออกแบบโดย dwp I Design Worldwide Partnership บริษัทที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบระดับสากล ซึ่งมีแนวคิดการออกแบบที่เรียกว่า ‘THE ATMOSPHERE’ ใช้ความหลากหลายของงานตกแต่งในการแบ่งโซนพื้นที่ ใช้แสงไฟและเส้นสายเล่นระดับทับซ้อนกัน สร้างเป็นเลเยอร์ภายในพื้นที่ เพื่อสื่อถึงชั้นบรรยากาศ ภายใต้แนวคิดการตกแต่งที่ผสมผสานความทันสมัย เรียบง่าย อบอุ่น และสะดวกสบายเข้าด้วยกัน เน้นความหรูหราด้วยสีคอปเปอร์โทน (Copper Tone) เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมให้กับผู้มาใช้บริการด้วยความรู้สึกของพื้นที่ร่วมกัน อีกทั้งการเลือกใช้วัสดุที่ไม่เพียงเสริมความรู้สึกหรูหรา แต่ยังแสดงถึงความยั่งยืน โดยการนำไม้เก่ามาตกแต่งเพิ่มคุณค่า และเพิ่มความสวยงามให้กับพื้นที่

‘เคทีซี ทัช’ สำนักงานใหญ่ ได้รับรางวัล ‘Silver Winner of The International Architecture & Design Awards 2024’ จากหน่วยงาน Architecture & Design Community โดยพิจารณาจากงานออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ทั่วโลก ภายใต้เกณฑ์การพิจารณาที่สามารถตอบโจทย์การประสานความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 

“จุดเด่นหลักของ ‘เคทีซี ทัช’ แห่งนี้ คือพื้นที่เคาน์เตอร์บาร์ส่วนกลางออกแบบเพื่อเป็นจุดต้อนรับ และพักคอยสำหรับผู้มาใช้บริการ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ โดยเลือกใช้วัสดุและรูปแบบการตกแต่งที่มีแตกต่างกันและผสมผสานกันอย่างลงตัว เพื่อสร้างบรรยากาศความแปลกใหม่ให้กับพื้นที่ ด้วยวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น หินอ่อน ไม้เก่า และคอนกรีต รวมถึงการเลือกใช้แสงไฟตกแต่งที่ออกแบบเฉพาะตัว โดยเราได้ทำงานร่วมกันกับ dwp จนได้สรรค์สร้าง ‘เคทีซี ทัช’ แห่งนี้ได้อย่างสวยหรูและตอบโจทย์ในทุกการใช้งาน”

12 กรกฎาคม พ.ศ. 2417 ‘ในหลวง ร.5’ ทรงมีพระราชดำริจะ ‘เลิกทาส’ ระหว่างประชุมคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศพระราชดำริของพระองค์ว่าจะ ‘เลิกทาส’ กลางที่ประชุมคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ณ พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ อันเป็นสถานที่พระราชสมภพของพระองค์เอง ในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2417

จนถึงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 หรือ 31 ปีต่อมา พระองค์จึงจะทรงสามารถออก ‘พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124’ อันเป็นการสิ้นสุดระบบทาสโดยถาวรไปจากสยามประเทศ

40 วัน หลังจากทรงประกาศพระราชดำรินี้ คือวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 รัชกาลที่ 5 ทรงออก ‘พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย’ คือการแก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ เพื่อกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของค่าตัวทาส ซึ่งมักจะมีการโก่งและขึ้นราคา เนื่องจากนายทาสมักจะนิยมสะสมทาสเพื่อแสดงศักดิ์ และบารมีของตนเอง โดยพระราชบัญญัตินี้บังคับให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุได้ 20 ปี เมื่ออายุได้ 21 ปี ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ แต่จะมีผลกับทาสที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมาเท่านั้น และห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีเป็นทาสอีก

1 เมษายน พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศใช้ ‘พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124’ และ ‘พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124’ ถือเป็นการเลิกระบบทาสและระบบไพร่ในสยามประเทศ โดยในส่วนของทาสนั้น ‘พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124’ ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไทตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 ส่วนทาสประเภทอื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ย ทรงให้ลดค่าตัวเดือนละ 4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติป้องกันมิให้คนที่เป็นไทแล้วกลับไปเป็นทาสอีก ทำให้วันที่ 1 เมษายนเป็นที่รู้จักกันใน ‘วันเลิกทาส’

‘รมว.ปุ้ย’ รับหนังสือคัดค้าน ‘โครงการเหมืองแร่โพแทช’ ยัน!! จะดูแลเคร่งครัด ไม่ให้กระทบ ‘สิ่งแวดล้อม-สุขภาพปชช.’

