Sunday, 8 June 2025
TheStatesTimes

รู้จัก ‘GAC AION’ ค่ายรถ EV ยักษ์ใหญ่จากจีน พร้อมท้าชิง ‘ตลาดไทย’

จากกระแสโลกที่หันมาให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมหนุนให้ใช้พลังงานสะอาด หลาย ๆ อุตสาหกรรมต่างตื่นตัวตอบรับกับกระแสดังกล่าว เช่นเดียวกับวงการยานยนต์ ที่ส่งผลให้ รถไฟฟ้า หรือ EV มาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะค่าย EV จากผู้ผลิตสัญชาติจีน ที่ในวันนี้กลายเป็นประเทศที่ส่งออก EV มากที่สุดของโลกไปแล้ว หากนับเฉพาะการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 100% ล่าสุดพบว่า BYD ค่าย EV ยักษ์ใหญ่จากจีน มียอดขายแซง TESLA ของ อีลอน มัสก์ ไปเรียบร้อย

แน่นอนว่า ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ของจีนไม่ใช่มีแค่แบรนด์เดียว แต่มีมากมายหลากหลายแบรนด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์เกิดใหม่จากการสนับสนุนของรัฐบาลกลางของจีน

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับค่าย BYD, ฉางอัน, GWM หรือ Great Wall Motor ที่เข้ามาทำตลาดในไทยเป็นเจ้าแรก ๆ แต่ทว่า ยังมีค่าย EV น้องใหม่มาแรง ที่มีเทคโนโลยีโดดเด่นไม่เป็นรองแบรนด์ที่กล่าวมาเลย และเป็นอีกหนึ่งค่ายที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ว่านี้ก็คือ ‘GAC AION’ (จีเอซี ไอออน) นั่นเอง

สำหรับ GAC AION เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า ในเครือ ‘กว่างโจว ออโต้โมบิล กรุ๊ป’ หรือ GAC Group ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับ Top 5 ของจีน 

โดยโรงงานแห่งแรกของ GAC AION ได้เริ่มเดินสายพานการผลิตเมื่อเดือนเมษายน 2562 และในปี 2565 มียอดขายรถยนต์ EV รวมถึง 2.5 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านหยวน ทำให้ AION ก้าวขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ EV ที่มียอดการจำหน่ายสูงสุดของประเทศจีน และยังติดเป็นอันดับ 186 ของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจากการประเมินรายได้และการจัดอันดับของฟอร์จูน โกลบอล 500 อีกด้วย

อย่างที่ทราบกันดีว่า ตลาดรถยนต์ EV ในประเทศไทย กำลังอยู่ในช่วงเนื้อหอมอย่างมาก และ AION เป็นอีกหนึ่งค่ายที่ไม่ยอมพลาดโอกาสทองนี้ โดยได้ประกาศเข้าสู่ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างเต็มตัว ด้วยการลงนามแต่งตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ไปเมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณรุกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

ขณะเดียวกัน ยังประกาศแผนตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย พร้อมกับได้ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ EV ในไทยให้ได้ 100,000 คันต่อปี รวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการผลิตแบตเตอรี่ด้วย โดยมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยของ AION เบื้องต้น อยู่ที่ประมาณ 1,300 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 6,400 ล้านบาท

AION ให้ความสนใจจะเข้ามาปักหมุดลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในประเทศไทย มาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2566 เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพตลาดรถยนต์ EV ในไทยที่กำลังเติบโต ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยยังได้ให้การสนับสนุนโครงการรถยนต์ EV และอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการทำการตลาด และนโยบายด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนผ่านทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาคอาเซียน 

ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของ AION ที่ให้ความสำคัญและมองถึงโอกาสที่จะใช้โรงงานในไทยเป็นฐานการผลิต รถยนต์พวงมาลัยขวาโดยเฉพาะ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย และส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก 

ปัจจุบัน AION Thailand ได้เดินหน้าก่อสร้างโรงงานสำหรับผลิตรถยนต์ในประเทศไทย โดยตัวโรงงานตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC จังหวัดระยอง ซึ่งเฟสแรกอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567 และมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50,000 คันต่อปี 

อย่างไรก็ดี ก่อนที่โรงงานในไทยจะเริ่มเดินสายพานการผลิตได้เต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2567 หรือต้นปี 2568 ในส่วนของรถยนต์ที่จัดจำหน่าย จะมาจากการนำเข้าจากฐานการผลิตที่ประเทศจีน ซึ่งขณะนี้ได้เดินหน้าลุยตลาดไปแล้ว ทั้งการขยายตัวแทนจำหน่าย และศูนย์บริการ โดยมีเป้าหมาย 3 ปี จะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาด EV ประเทศไทย

และเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นวันที่ AION ได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ชื่อรุ่นว่า AION Y Plus รถยนต์ Compact Cross Over 5 ที่นั่ง 

สำหรับจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus นอกจากจะเป็นรถที่มีขนาดใหญ่และอเนกประสงค์แล้ว อีกสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบก็คือ เรื่องของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ AION นำมาใช้ในรถรุ่น Y Plus ที่เรียกว่า Magazine Battery นั่นเอง 

Magazine Battery เป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยสูง พัฒนาขึ้นโดย AION ซึ่งประกอบด้วย เคสด้านบนของแบตเตอรี่ผลิตจากฉนวนทนความร้อนสูงสุดที่ 1,400 องศาเซลเซียส ส่วนเซลล์แบตเตอรี่ที่มีคุณสมบัติทนความร้อนได้มากกว่าปกติ 30% ภายในแบตเตอรี่ยังได้มีติดตั้งระบบการจัดการแบตเตอรี่ รุ่นที่ 4 ที่มีระบบจัดการความร้อน ทำให้แบตเตอรี่เย็นลงได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น Magazine Battery ยังได้ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยขั้นสูง เพื่อให้มั่นใจว่าแบตเตอรี่ที่นำไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ามีความปลอดภัย โดย GAC AION ได้ทำการทดสอบยิงด้วยกระสุนปืนทะลุแบตเตอรี่ ผลการทดสอบที่ได้คือ แบตเตอรี่ไม่ติดไฟ

รวมถึงทดสอบการเจาะทะลุแบตเตอรี่ด้วยแท่งเหล็ก ด้วยความเร็วที่มากกว่าการยิงด้วยกระสุนปืน และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของรอยทะลุขนาดใหญ่กว่ากระสุนปืนถึง 7-8 เท่า ผลการทดสอบที่ได้คือ แบตเตอรี่ไม่ระเบิดและไม่ติดไฟ

ต้องยอมรับว่า ทั้งในด้านเทคโนโลยี และความปลอดภัย รวมถึงศักยภาพด้านอื่น ๆ ของ AION เชื่อว่าจะสามารถต่อกรกับค่าย EV ได้ทุกแบรนด์ในตลาดประเทศไทย แต่จะไปถึงฝั่งฝืนสามารถก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ของตลาด EV ประเทศไทย ภายใน 3 ปี ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ 

แต่ที่แน่ ๆ การเข้ามาบุกตลาด EV ประเทศไทย ของ AION ในครั้งนี้ คนที่ได้รับประโยชน์เต็ม ๆ ก็คือผู้บริโภคชาวไทย ที่จะมีรถ EV คุณภาพให้เลือกใช้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแบรนด์ ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้เกิดการขยายคลัสเตอร์ยานยนต์ใน EEC อย่างต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในอาเซียน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของไทยในการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกอีกด้วย

‘ธนกร’ หนุน กมธ.นิรโทษกรรม แต่ย้ำ ไม่ยกโทษให้พวกคนผิด ม.112 เพราะไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่เป็นการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของคนไทย

(9 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้ข้อยุติเริ่มนับเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยจะเชิญทุกฝ่ายการเมืองที่มีคดีความจากการชุมนุม มาแสดงความคิดเห็น ว่า ตนเห็นด้วย หากจะเริ่มนับ 1 ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยเฉพาะความเห็นต่างทางการเมือง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งอาจจะต้องดูข้อกฎหมายเกี่ยวกับแต่ละคดีประกอบอย่างละเอียด เพราะหลายเหตุการณ์ที่เกิดการชุมนุมทางการเมืองขึ้น ยอมรับว่า ไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ มีการใช้อาวุธทำลายสิ่งของและสถานที่ราชการด้วย จึงต้องดูให้ละเอียดรอบคอบเพราะเป็นคดีอาญา การเชิญตัวแทนกลุ่มการเมืองฝ่ายต่างๆ มาร่วมประชุมแสดงความเห็นถือเป็นนิมิตหมายที่ดีทางการเมือง

