Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘นายกฯ’ หนุน!! ผลักดันสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย มุ่งสู่สายตานานาชาติ ช่วยกระจายรายได้ให้ ปชช.

(2 เม.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญ มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสาขาศิลปะในฐานะ Soft Power ไทยสู่สายตานานาชาติ เพื่อกระตุ้นกระแสความนิยมชื่นชอบสินค้าไทย และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะเพิ่มโอกาสการสร้าง และกระจายรายได้ให้กับประชาชน ควบคู่กับการธำรงรักษาเอกลักษณ์ และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ให้ดำรงอยู่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ The Support Arts and International Centre of Thailand (SACIT) พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในปี 2566 เติบโตถึง 340,820 ล้านบาท โดยสินค้าศิลปหัตถกรรมที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง (91,161 ล้านบาท) เครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน (56,060 ล้านบาท) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน (46,850 ล้านบาท) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง (22,982 ล้านบาท) และเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากฝ้าย (17,719 ล้านบาท) และประเทศ/เขตบริหารพิเศษ ที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตกรรมไทยมากที่สุด อันดับที่ 1 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (94,203 ล้านบาท) อันดับที่ 2 ฮ่องกง (26,764 ล้านบาท) อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น (21,232 ล้านบาท) อันดับที่ 4 เยอรมนี (20,147 ล้านบาท) และอันดับที่ 5 สหราชอาณาจักร (16,357 ล้านบาท)

นายชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจำหน่ายสินค้าศิลปหัตกรรมไทยผ่านช่องทางของ SACIT ในปี 2566 มีมูลค่าถึงกว่า 291 ล้านบาท และมีการจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย และเครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ซึ่งไม่รวมอาหาร เครื่องดื่ม สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา ทั้งในไทยและต่างประเทศทาง online และ offline ตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นมูลค่ารวมกว่า 1.16 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ SACIT พร้อมยกระดับสินค้าศิลปหัตกรรมไทยสู่การเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืนผ่านการจัดงาน ‘sacit Craft Power: แนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัย’ ที่นำเสนอความรู้และทิศทางในการต่อยอดสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในทุกสาขาแก่ผู้ประกอบกิจการสินค้าทั่วประเทศให้สามารถมองแนวโน้มสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในอนาคตได้อย่างชัดเจน และพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ประสงค์ให้ประเทศในยุโรป เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power ด้านงานศิลปะของไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ได้ร่วมสนับสนุนให้ผู้มีความสามารถด้านภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย นำผลงานมาจัดแสดงภายใต้ชื่อ ‘Bangkok Series’ และ ‘Muay Thai Series’ ณ Manes Gallery กรุงปราก เมื่อวันที่ 14 - 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นการนำเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยและอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้กับนานาชาติผ่านการนำเสนอผลงานศิลปะ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยินดีที่กระแสความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าสินค้าไทยเป็นความสำเร็จที่ทำให้ มูลค่าส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยมีปริมาณการเจริญเติบโตสูง พร้อมขอบคุณทุกความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนกระบวนการ Soft Power ไทยด้านศิลปะที่ร่วมกันสร้างสรรค์จนทำให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคจากทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างสร้างสรรค์ด้วย Soft Power โดยเชื่อมั่นว่าการบูรณาการร่วมมือการทำงานจากทุกภาคอย่างเข้มแข็ง จะพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยให้แข็งแกร่งได้ยิ่งขึ้นในเวทีโลก

'ต่อตระกูล' สลดใจ!! นิสิตจุฬาฯ ด้อยค่าตัวเอง ลบหลู่ 'พระเกี้ยว' สวนทางเจตจำนงอดีตนิสิตจุฬาฯ ที่ขอไว้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

(2 เม.ย. 67) นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

นิสิตจุฬาฯ ด้อยค่าตัวเอง พระเกี้ยว ถูกนำออกมาลบหลู่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

หากไม่ใช้ ก็ขอพระเกี้ยว จำลองชิ้นนี้ กลับคืนมาให้นิสิตเก่าจำนวนเป็นหลายแสนคนที่เขาเห็นคุณค่าเอามาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเถิด

