Sunday, 27 April 2025
TheStatesTimes

รมช.กนกวรรณ หารือสมาคมผู้จัดพิมพ์หนังสือ เตรียมโครงการส่งเสริมการอ่าน ในห้องสมุดทั่วประเทศ

ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. หารือความร่วมมือโครงการส่งเสริมการอ่าน ในห้องสมุด กศน.ทั่วประเทศ กับ นายวรพันธ์ โลกิตสถาพร ที่ปรึกษาสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย นางสาวโซนรังสี เฉลิมชัยกิจ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย นายศักดิ์ชัย วิจัยธรรมฤทธิ์ เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และคณะ เข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การหารือครั้งนี้ ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการหนังสือไทย มีบทบาทในการส่งเสริมการอ่านและสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต ทั้งยังดำเนินโครงการสร้างนิสัยรักการอ่าน อาทิ โครงการ My Morals ร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เพื่อปลูกฝังคุณธรรมให้เด็กไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน ก่อเกิดประโยชน์ในการพัฒนาเด็ก สร้างมาตรฐานหนังสือภาพสำหรับเด็ก ให้สถานศึกษาสามารถนำไปใช้ประกอบการสอนและเผยแพร่ต่อไป ตลอดจนโครงการ 1 อ่านล้านตื่น ชุมชนการอ่านในร้านหนังสืออิสระ เป็นต้น

"เป็นที่น่ายินดีว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย กศน. จะได้พัฒนาความร่วมมือร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ในโครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และหนังสือเล่ม เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และโครงการนำหนังสือคุณธรรม นำชีวิตชุมชน กับ My Morals Project ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนเนื้อหา (Content) สำหรับส่งเสริมการอ่านให้กับประชาชนในห้องสมุดของ กศน.ทั่วประเทศ รวมทั้งจะประสานเครือข่ายในโครงการจัดทำสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) อาทิ TK Park สำหรับใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ แก่เด็ก เยาวชน ประชาชน ตลอดจนสื่อของผู้พิการความบกพร่องทั้งทางสายตา อาทิ Epub ด้วย 

ต้องขอแสดงความชื่นชม และขอขอบคุณทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ที่จะมาร่วมพัฒนาความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสร้างสังคมแห่งการอ่านแก่คนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางที่ปรึกษาสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสถาพรบุ๊คส์ จำกัด ที่ได้มอบหนังสือหลากหลายรูปแบบ เพื่อกระตุ้นนิสัยรักการอ่านแด่เด็กและเยาวชน" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

“ศรีสุวรรณ” โวย “ธนารักษ์” นำถนน-สวนสาธารณะ ริมคลองเปรม ให้เอกชนเช่าทำบ้านมั่นคง ถังแตกแล้วหรือ!

นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า ตามที่กทม.ก่อสร้างเขื่อนและทางเดินริมคลองเปรมประชากร เพื่อพัฒนาภูมิทัศน์และป้องกันการบุกรุกของชุมชนอย่างผิดกฎหมาย บริเวณซอยงามวงศ์วาน 59 ริมคลองเปรมประชากร โดยประชาชนในพื้นที่กว่า 400 หลังคาเรือน ช่วยกันบริจาคเงินจัดซื้อดิน ปุ๋ยและพันธุ์ไม้ ปลูกต้นไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผักสวนครัว พัฒนาพื้นที่ริมคลองเพื่อให้เกิดภูมิทัศน์ที่สวยงามตามนโยบายของรัฐบาลและ กทม.แต่ต่อมามีป้ายมาติดบริเวณสวนหย่อม ระบุว่ากรมธนารักษ์ได้ให้เอกชนในนามสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคง จำกัด และได้เช่าพื้นที่ดังกล่าวประมาณ 8 ไร่ 21 ตรว.เพื่อปลูกสร้างบ้านมั่นคง และห้ามไม่ให้เข้ามาใช้ประโยชน์หรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย หากฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นถนนสาธารณะชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางสัญจรเข้าออกหมู่บ้านและชุมชนมานาน

