Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

10 มิถุนายน พ.ศ. 766 รำลึก 1,802 ปี วันสวรรคต ‘เล่าปี่’ ความโทมนัสปิดฉากมหาบุรุษแห่งจ๊กก๊ก

เล่าปี่ หรือ จักรพรรดิเจาเลี่ยแห่งจ๊กก๊ก สวรรคตในปี วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 766 หรือ ค.ศ. 223 ณ พระราชวังหย่งอัน เมืองเป๊กเต้เสีย (ปัจจุบันคืออำเภอเฟิ่งเจี๋ย นครฉงชิ่ง) ขณะมีพระชนมายุ 63 พรรษา สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสวรรคตของพระองค์คือความเจ็บป่วยทางพระวรกายซึ่งประกอบกับความโทมนัสอย่างรุนแรง ภายหลังจากความพ่ายแพ้ยับเยินในยุทธการที่อิเหลง

เหตุการณ์ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่กวนอู น้องร่วมสาบานคนสำคัญของเล่าปี่ ถูกทัพของซุนกวนแห่งง่อก๊กจับตัวและประหารชีวิตในปี ค.ศ. 219 อีกทั้งยังเสียเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญไป การสูญเสียน้องรักและดินแดนอันมีค่าสร้างความเคียดแค้นและโทมนัสแก่เล่าปี่เป็นอย่างยิ่ง

ในปี ค.ศ. 221 หลังจากสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจ๊กก๊ก เล่าปี่ได้ทุ่มกำลังทหารทั้งหมดเพื่อเปิดศึกกับง่อก๊ก หวังล้างแค้นให้กวนอูและทวงคืนเกงจิ๋ว แม้ในช่วงแรกกองทัพของเล่าปี่จะได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความประมาทและถูกลกซุน แม่ทัพหนุ่มของง่อก๊ก วางกลอุบายเผาค่ายทหารจนวอดวายในยุทธการที่อิเหลง ทำให้กองทัพจ๊กก๊กพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

ความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์นี้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายของเล่าปี่อย่างมหาศาล บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่าพระองค์เสียพระทัยอย่างหนักจนล้มป่วยลง (ตรอมใจ) และอาการประชวรก็ได้ทรุดหนักลงเรื่อยๆ ตลอดการเสด็จหนีกลับไปยังเมืองเป๊กเต้ แม้ขงเบ้งและเหล่าขุนนางจะรีบเดินทางมาเข้าเฝ้าฯ แต่พระอาการก็ไม่ดีขึ้น

ก่อนสวรรคต เล่าปี่ได้ฝากฝังราชการแผ่นดินและเล่าเสี้ยน พระโอรสผู้เป็นรัชทายาทไว้กับขงเบ้งและลิเงียม จากนั้นไม่นานก็สิ้นพระชนม์ลง โดยมีการกล่าวได้ว่า การสวรรคตของเล่าปี่มีสาเหตุหลักมาจากพระอาการประชวรที่กำเริบขึ้นจากความทุกข์ระทมและความคับแค้นใจอย่างแสนสาหัสหลังความพ่ายแพ้ในศึกเพื่อล้างแค้นให้น้องร่วมสาบาน

‘หมอก้อย’ ภรรยาหมอชลน่าน แจงดรามาทำบุญบ้าน ชี้ ‘บ้านสยามธามันโญ’ เป็นทรัพย์สินที่พ่อให้มา

เพจหมอชลน่านFcไม่มีดราม่า ของ ‘หมอก้อย’ ภรรยาหมอชลน่าน โพสต์ปมทำบุญบ้านหลังใหญ่ พร้อมแจงที่มาทรัพย์สินเป็นทรัพย์สินมรดกจากพ่อภรรยา

