Monday, 28 April 2025
TheStatesTimes

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยแผนลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก 5 ปี สนับสนุน BCG Model สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มั่นใจปี 64 ลดมลพิษได้เกินเป้าที่ตั้งไว้

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ได้ดำเนินงานการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และระบบเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ภายใต้นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ซึ่งสอดคล้องตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ในยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และแผนวิสาหกิจ กนอ. (พ.ศ.2561-2565) ในยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาและบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืน (Green Strategy) โดย กนอ. ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ได้ 2.5 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) ภายใน 5 ปี (2564-2568) หรือปีละ 500,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e)

สำหรับปี 2564 กนอ. ได้จัดทำแนวทางเพิ่มค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model ของรัฐบาล โดยคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือประมาณกว่า 700,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) จากการให้บริการสาธารณูปโภคของนิคมอุตสาหกรรม/ท่าเรืออุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง รวมทั้ง กนอ. สำนักงานใหญ่ โดยเป็นการดำเนินงานผ่านแผนงานการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของ กนอ.

อาทิ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนอาคารสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมบางปูและนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง การติดตั้งโซล่าเซลล์ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด การนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและของเสียอุตสาหกรรมกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การสนับสนุนให้โรงงานเก็บสถิติก๊าซเรือนกระจกเบื้องต้นและขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ กนอ. ยังมีโครงการสนับสนุนส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และโครงการส่งเสริมสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ที่ดำเนินงานเพื่อสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อีกด้วย

“แนวคิดการปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงนิเวศมีเป้าหมายหลัก คือ เพื่อสร้างความยั่งยืนของทรัพยากร พัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งทั้งหมดต้องก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมาก ส่งเสริมการเกิดเครือข่ายในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่นำทรัพยากรมาใช้อย่างคุ้มค่า ยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ พัฒนาสินค้าและบริการ การนำของเสียที่อยู่ท้ายสุดของห่วงโซ่อุปทานมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและบริการใหม่ และปลดปล่อยของเสียให้เหลือน้อยที่สุด สร้างสมดุลระหว่างวัตถุดิบ การนำไปใช้ และผลผลิตในกระบวนการที่ก่อให้เกิดของเสียในโรงงานและนิคมอุตสาหกรรม ส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ระหว่างโรงงานทั้งในและนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม สร้างการเกื้อกูลพึ่งพากันและกันในรูปแบบเครือข่ายได้ในที่สุด” นายวีริศ กล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เข้ารับวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรกที่เธอฉีดนั้นเป็นของแอสตราเซเนกา

บีบีซี/เอเอฟพี รายงานว่า นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เข้ารับวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรกที่เธอฉีดนั้นเป็นของแอสตราเซเนกา จากการเปิดเผยของโฆษกรัฐบาลในวันอังคาร (22 มิ.ย.) โดยการตัดสินใจมีขึ้น ในขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญยังอยู่ระหว่างทำการศึกษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็ม 1 กับเข็ม 2 ต่างยี่ห้อกัน

ผู้นำวัย 66 ปีรายนี้ ได้เข้ารับวัคซีนเข็มแรกซึ่งเป็นของแอสตราเซเนกาในเดือนเมษายน ราว 2 สัปดาห์หลังจากเจ้าหน้าที่เยอรมนีแนะนำให้ใช้วัคซีนตัวดังกล่าวกับบุคคลอายุ 60 ปีขึ้นไป และล่าสุดโฆษกของรัฐบาลเปิดเผยว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา นางแมร์เคิล เข้ารับวัคซีนเข็มสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยฉีดวัคซีนของโมเดอร์นา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการใช้วัคซีนโควิด-19 ต่างยี่ห้อกันอาจเป็นความคิดที่ดี แต่ยังเร็วเกินไปที่จะพูดได้อย่างมั่นใจ