(2 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังรับข้อเรียกร้องจากผู้แทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายเหมืองแร่โพแทชของประเทศไทย ก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยสาระสำคัญหลัก ๆ ของกลุ่มผู้เรียกร้อง คือ ขอให้ยกเลิกแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ฉบับที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโพแทชทั้งหมด ขอให้ทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) สำหรับการพัฒนาเหมืองแร่โพแทช และขอให้เร่งรัดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่โพแทชในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาโดยเร่งด่วน

นางสาวพิมพ์ภัทราฯ เปิดเผยต่อว่า แม้รัฐบาลจะมีนโยบายในการผลักดันการนำแร่โพแทชขึ้นมาใช้ประโยชน์ แต่ก็ให้ความสำคัญต่อการป้องกันและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน สำหรับในกรณีโครงการเหมืองแร่ไทยคาลิ ได้รับประทานบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 มีพื้นที่ประมาณ 9,005 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 มีการร้องเรียนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ ในประเด็นเรื่องดินเค็มทำการเกษตรไม่ได้ บ่อน้ำสาธารณะไม่สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบในประเด็นผลกระทบที่ประชาชนได้รับหลายคณะ ทั้งในระดับจังหวัดและในระดับกรม มีการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายครั้ง ซึ่งผลการตรวจสอบในชั้นนี้ยังไม่สามารถชี้ชัด

ได้ว่าผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากโครงการเหมืองแร่โพแทชและเกลือหินของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด โดยผลการตรวจสอบข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนที่การแพร่กระจายของคราบเกลือ พบว่าพื้นที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความเค็มมาแต่เดิม อย่างไรก็ดี ล่าสุด จังหวัดนครราชสีมาได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งชุด โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้แทนชุมชนในพื้นที่เพื่อตรวจสอบในประเด็นข้อเรียกร้องและผลกระทบอีกคณะหนึ่งสำหรับประเด็นเรื่องแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่มีการจัดทำและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึง 2570 นั้น ได้ผ่านการวิเคราะห์ทางวิชาการ การประชาพิจารณ์ ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ และ คณะรัฐมนตรี เป็นไปตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 กำหนดไว้

อย่างไรก็ดี ได้ทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเริ่มทบทวนแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ อีกครั้งในปี 2568 ซึ่งจะได้นำประเด็นข้อเรียกร้องต่าง ๆ รวมทั้งข้อเสนอในเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ไปประกอบในการทบทวนแผนดังกล่าวด้วย

“ดิฉันขอยืนยันว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะกำกับดูแลการดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทชให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พยายามนำทรัพยากรแร่ขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ในขณะเดียวกันก็พยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด โดยในการบริหารจัดการแร่จะต้องคำนึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชนประกอบกันด้วย” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

‘นิธิพัฒน์’ ชื่นชม!! ‘ไอยู’ ศิลปินเบอร์หนึ่งเกาหลี ขณะทัวร์คอนที่ไทย ศึกษาภาษาไทยไว้คุยกับแฟนคลับ พร้อมร้องเพลง ‘รักแรก’ แม้ร้องยาก

(2 ก.ค.67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา ผู้จำกัดนิยามตนเองว่าเป็น 'คนขายปลา' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Nithipat Bhandhumachinda' ว่า...

ท่ามกลางกระแสของน้องลิซ่าที่โด่งดังในระดับโลกจากการออกโซโล่เพลงใหม่เพลงแรกในสังกัดของตัวเอง

ก็มีเรื่องน่ารัก ๆ ที่อาจไม่ดังในสังคมไทยในวงกว้าง แต่เป็นที่ชื่นชมกันมาก ๆ ในกลุ่มแฟนานุแฟนของ ‘น้องไอยู’ ศิลปินเกาหลีตัวยืนหนึ่งของเกาหลีที่มาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การมาเยือนประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลกของไอยูในช่วงปีนี้ โดยนอกจากแสดงในหลาย ๆ ประเทศในเอเชียแล้ว ก็ยังเป็นการเดินทางออกแสดงครั้งแรกของเธอตามเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปและสหรัฐฯด้วย