หมายเหตุ : เมื่อประมาณปี 2512 นายธีรชัย เชมนะสิริ นายก สโมสรนิสิตจุฬาฯ ( สจม.) ได้ทูลขอพระราชทานพระเกี้ยวจำลอง และได้รับพระราชทานมาจากในหลวง ร.9 นิสิตได้นำมาเก็บรักษาไว้เองที่ตึกจักรพงษ์ เพื่ออัญเชิญไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของนิสิต รวมทั้งนำออกมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจของนิสิตจุฬาฯ ในงานฟุตบอลประเพณีเป็นประจำ โดยเป็นความปรารถนาของนิสิตในยุคนั้นเองทั้งสิ้น

‘ภูมิธรรม’ ชี้!! ปรับครม.หรือไม่? เป็นอำนาจ ‘นายกฯ’  แง้ม!! ดึง ปชป.ร่วม เป็นเรื่องโคมลอย อย่าเพิ่งไปคิดไกล

(2 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิยช์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ปรับครม. โดยดึงเสียงพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเติมว่า ไม่มีใครรู้ เพราะเป็นอำนาจนายกฯ จะปรับหรือไม่ ความเหมาะสมเมื่อไหร่อย่างไร ข่าวต่าง ๆ ที่ได้ยินจากสื่อ แต่ตนไม่ได้ยินจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ตนคิดว่าในความเป็นจริงก็ต้องดูนายกฯ มองหรือพิจารณาอย่างไร เสียงออกมาจากตรงไหนก็เป็นข่าวลือเต็มไปหมด อาจจะมีทั้งตั้งใจพูด ไม่แน่ใจพูด หรือพูดคาดการณ์อะไรต่าง ๆ ก็ยังไม่เห็น

"คุยกับท่านนายกฯ มาล่าสุดเมื่อวาน ก็ยังไม่ได้พูดเรื่องนี้" นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า เสียงรัฐบาล 314 เสียง ยังไม่พอใช่หรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ทำไมยังไม่พอ มันก็เป็นหน้าที่ของมันอยู่แล้ว ส่วนจะปรับครม.หรือไม่ก็เป็นคนละเรื่องกัน”

เมื่อถามว่า หากปรับครม.ก็จะมีเสียงเพิ่มขึ้น? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่รู้ว่าจะปรับหรือไม่ อย่าเพิ่งไปคิดอะไร”

เมื่อถามว่า ปัญหาพรรคร่วมฯ ก็ยังแย่งกันเยอะ? นายภูมิธรรม ถามกลับว่า “พรรคร่วมฯ ไหนแย่งกันเยอะ พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือ ผู้สื่อข่าวจึงได้ตอบกลับว่า พรรคร่วมรัฐบาล อยากจะเป็นเยอะแยะ จากนั้นนายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มี ยังไม่มีอะไร ทุกคนก็ยังทำงานดี พูดคุยกันได้ดี”

เมื่อถามว่า หากพรรคประชาธิปัตย์มาจะต้องพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่ได้มีเริ่มต้นแบบนี้ อย่าเพิ่งไปคิดไกล ยังไม่ได้มีจุดตั้งใจ อันนี้ยังเป็นเรื่องโคมลอย ถ้ามันเป็นเรื่องชัดเจน ค่อยมาว่ากันว่า จะคิดอย่างไร ถึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น ค่อยมาว่ากันอีกที” 

ย้อนบทสัมภาษณ์ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เมื่อ 40 ปีก่อน ครั้งหนึ่งทรงรับเลี้ยงเด็กไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ย้อนบทสัมภาษณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ครั้งหนึ่ง ‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์แก่เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ถึงเรื่องสถานะของพระองค์ และส่วนหนึ่งของโครงการความช่วยเหลือในพระบรมราชินูปถัมภ์ ออกอากาศไปเมื่อปี พ.ศ. 2523

โดย ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงเล่าเรื่องของหนูน้อยฝาแฝดที่ ‘พระราชินี’ ทรงรับเลี้ยงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ว่า…