นายธนกร ย้ำว่า ขอสนับสนุน กมธ.นิรโทษกรรมฯ ที่ยังไม่พิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีหมิ่นประมาทอาฆาตมาตร้ายพระมหากษัตริย์ ไม่ควรเหมารวมกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ รวมกับความเห็นต่างทางการเมือง และเชื่อว่า หากมีการรวมคนที่ทำผิดมาตรา 112 ให้รับการนิรโทษกรรม ตนเองและคนไทยทั้งชาติไม่มีใครยอมได้แน่นอน

“ขอให้กมธ.นิรโทษกรรมพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ ไม่ควรหยิบเอาคดีทำผิดหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ มาพิจารณารวมกับคดีการเมือง เพราะไม่เกี่ยวกัน แม้ว่าจะมีบางพรรค พยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นความเห็นต่างทางการเมืองก็ตาม ซึ่งความจริงแล้ว สถาบันฯอยู่เหนือการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นการสร้างชุดข้อมูล สร้างความเข้าใจที่ผิดๆให้กับบางกลุ่มและประชาชน จึงจำเป็นที่ กมธ.นิรโทษกรรม จะต้องมีจุดยืนทางกฎหมาย หากมีการเหมารวมและยกโทษให้กับผู้กระทำความผิดมาตรา 112 เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครยอมได้” นายธนกร ระบุ

ย้อนส่อง!! 'ค่าไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน' ในรอบ 1 ปี ขยับแค่ไหน

ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ‘ค่าไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน’ ในไทยมีการขยับปรับราคาอยู่ตลอดเวลา 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้ว หากอยากรู้ว่าราคาขยับมาก-น้อยแค่ไหน มาดูกันเลย!! ✨✨

หนุ่มตั้งกระทู้ถาม ‘KFC’ กินแล้วต้องเก็บถาดเองหรือไม่ ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น ควรเก็บเอง เพราะเป็นมารยาท

เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.67) ผู้ใช้พันทิปรายหนึ่ง ได้ตั้งกระทู้ถามว่า “นั่งกิน KFC ในร้านต้องเก็บถาดอาหารเองไหมครับ” ระบุว่า “โดยปกติผมชอบทานไก่ KFC โดยปกติพนักงานจะเรียกคิวให้เราเดินไปเอาไก่เองใช่ไหมครับ แล้วทีนี้พอเราทานเสร็จเราก็ต้องเอาถาดไปเก็บเองใช่ไหมครับหรือทิ้งไว้ให้พนักงานมาเก็บ

เพราะเวลาผมมานั่งทานทีไรชอบเห็นถาดอาหารพร้อมเศษกระดูกไก่บ้างแก้วน้ำบ้างในถาด ถ้วยกระดาษบ้างวางเต็มโต๊ะไปหมดเลย ผมเลยสงสัยว่าเราต้องเก็บเองหรือวางทิ้งไว้ให้พนักงานมาเก็บ เพราะเวลาผมทานเสร็จแล้วผมเอาไปเก็บตลอด ผมทำถูกไหมครับ”

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังโพสต์ภาพของโต๊ะที่เต็มไปด้วยถาดอาหารที่กินเสร็จแล้วบนโต๊ะที่ว่างเปล่า เป็นภาพที่ไม่น่ามองสักเท่าไหร่

หลังจากตั้งกระทู้ออกไป ก็ทำเอาชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น กลายเป็นข้อถกเถียงกันว่า สรุปแล้วต้องเก็บเองหรือให้พนักงานเก็บให้

หลายคนมองว่า ต้องเก็บถาดอาหารเอง ปกติตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่ ให้บริการแบบบริการตัวเอง ทั้งการเสิร์ฟและการเก็บ

รวมถึงมักจะทำถาดอาหารเป็นกระดาษ ช้อนส้อมพลาสติก ใช้ครั้งเดียวแล้วเทลงถังขยะได้เลย ไม่ต้องรอให้พนักงานมาเก็บจานไปล้างข้างหลังดังนั้น เมื่อทานอาหารเสร็จ ลูกค้าควรเอาถาดไปเททิ้งตรงถังขยะตรงจุดที่เตรียมไว้

บางส่วนก็มองว่า หากว่ากันตามมารยาทก็ควรจะเก็บเอง โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ทานฟาสต์ฟู้ดต้องเก็บเองทุกครั้ง ถ้าไม่เก็บอาจถึงขั้นถ่ายรูปประจาน

