Tuesday, 17 June 2025
TheStatesTimes

รองแม่ทัพภาค 2 โพสต์เดือด!!..กัมพูชาละเมิดซ้ำซาก เปรียบเป็น ‘เด็กแตกเนื้อหนุ่ม ดื้อด้าน ไม่ฟังใคร’

(16 มิ.ย. 68) พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นต่อข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมแนบหมายเหตุ 5 ข้อ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ MOU43 ซึ่งเป็นกรอบการเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)

รองแม่ทัพภาคที่ 2 เน้นว่าแม้ MOU43 จะมีเจตนาดีในการปักปันเขตแดนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างอาคาร กาสิโน ตัดถนน และปลูกพืชในพื้นที่พิพาท จนล่าสุดเกิดกรณีการเผาศาลาและขุดคูเลทล้ำแดน ซึ่งนำไปสู่การปะทะ

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า แม้ MOU43 จะกำหนดให้เจรจาโดยสันติ แต่กัมพูชากลับยื่นฟ้องศาลโลกแทนที่จะปรึกษาหารือ จึงตั้งคำถามว่า “เพื่อนบ้านที่ดีควรทำแบบนี้หรือไม่” และชี้ว่าหากไม่มีความจริงใจต่อกัน อาจต้องพิจารณายกเลิกข้อตกลงทั้งหมด

ตอนท้ายของโพสต์ พล.ต.ณัฏฐ์ ใช้คำเปรียบเปรยแรงว่า “เขมรเป็นเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม บอกกล่าวก็ดื้อด้าน” พร้อมเสนอแนะเชิงประชดว่า “ไม่ต้องมีข้อตกลงอะไรเลยดีหรือไม่ เอาให้เละก่อนโต” สะท้อนความไม่พอใจต่อท่าทีแข็งกร้าวของกัมพูชาในประเด็นชายแดนขณะนี้

อิหร่านเผย ‘ยุทธวิธีใหม่’ สะเทือนโดมเหล็กอิสราเอล ทำระบบป้องกันยิวยิงกันเอง จนเจาะ ‘เทลอาวีฟ-ไฮฟา’ กระจุย

(16 มิ.ย. 68) กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) เปิดเผยว่าการโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อช่วงก่อนรุ่งสางของวันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งพุ่งเป้าใส่เมืองเทลอาวีฟและไฮฟา ใช้ “ยุทธวิธีใหม่” ที่ทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล เช่น Iron Dome และ David’s Sling ยิงเป้าหมายผิดพลาด โดยจรวดของอิสราเอลบางลูกกลับยิงใส่ระบบของตนเองหรือพลาดทิศทาง จนนำไปสู่ความเสียหายครั้งใหญ่ในเขตเมือง

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านระบุว่าวิธีการใหม่นี้ทำให้สามารถทะลวงแนวป้องกันหลายชั้นของอิสราเอล และสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายได้จริง โดยเฉพาะเขตที่พักอาศัยใกล้สถานทูตสหรัฐฯ ในเทลอาวีฟที่พังยับเยิน ขณะที่ในไฮฟาเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงไฟฟ้า และมีประชาชนบาดเจ็บกว่า 30 ราย

การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีเชิงป้องกันของอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งมุ่งเป้าไปยังโครงการนิวเคลียร์และฐานทัพของอิหร่าน ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตในอิหร่านเพิ่มขึ้นกว่า 224 ราย ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 18 ราย และบาดเจ็บกว่า 100 คน

แม้อิสราเอลยังไม่แถลงตอบโต้เกี่ยวกับความล้มเหลวของระบบป้องกันภัยทางอากาศ แต่รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลประกาศว่าจะทำให้อิหร่าน “ต้องชดใช้” อย่างสาสม ด้านผู้นำโลกที่ร่วมประชุม G7 แสดงความกังวลว่าวิกฤตนี้อาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งระดับภูมิภาค และต่างเรียกร้องให้เปิดทางเจรจาโดยเร็วที่สุด

18 มิถุนายน พ.ศ. 2455 เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์ ขึ้นระวางสมัยรัชกาลที่ 6 ตำนานเรือลำแรกที่ทหารไทยขับกลับจากญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2455 เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์ (H.T.M.S. Sua Khamronsin) ได้ขึ้นระวางประจำการในราชนาวีไทยอย่างเป็นทางการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็นเรือรบระดับเรือพิฆาตลำสำคัญที่สร้างขึ้น ณ อู่ต่อเรือกาวาซากิ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นเรือลำแรกที่ทหารเรือไทยทำหน้าที่ขับเคลื่อนกลับประเทศไทยด้วยตนเอง