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรมธนารักษ์ นำพื้นที่ดังกล่าวไปแสวงหาประโยชน์ ให้เอกชนเช่าในระยะยาวเสีย สะท้อนว่ารัฐกำลังถังแตกแล้วหรือจึงเอาพื้นที่สาธารณะมาให้เช่า และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1304 (2) บัญญัติให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน และตาม พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562 บัญญัติไว้ว่า ที่ราชพัสดุ หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด เว้นแต่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน คือ อสังหาริมทรัพย์สําหรับพลเมืองใช้หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของพลเมืองใช้ร่วมกันเช่น ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ

ดังนั้นการที่กรมธนารักษ์นำที่ชายตลิ่งริมคลอง ซึ่งเป็นพื้นที่และสวนสาธารณะมาให้เอกชนเช่าทำบ้านมั่นคง ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หากผู้ใดเข้ามาทำลายถนน ทำลายสวนสาธารณะดังกล่าวย่อมเข้าข่ายความผิดตาม ป.อ.มาตรา 306 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชมรมคนรักคลองเปรมจะไม่ยอมให้ใครมาใช้อำนาจเหนือกฎหมายแน่นอน

บอร์ด สมอ. เด้งกลับมาตรฐานสุรา จี้ กว. ทบทวนเกณฑ์สารเคมีที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ยันความปลอดภัยผู้บริโภคต้องมาก่อน หากได้รับในปริมาณมากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

บอร์ด สมอ. เด้งกลับมาตรฐานสุรา จี้ กว. ทบทวนเกณฑ์สารเคมีที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ทั้งแอลดีไฮด์ และเมทิลแอลกอฮอล์ รวมถึงซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เติมเข้าไป ที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมกว่า 2 เท่า ยันความปลอดภัยผู้บริโภคต้องมาก่อน หากได้รับในปริมาณมากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด สมอ. (คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมาว่า บอร์ด สมอ. ได้มีมติให้คณะกรรมการวิชาการรายสาขา (กว.) เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นผู้จัดทำมาตรฐานสุรา ทั้งสุรากลั่น และสุราแช่ ทบทวนเกณฑ์ด้านความปลอดภัยที่กำหนดในมาตรฐานฉบับแก้ไขใหม่ที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิม เช่น สุรากลั่น กำหนดแอลดีไฮด์ จากเดิม ไม่เกิน 160 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น ไม่เกิน 220 มิลลิกรัมต่อลิตร ในกรณีสุรากลั่นที่มีแรงแอลกอฮอล์ เกิน 40 ดีกรี และเมทิลแอลกอฮอล์ จากเดิม ไม่เกิน 420 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อลิตร สำหรับสุราแช่ ได้กำหนดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากเดิม ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็น ไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งบอร์ด สมอ. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขข้อกำหนดเกณฑ์ด้านความปลอดภัยดังกล่าว

เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่มักจะดื่มสุราเป็นประจำ เป็นปริมาณมาก และต่อเนื่อง หากได้รับปริมาณเมทิลแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ประกอบกับข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ผู้บริโภคที่ได้รับปริมาณเมทิลแอลกอฮอล์ หรือเมทานอลเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากเกินไป อาจมีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีอาการตาพร่ามัว แพ้แสง ร่วมกับอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ปวดเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย สับสน มึนงง ในบางรายอาจมีอาการชักหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย บอร์ด สมอ. จึงมีมติให้ กว. นำกลับไปทบทวนก่อนนำเข้าในการประชุมครั้งต่อไป

ทั้งนี้ มาตรฐานสุรา ได้ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2516 ต่อมาในปี 2544 ได้มีการทบทวนและยกเลิกมาตรฐานดังกล่าว และประกาศกำหนดเป็นมาตรฐานเรื่องใหม่ 3 เรื่อง คือ สุรากลั่น มอก.2088-2544 ไวน์ มอก.2089-2544 และเบียร์ มอก.2090-2544

ซึ่งในปีนี้ ได้มีการทบทวนมาตรฐานทั้ง 3 เรื่อง เพื่อให้มาตรฐานมีความทันสมัย สอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน ตลอดจนส่งเสริมผู้ประกอบการในประเทศให้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อการบริโภค และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าให้ผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้นด้วย โดยสาระสำคัญของการแก้ไขมาตรฐาน นอกจากจะทบทวนเกณฑ์ด้านความปลอดภัยข้างต้นแล้ว ยังได้แก้ไขชื่อมาตรฐานจาก ไวน์ เป็น สุราแช่ เพื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์อีกด้วย