อย่างไรก็ตามในเดือนมีนาคม ทางเยอรมนีและอีกหลายประเทศในยุโรป ได้ระงับฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา หลังมีรายงานพบเคสลิ่มเลือดอุดตันหลายเคส ก่อนกลับมาใช้อีกรอบ แต่จำกัดการใช้เฉพาะกับบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่สำนักข่าว Deutsche Welle รายงานว่าเยอรมนีเตรียมอนุญาตฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกช่วงอายุ

หลังจากเริ่มต้นอย่างช้าๆ โครงการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนของเยอรมนียกระดับความรวดเร็วขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจนถึงตอนนี้มีประชากรมากกว่าครึ่งประเทศที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 โดสแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีน 2 เข็มที่ต่างชนิดกัน ทางด้านรอยเตอร์สระบุว่า ในบางประเทศกำลังศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ของการฉีดวัคซีนเข็ม 1 กับเข็ม 2 ต่างชนิดกัน สืบเนื่องจากปัญหาขาดแคลนวัคซีนและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน ในนั้นรวมถึงรัฐออนแทรีโอและควิเบกของแคนาดา ที่บอกว่ามีแผนใช้วัคซีนต่างยี่ห้อในอนาคตอันใกล้นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซนเนกาและข้อกังวลเกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้นน้อยมาก

ขณะที่ผลการศึกษาหนึ่งในสหราชอาณาจักร พบว่าบุคคลวัยผู้ใหญ่ดูเหมือนจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง หลังได้รับวัคซีน 2 เข็มต่างยี่ห้อกัน ระหว่างแอสตราเซนเนกาและไฟเซอร์

 

 

ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000060517


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กนง. มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ย 0.50% รับโควิดระบาด

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วย ผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี โดยประเมินว่าการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าลงและไม่ทั่วถึงมากขึ้นเทียบกับประมาณการเดิม อีกทั้งในระยะข้างหน้ายังมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยง จึงเห็นว่า การเร่งดำเนินมาตรการทางการเงิน โดยเฉพาะสินเชื่อฟื้นฟู รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะช่วยภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบได้ตรงจุดมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นคณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมครั้งนี้ และพร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัดในจังหวะที่เกิดประสิทธิผลสูงสุด 

ทั้งนี้ยังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 1.8% และขยายตัว 3.9% ในปี 2565 โดยปรับลดลงจากประมาณการเดิมตามแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลง และอุปสงค์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกที่สาม ด้านตลาดแรงงาน โดยเฉพาะภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีความเปราะบางมากขึ้นและอาจฟื้นตัวได้ช้า

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจาก พ.ร.ก. กู้เงินล่าสุดและการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นชั่วคราวในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 จากฐานราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักและข้อจำกัดด้านอุปทานมีผลจำกัดต่ออัตราเงินเฟ้อไทย ด้านการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย 

“กองทัพไทย-สหรัฐฯ” ปรับลดขนาดฝึก “คอบร้าโกลด์ 2021”

ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ  โดยมี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วม โดยก่อนการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร เกี่ยวกับการฝึก คอบร้าโกลด์ 2021 เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการฝึกเต็มรูปแบบได้ จึงได้หารือร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ โดยปรับรูปแบบการฝึกและลดจำนวนกำลังพลเข้ารับการฝึก ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยมีกำหนดการฝึก ดังนี้

กลุ่มการฝึกการควบคุมบังคับบัญชา จัดฝึกระหว่างวันที่ 2-13 ส.ค. 2564 ได้แก่ การฝึกฝ่ายเสนาธิการ (STAFFEX) ณ อาคารม้าแดง กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ (กบร.กร.) และการฝึกสงครามเครือข่าย (Cyber-X) ณ อาคาร Joint Movement Control Center กบร.กร

กลุ่มการฝึกการช่วยเหลือประชาชน จัดฝึกระหว่างวันที่ 12 ก.ค.-12 ส.ค. ได้แก่ การฝึกการแก้ปัญหาบนโต๊ะในหัวข้อการช่วยเหลือและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR-TTX) ณ โรงแรมสิรินพลา จ.ระยอง และโครงการก่อสร้าง 1 โครงการ ณ โรงเรียนบ้านใหม่ไทยพัฒนา จ.สระแก้ว