“พระราชินี (พระพันปีหลวง) ทรงเห็นในหมู่พสกนิกรที่มาเข้าเฝ้าเมื่อครั้งเสด็จไปที่จังหวัดหนองคาย และพระองค์ทรงพบว่า แม่ของเด็กมีลูก 9 คน และยากจนมาก ทั้งตัวแม่และลูกตัวซีดและผ่ายผอม พระองค์ตรัสถามว่าขอฝาแฝดคู่นี้ได้ไหม”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ว่า เพราะอะไรถึงรับฝาแฝดสองคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ทั่วประเทศมีเด็กที่ลำบากและยากจนมากมาย กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “บางทีอาจจะเป็นรักแรกพบ”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ต่อว่า มีเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์อีกหรือไม่? กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “มี ชื่อฉายฉาน เด็กคนนี้มาจากหุบกะพง ที่สหกรณ์ใกล้ ๆ กรุงเทพ เรามักไปเยี่ยมสหกรณ์ และพ่อกับแม่ของเด็กคนนี้ก็เป็นสมาชิกสหกรณ์ วันหนึ่งพ่อของเธอได้ถวายพี่สาวของเด็กคนนี้ ซึ่งหูหนวก เราส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับคนหูหนวก ส่วนเด็กคนนี้ (ฉายฉาน) พ่อของเธอถวายให้เรา เพราะแม่ของเด็กคนนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เขาไม่สามารถดูแลลูกหลายคนได้ ตัวเขา (พ่อ) ก็ป่วยด้วยเหมือนกัน”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ต่อว่า เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่พ่อแม่ถวายลูกให้อยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “สิ่งนี้ไม่ได้ทำกันเป็นธรรมเนียม แต่ก็มีบ้างบางครั้ง”

สรุปดรามา!! เลื่อนงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 งานที่ดูไม่พร้อม-ควรใช้ชื่ออื่น หากอยากจัดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์

(2 เม.ย.67) จากผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ได้สรุปดรามา เลื่อนงานฟุตบอลประเพณี 'จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์' ครั้งที่ 75 ไว้ว่า...

สืบเนื่องจากเฟซบุ๊ก Ajarin Pattanapanchai ของ น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์ข้อความ โดยสรุปได้ดังนี้...

งานบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดโดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) และสมาคมธรรมศาสตร์ฯ (สมธ.) ครั้งที่ 75  มี สมธ.เป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งได้แจ้งเลื่อนการจัดงานมาตั้งแต่ปี 2564-2566 และยังแจ้งโดยวาจาว่า "จะไม่จัดงานในต้นปี  2567"

แต่ สมธ. กลับมีจดหมายแจ้ง สนจ. ว่าจะจัดงานในวันที่ 30 มี.ค. 2567 ขอไปร่วมประชุมและแถลงข่าวการจัดงาน ซึ่งบอกล่วงหน้าแค่ 10 วัน ซึ่ง สนจ. ได้ประชุมและตอบกลับไปว่าไม่พร้อมร่วมจัดงาน เนื่องจาก จะชนกับงานประจำปีของ สนจ. คืองานวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มี.ค. 2567

อีกทั้ง ชุมนุมเชียร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในการจัดงานบอลประเพณี ได้ออกมาออกประกาศในสื่อ Social Media ว่า สนจ. เป็นต้นเหตุที่ทำให้งานเลื่อนออกไป จึงอยากให้ สมธ.ออกมาชี้แจงให้ชัดเจน  

ทั้งนี้ หากนิสิต นักศึกษาทั้งสองสถาบัน อยากจะจัดเตะบอลเชื่อมความสัมพันธ์กัน ก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ชื่องานบอลประเพณี ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 หรอก (แต่อาจหาสปอนเซอร์ได้ไม่มาก)

#งานบอลจุฬาธรรมศาสตร์

‘เรือเหาะแคปซูล’ แบบมีคนขับ ‘ฝีมือจีน’ บินเที่ยวแรกสำเร็จ หลังพัฒนาขึ้นมาเอง ชี้!! สมรรถนะครบครัน พร้อมลุยต่อยอด

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (AVIC) ระบุว่า เรือเหาะพลเรือนแบบมีมนุษย์ควบคุม เอเอส700 (AS700) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองของจีน ประสบความสำเร็จในการขึ้นบินเที่ยวแรกจากสนามบินจิงเหมิน จางเหอในมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ก่อนลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่งในเมืองจิงโจวในเวลา 1 ชั่วโมง 46 นาที โดยมีกำหนดส่งมอบลำแรกภายในสิ้นปีนี้

ด้าน หลินหง นักบินผู้ควบคุม กล่าวว่า เที่ยวบินแรกดำเนินไปอย่างราบรื่นตามแผน เอเอส700 มีความคล่องตัวที่ดี มีศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดในแนวดิ่งในพื้นที่แคบ อีกทั้งคล่องตัวและยืดหยุ่นมากกว่าเรือเหาะประเภทอื่น ๆ