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “การประชุมบอร์ด สมอ. ในครั้งนี้ นอกจากจะให้ทบทวนมาตรฐานสุราแล้ว ยังได้เห็นชอบมาตรฐานอื่นๆ รวม 13 มาตรฐาน อาทิ มาตรฐานหน้ากากผ้า เบียร์ เส้นใยกัญชง ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ รถแทรกเตอร์ล้อยางเพื่อการเกษตร และอุปกรณ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและภาชนะรองรับอาหารที่ทำจากเหล็กกล้า อีกด้วย

รวมทั้ง เห็นชอบให้ สมอ. ดำเนินการกำหนดให้ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เป็นสินค้าควบคุมต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และยังได้สั่งให้ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่ สมอ. ยึดอายัดและดำเนินคดีถึงที่สุดแล้วจำนวน 8 ราย มูลค่ารวมกว่า 19 ล้านบาท อาทิ เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็น ของเล่น ท่อพีวีซีสำหรับร้อยสายไฟ ท่อพีวีซีน้ำดื่ม ฝักบัว ก๊อกน้ำ ลำโพง หมวกกันน็อค เป็นต้น” เลขาธิการ สมอ. กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กช้าง” สั่งหน่วยมั่นคงคุมเข้มชายแดนหยุดต่างด้าวไหลเข้าเมือง ทำเกิดปัจจัยเสี่ยงกระจายโรค พร้อมเสริมกำลังหนุน กทม. คุมแพร่ระบาดในชุมชนและแค้มป์คนงาน

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่าพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และ ตำรวจ เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลและการช่วยเหลือประชาชนในการแก้ปัญหาโควิด ณ ศาลาว่าการกลาโหม

พล.ต.คงชีพ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์และการปฏิบัติที่สำคัญ กองกำลังป้องกันชายแดนทหารและตำรวจ ยังคงตรวจพบและจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ในพื้นที่ชายแดนตามช่องทางธรรมชาติและพื้นที่ชั้นในได้อย่างต่อเนื่อง โดยพบมากขึ้นใน 3 วันที่ผ่านมา (เฉลี่ย 250 คน/วัน) ส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาและกัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ร่วมกันจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดกว่า 1,500 จุด และจัดกำลังลาดตระเวนป้องปรามและพิสูจน์ทราบในพื้นที่ต่างๆ กว่า 2,000 ชุด 

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะเดียวกันในพื้นที่ชั้นใน ทุกเหล่าทัพและตำรวจ ได้เข้าไปช่วยสนับสนุน กทม. เร่งเข้าไปแก้ปัญหาและควบคุมพื้นที่เสี่ยง โดยจัดกำลังและแบ่งมอบพื้นที่ร่วมกับ กทม. 50 เขต เสริมเข้าไปดูแลพื้นที่เสี่ยงชุมชน 2,069 แห่ง ตลาด 486 แห่ง แค้มป์คนงานก่อสร้าง 575 แห่ง และโรงงานขนาดใหญ่ 278 แห่ง เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกและสนับสนุนจัดตั้ง บก.ควบคุมการปฏิบัติในพื้นที่พบการติดเชื้อจำนวนมาก โดยขณะนี้ได้จัดตั้ง บก.ควบคุมและจัดกำลังร่วมกับ ตร.และส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้วใน 5 พื้นที่ และกำลังพิจารณาจัดตั้ง บก.ควบคุมเพิ่มตามผลการตรวจในแต่ละพื้นที่

ทั้งนี้รมช.กลาโหม ได้ย้ำนโยบายและสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ทุกเหล่าทัพ และตำรวจ ยังคงต้องทำงานหนักร่วมกันคุมเข้มสกัดกั้นและปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นในอย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงของการนำพาเชื้อโรคเข้ามายังพื้นที่ชั้นในเชื่อมโยงกับแรงงานต่างด้าวและผู้หลบหนีเข้าเมืองที่ต้องคุมให้อยู่ ควบคู่ไปกับ การสนับสนุนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สีแดงเข้ม เสริมกำลังเข้าไปเพื่อควบคุมโรคเป็นพื้นที่ พร้อมกับขอบคุณและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกนายในการปฏิบัติงาน

โดยพล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับเพิ่มเติม ให้ทุกเหล่าทัพ เร่งเข้าไปสนับสนุนควบคุมการแพร่ระบาดเป็นพื้นที่ในกรุงเทพ โดยเฉพาะการเร่งเข้าไปสนับสนุนตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชนและกลุ่มผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งให้ประสานและสนับสนุนกรมราชทัณฑ์ เร่งควบคุมการแพร่ระบาดในเรือนจำที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก พร้อมกันนี้ ขอให้เตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนถ่ายโอนภารกิจการทำหน้าที่สถานกักกันควบคุมโรคของรัฐ ที่กห.รับผิดชอบตั้งแต่ 4 ก.พ.63 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน รวม 175 แห่ง (SQ 33 แห่งและ ASQ 142) ให้เป็นไปตามนโยบายของ ศบค.ตั้งแต่ 1 ก.ค.64 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ขอให้เตรียมความพร้อมจัดตั้งสถานกักกันควบคุมโรคของแต่ละเหล่าทัพ (OQ) เพื่อรองรับกำลังพลของทุกเหล่าทัพตามนโยบายของ ศบค.ต่อไป 

“เสกสกล” ตะเพิด “วิโรจน์” ไม่พร้อมช่วยปชช. อย่าเป็นส.ส. ทวงถามเมื่อไหร่จะลาออก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทวีตข้อความเรื่องข่าวเปิดประเทศ โดยระบุว่า “เพิ่งผ่านมาแค่วันเดียว เลื่อนไปเริ่ม 1 ก.ค.” ว่า วันที่ 1 ก.ค.คือ เปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ นำร่องให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ตามแผนที่วางไว้ โดยนายกฯ และคณะจะเดินทางไปรับนักท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ส่วนการประกาศ 120 วัน ตามที่นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 16  มิ.ย.ที่ผ่านมา หมายถึงเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นที่มีความพร้อมสามารถเปิดได้ก่อน เพื่อให้ประชาชน ภาคธุรกิจ ทำมาหากินได้

นายเสกสกล กล่าวว่า อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในจ.ภูเก็ต ฉีดแล้วเกินร้อยละ 60 โดยข้อมูลวันที่ 16 มิ.ย. มีผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 เข็มจำนวน 346,855 คน หรือร้อยละ 63.3 ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม จำนวน 165,439 คน หรือร้อยละ 30.2 เหลือที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เหลือเพียงจำนวน 119,732 คน สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศ ยืนยันแล้วว่าภายในเดือนต.ค.นี้ จะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยเข็มแรก 50 ล้านคน และจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเฉลี่ย เดือนละกว่า 10 ล้านโดส และขณะนี้วัคซีนทยอยเข้ามาแล้ว

นายเสกสกล กล่าวว่า นายวิโรจน์ ควรยินดีที่จะได้เริ่มต้นเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ภาคธุรกิจ กลับมาค้าขายมีรายได้ และใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ใช่ตำหนิ กล่าวโจมตีทุกเรื่องโดยไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ขอถามที่นายวิโรจน์ ท้าจะลาออกจากส.ส.ทำไมไม่ทำตามคำพูด เพราะประชาชนรอดูว่าเมื่อไหร่จะลาออก และต่อไปจะพูดอะไรคงไม่มีน้ำหนัก ไม่มีใครเชื่อถือ ดังนั้นอย่าทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ อยู่ฝ่ายค้านคงจะมีแต่ความคิดไร้เหตุผลแบบฝ่ายค้าน และคงเป็นได้แค่ฝ่ายค้านตลอดชีวิต เพราะคนที่มีแนวคิดคับแคบ คิดถึงแต่ประโยชน์ตัวเอง คงไม่เหมาะที่จะเข้ามาเป็นผู้แทนของประชาชนได้อีกต่อไป