แม้ KFC จะเคยตอบคำถามนี้เมื่อ 10 ปีก่อน บอกว่า มีพนักงานคอยบริการตรงจุดนี้ให้ แต่ปัจจุบันรูปแบบการบริการได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างชัดเจน ดังนั้น แม้จะไม่มีการประกาศหรือออกกฎชัดเจน แต่ลูกค้าก็ควรเก็บถาดเอง

‘ฮูพ BNK48’ โดนจวกแรง เต้นในรพ. แฟนคลับงง ผิดตรงไหน เพราะเต้นในห้องพิเศษ

(9 มี.ค.67) ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย หรือ ‘ฮูพ สมาชิกรุ่นที่ 3 ของ BNK48’ กลายเป็นดราม่า หลังเจ้าตัวโพสต์คลิปวิดีโอเต้นเพลงใหม่ของหนุ่มธามไทขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

คลิปวิดีโอของ ฮูพ กลายเป็นไวรัล มียอดเข้าชมนับล้านครั้ง เพราะความมีเสน่ห์เฉพาะตัวและความสวยเป๊ะแม้จะอยู่โรงพยาบาล

แต่ไม่วายกลับมีดราม่าจนได้ เมื่อชาวเน็ตส่วนหนึ่งมองว่า พฤติกรรมนี้อาจเป็นอันตรายเพราะ ฮูพ เต้นขณะที่ยังคงใส่สายน้ำเกลือ จะทำให้เลือดย้อนขึ้นรึเปล่า บางคนก็ตั้งคำถามว่าไม่รบกวนคนไข้คนอื่นเหรอ หรือ ทำไมเด็กรุ่นใหม่ต้องทำคอนเทนต์ตลอดเวลา

เป็นการจุดชนวนให้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่าก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรออกมาตอบโต้ บอกว่า ไม่รบกวนใครหรอก จากคลิปวิดีโอก็เห็นว่าอยู่ห้องพิเศษ ส่วนเรื่องอันตรายก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขาใส่เครื่อง Infusion pump เรียบร้อย ที่เขาออกมาเต้นอาจจะเพราะว่าใกล้หายดีแล้วก็ได้

อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในการดูแลของแพทย์ แล้วไม่รบกวนคนอื่น การเต้นในห้องพักก็อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดที่จะต้องดราม่ากันใหญ่โต

‘ตาหลอย’ วัย 70 ปี ปลื้มสุดขีด วิ่งลงเล่นน้ำทะเล ที่เกาะช้าง เผย ประทับใจ หาดสวย-น้ำใส เกิดมาเพิ่งเคยเห็น

(9 มี.ค.67) เวลา 08.30 น. คุณตาหลอย ทาพิลา อายุ 70 ปี ชาว อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เดินทางถึงเกาะช้าง จ.ตราด แล้ว โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด เป็นเจ้าภาพในการดูแลการเดินทาง ที่พักและอาหารทั้งหมด โดยจุดแรก เจ้าหน้าที่พาตาหลอยมาเข้าที่พักเช็กอินโรงแรม มารีน่า แซน โรงแรมหรู 5 ดาว บ้านคลองสน จ.ตราด หลังจากนั้นพนักงานโรงแรมได้พานั่งรถกอล์ฟไปยังชายหาดทันที

เมื่อคุณตาหลอยลงจากรถกอล์ฟ ได้รีบเดินไปยังชายหาดด้วยท่าทางดีใจ วิ่งไปเล่นน้ำอย่างสมใจอยาก ได้เล่นน้ำตามความฝันที่ไม่เคยได้สัมผัสตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 70 ปี ซึ่งคุณตาหลอยใช้เวลาเล่นน้ำประมาณ 15 นาทีเท่านั้น เพราะเกรงว่าจะมีอาการป่วย

คุณตาหลอยบอกความรู้สึกว่า วันนี้ได้เห็นเกาะช้าง ได้เห็นน้ำทะเล ได้เล่นน้ำทะเลอย่างที่ตั้งใจไว้ และเกินฝันที่คาดไว้ เพราะแรกตั้งเป้าหมายไว้ว่าแค่อยากจะขี่ซาเล้งมาให้เห็นแค่เกาะช้าง เห็นน้ำทะเลเท่านั้น แต่ไม่ได้ข้ามฝั่งไปเกาะช้าง แต่วันนี้ชาวตราดให้การต้อนรับและช่วยเหลืออย่างดี จนทำให้ได้มาเล่นน้ำทะเลเกาะช้างในวันนี้ ประทับใจน้ำทะเลสวยเหมือนมรกต น้ำทะเลใส ไม่มีขยะ วันนี้ต้องขอบคุณสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด ที่ดูแลที่พัก อาหาร และขอบคุณท่าเรือเฟอร์รี่เกาะช้างที่ให้นั่งเรือข้ามฟากฟรี