ด้าน โจวเหลย หัวหน้าผู้ออกแบบโครงการเรือเหาะลำนี้ เผยว่า เที่ยวบินดังกล่าวตรวจสอบการสื่อสารบนเที่ยวบิน การบรรทุกอุปกรณ์ ตลอดจนศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดของเอเอส700 อย่างครบถ้วน ซึ่งวางรากฐานสำหรับเที่ยวบินระยะไกลและยาวนานขึ้นในอนาคต

บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อเรือเหาะรุ่นนี้จำนวน 18 ลำแล้ว หลังจากเอเอส700 ได้รับใบรับรองแบบในจีนเมื่อปี 2023 โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงภาคการท่องเที่ยวชมวิวในระดับต่ำ

ทีมพัฒนาเรือเหาะเอเอส700 วางแผนปรับปรุงอากาศยานลำนี้เพิ่มเติมเพื่อขยายสถานการณ์การใช้งานให้ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการสาธารณะในเมือง และด้านอื่น ๆ

เรือเหาะแบบมีมนุษย์ควบคุมประเภทแคปซูลเดี่ยว มีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุด 4,150 กิโลกรัม พิสัยการบินสูงสุด 700 กิโลเมตร ระยะเวลาการบินสูงสุด 10 ชั่วโมง และความจุสูงสุด 10 คน (รวมนักบิน)

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ หน่วยงานกระทรวงแรงงาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภาคเอกชน และกลุ่มไทยสมายล์ สถานีประชาชน ไทยพีบีเอส ร่วมกิจกรรมถวายความจงรักภักดี แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ

วันที่ 2 เมษายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วยหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาคเอกชน รวมถึงทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ และรายการสถานีประชาชน สถานีข่าวไทยพีบีเอส ร่วมกิจกรรมถวายความจงรักภักดี ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือ ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภค แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 9 ราย ณ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มผลิตน้ำมันมะพร้าว บ้านประดู่ลาย อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ (วันที่ 2 เมษายน) แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ จำนวน 4 คัน ไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 1 ตัว และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน จำนวน 2 ตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับ ผู้สูงอายุและผู้พิการ ตามที่ได้รับการประสานจาก นางแสงรุ้ง พึ่งสีใส แรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ณ ต.ไชยราช อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางสาวจิ๋ม พานทอง และ นายจำนงค์ วรสุทธ์ ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 4 ราย ได้แก่ นางอุษา ชมอินทร์ นายกำพล เพชรนิล นายมานิตย์ แซ่จิว และนายสิทธิ์ เจริญรัตน์ และ ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายสมพงษ์ โพธิ์น้อย นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชนนำเครื่องอุปโภคบริโภค ขนมขบเคี้ยว มามอบให้กับน้องๆนักเรียน ใน ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางสาวกัญญาภัค รักบุญ (มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทับสะแกวิทยา) และเด็กหญิงพรฤดี เคลือบอาบ (ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านมะเดื่อทอง) 

ซึ่งทั้งเก้าราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป

6 เมษายน พ.ศ. 2325 ‘ในหลวง ร.1’ เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พร้อมก่อสร้างพระนครแห่งใหม่ในนาม ‘กรุงเทพมหานคร’ เมืองหลวงปัจจุบัน

วันจักรี (Chakri Memorial Day) ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี อันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรี ในวันนี้จึงถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่พวกเราชาวไทยควรให้ความระลึกถึง กว่าจะมาเป็นสยามได้ในทุกวันนี้

ทั้งนี้ วันจักรี (Chakri Memorial Day) คือ วันที่ระลึกถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี อีกทั้งยังเริ่มก่อสร้างพระนครแห่งใหม่ในนาม ‘กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์’ ที่นับว่าเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ถัดจากกรุงธนบุรี ซึ่งเมื่อครั้งที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีนั้น มีอาณาบริเวณรวมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เป็นเมืองหลวงที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเปลี่ยนนามใหม่ จาก ‘กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์’ เป็น ‘กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์’ ซึ่งช่วงเวลาตั้งแต่ก่อตั้งกรุงเทพมหานครฯ เมื่อปี พ.ศ. 2325 มักเรียกกันว่า สมัยรัตนโกสินทร์ เช่นเดียวกันกับที่เคยเรียกยุคสมัยที่ผ่านมาในสยาม โดยพระเจ้าแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์นี้ได้สืบสันตติวงศ์ต่อเนื่องกันมาในราชวงศ์เดียวกันจนถึงปัจจุบัน มีทั้งหมด 10 รัชกาล