สิ่งที่น่าชื่นชมมาก ๆ ก็คือ ในการแสดงที่มีคิวยาวเหยียดในหลาย ๆ ประเทศขนาดนี้ น้องเขาก็ยังอุตส่าห์หาเวลามาศึกษาประโยคภาษาไทยหลาย ๆ ประโยคไว้พูดคุยเอาใจแฟนเพลงชาวไทย อีกทั้งยังร้องเพลง ‘รักแรก’ ซึ่งเป็นเพลงไทยที่ร้องค่อนข้างยาก ได้อย่างไพเราะและออกเสียงได้ค่อนข้างชัดเจนอีกด้วย

และที่น่าชื่นชมมากขึ้นไปอีกก็คือ คราวที่เธอมาแสดงที่ประเทศไทยเมื่อห้าปีก่อนนั้น มีแฟนคลับชาวไทยมอบตุ๊กตาน้องช้างตัวหนึ่งให้เป็นของขวัญ ซึ่งเธอก็ตั้งชื่อให้ว่าน้อง ‘แทบัง’ และก็เห็นพาไปไหนมาไหนในเกาหลีด้วยบ่อย ๆ

แล้วเมื่อกลับมาเมืองไทยคราวนี้ ก็ไม่ลืมที่จะอุ้มน้องแทบังนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด แถมยังยกเก้าอี้มาตั้งข้างเวทีให้น้องได้ชื่นชมการแสดงร่วมกับผู้ชมคนไทยหลายหมื่นคนอีกด้วย

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ นอกจากจะด้วยชื่นชอบศิลปินคนนี้เป็นพิเศษแล้ว ประเด็นสำคัญก็คือ ศิลปินที่มีคนชื่นชอบชื่นชมมานานหลาย ๆ ปีได้อย่างนี้นั้น เขารู้จักเอาใจใส่และเข้าถึงแฟนานุแฟน อย่างตั้งอกตั้งใจเป็นที่สุด

อย่างน้องลิซ่าเองนั้น แม้อาจจะเคยโดนแกล้งบ้าง หรือมีการปั่นกระแสเกลียดชังในสังคมเกาหลีบางส่วนที่พร้อมจะแสดงความเกลียดให้ได้ในทุกเรื่องอย่างไร

แต่น้องก็จะแสดงออกถึงความเป็นมิตร และแสดงถึงความรักความหวังดีที่น้องมีให้กับแฟนเพลงเกาหลีอย่างสม่ำเสมอไม่ได้น้อยไปกว่าแฟนเพลงชาติไหนใด ๆ เลย

ที่อยากจะเตือนก็คือเห็นเพื่อน ๆ บางท่านนำบทวิจารณ์ที่เขียนโดยคนเกาหลีคนหนึ่งซึ่งเขียนวิจารณ์น้องเขาในทางลบตามอคติส่วนตัว

แล้วก็เกิดกระแสปากต่อปากแสดงความชิงชังสังคมเกาหลี ซึ่งแท้จริงแล้วคนเกาหลีส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับน้องลิซ่าและก็ยังมีแฟนคลับของน้องเขาจำนวนมหาศาลทั้งในฐานะศิลปินกลุ่มและศิลปินเดี่ยว

และที่สำคัญน้องเขาก็ยังเป็นสมาชิกวงในสังกัดของบริษัทเกาหลี ไม่ได้ตีจากไปไหน และก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาสร้างกระแสในทางลบระหว่างสองประเทศ

ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีใด ๆ สำหรับชีวิตการงานของน้องลิซ่าเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้าจะหวังดีกับน้องเขาแล้ว ก็ให้น้องเขามีชีวิตการงานและอนาคตที่ดีตามแนวทางที่น้องเขาเลือกอย่างตั้งใจที่สุดเถิดนะครับ

ปล. มีเพื่อนหลายท่านถามว่าผมได้ไปดูคอนเสิร์ตน้องไอยูหรือเปล่า ก็ตอบตามตรงว่าอดไป เพราะอ้อนวอนทั้งภรรยาและลูกสาวแล้วก็ไม่มีใครยอมไปด้วย และถ้าจะไปคนเดียวก็เหมือนอีลุงผู้เหว่ว้า หน้าตาพิกลกลางมวลชนคนต่างวัยอย่างแน่นอน

“อลงกร” ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ห่วงโลกรวนทำไทยประเทศเสี่ยงท็อปเทน ของโลก เร่งผลักดันนวัตกรรมลดก๊าซเรือนกระจก