ตัวเรือมีระวางขับน้ำ 375 ตัน ความยาว 75.66 เมตร ความกว้าง 7.15 เมตร กินน้ำลึก 2 เมตร ติดตั้งปืนกลขนาด 57 มิลลิเมตร 5 กระบอก ปืนกล 36 มิลลิเมตร 1 กระบอก และท่อยิงตอร์ปิโดขนาด 45 มิลลิเมตร 2 ท่อ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไอน้ำแบบกังหันเคอร์ติส 2 เครื่อง มีกำลังรวม 6,000 แรงม้า พร้อมกำลังพลประจำการ 73 นาย

เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์เคยมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองอธิปไตยทางทะเลของไทย และเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนากองทัพเรือสมัยใหม่ในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการที่ทหารเรือไทยสามารถนำเรือรบกลับมาด้วยตนเอง ถือเป็นก้าวสำคัญทางยุทธศาสตร์ของประเทศในยุคนั้น

ปัจจุบัน เรือหลวงเสือคำรณสินธุ์ได้ปลดระวางจากประจำการแล้ว และถูกนำไปจัดแสดงเป็นเรือพิพิธภัณฑ์ ณ ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เปิดให้ประชาชนทั่วไปและผู้สนใจประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทยได้เข้าชมเพื่อศึกษาและระลึกถึงความภาคภูมิใจในยุทธนาวีของชาติ

สื่อกัมพูชาโชว์ภาพกำลังพลในพื้นที่จังหวัดพระวิหาร "โอ่ พร้อมรบ 24 ชั่วโมง"  

(15 มิ.ย. 68) สื่อทางการของกัมพูชาได้เผยแพร่ภาพและข้อความ แสดงถึงความพร้อมของกองกำลังทหารประจำจังหวัดพระวิหาร โดยระบุว่าได้เตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ ภายใต้คำสั่งอันเคร่งครัดจากผู้นำรัฐบาล พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องประเทศจาก "ศัตรูผู้รุกราน"

ในแถลงการณ์ ระบุว่า
“หนึ่งชีวิตเพื่อชาติ ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการตัดสินใจอันแน่วแน่ของพวกเราทุกคนในกองกำลัง ที่จะปกป้องประเทศชาติ ขอให้ประชาชนไว้วางใจและไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ต้องกังวล เพราะหน้าที่ในการปกป้องชาตินั้น เป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเรา”

การเผยแพร่ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาโดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม  ปราสาทตาเมือนโต๊ด  ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต 

เดวิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

ศกพ. ร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการแนวทางการจัดการเรียนการสอนสหกรณ์นักเรียนของ ศศช. “แม่ฟ้าหลวง” พื้นที่นำร่อง สกร.จ.ตาก และ สกร.จ. เชียงใหม่

(11 มิ.ย. 68)  ดร.ยุพิน บัวคอม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นประธานเปิดโครงอบรมเชิงปฏิบัติการแนวทางการจัดการเรียนการสอนสหกรณ์นักเรียนของศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” พื้นที่นำร่องของสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดตาก และสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนกิจกรรมสหกรณ์นักเรียนศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" ทั้งนี้ นายรัชชสิทธิ์ มนตรี รองผู้อํานวยการสํานักงานศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ประจํากรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายพิเศษ (ศกพ.) ได้มอบหมายให้ ดร.ดรุณี เวียงชัย นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ  เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมวัฒนาวิลเลจ รีสอร์ท อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 

โดยมีนางสาวสุนทรี เตินขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดตาก กล่าวรายงาน ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการพระราชดำริ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนศึกษาธิการจังหวัดตาก ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ผู้แทนเกษตรและสหกรณ์จังหวัดตาก ผู้แทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ ข้าราชการครู ผู้เข้ารับการอบรม จำนวน 80 คนเขาร่วมพิธีเปิดโครงการฯ และรับนโยบายการขับเคลื่อนกิจกรรมสหกรณ์นักเรียน

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

จีนประณามอิสราเอลละเมิดอธิปไตยอิหร่า เสนอตัวไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง สร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง

(16 มิ.ย. 68) รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ แถลงเมื่อวันเสาร์ (15 มิ.ย.) ว่าจีน “ประณามอย่างชัดเจน” ต่อการโจมตีของอิสราเอล ซึ่งละเมิดอธิปไตย ความมั่นคง และบูรณภาพแห่งดินแดนของอิหร่าน พร้อมแสดงการสนับสนุนอิหร่านในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตน

หวัง อี้ โทรศัพท์หารัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งอิหร่านและอิสราเอล โดยระบุว่าจีนยินดีช่วยในการคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การเจรจาแก้ไขความขัดแย้ง

ขณะที่สหรัฐฯ ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอิสราเอล จีนกลับเลือกประณามการใช้กำลังและเรียกร้องให้ประเทศที่มีอิทธิพลต่ออิสราเอลช่วยฟื้นฟูสันติภาพ สะท้อนภาพการขยับบทบาทของจีนในภูมิภาคและเวทีโลก

สำหรับ จีนถือเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการทูตที่สำคัญของอิหร่านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านพลังงาน การทหาร และการต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกอย่างชัดเจน

กระทรวงต่างประเทศ อิหร่าน ออกแถลงการณ์ ชี้ ตอบโต้อิสราเอลชอบธรรมหลังถูกโจมตีก่อน

(16 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดว่า ในเช้าตรู่ของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 อิสราเอลได้เปิดฉากการโจมตีด้วยอาวุธขนานใหญ่ โดยไม่มีการยั่วยุจากอิหร่าน อันเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวอย่างร้ายแรงในทุกความหมายของการกระทำดังกล่าว ด้วยการโจมตีทางอากาศ ขีปนาวุธ และโดรนที่ปฏิบัติการประสานงานกัน

อิสราเอลได้กำหนดเป้าหมายไปที่ย่านที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน หน่วยงานสาธารณะ
และโรงงานนิวเคลียร์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ ในกรณีที่เลวร้ายเป็นพิเศษ การโจมตีของอิสราเอลต่ออาคารที่อยู่อาศัยส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 60 ราย รวมถึงเด็กและผู้หญิง 35 ราย จากปฏิบัติการทางทหารระลอกรั้งใหม่ อิสราเอลเริ่มกำหนดเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานและสถานที่อุตสาหกรรมด้วยข้ออ้างหลักสำหรับการโจมตีคือโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้รับการยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การติดตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพเท่านั้น และยังคงอยู่ภายใต้ระบอบการตรวจสอบที่ครอบคลุมและรุนแรงที่สุดที่ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของนานาชาติ

การที่อิสราเอลกำหนดเป้าหมายไปยังโรงงานนิวเคลียร์พลเรือนที่ได้รับการคุ้มครองเหล่านี้ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวโดยเจตนาและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกรอบกฎหมายที่ควบคุมความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์อย่างโจ่งแจ้ง ตามที่ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA นายราฟาเอล กรอสซี ได้ยืนยันอีกครั้งในระหว่างการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อเร็ว ๆ นี้ มติการประชุมสมัชชาใหญ่ IAEA GC(XXIX)/RES/444 และ GC(XXXIV)/RES/533 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การโจมตีด้วยอาวุธใด ๆ ต่อโรงงานนิวเคลียร์ที่มุ่งเน้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ธรรมนูญของ IAEA และหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ มติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่การโจมตีดังกล่าวจะก่อให้เกิดต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์ และเน้นย้ำถึงผลกระทบที่บ่อนทำลายอย่างลึกซึ้งต่อสันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ลักษณะของการโจมตีไม่ทิ้งช่องว่างสำหรับความคลุมเครือ: ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง ทำให้ขอบเขตทางกฎหมายได้ถูกละเลยมองข้ามไปอย่างชัดเจน

อิสราเอลมีประวัติการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อรัฐอธิปไตยมายาวนานซึ่งมีเอกสารหลักฐานยืนยัน มีการกำหนดเป้าหมายต่อประชากรพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนให้เห็นถึงการดูหมิ่นหลักการที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเป็นระบบ การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกตัวออกมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่สอดคล้องกันที่ใช้อาวุธบังคับและท้าทายระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเปิดเผย หลักนิติธรรมไม่ได้ถูกละเลย แต่กำลังถูกรื้อถอน โดยเจตนาในบริบทที่กว้างขวางมากขึ้นของพฤติกรรมของระบอบอิสราเอลต้องได้รับการยอมรับ

ปัจจุบันอิสราเอลอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีต่อหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในข้อหาที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา และผู้นำระดับสูงของอิสราเอล รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
เผชิญข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รวมถึงการกำหนดเป้าหมายพลเรือนโดยเจตนา การใช้อดอาหารเป็นวิธีการทำสงคราม และการกำหนดบทลงโทษรวมโดยเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกตัวออกมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่คงอยู่ของการปราบปรามทางทหาร การไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย และการไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรม

ในขณะที่ความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มข้น การประยุกต์ใช้หลักการทางกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติและการอาศัยความเหมาะสมทางการเมืองคุกคามที่จะเข้าแทนที่ค่านิยมพื้นฐานของความสอดคล้อง ความรับผิดชอบ และหลักนิติธรรม ในการตอบโต้การรุกรานที่ผิดกฎหมายและปราศจากการยั่วยุโดยอิสราเอล สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายตามที่ระบุไว้ในมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้อนุญาตให้รัฐสามารถปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนเมื่อถูกโจมตีด้วยอาวุธ

การตอบโต้ของอิหร่านยึดมั่นอย่างเคร่งครัดต่อหลักการและขอบเขตที่กำหนดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้มั่นใจว่าการกระทำของตนมีความสมเหตุสมผล จำเป็น และเหมาะสมภายใต้สถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตอบโต้ของอิหร่านได้รับการปรับเทียบอย่างรอบคอบให้ได้สัดส่วนกับภัยคุกคามและการโจมตีทางทหารของอิสราเอล การตอบโต้กำหนดเป้าหมายเฉพาะวัตถุประสงค์ทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น รวมถึงศูนย์บัญชาการและควบคุม การติดตั้งทางทหารเชิงกลยุทธ์ และโครงสร้างพื้นฐานในการปฏิบัติการที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการโจมตีที่ผิดกฎหมาย ตลอดเวลา

อิหร่านยังคงปฏิบัติตามกฎของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับการลดความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีให้เหลือน้อยที่สุด ความล้มเหลวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการตอบโต้อย่างเด็ดขาดต่อการกระทำที่ก้าวร้าวนี้ แสดงถึงการละทิ้งความรับผิดชอบพื้นฐานในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในอดีต คณะมนตรีได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นเอกฉันท์ หลังจากการโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์โอซิรักของอิรักในปี 1981 คณะมนตรีได้ออกมติ 487 ประณามการโจมตีและยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของโรงงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ แบบอย่างนั้นยังคงชัดเจน กฎหมายยังคงชัดเจน ทว่าวันนี้ คณะมนตรีกลับเป็นอัมพาต การหารือถูกบีบคั้นด้วยแรงกดดันทางการเมืองและเกราะป้องกันที่กลุ่มรัฐทรงอำนาจจำนวนน้อยยื่นให้การไม่ดำเนินการนี้จะคุกคามและกัดกร่อนรากฐานของระบบพหุภาคี

อิหร่านเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำที่ก้าวร้าวนี้ และยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นต่อกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่ต่อรองได้ โรงงานนิวเคลียร์ภายใต้การคุ้มครองของ IAEA ไม่ควรถูกกำหนดเป้าหมาย การใช้กำลังทางอาวุธต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาแทนที่การทูต อิสราเอลไม่สามารถได้รับอนุญาตให้เขียนกฎการปฏิบัติระหว่างประเทศใหม่ผ่านการละเมิดซ้ำ ๆ และการยั่วยุที่มีการวางแผนไว้แล้ว เส้นทางสู่สันติภาพเริ่มต้นด้วยความรับผิดชอบ และระบบกฎหมายระหว่างประเทศต้องรวบรวมเจตจำนงเพื่อธำรงเรื่องนี้เอาไว้

ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมดูแลพื้นที่ชายแดน ผบช.ภ.2 ชื่นชม ตำรวจ สภ.โคกสูง บริการด้วยใจ สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว “สด๊กก๊อกธม”