จากกรณี เพจ 'หมอชลน่านFcไม่มีดราม่า' โพสต์รูป นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีต รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยภรรยา คือ พญ.นวลสกุล บำรุงพงษ์ ได้จัดงานทำบุญเลี้ยงพระในบ้านสยามธามันโญ ทวีวัฒนา ซึ่งเป็นบ้านสไตล์นีโอเรเนอซองส์ สถาปัตยกรรมซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ดินมีเอกสารสิทธิตราแดง รศ.114 เดิมบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า หลังจากใช้เวลารีโนเวตจนเข้าอยู่ได้ จึงจัดงานทำบุญเลี้ยงพระเพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.68 เพจเฟซบุ๊ก 'หมอชลน่านFcไม่มีดราม่า' โพสต์ข้อความระบุว่า  #งานบุญเล็กๆแต่ทัวร์มาลง #มรดกภรรยาติดตัวมาสามีผิด งานทำบุญเล็กๆ เงียบๆ แขกไม่ถึงร้อยแต่ #บ้านใหญ่กลายเป็นประเด็นใหญ่ สื่อก็ลงถึงความเคลื่อนไหวของหมอชลน่านตามปกติ แต่ผู้คนเข้ามาถล่ม (อีกแล้ว) ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพและผิดกฎหมาย #สยามธามันโญ บ้านที่มาจากการ #บริหารทรัพย์มรดก 550 กว่าล้านที่ติดตัวหมอก้อยมา #พ่อให้มา!!! ทรัพย์เหล่านี้แจ้ง ปปช.ไปแล้วหลายรอบ เราแปลงทรัพย์มรดกเป็นอาคารเก่าที่ควรอนุรักษ์ตามสิทธิของเรา บ้านกลางป่าที่งดงามด้วยงานสถาปัตยกรรมใช้เวลาสรรพกำลังรีโนเวทจนเข้าพักอาศัยได้ บ้านเก่าเข้าอยู่ก็ต้องทำบุญ

#บ้านในปัจจุบันอาจได้เป็นพิพิธภัณฑ์ในอนาคต #มรดกภรรยาติดตัวมาสามีผิดตรงไหน 

ขอบพระคุณคุณพ่อที่ส่งต่อสิ่งดีๆให้ลูกเสมอ มรดกของพ่อถวายวัดไปก็เยอะ ตัดถนนแจกก็หลายสาย 

เรื่องแบบนี้ไม่มีประเด็น #ทำดีไม่มีประเด็น

https://www.facebook.com/share/p/15jEcCbj4A/

ปล.แอดมินหมอก้อยขออนุญาตใช้พื้นที่เพจนี้ชี้แจงเพราะเพจไป๊น่านถูกบล๊อคกิจกรรมค่ะ

‘ฮุน มาเนต’ ยืนยัน กัมพูชายังไม่ถอนกำลัง ย้ำกองทัพพร้อมเจรจา แต่ไม่ถอยจากอธิปไตย

(9 มิ.ย. 68) ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กจากเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ยืนยันว่า ทางการกัมพูชายังไม่ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่อธิปไตยของตน บริเวณช่องบก หุบเขาที่ตั้งอยู่ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การครอบครองของกัมพูชามาเป็นเวลานาน และการวางกำลังเป็นไปเพื่อปกป้องแผ่นดิน

ฮุน มาเนต ย้ำว่าการเคลื่อนไหวของกองทัพกัมพูชา รวมถึงการวางกำลัง การปรับกำลัง และการระดมพล ล้วนกระทำภายใต้กรอบอธิปไตยของกัมพูชา เพื่อเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาดินแดนจากการรุกราน

แม้กัมพูชาจะสนับสนุนแนวทางสันติภาพและกลไกการเจรจา แต่กองทัพก็พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยยืนยันการใช้คณะกรรมาธิการร่วมเขตแดน (JBC) กัมพูชา-ไทย และ MOU ปี 2543 เป็นกรอบในการแก้ไขปัญหาเขตแดน

ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชายืนยันเดินหน้ารักษาความสัมพันธ์กับไทยอย่างสร้างสรรค์ เพื่อผลประโยชน์ร่วมของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลบิดเบือนที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งระหว่างสองชาติ

‘ลอรี่ - พงศ์พล’ โต้ ‘ปิยบุตร’ ปม “ชาตินิยมก้าวหน้า” ชี้ การรักชาติไม่ใช่เรื่องล้าหลัง -รักสถาบันไม่ใช่เรื่องตกยุค

(9 มิ.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า...
"รักชาติ" ไม่เคยเป็นเรื่องล้าหลัง 
"ปกป้องสถาบัน" ไม่ใช่เรื่องตกยุค

อ.ปิยบุตร เทพบุตรของฝ่ายส้ม โหนกระแสคนเชียร์กองทัพ บอกว่าคือโอกาสการสร้าง "ชาตินิยมก้าวหน้า" ไม่ยึดโยงกับราชา ระบอบกษัตริย์
ผมอ่านจบจนถี่ถ้วน นี่แค่ตรรกะปาหี่ของ
"ล้มล้างนิยมโหนชาติ" เท่านั้น

-1-
"ชาตินิยมไทย" ไม่เคยผูกยึดกับเชื้อชาติ ตามที่กล่าวหา
หากแต่ผูกกับเจตจำนงร่วมในการเป็น “คนไทย”