“จิรวัฒน์” เปิดตัว “คาร์บอนเทค” (CARBON Tech) มั่นใจช่วยลดโลกร้อนสร้างโอกาสใหม่คาร์บอน เครดิตให้ประเทศไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่าจากรายงานดัชนีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก( Global Climate Risk )ล่าสุดเปิดเผยว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)มากที่สุด ซึ่งกลุ่มคนยากจนได้รับความเสียหายมากกว่าประชากรกลุ่มรายได้อื่นๆ “สถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์จึงเร่งผลักดันนวัตกรรมลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือดที่มาเร็วและแรงกว่าที่คาดหมายโดยในปี2566ต่อเนื่องถึง5เดือนแรกของปีนี้มีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดต่ำลงเกษตรกรมีรายได้น้อยลงและครึ่งหลังของปีนี้อาจเผชิญภาวะน้ำท่วมอย่างรุนแรงในวงกว้างจากปรากฏการณ์ลานีญ่า”

นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจไม้ และหนึ่งในองค์ปาฐกของงานเอฟเคไอไอ.ครั้งที่ 1ได้นำเสนอรายงานพร้อมกับเปิดตัว“คาร์บอนเทค“(CARBON Tech)โดยแสดงความมั่นใจว่าจะช่วยลดโลกร้อนสร้างโอกาสใหม่คาร์บอน เครดิต(Carbon Credit)ให้ประเทศไทย
“ปัจจุบันทั่วโลกต่างเร่งพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อแข่งกับเวลาในการแก้ไขปัญหา "โลกเดือด" รวมทั้งงัดมาตราการบังคับใช้กับภาคธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้จ่ายเงินซื้อเครดิต หรือที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิตกับโครงการต่างๆ ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถส่งออกคาร์บอนเครดิตจากการปลูกต้นไม้ได้เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันการปลูกต้นไม้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา "โลกเดือด" และไม่ทันต่อความต้องการคาร์บอนเครดิตจากภาคธุรกิจทั่วโลก จึงได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอนจากสาหร่าย (Algae-Based Carbon Sequestration), เทคโนโลยีการเพาะปลูกแบบผสมผสานเชิงนิเวศ (Eco-Interwoven Cultivation), เทคโนโลยีการเพิ่มความเป็นด่างในมหาสมุทร (Ocean Alkalinity Enhancement) และเตรียมขยายผลนวัตกรรมต่างๆเหล่านี้ออกมาเป็นเชิงพาณิชย์ โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 30-40 ภายในปี 2030 และเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 แต่ยังสร้างโอกาสในการขาย Carbon Credit ที่มีมูลค่าตลาดหลายล้านล้านบาทในอนาคตให้กับประเทศอีกด้วย นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ให้กับประเทศไทย ซึ่งสามารถเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออก Carbon Credit ในภูมิภาคและทั่วโลก”

สำหรับสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์(FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation)เป็นองค์กรวิสาหกิจเพื่อสังคม100%(Social Enterprise)ทำหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่นวัตกรรมและองค์ความรู้รวมทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี.ตลอดจนองค์กรภาคเกษตรและเกษตรกรสามารสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้งานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์

‘สมบัติ ILINK’ ตรวจงานสายเคเบิ้ลใต้ทะเล 33 เควี ‘เกาะพะงัน-เกาะเต่า’ ผลักดันไฟฟ้าส่องสว่างทั่วทั้งเกาะ - ส่งเสริมเป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลก

(2 ก.ค.67) คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยถึงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี จาก เกาะพะงันไปยังเกาะเต่า โดยระบุว่า…

“เดินทางไปเกาะสมุย เพื่อไปตรวจงานสายเคเบิ้ลใต้ทะเล 33KV ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยฝังสายไฟฟ้าแรงสูง ลึกจากพื้นทะเล ประมาณ 3 เมตร และวางจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะเต่าครับ”

สำหรับการลากสาย Submarine Cable หรือ สายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี จากเกาะพะงันไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทาง 48 กิโลเมตร มีมูลค่างานทั้งสิ้น 1,786,170,260 บาท โดยได้เซ็นต์สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือน เพื่อที่จะช่วยให้เกาะเต่ามีไฟฟ้าใช้ เพื่อส่งเสริมให้เกาะเต่า เป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลกเหมือนเกาะสมุยและเกาะพะงัน และเป็นเพชรเม็ดงามของประเทศไทยต่อไปในอนาคต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top