(16 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2)  เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ประทับใจ และชื่นชม ร.ต.ท.ทศพล อันศรีเมือง รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.โคกสูง/เวรตู้สายตรวจดอนหลุม และ ร.ต.ต.สุนันท์ กรสี รอง สว.(ป.) สภ.โคกสูง/พนักงานวิทยุ ที่ดูแลบริการประชาชนอย่างเป็นมิตร สร้างความอุ่นใจในการเข้าพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่ข้อพิพาทระหว่างประเทศ

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เผยว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ตั้งใจจะเดินทางเข้าชม อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม โดยก่อนออกเดินทาง ได้โทรศัพท์สอบถามข้อมูลเรื่องความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกสูง โดยมี ร.ต.ต.สุนันท์ รับสาย และแจ้งให้ ร.ต.ท.ทศพล ซึ่งเป็นเวรตู้สายตรวจฯ และได้ให้คำตอบว่า “เข้ามาเที่ยวได้เลยครับ ปลอดภัยครับ ก่อนมาถึงโทรหาผมได้นะครับ ผมจะรอต้อนรับ” ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ จนรู้สึกมั่นใจ และเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ก็พบ ร.ต.ท.ทศพล มารอประสานงานอำนวยความสะดวกและสร้างความอุ่นใจเรื่องความปลอดภัย

“ชื่นชมและให้กำลังใจ ร.ต.ท.ทศพล และ ร.ต.ต.สุนันท์ นี่คือต้นแบบของข้าราชการตำรวจไทยที่มีจิตบริการและความจริงใจในการดูแลประชาชน การที่ประชาชนคนหนึ่งกล้าติดต่อมาชื่นชมเจ้าหน้าที่โดยตรง แสดงให้เห็นว่าตำรวจสามารถสร้างความไว้วางใจและความอุ่นใจให้กับประชาชนได้จริง ขอขอบคุณ ร.ต.ท.ทศพล ที่ทำหน้าที่ด้วยหัวใจ และขอให้รักษามาตรฐานนี้ไว้ให้เป็นแบบอย่างที่ดี” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ.2 กล่าวถึงสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในพื้นที่ว่า ยืนยันความพร้อมในการปฏิบัติตามแผน “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดสระแก้ว อย่างอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว การมีตำรวจในพื้นที่ที่พร้อมบริการประชาชนด้วยหัวใจ เช่นกรณีของ ร.ต.ท.ทศพล และ ร.ต.ต.สุนันท์ ไม่เพียงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ “น้ำใจตำรวจไทย ไม่แพ้ที่ใดในโลก” คือคำกล่าวที่นักท่องเที่ยวรายนี้ฝากไว้ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ สภ.โคกสูง ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความประทับใจ และรู้สึกว่า “ตำรวจไทยยังเป็นที่พึ่งได้เสมอ”

19 มิถุนายน พ.ศ. 2516 ในหลวง ร.๙ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ สร้าง ‘รร.ร่มเกล้า’ โรงเรียนพระราชทานแห่งแรกของไทย

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2516 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 92,063 บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนถาวรขนาด 5 ห้องเรียนให้แก่โรงเรียนบ้านหนองแคน ตำบลหนองแคน อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พร้อมพระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนร่มเกล้า” นับเป็นโรงเรียนพระราชทานแห่งแรกของประเทศไทย

การก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นจากพื้นที่บ้านหนองแคนซึ่งเคยเป็นพื้นที่สีแดงในช่วงสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ท่ามกลางความขัดแย้งและความเสี่ยงจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่คอยขัดขวางการลำเลียงวัสดุก่อสร้างและลอบทำร้ายผู้ปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตามด้วยพระราชดำริเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนชาวไทยภูเขาเผ่ากระโซ่และภูไท โรงเรียนแห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้น

โรงเรียนบ้านหนองแคนเปิดการเรียนการสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2486 เฉพาะชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และขยายชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากชุมชน จนกระทั่งได้รับพระราชทานทุนก่อสร้างอาคารถาวรเมื่อปี 2516 ต่อมาในวันที่ 30 ตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคารเรียนด้วยพระองค์เอ

ทั้งนี้ “โรงเรียนร่มเกล้า” ไม่เพียงเป็นสถาบันการศึกษาที่มีคุณูปการด้านการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพระเมตตาและพระราชปณิธานในการพัฒนาคนไทยอย่างยั่งยืน โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของโรงเรียนพระราชทานทั่วประเทศในเวลาต่อมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top