กลุ่มการฝึกภาคสนาม,ภาคทะเล จัดฝึกระหว่างวันที่ 2-13 ส.ค. ณ พื้นที่ จ.กระบี่ จ.เชียงใหม่ จ.ลพบุรี และ จ.ระยอง รวมถึงการฝึกกวาดล้างทุ่นระเบิดและการทำลาย ที่จ.สุรินทร์

“ผบ.ทสส.” ประชุมผบ.เหล่าทัพ รับทราบผลการปฎิบัติงาน-แก้ปัญหาโควิด-19 พร้อมสั่งการเหล่าทัพ ดูแลปชช. สนับสนุน รบ-สธ. แก้ไขปัญาโควิด-19 

ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ (บก.ทอ.) พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 โดยมี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วม

โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้แสดงความขอบคุณ กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ทุ่มเท เสียสละทำให้ภารกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลคลี่คลายไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 การแก้ไขปัญาความมั่นคงตามแนวชายแดน การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การจัดรถรับ-ส่ง ในการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ โควิด-19 การแจกจ่ายอาหารเพื่อสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ รวมทั้งเรื่องการบริจาคโลหิต ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้กองทัพได้ดำเนินการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายตั้งแต่แนวชายแดนเข้ามาจนถึงพื้นที่ตอนใน โดยใช้กำลังป้องกันชายแดนทำการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัดการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ เสริมด้วยการใช้ยุทโธปกรณ์พิเศษในการลาดตระเวนเฝ้าตรวจ เช่น โดรนลาดตระเวนทางอากาศ กล้อง CCTV และกล้องตรวจจับความเคลื่อนไหวบริเวณช่องทางตามธรรมชาติในพื้นที่เสี่ยง การใช้เครือข่ายภาคประชาชน และผู้นำหมู่บ้าน แจ้งเบาะแส และข่าวสารและตามที่ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สั่งการให้ผู้ว่าราชการชายแดนใช้กลไกศูนย์สั่งการจังหวัดชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศส.ชท.) บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้อำนวยการกองอำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ผบ.ทสส./ผอ.นชท.) ได้ประชุมมอบแนวทางในการปฏิบัติของส่วนราชการตามกลไกของ กอ.นชท. เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการชายแดนฯ  

โดนเน้นย้ำให้กำลังทหารในพื้นที่กองทัพภาค ทัพเรือภาค และกองกำลังป้องกันชายแดนต่างๆ สนับสนุนการปฏิบัติของ ศส.ชท. จังหวัดทั้งในพื้นที่ชายแดนทางบก และทางทะเล โดยในระดับส่วนกลาง กอ.นชท. จะช่วยกำกับดูแลและขับเคลื่อนงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น เช่น การบูรณาการด้านการข่าว ติดตามการสืบสวน / สอบสวน / ดำเนินคดี การนำแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบ 

ในเรื่องการเตรียมการรับทหารใหม่ที่กำลังจะเข้ามาประจำการในวันที่ 1 ก.ค. 64 นี้ กองทัพได้เตรียมมาตรการควบคุมและป้องกันโรค รองรับในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกเหล่าทัพ โดยมีมาตรการเริ่มตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของหน่วยฝึกและกำลังพลครูฝึก กระบวนการรับตัวทหารใหม่จากภูมิลำเนา ณ ตำบลต้นทาง การปฏิบัติและมาตรการควบคุมระหว่างการเคลื่อนย้าย จนถึงตำบลปลายทางเข้าที่ตั้งหน่วยฝึกทหารใหม่ที่กำหนด และมาตรการควบคุมการปฏิบัติในห้วงระหว่างการฝึก ทั้งนี้ หน่วยฝึกทหารใหม่ทุกหน่วยมีมาตรการที่สำคัญคือจะทำลักษณะหน่วยฝึกให้เป็น Bubble and Seal ทุกหน่วย ครูฝึกทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนก่อนแล้วและทำการกักตัวตามมาตรฐานที่กำหนดก่อนที่ทหารใหม่จะเข้าหน่วย/ทหารใหม่ที่เข้ามา 14 วันแรกจะยังไม่ฝึก จะเป็นการเฝ้าสังเกตุอาการ และทหารใหม่จะได้รับการฉีดวัคซีนทุกคน 
   