หน่วยสกัดกั้นยาเสพติดท่าอากาศยาน (AITF) ตรวจเข้ม พบส่งยาเสพติดออกต่างประเทศ 2 วัน 3 คดี ลุยขยายผลผู้เกี่ยวข้อง ตามข้อสั่งการ รัฐมนตรียุติธรรม ย้ำ 5 ก.ค.นี้ เชิญ 4 ประเทศปลายทางยาเสพติดร่วมแก้ปัญหา

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า ห้วงวันที่ 17-18 มิถุนายน 2564 หน่วยสกัดกั้นยาเสพติดท่าอากาศยาน (Airport Interdiction TaskForce : AITF) ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส. บช.ปส. ศุลกากร และ ศรภ. ตรวจพบการซุกซ่อนยาเสพติดส่งต่างประเทศอีก 3 คดี โดย 2 คดี เป็นเฮโรอีน เตรียมส่งไปยังออสเตรเลีย อีกคดีเป็นไอซ์เตรียมส่งไปยังประเทศอิสราเอล 

คดีแรกวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ตรวจยึดเฮโรอีน น้ำหนัก 1,200 กรัม (จำนวน 264 ก้อน) ซุกซ่อนในฝาลิปสติกชนิดน้ำ ชื่อผู้ส่งเป็นชาวไทย ปลายทางประเทศออสเตรเลีย ณ บริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
.
คดีที่ 2 วันที่ 17 มิถุนายน 2564 ตรวจยึดเฮโรอีน น้ำหนัก 410 กรัม ซุกซ่อนในหมอนแบบเป่าลม จำนวน 3 ชิ้น อยู่ในพัสดุระหว่างประเทศด่วนพิเศษ EMS ส่งจากไปรษณีย์ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ชื่อผู้ส่งเป็นชาวเมียนมาร์ ปลายทางประเทศออสเตรเลีย ณ คลังสินค้าระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

คดีที่ 3 วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ตรวจยึดไอซ์ น้ำหนัก 112.8 กรัม ซุกซ่อนกระปุกครีมบำรุงผิวหน้า จำนวน 3 ห่อ อยู่ในพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ ส่งมาจาก จังหวัดเชียงราย ปลายทางประเทศอิสราเอล ณ บริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยทั้ง 3 คดี ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีและขยายผล พร้อมกับประสาน เจ้าหน้าที่ตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย และเจ้าหน้าที่ตำรวจอิสราเอล เพื่อตรวจสอบตามรายชื่อผู้รับพัสดุ และขยายผลต่อไป

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กวาดล้างขบวนการส่งยาเสพติดออกต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้บงการเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้มงวด ตรวจสอบการส่งออกสินค้า พัสดุภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ ในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการขยายผลถึงผู้อยู่เบื้องหลังการส่งออกยาเสพติดดังกล่าว

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่ม ตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ป.ป.ส จะจัดให้มีการประชุมร่วมกันในวันที่ 5 ก.ค. 2564 โดยระบบวีดีโอคอนเฟอเร็นซ์ จากสำนักงาน ป.ป.ส.ไปยังประเทศลุ่มน้ำโขงโดยจะมีประเทศจีน สปป.ลาว เมียนมาเวียดนาม และกัมพูชา รวมทั้ง UNODC นอกจากนี้เพื่อยกระดับการแก้ปัญหายาเสพติด จึงได้เชิญประเทศปลายทางที่มีการชนยาเสพติดไปเพิ่มอีก 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และเกาหลี

“เลขาฯ สมช.” แจง​ องค์กรขอวัคซีนได้​ แต่ต้องเข้าหลักเกณฑ์ความจำเป็นเร่งด่วน​​ ปัดไม่มีใช้เส้นขอก่อน

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์​ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ​ (สมช.)​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ภาคเอกชนขอรับการสนับสนุนวัคซีนจากกระทรวงมหาดไทยให้กับบุคลากรในองค์กร ว่า หากจำได้เมื่อช่วงกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เรามีแนวทางการขอรับวัคซีน คือทางแอปพลิเคชั่น หมอพร้อม หรือแอปพลิเคชันอื่น​ ผ่านทางอาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน​ (อสม.)​ หรือฝ่ายปกครอง หรือผ่านองค์กร หรือแนวทางลงทะเบียน​ ณ​ จุดฉีดวัคซีน 

ซึ่งการขอรับวัคซีนในรูปแบบองค์กรก็มีหลายหน่วยงาน ทั้งรัฐและเอกชนขอมา บางทีขอไปที่กระทรวงมหาดไทย หรือขอไปที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ออกไปเป็นรูปแบบของการขอลงทะเบียน โดยศบค.ได้กำกับเรื่องของความเร่งด่วนเข้าไปด้วย​ ดังนี้​

1.บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า อสม.