อาจารย์ท่านดังกล่าว พยายามแยก “ชาตินิยมแบบเสรีนิยม” ออกมาจากสิ่งที่ท่านมองว่าเป็น “ราชาชาตินิยม” หรือ “ชาตินิยมล้าหลัง” ด้วยการนำแนวคิดจากเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน หรือเรอนอง มาอธิบายว่า "ชาติเป็นเพียงจินตกรรม"

แต่ในความเป็นจริง “ชาตินิยมไทย” โดยธรรมชาติแล้ว ไม่ได้เหยียดเชื้อชาติ ศาสนา หรือสีผิว แต่ยึดหลัก “สัญชาติไทย” และ “คุณงามความดี” เป็นที่ตั้ง

เรามีบุคคลต้นแบบจำนวนมากในประวัติศาสตร์ไทยที่มีเชื้อสายต่างชาติ ทั้งจีน แขก ฝรั่ง ที่อุทิศตนให้ชาติไทยจนได้รับพระราชทานนามสกุล เช่น บุนนาค, สิมะเสถียร, สุนทรเวช, ณรงค์เดช เป็นต้น

การพยายามสร้างวาทกรรมใหม่ว่า "ชาตินิยมเดิม" เป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาตินั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์และสร้างความแตกแยกโดยไม่จำเป็น

พูดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่การเหยียด หรือ exclusionary แต่คือ “รากแก้วของรัฐไทย”

-2-
ที่คนไทยให้ความสำคัญกับ 3 สถาบันหลัก ไม่ใช่เพราะต้องการกดทับเสรีภาพหรือขวางโลกใหม่ แต่เพราะประวัติศาสตร์ชาติไทยพิสูจน์แล้วว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เป็นเสาหลักที่ประคับประคองประเทศให้รอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคม ความแตกแยกภายใน และการรุกรานจากต่างชาติในหลายช่วงเวลา

อาจารย์พยายามจะโยงแนวคิดเรื่องรัฐชาติ ไปสู่การ "ล้มล้าง" ระบบด้วยวาทกรรมแบบ interregnum (ระหว่างระบอบ) ซึ่งไม่ต่างจากมิชชานารี หรือ “นักเผยแผ่ลัทธิตะวันตก” ในสมัยจักรวรรดินิยม ที่เข้ามาล้มล้างความเชื่อ รากเหง้า วัฒนธรรม และการปกครองแบบไทย ด้วยการอ้างว่าเป็น “ความคิดก้าวหน้า”

-สรุป-
“ผมไม่ได้ขัดขวางการตีความคำว่า ‘ชาติ’ แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครแอบเปลี่ยนความหมายของชาติ เพื่อปูทางไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างของรัฐแบบไร้การยินยอมของประชาชน”

การรักชาติไม่ใช่เรื่องล้าหลัง และการปกป้องสถาบันหลักไม่ใช่เรื่องตกยุค แต่คือการรักษารากเหง้าของไทยให้มั่นคงในโลกที่เปลี่ยนไปเร็ว
ช่วยกันรดน้ำพรวนดิน ขจัดปลวก ขจัดแมลงที่กัดกินระบบเราดีกว่า
อย่าคิดล้มกระถาง แล้วอ้างว่าแค่อยากจัดแจกันใหม่เลยครับ

สมุทรปราการ-นายกบางเมือง แถลง 7 นโยบาย ขอบคุณทุกคะแนนเสียงพร้อมเดินหน้าพัฒนาบางเมืองให้เจริญก้าวหน้า

(9 มิ.ย. 68) ที่ห้องประชุมสภาเทศบาลตำบลบางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ  นายพิพัฒน์ อัศวเหม ประธานสภาฯ ได้เปิดประชุมสภาสมัยสามัญ สมัยที่ 1 โดยภายในที่ประชุม ประกอบด้วย คณะผู้บริหารเทศบาล นำโดย นาวาเอกอนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง และคณะผู้บริหารเทศบาล 

นายอิทธิชัย ชูเรณู ปลัดเทศบาล พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้อำนวยการกอง และคณะสมาชิกสภา ทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง จำนวน 12 ท่าน เข้าร่วมรับฟังการแถลงนโยบาย สมัยสามัญ สมัยที่ 1 ประจำปี 2568

โดยในที่ประชุม นาวาเอกอนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง ได้กล่าวแถลงนโยบายทั้ง 7 ด้าน ต่อที่ประชุมสภา ประกอบด้วย 1.นโยบายด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นสนับสนุนก่อสร้างสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน 2.พัฒนาด้านการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  สนับสนุนการเรียนการสอนเพิ่มศักยภาพให้เด็กและเยาชนมีโอกาสเรียนตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงขั้นสูงสุด 3.พัฒนาด้านคุณภาพชีวิต พร้อมจัดระเบียบชุมชน โดยส่งเสริมงานด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐานและมุ่งเน้นความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน 