ที่ประชุมได้รับทราบภาพรวมของการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของกองทัพไทยในปัจจุบันที่ได้กำหนดให้มิติทางไซเบอร์เป็นมิติที่ 5 ของการรบ นอกเหนือจากมิติทางบก มิติทางน้ำ มิติทางอากาศ และมิติทางอวกาศ 
โดยศูนย์ไซเบอร์ทหาร และศูนย์ไซเบอร์เหล่าทัพ ได้ร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถของการปฏิบัติการทางไซเบอร์ ให้มีความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามในทุกรูปแบบ

ในขณะที่ กองทัพบก ได้นำเสนอการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในภาคเหนือ โดยได้จัดตั้งกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า เพื่อบูรณาการกับส่วนราชการในพื้นที่ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบส่งผลให้สถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองในปี64 ดีขึ้นตามลำดับ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบแนวคิดการปฏิบัติการสำหรับสงครามที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Warfare) ของกองทัพเรือ ที่ได้นำมาประยุกต์ใช้และพัฒนา โดยหากเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 65 จะทำให้กองทัพเรือมีระบบควบคุมการบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทร 3 พื้นที่ปฏิบัติการ และพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

สำหรับ กองทัพอากาศ ได้ยืนยันถึงขีดความสามารถด้านการข่าวกรองในการเฝ้าตรวจลาดตระเวน และการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลางสนับสนุนภารกิจการดับไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ โดยได้จัดอากาศยานไร้คนขับ Aerostar ทำการบินลาดตระเวนค้นหาจุดเกิดไฟป่า และส่งภาพ Video Downlink แบบ Near Real Time มายังกองบัญชาการและควบคุมฯ เพื่อยืนยันเป้าหมายจุดเกิดไฟป่า ทำให้เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าภาคพื้นสามารถเข้าพื้นที่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น 

ทางด้าน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค รับผิดชอบดูแลในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับสินค้าควบคุมสลาก วัตถุอันตราย ขายตรง สินค้าที่ต้องได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เครื่องสำอาง อาหาร และยา โดยมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ทั้งนี้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1135 และเพจเฟซบุ๊ค กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค

กองทัพไทย โดยกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาขีดความสามารถในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล เสริมสร้างความมั่นคงของรัฐ และเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน

สำหรับ การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันก่อให้เกิดความประสานสอดคล้อง มีเอกภาพ เสริมสร้างความสามัคคีระหว่าง กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติและประชาชน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 เดือน หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ สำหรับการประชุมครั้งต่อไปมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม โดยมี 

“ศักดิ์สยาม” เร่งเครื่องคมนาคม “บก-น้ำ-ราง-อากาศ” ประเดิมบิ๊กโปรเจ็กต์ “Land Bridge” ดันไทยสู่ฮับการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน

“ศักดิ์สยาม” เร่งเครื่องคมนาคม “บก-น้ำ-ราง-อากาศ” ประเดิมบิ๊กโปรเจ็กต์ “Land Bridge” ดันไทยสู่ฮับการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน พร้อมเดินเครื่องมอเตอร์เวย์ “โคราช-อุบล” และ “หนองคาย-แหลมฉบัง” พ่วงวงแหวนรอบที่ 3 คาดเห็นผลรูปธรรมภายในปี 65 พร้อมเผยความพร้อม 100% คมนาคมรับ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ระบุแอร์ไลน์จอง Slot แล้วกว่า 80-90% หวังไทยกลับมาเป็นเสือเศรษฐกิจ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Empowering Thailand 2021 เคลื่อนอนาคตไทย ด้วยการลงทุน” วันนี้ (23 มิ.ย. 2564) ว่า กระทรวงคมนาคม ได้ผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาคอาเซียน ครอบคลุมทั้งทางบก ทางราง ทางอากาศ และทางน้ำนั้น ไทยมีจุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางอาเซียน โดยเป้าหมายของกระทรวงคมนาคม ต้องการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานทุกโหมดการขนส่งครบมิติ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อโครงการให้สอดรับกับการศึกษาโครงการ MR-MAP เพื่อพัฒนาโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่ประกอบด้วยถนน และรถไฟ 