2.เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้า หรืออาชีพเสี่ยง

3.ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว

4.ประชาชนทั่วไป ฉะนั้นขั้นตอนปฏิบัติต้องดูตามลำดับเหล่านี้ เราต้องพิจารณารูปแบบการลงทะเบียนและความเร่งด่วน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำการขอสนับสนุนฉีดวัคซีนให้องค์กรสามารถทำได้ แต่ต้องดูความเร่งด่วนใช่หรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ใช่​ เพราะช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าการระบาดจะเกิดในสถานประกอบการ โรงงาน แคมป์คนงาน​ ​ไซต์ก่อสร้าง เป็นธรรมดาที่สถานประกอบการมีความห่วงใยว่าจะเกิดการแพร่เชื้อในหน่วยงาน จึงขอรับการสนับสนุนมา​ แต่การขอรับการสนับสนุนจะไม่รวมถึงบุคคลในครอบครัว​ และในทางปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ ต้องดูความเร่งด่วนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด​

เมื่อถามถึงมีข้อสังเกตว่าการขอในรูปแบบองค์กรอาจมีการใช้เส้น หรือมีข้อกำหนดพิเศษยกเว้นเฉพาะบางองค์กรหรือไม่ ถึงติดต่อมาที่ศบค.และกระทรวงมหาดไทย​ ไม่ได้ติดต่อทางช่องทางปกติ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า อย่าไปมองอย่างนั้น ยกตัวอย่างหน่วยงานหนึ่งมีคนประมาณ 2-3 พันคน การจะให้แต่ละคนมาลงทะเบียนขอฉีดเอง กับการที่เราไปฉีดให้ทั้งองค์กรทีเดียวก็จะสะดวกกว่า ขอย้ำว่าไม่ใช่หน่วยงานไหนขอมาแล้วขอก่อนได้ก่อน เพราะสาธารณสุขในพื้นที่จะดูความเร่งด่วนตามที่ศบค.ได้กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้

เมื่อถามว่าได้มีการกำหนดกรอบปริมาณที่จะสนับสนุนวัคซีนให้แต่ละองค์กรหรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า​ ไม่มี เพราะหน่วยงานก็ขอตามจำนวนคนที่มีอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่เรามี หากเรามีก็สามารถให้ได้ แต่หากวัคซีนมีจำกัดก็ยังให้ไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์​ และที่จะเดินทางไปดูความพร้อมในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ก่อนจะมีการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ทางศบค.จะลงไปสังเกตการณ์หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้มีผู้แทนจากศบค.ร่วมคณะไปด้วย

'หมอยง' ชี้อีกไม่กี่เดือนโควิดสายพันธุ์อินเดียระบาดในไทย แนะร่นระยะเวลาฉีด AstraZeneca เข็ม 2 เร็วขึ้น

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่า วัคซีนโควิด -19 กับการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ ตามวิวัฒนาการของไวรัส ไวรัสจะมีการกลายพันธุ์ เพื่อหลบหลีกภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา เราจะเห็นว่า มีการกลายพันธุ์ตั้งแต่ Alpha Beta Gamma Delta หรือแต่เดิมที่เราเรียกว่าสายพันธุ์อังกฤษ (Alpha) สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (Beta) สายพันธุ์อินเดีย (Delta)

วัคซีนส่วนใหญ่ทั้งหมดจะพัฒนาจากสายพันธุ์เดิมคือสายพันธุ์อู่ฮั่น

สายพันธุ์อังกฤษยังไม่หลบหลีกประสิทธิภาพของวัคซีนมากนัก สายพันธุ์แอฟริกาใต้หลบหลีกได้มาก แต่ขณะเดียวกันอำนาจการกระจายโรคได้น้อยกว่า

