Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ตม.จว.ชุมพร จับกุมขบวนการขนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง โดยใช้รถนำ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลัง สภ.ปะทิว และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันจับกุม นายสุธะ อายุ 51 ปี สัญชาติไทย ในความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และนายอาซะ อายุ 44 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมพวกรวม 11 คน ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” “ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กรณีแรงงานต่างด้าวข้ามเขตจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยสามารถจับกุมได้ที่ บริเวณวัดถ้ำเขาพลู หมู่ที่ 3 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จว.ชุมพร

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะทิว ภ.จว.ชุมพร ได้รับแจ้งว่า มีรถนำบุคคลต่างด้าวมาปล่อยทิ้งไว้ที่ศาลาหลังเมรุ ภายในวัดถ้ำเขาพลู อ.ปะทิว จว.ชุมพร จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ร่วมตรวจสอบ พบเป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 11 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัวบุคคลต่างด้าวที่ถูกกฎหมายมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้ออกติดตามรถที่ขนแรงงานต่างด้าวมาปล่อยทิ้งไว้ จนกระทั่งสามารถสกัดจับรถขนกระเป๋าสัมภาระได้ 1 คัน บริเวณถนนสายปากคลอง-บางสะพานน้อย (รอยต่อระหว่างจว.ชุมพร - จว.ประจวบคีรีขันธ์)

โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านมาบอำมฤต ภ.จว.ชุมพร จากการตรวจสอบพบว่า เป็นรถกระบะสีน้ำตาล มีหลังคาปิดหลังกระบะทะเบียนเลย โดยมีนายสุธะ อายุ 51 ปี เป็นผู้ขับขี่ และพบกระเป๋าสัมภาระ 11 ใบ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้และนำมาตรวจสอบพบว่าเป็นกระเป๋าของคนต่างด้าวที่ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ทั้ง 11 คน สอบถามนายสุธะ ผู้ต้องหา ให้การรับว่ารับจ้างขนกระเป๋าสัมภาระของแรงงานต่างด้าวทั้ง 11 คน โดยรับมาจากบริเวณป่าริมถนนแถว ต.ควนมีด อ.จะนะ จว.สงขลา ได้ออกมาจาก จ.สงขลา โดยใช้เส้นทางถนนสายหลัก เอเชีย 41 และถนนเพชรเกษมมุ่งหน้า จว.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อมาถึงบริเวณ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ได้เลี้ยวขวาเข้ามาทาง อ.ปะทิว จว.ชุมพร เพื่อจะวิ่งบนถนนสายรอง ไปยัง จว.ประจวบคีรีขันธ์ และเมื่อไปถึงบริเวณ ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จว.ชุมพร ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบและจับกุมไว้ได้

การขยายผล จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 11 คน ได้เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย เพื่อต้องการจะกลับประเทศเมียนมาทางชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก โดยเสียค่าเดินทางให้กับนายหน้าจากประเทศมาเลเซีย เป็นจำนวนคนละประมาณ 3,200 - 3,500 ริงกิต จากนั้นจะมีรถรับพวกตนมาเป็นทอด ๆ โดยการลักลอบหลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นบริเวณใด แต่ได้มีการนั่งเรือหางยาวข้าม ลำน้ำใช้เวลาประมาณ 1 นาที จากนั้นก็มีรถยนต์กระบะมารับพวกตนเป็นทอด ๆ โดยครั้งสุดท้ายก่อนถูกจับกุมได้ขึ้นรถกระบะชนิดตอนครึ่งและนั่งเบียดเสียดกันมาอยู่ด้านหน้ารถทั้งหมด และมีรถกระบะอีกคันทำหน้าที่ขนกระเป๋าสัมภาระ จนกระทั่งถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ ณ ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงทราบว่า รถกระบะคันที่ขนแรงงาน เป็นรถกระบะสีขาวทะเบียนนครราชสีมา นายสุธะ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ ให้การรับว่ารถทั้ง 2 คัน ได้แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันบางจาก ริมถนนสายเอเชีย 41 (ขาขึ้น) อ.ละแม จว.ชุมพร ก่อนที่จะถูกตรวจค้นและจับกุม

จากการสืบสวนและตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางก่อนมาถึงที่เกิดเหตุพบรถกระบะที่นายสุธะ ผู้ต้องหา ขับนำหน้ารถกระบะที่ขนแรงงานต่างด้าวทั้ง 11 คน เพื่อดูเส้นทางตลอดระยะทางกว่า 100 กม. เมื่อเข้าเขต จว.ชุมพร นั้น เชื่อได้ว่า นายสุธะ ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ มีพฤติการณ์ร่วมกันกับผู้ต้องหาอีกคนให้การช่วยเหลือ ซ่อนเร้น แก่แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม โดยการนำพาคนต่างด้าวจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจะนำไปส่งยังจุดหมายตามที่ได้รับการว่าจ้าง ซึ่งจากกการซักถามปากคำนายสุธะ ผู้ต้องหา ยังพบข้อมูลการติดต่อทางโทรศัพท์และการโอนเงินทางบัญชีของนายสุธะ ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลหาตัวผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

Berlin Airlift ปฎิบัติการขนส่ง 'ข้ามเวหา' สะท้านโลก แผนสุดแสบ!! ดัดหลังโซเวียต ยุคสงครามเย็น

Berlin Airlift ถือเป็นอีกปฎิบัติการขนส่งทางอากาศครั้งใหญ่ของโลกที่มักจะถูกพูดหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาด้านโลจิสติกส์ทางอากาศอย่างน่าสนใจ

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำข้อตกลงพอทสดัม (Potsdam Agreement) แบ่งเยอรมนีออกเป็น 4 ส่วน และแบ่งกันควบคุมส่วนละประเทศ ซึ่งได้แก่สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และโซเวียต ถึงแม้กรุงเบอร์ลินจะอยู่ใจกลางเขตปกครองของโซเวียตที่อยู่ทางตะวันออกของเยอรมนี แต่ก็ถูกแบ่งการปกครองออกเป็น 4 ส่วนเช่นกัน จึงทำให้เบอร์ลินเป็นเหมือนไข่แดงที่อยู่ท่ามกลางกองกำลังของโซเวียต

ต่อมามีความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างสองขั้วอำนาจที่ทางฝ่ายตะวันตกประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ต้องการฟื้นฟูเยอรมนีขึ้นมาใหม่และพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของยุโรปแต่โซเวียตไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ เมื่อทางฝ่ายตะวันตกได้ออกเงินสกุลเงินใหม่เพื่อใช้ในเยอรมันตะวันตก เพราะต้องการตัดขาดทางเศรษฐกิจกับเยอรมันตะวันออกในการครอบครองของโซเวียต 

ในวันที่ 25 มิถุนายน 1948 โซเวียต จึงตอบโต้ด้วยการปิดเส้นทางการจราจรเข้าออกเบอร์ลินทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ คงเหลือไว้แต่เพียงเส้นทางการบินเท่านั้น เพื่อเป็นการกดดันให้ฝ่ายตะวันตกถอนกองกำลังออกจากเบอร์ลิน

ฝ่ายพันธมิตรตะวันตก ซึ่งมีภารกิจเร่งด่วนในการจัดส่งอาหาร เวชภัณฑ์ และของใช้ที่จำเป็นให้แก่ประชาชนและทหารที่อาศัยในอยู่ในเบอร์ลินตะวันตกมากกว่าสองล้านคน (คาดการณ์ว่าจะต้องจัดส่งสินค้าวันละไม่น้อยกว่า 4,500 ตัน) จึงประสบปัญหาโดยทันที

อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพสหรัฐฯ ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือปัญหานี้ โดยมอบหมายภารกิจให้แก่ พลตรี วิลเลียม เอช. ทันเนอร์ (William H. Tunner) ผู้ที่มีผลงานการจัดส่งยุทธภัณฑ์จากอินเดียไปยังจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ภารกิจนี้อาจไม่ใช่เรื่องยากสำหรับปัจจุบัน แต่หากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว ที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยเท่ากับในวันนี้ จึงจัดได้ว่าสะท้านวงการโลจิสติกส์กันเลยทีเดียว เพราะด้วยพาหนะหลักที่ใช้ในการขนส่งคือ เครื่องบิน Douglas C-54 นั้น สามารถขนได้มากสุดครั้งละ 10 ตัน จึงต้องมีเที่ยวบินไปส่งสินค้าที่เบอร์ลินไม่น้อยกว่า 450 เที่ยวต่อวัน 