สำหรับ MR-MAP นั้น จะเชื่อมโยงภูมิภาคเข้าด้วยกัน โดยเล็งเห็นถึงการพัฒนาเชิงบูรณาการ และลดผลกระทบต่อประชาชนจากการเวนคืนที่ดินไปพร้อมกันเบื้องต้นจะนำร่อง 3 เส้นทาง ระยะทางรวม 2,620 กิโลเมตร (กม.) ได้แก่

1.เส้นทางเชียงราย (ด่านเชียงของ)-สงขลา (ด่านชายแดนมาเลเซีย) ระยะทาง 1,680 กม.

2.เส้นทางหนองคาย (ด่านหนองคาย)-แหลมฉบัง ระยะทาง 490 กม. และ

3.เส้นทางบึงกาฬ (ด่านบึงกาฬ)-สุรินทร์ (ด่านช่องจอม) ระยะทาง 470 กม. ขณะที่ อีก 6 แนวเส้นทางที่เหลือ ระยะทางรวม 2,380 กม. นั้น จะดำเนินการต่อไป เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนต่อไป

ขณะที่ ในส่วนของทางน้ำนั้น ซึ่งยอมรับว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากมีทะเลอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน พร้อมทั้งการเชื่อมต่อการเดินทางกับมหาสมุทรอินเดีย และเชื่อมต่อโลจิสติกส์จากภาคใต้สู่ภาคกลาง โดยใช้ต้นแบบของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) เชื่อมจากท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง (ชุมพร-ระนอง) เพื่อลดระยะเวลาในการขนส่ง และจะเป็นเส้นทางการขนส่งที่สั้นและตรงที่สุด ไม่ต้องผ่านไปยังช่องแคบมะละกา โดยเส้นทางดังกล่าว จะเป็นเส้นทางโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาคด้วย 

ในส่วนของโครงการ Land bridge ยังสามารถเชื่อมให้ประเทศไทยเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าทางเรือของโลก รวมถึงเพื่อเชื่อมฐานการผลิตจาก EEC เข้าสู่ Land bridge เพื่อส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม BIMSTEC ทั้งนี้ โครงการ Land bridge จะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคต สำหรับประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยจะเชื่อมโยงประเทศไทยกับเส้นทางการค้าของเอเชียและของโลก 

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า การลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น กระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันได้เบิกจ่ายไปแล้วประมาณ 9 หมื่นล้านบาท หรือ 50% ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม ได้ให้ความสำคัญในโครงการ Land bridge ที่จะต้องเร่งดำเนินการเป็นโครงการแรก ตามด้วยโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เส้นทางนครราชสีมา-อุบลราชธานี และเส้นหนองคาย-แหลมฉบัง รวมถึงโครงการวงแหวนรอบกรุงเทพมหานครรอบที่ 3 เพื่อเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าเส้นทางใหม่ ลดปัญหาการขนส่งผ่านพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2565 จะเห็นรูปแบบที่ชัดเจน

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ในส่วนของนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้กำหนดแนวทางการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติภายใน 120 วัน โดยจะนำร่องที่ จ.ภูเก็ต ในวันที่ 1 ก.ค. 2564 เป็นที่แรก (ภูเก็ตแซนดบ็อกซ์) ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุด มีสายการบินจองตารางการบิน (Slot) แล้วประมาณ 80-90% โดยกระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อม 100% ในทุกระบบการขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างไรก็ตาม เราต้องมีความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลที่จะดำเนินการต่อไป