จากบันทึกตามประวัติศาสตร์ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปของบูรพมหากษัตริย์ 4 พระองค์ (รัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 4) ขึ้นประดิษฐานเอาไว้สำหรับให้พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อ ๆ ไป ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปได้ถวายความเคารพสักการะ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละหนึ่งครั้ง และได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนสถานที่ประดิษฐานหลายต่อหลายครั้ง
จนมาถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เคลื่อนย้ายพระบรมรูปของบูรพมหากษัตริย์ 4 พระองค์มาไว้ ณ ปราสาทเทพบิดร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระชนกชาถ ซึ่งพระที่นั่งสำหรับประดิษฐานพระบรมรูปองค์นี้ รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ซ่อมแซมจากพุทธปรางค์ปราสาทเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และได้พระราชทานพระนามว่า ปราสาทเทพบิดร โดยได้มีการซ่อมแซมและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาลแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปขึ้นในวันที่ 6 เมษายนปีเดียวกัน อีกทั้งยังโปรดให้เรียกวันที่ 6 เมษายนนี้ว่า วันจักรี

นอกจากนั้น ในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันจักรีของทุกปี รัฐบาลยังได้ประกาศเป็นวันหยุดราชการ แต่หากในปีใดที่วันจักรีตรงกับวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ก็ให้หยุดชดเชยได้ในวันทำการวันต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2567 ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันอังคารที่ 2 เมษายน 2567) และเมื่อวันพุธที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก และนายสุหัทย์ ไพรสานฑ์กุล กรรมการ พร้อมด้วย นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ  นำทีมเจ้าหน้าที่บริหาร และพนักงาน เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2567 โดยเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เครื่องคาวหวาน กระดาษเงิน-กระดาษทอง และดอกไม้หอม ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ

เทศกาลเช็งเม้ง กำหนดจัดขึ้นในระหว่างเดือน 2-3 ของจีน ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี เป็นเทศกาลที่แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื้อ ที่สืบทอดมายาวนานกว่าพันปี ก่อนวันพิธี จะมีการทำความสะอาดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ หลังจากนั้นในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้อาหารคาวหวาน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ เมื่อไปอยู่อีกภพหนึ่ง

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

'อัครเดช' เผยวิปฝ่ายค้าน เทประชุมวิปสองฝ่าย ปมเงื่อนเวลาอภิปราย เรียกร้องใช้เวทีวิปร่วมสภาฯ เจรจาหาทางออก ไม่ใช่ตอบโต้ผ่านสื่อ

(2 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นัดวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลมาร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดรายละเอียดในการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 โดยการไม่ลงประชามติในวันที่ 3-4 เมษายนนี้ แต่ปรากฏว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเทไม่ยอมเข้าร่วมประชุมตามที่นัดหมาย นายพิเชษฐ์ในฐานะประธานการประชุมและวิปรัฐบาลก็ได้มานั่งรอเก้อในห้องประชุม

นายอัครเดช กล่าวว่า เดิมเท่าที่ทราบวิป 2 ฝ่ายได้มีการหารือกันไว้คร่าว ๆ คือ ฝ่ายค้านได้เวลา 22 ชั่วโมงในการอภิปราย ทางรัฐบาลโดยรัฐมนตรีได้เวลาชี้แจง 6 ชั่วโมง แต่เมื่อดูจากการอภิปรายทั่วไปของวุฒิสภาตามมาตรา 153 ทางประธานวิปรัฐบาลได้รับทราบปัญหาจากครม.ว่า รัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงแค่ 3 ชั่วโมงต่อ 1 วันนั้น ไม่เพียงพอต่อการชี้แจงข้อซักถามของสมาชิกวุฒิสภา ทางคณะรัฐมนตรีจึงแจ้งมาทางประธานวิปรัฐบาลว่า การประชุมที่ผ่านมาทางสว.ใช้เวลาอภิปรายมากรัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงน้อย ไม่สมดุลกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของพี่น้องประชาชนที่รับฟังการอภิปรายและมีผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลได้