สายพันธุ์ Delta หรืออินเดีย มีอํานาจการกระจายสูง และหลบหลีกภูมิต้านทานได้แต่น้อยกว่าสายพันธุ์แอฟริกาใต้ การมีอำนาจการกระจายสูงสายพันธุ์นี้จะเข้ามาแทนที่สายพันธุ์ และระบาดทั่วโลก จากเดิมเป็นสายพันธุ์อังกฤษ

ในทำนองเดียวกันในประเทศไทยแต่เดิมเป็นสายพันธุ์ G และก็โดนสายพันธุ์อังกฤษ (Alpha) ระบาดเข้ามา เกิดระบาดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดเป็นสายพันธุ์อังกฤษ

ขณะนี้เริ่มมีสายพันธุ์อินเดีย (Delta) เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น เข้ามาแทนที่สายพันธุ์อังกฤษในประเทศไทยอย่างแน่นอน

สายพันธุ์เดลต้า ต้องการระดับภูมิต้านทานของวัคซีนที่สูง ในการป้องกัน เราจะเห็นการศึกษาในสกอตแลนด์ ถ้าเปรียบเทียบวัคซีน ที่เปรียบเทียบระหว่าง วัคซีน Pfizer ที่ให้ระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่า วัคซีน AstraZeneca ปรากฏว่าลดลงทั้ง 2 ตัว แต่วัคซีนที่ให้ภูมิต้านทานสูงลดลงน้อยกว่า การป้องกันโรคเมื่อให้วัคซีนครบ 2 เข็ม หลัง 14 วัน ต่อสายพันธุ์เดลต้า วัคซีน pfizer ป้องกันได้ร้อยละ 79 วัคซีน AstraZeneca ป้องกันโรคได้ร้อยละ 60 แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์อังกฤษการป้องกันโรคจะอยู่ที่ร้อยละ 92 กับ 73 แต่ถ้าให้วัคซีนเข็มเดียวเปรียบเทียบกัน หลัง 28 วันไปแล้วการป้องกันของวัคซีน Pfizer จะอยู่ที่ 30% แต่ของ AstraZeneca จะอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์ โรงพิมพ์ในวารสาร Lancet เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน

แสดงให้เห็นว่าการป้องกันโรคสายพันธุ์เดลต้า หรืออินเดียจำเป็นที่จะต้องใช้ระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่าสายพันธุ์แอลฟาหรืออังกฤษ

จากข้อมูลดังกล่าวถ้ามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ขณะนี้ของเราส่วนใหญ่ยังเป็นสายพันธุ์อังกฤษ แต่ก็คงจะหนีไม่พ้นในอนาคตที่จะมีสายพันธุ์อินเดียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะมาแทนที่สายพันธุ์อังกฤษในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตามวิวัฒนาการของไวรัส

การให้วัคซีนเข็ม 2 เข้ามาเร็วขึ้นของ AstraZeneca จะมีประโยชน์ในการป้องกันสายพันธุ์เดลต้า ถ้ามีการระบาดของสายพันธุ์นี้เกิดขึ้น และมีแนวโน้มการป้องกันจะลดลง แต่ก็ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคได้

และในทำนองเดียวกันวัคซีน ที่กระตุ้นภูมิต้านทานได้น้อยกว่า ก็คงจะต้องใช้การกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้ระดับภูมิต้านทานสูงขึ้น เพื่อป้องกันสายพันธุ์เดลต้า จนกว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนใหม่ให้ตรงกับสายพันธุ์ ที่มีการระบาด

เช่นเดียวกันกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี และในการเปลี่ยนแปลงของวัคซีน ไข้หวัดใหญ่ ในบางปีการคาดการณ์ก็ไม่ถูกเช่นเดียวกัน แต่ละปีวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน

ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังดูสายพันธุ์ที่ระบาดอย่างต่อเนื่องว่าเป็นสายพันธุ์อะไร และป้องกันไม่ให้สายพันธุ์เดลต้าระบาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อรอจำนวนวัคซีนที่จะมา และหรือแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงชนิดของวัคซีนในอนาคต ให้ตรงและจำเพาะกับสายพันธุ์

 

ที่มา : https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/5859231060786129