“ขอให้มั่นใจว่า หากประเทศไทยดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ได้ตามแผนประเทศไทยจะกลับไปเป็นเสือเศรษฐกิจของอาเซียนได้อย่างแน่นอน” นายศักดิ์สยาม กล่าว

เอกชนถก “บิ๊กตู่” เสนอมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวภายหลังคณะเอกชนได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอแนวทางช่วยเหลือ โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ว่า นายกฯ ยืนยันช่วยเหลือเอสเอ็มอีโดยรับขอเสนอทั้งหมดไปทำต่อ ทั้งการขอพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6-12 เดือน และตั้งกองทุนฟื้นฟู เอ็นพีแอล เพื่อช่วยพยุงกิจการเอสเอ็มอีที่เข้าไม่ถึงการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ อีกทั้งยังเสนอให้รัฐแก้เงื่อนไขกองทุนประกันสังคม 3 หมื่นล้านบาท ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงง่ายขึ้น โดยรมว.แรงงานยืนยันกำลังปรับแก้ไขแล้ว รวมทั้งแก้ไขเงื่อนไขซอฟต์โลนให้เข้าถึงสะดวกขึ้น

นายแสงชัย กล่าวว่า ตอนนี้มีเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล ในระบบคิดเป็นวงเงินถึง 2.4 แสนล้านบาท แถมยังมีกลุ่มไฟเหลืองที่จวนเจียนจะเป็นหนี้เสียอีก 4.4 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ารวม 2 ส่วนนี้ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งระบบที่มีอยู่ 3.5 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มไฟเหลืองถือว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะปรับเพิ่มขึ้นมาจากก่อนที่เกิดโควิดมีวงเงินอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท แต่เมื่อเกิดโควิดขึ้นก็ปรับเพิ่มขึ้นมาถึง 4.4 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ นายกฯ ยังรับข้อเสนออื่นๆ จากภาคเอกชนอีก โดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ได้เสนอให้ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีผ่านผู้ประกอบการค้าปลีก ขอให้ปลดล็อคให้ลูกหนี้ที่ติดเครดิตบูโร หรือเป็นหนี้เสียเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยทำได้โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย และอยากให้หาทางกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการใช้เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดยอยากให้ปรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่มีวิธีการมากมาเป็นโครงการที่คล้ายกับช้อปดีมีคืน ที่คนเข้าไปใช้ได้ง่ายกว่า

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรอบเวลาในการช่วยเหลือนั้น จากการหารือยังไม่มีกำหนดออกมา แต่คิดว่าอยู่ในกรอบที่นายกฯ วางไว้ 120 วันที่จะเปิดประเทศอยู่แล้ว จึงขอรีบช่วยในช่วงเวลานี้ พอถึงเวลาเปิดประเทศจะได้มีเงินไหลเข้ามาทำธุรกิจต่อไปได้

หุ่นเฟิร์มเพิ่มวี | คิดเพลิน Learn & Play Talk EP.45

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน ที่ฟอร์มอัดอั้นมาใน 2 นัดแรก ได้เวลาปล่อยของ ไล่ถล่ม สโลวาเกีย ไปแบบยับเยิน 5-0 คว้าสามคะแนน เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม E ได้สำเร็จ

‘กระทิงดุ’ ทีมชาติสเปน ที่ฟอร์มอัดอั้นมาใน 2 นัดแรก ได้เวลาปล่อยของ ไล่ถล่ม สโลวาเกีย ไปแบบยับเยิน 5-0 คว้าสามคะแนน เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะรองแชมป์กลุ่มอี ได้สำเร็จ

โดยสเปน ได้ประตูจาก มาร์ติน ดูบราฟกา (ทำเข้าประตูตัวเอง) นาทีที่ 30, อายเมอริก ลาปอร์กต์ นาทีที่ 45+3, ปาโบล ซาราเบีย นาทีที่ 56, เฟร์รัน ตอร์เรส นาทีที่ 66 และปิดท้ายจาก ยูไร คุชกา (ทำเข้าประตูตัวเอง) นาทีที่ 71