อย่างไรก็ตาม สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตราดจะพาคุณตาหลอยไปบ้านสลักคอก พายเรือมาด รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านแสงอรุณ และมื้อเย็นที่โรงแรมอัยยะปุระ

'ดร. โสฬส' รองอธิการบดี มจธ. บางขุนเทียน ต้อนรับ กระทรวงศึกษาธิการเยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการไฟฟ้ากำลังธนบุรี ศูนย์ทดสอบสถานศึกษาแห่งแรกในอาเซียน

นายปรีดา บุญศิลป์ ประธานอนุกรรมการ คณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ) กลุ่มอาชีพพลังงานและพลังงานทดแทน กล่าว ขอขอบคุณรศ. ดร. โสฬส สุวรรณยืน รองอธิการบดี มจธ. บางขุนเทียนและทีมงานทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับทาง (อ.กรอ.อศ) เป็นอย่างดีและได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการทดสอบขั้นสูงเป็นศูนย์ทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้าแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อลดความสูญเสียด้านค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ให้กับผู้ประกอบการและยกระดับความสามารถด้านการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าไทย สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาประเทศ Thailand 4.0 ของทางรัฐบาลที่มุ่งเน้นในการขับเคลื่อนประเทศด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม อีกด้วย 

โดย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสำคัญกับการจัดการอาชีวศึกษาร่วมกับสถานประกอบการเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการพัฒนาประเทศ โดยการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับสถานประกอบการ ซึ่ง อ.กรอ.อศ. เป็นภาคีเครือข่ายที่สำคัญในการจัดการอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะวิชาชีพ และอุปกรณ์ที่เป็น สื่อการเรียนการสอน เน้นรูปแบบการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริง (Learning by Doing) เพื่อสร้างสมรรถนะอาชีพและทักษะชีวิตให้ผู้สำเร็จอาชีวศึกษา มีความพร้อมเข้าสู่โลกอาชีพได้ทันต่อความต้องการกำลังคนของประเทศ หรือเป็นผู้ประกอบการได้ มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ (Learn to Earn) และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานอย่างแท้จริง

"ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการสร้างพลังร่วมกันในการขับเคลื่อนและพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาให้เกิดผลสำเร็จในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศสู่ประเทศ ตอบสนองนโยบาย "เรียนดี มีความสุข" ต่อไป"

รศ. ดร. โสฬส สุวรรณยืน รองอธิการบดี มจธ. บางขุนเทียน ต้อนรับ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ) กลุ่มอาชีพพลังงานและพลังงานทดแทน และได้แนะนำถึงที่มาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน ว่าจุดเริ่มต้นนั้นต้องการสร้างมจธ.วิทยาเขตบางขุนเทียนเพื่อเป็นสวนอุตสาหกรรม จึงมีการจัดตั้งแยกออกมาจากตัวของวิทยาเขตบางมด 

ในปัจจุบันนี้นอกเหนือจากการที่ทางมจธ.วิทยาเขตบางขุนเทียนได้มีความร่วมมือกับบริษัท    เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ในส่วนของห้องปฏิบัติการไฟฟ้าธนบุรี ที่ใช้ทดสอบการทนการลัดวงจรของหม้อแปลงไฟฟ้าแล้วนั้น ทางวิทยาเขตเองยังมีศูนย์พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลล์แสงอาทิตย์ CES Solar Cells Testing Center (CSSC) ที่เป็นศูนย์ทดสอบระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่ได้มาตรฐานที่สุดในประเทศไทยด้วย ซึ่งถ้าทางตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ) กลุ่มอาชีพพลังงานและพลังงานทดแทน มีความสนใจที่จะเข้าเยี่ยมชมในอนาคตทางมหาวิทยาลัยก็มีความยินดี