4.พัฒนาด้านเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน โดยหนุนให้ความรู้ในการค้าขายสินค้าออนไลน์ ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน 5.ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการขุดลอกคูคลองป้องกันน้ำท่วม จัดสร้างสวนสาธารณะเพื่อเป็นปลอดคนบางเมือง 6.ส่งเสริมการท่องเที่ยว นำชุมชนไหว้พระและชมจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริ รัชการที่ 9 ภายในโบสถ์วัดบางปิ้ง   

และ 7.พัฒนาด้านการเมืองและการบริหาร โดยจัดให้มีการทำบัตรประชาชนของเทศบาล และส่งเสริมประชาชนได้มีส่วนร่วมตามหลักการปกครองตามระเบียบประชาธิปไตย ภายใต้สานงานต่อ ก่องานใหม่ให้ควบคุม 20 หมู่บ้าน 3 ตำบล เพื่อให้ชาวตำบลบางเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นตลอด 4 ปีต่อไป 

นอกจากนี้นายกเทศมนตรีตำบลบางเมืองได้ขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชนที่มอบให้และไว้วางใจต่อจากนี้จะดูแลและพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป

เด็กอัจฉริยะ GPA 4.42 เขียนโค้ดระดับประเทศ Google จีบตั้งแต่อายุ 13 แต่มหาลัยชั้นนำสหรัฐเมิน

(9 มิ.ย. 68) สแตนลีย์ จง (Stanley Zhong) นักเรียนมัธยมปลายจากสหรัฐฯ ที่มีโปรไฟล์ระดับ 'สุดยอด' ทั้ง GPA 4.42, คะแนน SAT 1590 และผลงานด้านการเขียนโค้ดระดับประเทศ สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเน็ตเมื่อเขาเปิดเผยว่าถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยชั้นนำถึง 15 จาก 18 แห่งที่ยื่นสมัคร รวมถึง MIT, Stanford, UC Berkeley และ Carnegie Mellon

แม้จะมีดีกรีเข้ารอบสูงสุดในการแข่งขันเขียนโปรแกรมระดับประเทศ และได้รับข้อเสนองานจาก Google ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยม (13 ขวบ) แต่ สแตนลีย์ จง กลับไม่ได้รับการตอบรับจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ สร้างคำถามว่า “เกณฑ์คัดเลือกนักศึกษายุคนี้” มองข้ามความสามารถที่แท้จริงไปหรือไม่

สังคมออนไลน์ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการรับนักศึกษาอาจให้น้ำหนักกับประเด็นความหลากหลายหรือสมดุลทางสังคมมากกว่าความสามารถเชิงวิชาการ อีกด้านหนึ่งก็มีกระแสไม่พอใจจากกลุ่มนักเรียนอเมริกันที่ชี้ว่า ที่นั่งในมหาวิทยาลัยบางส่วนถูกแทนที่โดยผู้อพยพผิดกฎหมายที่ได้รับสิทธิ์เรียนฟรีและเงินช่วยเหลือจากรัฐ

แม้ถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่นักเรียนเชื้อสายจีนรายนี้เลือกเดินหน้าตามเส้นทางของตนเอง เขาตอบรับข้อเสนอจาก Google และเริ่มต้นทำงานเต็มเวลาในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ กลายเป็นภาพสะท้อนว่าระบบการศึกษาอาจกำลัง 'ไม่ตอบโจทย์' คนเก่ง และตั้งคำถามต่อความยุติธรรมของการคัดเลือกในระดับอุดมศึกษาอีกครั้ง

‘พิธา’ ออกโรงป้อง ‘จิรัฏฐ์’ สวนกลับ ‘ธนกร’ ลั่น ‘ทหาร’ มีไว้ปกป้องประเทศไม่ใช่ปกครอง

(9 มิ.ย. 68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แชร์ข่าวกรณีนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ข้องใจนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน (ปชน.) หลังโจมตีว่ากองทัพฉวยโอกาสสร้างกระแสทำพีอาร์ไม่ควรเล่นการเมือง

โดยนายพิธา ระบุว่า “ปกป้อง”ประเทศ ไม่ใช่ “ปกครอง”ประเทศครับ
เพราะฉะนั้น ในอดีตที่ผ่านมา พวกเราอดีตพรรคก้าวไกล จึงพยายามปกป้องทหารที่ปกป้องประเทศ และปฏิเสธทหารที่พยายามจะปกครอง