จบการแข่งขัน 90 นาที สเปน ไล่ต้อน สโลวาเกีย ไปแบบขาดลอย 5-0 มีเพิ่มเป็น 5 คะแนน เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่มอี โดยจะไปพบกับ โครเอเชีย ส่วนสโลวาเกีย ตกรอบ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ด่วน !! ปปท.เขต 8 ควงปปช.พังงา ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการเสาไฟฟ้าประติมากรรมของเทศบาลเมืองพังงา พบเกือบ 200 ต้น วงเงินกว่า 24 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 นายณัฐรดา ศิริวัฒนกุล ผอ.กลุ่มงานป้องกันการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขต 8  (สำนักงาน ปปท. เขต 8) พร้อมด้วยนางอรดี ไกรยุทธศักดิ์ ผอ.สำนักงานปปช.ประจำจังหวัดพังงา นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโครงการเสาไฟฟ้าประติมากรรมของเทศบาลเมืองพังงา หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าเป็นโครงการที่ไม่คุ้มกับเงินงบประมาณและไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง โดยมีนายจงรัก ผิวขำ ปลัดเทศบาลเมืองพังงา นำเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างเข้าชี้แจง

นายจงรัก ผิวขำ เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมเริ่มสร้างครั้งแรก 4 ต้นเป็นเสาไฟฟ้าประติมากรรมกินรี ที่วงเวียนเขาตาปู เมื่อปี 2547 จากนั้นในปี 2554 ได้สร้างเสาไฟประติมากรรมกินรีเพิ่มอีก3ต้นที่วงเวียนเขาตาปู สร้างเสาไฟประติมากรรมรูปช้างหมอบชูงวงอีก 54 ต้น รวม 4 สัญญา วงเงิน 9,599,190 บาท ในปี 2555 สร้างเสาไฟประติมากรรมรูปช้างหมอบชูงวง 39ต้น สร้างเสาไฟฟ้าเหล็กรีดปลาย 35 ต้น ติดตั้งเสาไฟฟ้าแสงสว่าง 36 ต้น รวม 4 สัญญา ราคา 5,750,000 บาท ในปี 2559 สร้างเสาไฟประติมากรรมรูปช้างหมอบชูงวง 69 ต้น รวม 3 สัญญา ราคา 12,279,850 บาทและในปี 2561 สร้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมกินรี 8 ต้น 1สัญญาราคา 450,000 บาท รวมโครงการสร้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมทั้งหมด 177 ต้น เสาไฟฟ้าแสงสว่างเหล็กรีดปลายอีก 71 ต้น งบประมาณรวมทั้งหมด 24,809,040 บาท ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้เป็นโครงการที่ต้องการสร้างจุดเด่นส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ และใช้ประโยชน์ได้จริง และจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบทางราชการทุกโครงการ

นายณัฐรดา ศิริวัฒนกุล เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบในวันนี้ในทางกายภาพเบื้องต้นพบว่าเสาไฟฟ้าประติมากรรมของทางเทศบาลเมืองพังงา มีความเหมาะสมติดตั้งอยู่บนถนนสายหลัก ระยะห่างก็เหมาะสมดี รวมทั้งสามารถใช้งานได้จริง ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างนั้นทางสำนักงานปปช.ประจำจังหวัดพังงาจะเป็นหน่วยงานที่เข้าตรวจสอบว่ามีความโปร่งใส หรือจะมีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้างรายหนึ่งรายใดหรือไม่ สำหรับพื้นที่จังหวัดพังงามีการร้องเรียนให้ตรวจสอบเสาไฟฟ้ารวม 3 เทศบาล ประกอบด้วยเทศบาลเมืองพังงา เทศบาลเมืองตะกั่วป่า และเทศบาลตำบลทับปุด


ภาพ/ข่าว  อโนทัย งานดี /พังงา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top