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมว.มท. แจง หนังสือขอหนุนวัคซีน เอกชนดัง สื่อสารคลาดเคลื่อน ย้ำ เจตนาเพื่อดูแลประชาชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์​ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่หนังสือปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามสนับสนุนการวัคซีนบริษัทเอกชนชื่อดัง เพื่อฉีดให้กับพนักงานและครอบครัว แต่ได้ยกเลิกในภายหลัง ว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน​ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัด​กระทรวง​มหาดไทย ได้ออกหนังสือแก้ไขแล้วยืนยันว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตามการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามนโยบายของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยสรุปคือ มีช่องทางที่จะให้สนับสนุนให้กับบุคคลและกลุ่มบุคคลรวมไปถึงองค์กรได้ แต่ต้องเข้าสู่ช่องทางหมอพร้อม การกระจายวัคซีนเป็นของ ศบค. จะกระจายไปในพื้นที่ใดหรือจำนวนเท่าไหร่ เมื่อกระจายไปแล้วผู้ที่จะดำเนินการต่อคือ คณะกรรมการ​โรคติดต่อ​จังหวัด

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถือเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนและไม่มีเจตนา​เอื้อประโยชน์ให้ใคร ทุกคนรู้ดีว่าการทำงานของข้าราชการ พรรคการเมือง และรัฐบาล หรือของใครก็แล้วแต่ ต้องตอบสนองต่อประชาชนส่วนใหญ่ ใครที่คิดจะไปตอบสนองต่อกลุ่มใคร สังคมก็จะไม่ยอม เป็นการสื่อสารคลาดเคลื่อนแต่ก็ได้แก้ไขแ​ล้​ว 

เมื่อถามว่า ต่อไปจะระวังเพิ่มขึ้นหรือไม่ พล.อ.อนุ​พงษ์​ กล่าวว่า ก็เป็นธรรมดาแต่เจตนาของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. กระทรวงมหาดไทย (ศบค. มท.)​ ไม่ได้มีเจตนา​ที่จะไปเอื้อใคร พูดง่ายๆ คือเจตนา​ที่จะดูแลประชาชน เป็นหลัก ใครก็ต้องทำอย่างงั้นสังคมจึงจะยอมรับได้ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ 

“พรรคกล้า กทม.” เรียกร้องผู้ประกอบการเปิดเผยรายชื่อผู้ติดเชื้อจริง ป้องกันการระบาดวงกว้าง ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าเยียวยาธุรกิจ หากได้รับผลกระทบหลังพบผู้ติดเชื้อ

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนต่อเนื่อง แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศยังคงมากกว่า 3,600 คน ต่อวัน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครสูงกว่าถึง 1,200 คน (ข้อมูลวันที่ 19 มิ.ย. 64) ซึ่งจากการลงพื้นที่ ทราบจากประชาชนว่าบางโรงงานหรือบางบริษัทปกปิดข้อมูลลูกจ้างติดเชื้อ เพราะหวั่นกระทบธุรกิจ ประกอบกับถ้าลูกจ้างเป็นผู้แจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อ ก็เกรงกลัวว่าจะถูกเลิกจ้างทำให้ตกงาน จึงไม่มีใครกล้าแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการดูแล อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ติดเชื้อขยายวงกว้าง เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ต่างๆ ไม่จบสิ้น

“ผมจึงขอวอนไปยังบริษัทและโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ที่มีผู้ติดเชื้อได้ โปรดให้ข้อมูลแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าดำเนินการรับตัวผู้ติดเชื้อมารักษาก่อนที่จะขยายวงกว้างในโรงงานหรือบริษัทของท่าน ทำให้ต้องปิดตัวลงและเสียหายไปมากกว่าเดิม” นายเอกชัย กล่าว

เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า กล่าวว่า เข้าใจว่าผู้ประกอบการหลายคนไม่กล้าแจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อ เพราะกลัวธุรกิจหยุดชะงัก ดังนั้น หากจะให้มาตรการป้องกันการระบาดมีประสิทธิภาพ ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ จึงขอเรียกร้องทั้ง กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้โปรดเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ หากลูกจ้างพนักงานที่ติดเชื้อโควิด ต้องกักตัว เพื่อรักษากิจการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top