เราปกป้องทหารที่ “ปกป้อง” ประเทศ
ทหารมืออาชีพที่ยืนอยู่ข้างประชาชน

ให้มีสิทธิมนุษยชน สวัสดิการ ปลอดทุจริต มีเส้นทางอาชีพ มีเครื่องมือ เทคโนโลยี ที่เท่าทันและใช้ได้จริง
แต่เราปฏิเสธทหารที่ “ปกครอง” ประเทศ
ผู้ที่ใช้อำนาจนอกระบบ ทำรัฐประหาร

แทรกแซงการเมือง อยู่เหนือพลเรือน เบียดเบียนงบประมาณของประชาชนเกินควร ทำสงครามข่าวสาร IO กับประชาชน ใช้อำนาจ VVIP เอื้อนายทุนทั้งในและนอกประเทศ นั่นต่างหากที่เราปฏิเสธ

ป.ล เช่นเดียวกับประชาชนทุกคน ผมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทยด้วยความห่วงใย แต่ไม่ประสงค์จะถูกลากและตอบโต้ ทำเป็นชนวนให้สถานการณ์ตึงเครียดหรือเกิดความขัดแย้งมากไปกว่านี้ เชื่อว่า เพื่อนๆ ของผมที่ พรรคประชาชน กำลังให้สติ และ แนะนำรัฐบาลได้ดีอยู่แล้วท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบางและเปลี่ยนไปได้ตลอด ความเห็นผมคงไม่จำเป็น

แต่นานๆที่จะโพสต์ทีนึง คิดว่าประชาชน อยากเห็น การจัดการความขัดแย้งอย่าง มียุทธศาสตร์รู้ว่าอะไร ระยะสั้น กลาง ยาว รู้เขา รู้เรา ครบถ้วนใช้ทั้งมาตรการที่หลากหลายมากกว่ามาตรการทางทหาร และ ได้สัดส่วน (Strategic, Comprehensive และ Proportionate) ส่วนข้อเสนอของผมสำหรับสถานการณ์ พึ่งส่งบทความให้สำนักพิมพ์ครับ : )

11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 วันคล้ายวันเกิด ‘ครูบาศรีวิชัย’ นักบุญล้านนาผู้นำสร้างถนนขึ้น ‘ดอยสุเทพ’

วันที่ 11 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันเกิดของ 'ครูบาเจ้าศรีวิชัย' หรือ 'ครูบาศรีวิชัย' นักบุญแห่งล้านนา ผู้ได้รับการยกย่องจากชาวเหนือว่าเป็นพระสงฆ์ผู้เปี่ยมศรัทธาและจริยวัตรงดงาม ท่านเกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน ปัจจุบันคือ ตำบลศรีวิชัย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

ครูบาศรีวิชัยอุปสมบทเมื่ออายุ 21 ปี และได้รับฉายาว่า 'สิริวิชโยภิกขุ' ท่านมีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ฉันอาหารมื้อเดียว ไม่ฉันเนื้อสัตว์ และยึดหลักสันโดษ ทำให้ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากชาวบ้านทั่วภาคเหนือ โดยเฉพาะจากการเป็นผู้นำในการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพในปี พ.ศ. 2477 ที่ระดมแรงศรัทธาจากประชาชนกว่าแสนคน โดยไม่ใช้งบประมาณจากรัฐเลย

แม้จะได้รับการยกย่องจากชาวบ้าน แต่ครูบาศรีวิชัยกลับถูกจับตามองจากรัฐและคณะสงฆ์ส่วนกลาง เนื่องจากบทบาทที่โดดเด่นเกินกรอบการควบคุม ท่านถูกกล่าวหาหลายครั้ง เช่น ตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์โดยไม่ได้รับอนุญาต บวชพระเณรเอง รวมถึงยุยงพระสงฆ์ให้ไม่ขึ้นกับคณะสงฆ์กลาง ท้ายที่สุด ถูกกักบริเวณและสอบสวนหลายครั้งตลอดชีวิตสมณเพศ

ครูบาศรีวิชัยจึงไม่ใช่เพียงพระผู้ทรงศีลเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของพลังศรัทธาจากท้องถิ่น ที่ขัดแย้งกับอำนาจรัฐส่วนกลางในช่วงเปลี่ยนผ่านของการรวมศูนย์อำนาจ ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 สิริอายุ 60 ปี แม้กายจะสิ้นไปนาน แต่ชื่อของครูบาศรีวิชัยยังคงเป็นที่เคารพสักการะ และเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังประชาชนล้านนาจนถึงทุกวันนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top