ดังนั้นการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลา 2 วันแล้วจัดสรรให้ ครม.ชี้แจง 6 ชม. ก็จะมีเวลาไม่เพียงพอก็จะเกิดปัญหาเหมือนการประชุมอภิปรายวุฒิสภาที่ผ่านมาคือรัฐมนตรีไม่มีเวลาเพียงพอในการชี้แจงข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหา ของสมาชิกที่อภิปราย แม้แต่นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ มีเวลาชี้แจงเมื่อการอภิปรายของวุฒิสภาเพียงแค่ 2 นาทีในบางครั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้จะเป็นผลเสียต่อรัฐบาล อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเพราะไม่มีเวลาชี้แจง ทางรัฐบาลจึงมาหารือในวิปรัฐบาลว่ารัฐบาลควรมีเวลามากขึ้นจาก 6 ชั่วโมงเป็น 10 ชั่วโมง ฝ่ายค้านเดิมจาก 22 ชั่วโมงเหลือ 18 ชั่วโมง เพื่อให้ทางรัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงมากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการอภิปรายฝ่ายเดียว จะเป็นผลเสียต่อตัวรัฐมนตรีและรัฐบาลด้วย

“เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น จึงได้นัดประชุมวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลเพื่อมาพูดคุยให้เกิดความเข้าใจ แต่ปรากฏว่าฝ่ายค้านไม่มาร่วมประชุม แต่ไปตอบโต้ผ่านสื่อมวลชน ทำให้ผมและเพื่อนสมาชิกที่เป็นวิปรัฐบาลไม่สบายใจ กลายเป็นภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อสภาฯ ทางประธานสภาฯ จึงขอประธานสภาฯ นัดหมายมาประชุมใหม่ในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) ในเวลา 08.00 น. ถ้ายังพูดคุยไม่รู้เรื่องก็ต้องมีการเสนอให้โหวตในที่ประชุมสภาฯ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการประชุมร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ผมจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายค้านได้เข้าร่วมประชุมวิป 2 ฝ่ายในวันพรุ่งนี้เช้าก่อนมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย” นายอัครเดชกล่าว

ทั้งนี้ การอภิปรายตามมาตรา 152 เป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีสส.รัฐบาลก็มีความต้องการอภิปรายด้วย เพื่อเสนอแนะปัญหาที่ได้ไปพบมาในการลงพื้นที่ เพื่อนำปัญหามาเสนอต่อครม. สส.รัฐบาลได้ท้วงติงมาว่าทำไมไม่ให้พวกเขาอภิปรายด้วย ดังนั้นในการประชุมช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ก็ต้องหารือกันถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องมีการโหวตกันในสภาฯ เพื่อขอเวลาให้สส.ฝ่ายรัฐบาลอภิปรายด้วย ถ้าตกลงไม่ได้แล้วมีการโหวตจะเป็นผลเสียต่อการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายในอนาคต

นายอัครเดช กล่าวว่า ในที่ประชุมวิปรัฐบาลได้มีวิป บางท่านเสนอว่าเวลาอภิปราย 28 ชั่วโมงควรจะแบ่งกันฝ่ายละ 14 ชั่วโมงไปเลย เพื่อให้โอกาส สส.ฝ่ายรัฐบาลได้อภิปรายนำปัญหาของประชาชนมาหารือซักถามชี้แนะ คณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของสมาชิก ถ้าเป็นเเบบนั้นจะทำให้ฝ่ายค้านเวลาลดลงไปอีก 

ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าจึงขอให้ฝ่ายค้านได้เข้ามาร่วมประชุม ใจเย็นมาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล โดยไม่ต้องลงมติในสภาฯ จะดีกว่า ซึ่งถ้าถึงขั้นลงมติเพื่อแบ่งเวลากันจะทำให้การทำงานร่วมกันในอนาคตไม่ราบรื่น ฉะนั้นจากนี้ไปจึงอยากให้สองฝ่ายเคารพเหตุผลซึ่งกันและกัน ไม่อยากเห็นการตอบโต้ไปมาผ่านสื่อ 

อย่างไรก็ตามฝ่ายรัฐบาลไม่อยากให้ฝ่ายค้านเอาประเด็นนี้มาเล่นเกม รัฐบาลไม่ขอเล่นเกมด้วย เพราะเราคำนึงถึงเหตุผล ทำอย่างไรให้การอภิปรายตามมาตรา 152 ราบรื่นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top