ผศ. ดร. ศุภกิตติ์ โชติโก หัวหน้าภาคประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้กล่าวแนะนำถึงห้องปฏิบัติการไฟฟ้ากำลังธนบุรีห้องทดสอบการทนต่อการลัดวงจรของหม้อแปลงไฟฟ้าในระบบจำหน่ายที่ทำการทดสอบตามกระบวนการในมาตรฐาน IEC 60076-5 รวมถึงได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อใช้ทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้าซึ่งทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มีการจัดซื้อและกำหนดให้มีการทดสอบการทนต่อการลัดวงจร โดยห้องปฏิบัติการนี้เป็นห้องปฏิบัติการแห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในมหาวิทยาลัย โดยกระบวนการทดสอบนั้นสามารถทำได้โดยการลัดวงจรขดลวดทุติยภูมิของหม้อแปลงไฟฟ้าที่จะทำการทดสอบและป้อนแรงดันพิกัดจ่อรอไว้ที่ด้านขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลง หลังจากนั้นก็สับสวิตช์ในตำแหน่งที่แรงดันเป็นศูนย์(zero crossing) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดกระแสลัดวงจรสูงสุด โดยกรณีที่เกิดการกระแสลัดวงจรไหลไหนหม้อแปลงนี้จะทำให้เกิดแรงทางกลขึ้น โดยแรงทางกลนี้มีการแปรผันตามค่าของ I2 ซึ่งในกรณีที่ทำการทดสอบหม้อแปลงไฟฟ้า 3 เฟสจะมีการทดสอบทั้งหมด 9 ครั้ง โดยเป็นการทดสอบแต่ละเฟส 3 ครั้ง และต้องควบคุมค่าต่างๆให้เป็นไปตามมาตรฐาน IEC 60076-5

สนามสอบเตรียมอุดมฯ คึกคัก มีนร.เข้าสอบทะลุหมื่น หลายบ้าน มาตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อความหวัง เปิดเส้นทางสร้างอนาคต

อ่านหนังสือทั้งปี เพื่อวันนี้วันเดียว!! 

สนามสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี คึกคัก!! มีนักเรียนร่วมเข้าสอบกว่า 11,607 คน โดยบางครอบครัวได้เดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ จากทั่วทุกสารทิศ เพื่อพาบุตรหลานมาเข้าสอบ หวังเปิดเส้นทางอนาคตให้ตัวเอง

เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่เดินทางจากจังหวัดปัตตานี พาลูกมาสอบแข่งขันในสนามระดับประเทศ และได้ให้สัมภาษณ์กับเพจอีจันว่า "หลายครอบครัวมาตั้งแต่ตี 3 บางบ้านเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งขับรถ ขึ้นเครื่อง เหนือจรดใต้ เพื่อพาลูกมาสานฝันในวันนี้...วันนี้สอบไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกทำให้เต็มที่ แค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว"

ทั้งนี้ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มีแผนรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2567 รวมทั้งสิ้น 1,520 คน แบ่งเป็นกลุ่มโควตาจังหวัด 306 คน กลุ่มโควตาโอลิมปิกวิชาการ 35 คน ความสามารถพิเศษและมีเงื่อนไขพิเศษ 69 คน และสอบคัดเลือกทั่วไป 1,110 คน

ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนค่ะ

‘เอแบค’ โพลชี้ ชาวเจน Z กว่า 73.2% ชอบการไหว้ขอพร เผย ทำแล้วสบายใจ-ได้ผลทันตาเห็น

(9 มี.ค.67) Business Tomorrow สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ทำการสำรวจ AU Poll เรื่อง 'เส้นทางสายมูของ GEN Z' จากนักศึกษาปริญญาตรีทั่วประเทศ จำนวน 950 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2023 พบว่า ชาวเจน Z ถึง 73.2% เป็นชาวสายมู หรือชื่นชอบการขอพรหรือเสริมดวง โดยพบอีกว่า 77.4 % ชอบดูดวง ลายมือ ไพ่ยิปซี 72.5 % ชอบการอธิษฐานขอพร และ69.6 % ชอบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง ๆ

การมูเตลูสำหรับคนรุ่นใหม่ถือเป็นสิ่งที่พบเห็นและเข้าถึงง่ายเพราะ 37.0% เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการมูเตลูจากแหล่งต่าง ๆ อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเห็นทางช่องทางโซเชียลมากที่สุดถึง 86.2%

ทั้งนี้ยังเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนได้ดี เพราะ ส่วนใหญ่ที่เข้าวงการมูเตลู 60.0 % เพราะเพื่อนพามู โดยเรื่องที่ชาวเจน Z จะขอพรนั้น เรื่องการเรียนมีมากถึง 73.7% รองลงมาคือ เรื่องการเงิน 60.7%

จำนวนเม็ดเงินรายหัวต่อครั้งอยู่ที่ 300-400 บาท โดยตลาดการมูเตลูของชาวเจน Z ส่วนใหญ่นั้น พบว่า 28.2% จะมูอย่างน้อยปีละครั้ง ในขณะที่ 20.7% มู 2-3 เดือนต่อครั้ง และ 16.4% ที่มูอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทำให้ถือเป็นตลาดที่มีการเข้ามาใช้จ่ายได้ในทุก ๆ เดือน ทั้งนี้ เหตุผลที่ต้องมูนั้นคือ ความสบายใจที่ได้รับถึง 66.7% ในขณะที่ 20.1% ที่เห็นผลในทางบวก เช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง!! Carbon Pricing กุญแจสำคัญสู่ Net Zero ตอบโจทย์ธุรกิจในโลกยุคใหม่ ช่วยต่อลมหายใจให้โลกใบเก่า

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Carbon Pricing กุญแจสู่ Net Zero' เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงสุดเป็นอันดับ 9 ของโลก ที่จะได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่มากับภาวะโลกร้อน 

ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาเราต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า ที่รุนแรงที่สุดดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 และฝุ่น PM 2.5 ซึ่งยังคงหลอกหลอนเราอยู่ในปัจจุบัน

แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความกดดันที่จะต้องมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ 

แรงกดดันดังกล่าวมาจากทั้งองค์การระหว่างประเทศ ตลาดเงินตลาดทุน Supply Chains ในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนผู้บริโภคและ NGO ต่าง ๆ

นายกรัฐมนตรีไทยได้ประกาศในที่การประชุม COP 26 ที่ Glasgow สหราชอาณาจักร ว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ก็ยังล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ รวมทั้ง มาเลเซีย, ลาว และกัมพูชา

เป้าหมายดังกล่าว กอปรกับแรงกดดันจากทุกภาคส่วน ยังคงความจำเป็นให้ต้องมี Roadmap ที่ชัดเจนและเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดในด้านทรัพยากรและขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย 

ดังนั้น การใช้กลไกตลาด จึงน่าจะเป็นกุญแจสำคัญของเส้นทางไปสู่เป้าหมาย Net Zero การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) อาจกระทำโดยการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และการจัดระบบซื้อขายคาร์บอนผ่านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต

ประการแรก การจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่สะท้อนต้นทุนทางสังคม เป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ กรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานที่มีประสบการณ์จัดเก็บภาษีบาป (Sin Tax) อยู่ในปัจจุบัน ทั้งจากสุรา, ยาสูบ และน้ำตาล จึงไม่มีปัญหาในการเพิ่มคาร์บอนเข้าไปในรายการสินค้าบาปแต่อย่างใด แต่ปัญหาอยู่ที่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อประชาชนในระยะสั้น, ความสามารถในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสู่พลังงานสะอาด และที่สำคัญที่สุดความกล้าหาญทางการเมืองของรัฐบาล

ประการที่สอง การซื้อขายคาร์บอนผ่านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะในยุโรป สำหรับในประเทศไทยก็มีพัฒนาการในระดับที่น่าพอใจ แต่ยังต้องกระตุ้นให้เกิดสภาพคล่องมากกว่านี้ 

กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับใหม่ ซึ่งกำลังจะออกมาบังคับใช้ในเร็ววันนี้ จะมีการกำหนดระดับการปล่อยคาร์บอนภาคบังคับของธุรกิจขนาดใหญ่ในบางสาขาอุตสาหกรรม และน่าจะช่วยให้ตลาดคาร์บอนของไทยมีความคึกคักมากขึ้นทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง รวมทั้งยกระดับคาร์บอนเครดิตของไทยให้เป็นมาตรฐานสากล 

ดังนั้น จึงเชื่อมั่นได้ว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ประเทศไทยน่าจะสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนในระดับภูมิภาคได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการกำหนดราคาคาร์บอนจะเป็นหัวใจของเส้นทางเดินสู่ Net Zero ก็ตาม แต่คงไม่เพียงพอที่จะยับยั้งความเสื่อมโทรมของสภาพภูมิอากาศได้ 

ฉะนั้น ประเทศไทย จำเป็นต้องระดมทรัพยากรและสรรพกำลังทุกภาคส่วนมาร่วมกันแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติในวันนี้ และก็จำเป็นที่ต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเป้าหมายเดิมที่ประกาศไว้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top