หลังรับภารกิจดังกล่าวมา นายพลทันเนอร์ ได้ออกแบบระบบการขนส่งสินค้า โดยให้มีเที่ยวบินห่างกันทุกๆ 3 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาต่ำสุดที่ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัย เท่ากับ 24 ชั่วโมงจะมีเที่ยวบินลงจอดที่เบอร์ลินมากสุด 480 เที่ยว และทุกเที่ยวบินต้องดำเนินงานตามเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเครื่องบินลำอื่นที่ตามมา

เริ่มจากเครื่องบินออกที่สนามบินต้นทางตรงเวลา ใช้ความเร็วและบินไปตามเส้นทางที่กำหนด และมีโอกาสในการนำเครื่องบินลงที่เบอร์ลินเพียงครั้งเดียว หากนักบินทำไม่สำเร็จต้องขนสินค้ากลับไปยังต้นทางเพราะหากบินวนอีกครั้งจะส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินที่ตามมา

ในอดีตเมื่อนักบินนำเครื่องลงแล้วจะลงจากเครื่องเพื่อไปพักผ่อนและรับประทานอาหารว่างพร้อมกับฟังบรรยายสรุปเที่ยวบินขากลับ แต่ในตอนนี้ ทันเนอร์ มองว่าเป็นการเสียเวลา จึงได้ออกแนวทางปฏิบัติใหม่ให้ลูกเรืออยู่บนเครื่องขณะที่สินค้ากำลังถูกขนลงจะมีอาหารว่างเสริฟถึงเครื่องพร้อมกับเจ้าหน้าที่มาบรรยายสรุป จึงทำให้เวลาที่เครื่องลงจอดใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็สามารถบินกลับขึ้นไปใหม่ได้

ภารกิจในครั้งนี้ใช้เครื่องบินถึง 300 ลำ โดยสับเปลี่ยนเป็นเครื่องบินปฏิบัติการ 200 ลำ และอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง 100 ลำ 

ทั้งนี้ ทันเนอร์ ได้มีการปรับระบบการซ่อมบำรุงเครื่องบินใหม่ โดยแต่เดิมทีมช่างชุดเดียวซ่อมทุกอย่างในเครื่องที่ตนดูแล แต่ระบบใหม่คือทีมช่างที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านจะอยู่ประจำที่ แล้วเครื่องบินจะถูกส่งต่อไปยังทีมช่างในแต่ละสถานีแทน เพื่อให้การซ่อมบำรุงทำได้รวดเร็วขึ้น 

เมื่อการดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เขาจึงได้ขยายจุดรับสินค้าไปยังสนามบินอีกสองแห่ง ซึ่งอยู่ในเบอร์ลินตะวันตก

ยิ่งไปกว่านั้น พอใกล้ถึงฤดูหนาว ความต้องการสินค้าก็เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะถ่านหิน เพื่อใช้สร้างความอบอุ่น ที่คาดการณ์ว่าต้องการสินค้ามากถึง 7,000 ตันต่อวัน 

ดังนั้น ทันเนอร์ จึงได้วางแผนการจัดส่งถ่านหินให้ได้ถึงวันละ 10,000 ตัน เพื่อสร้างประวัติศาสตร์การขนส่งสินค้าทางอากาศครั้งใหญ่ โดยเขากำหนดวันที่ดำเนินงาน คือ วันอีสเตอร์ในปี 1949 ซึ่งในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงของวันนั้น ชาวเบอร์ลินจะได้เห็นเครื่องบินต่อแถวยาวเป็นขบวนพาเหรดเข้ามาส่งสินค้า 

การขนส่งครั้งนั้น ได้สร้างสถิติด้วยเที่ยวบินทั้งหมด 1,398 เที่ยว กับถ่านหินจำนวน 12,941 ตัน เทียบเท่ากับการขนส่งด้วยรถไฟจำนวน 600 คัน โดยไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว

ดูเหมือนว่าการปิดล้อมเบอร์ลินของโซเวียตจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง ในทางกลับกันยังถูกพันธมิตรตะวันตกตอบโต้ด้วยการงดส่งสินค้าไปยังเยอรมันตะวันออก ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนและทางโซเวียตเกรงว่าหาปล่อยไว้อาจเกิดการลุกฮือขึ้นต่อต้านของประชาชนได้ จึงจำเป็นต้องยกเลิกการปิดล้อมหลังจากที่ดำเนินการปิดล้อมเป็นเวลา 11 เดือน 

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการขนส่งสินค้าทางอากาศยังดำเนินงานต่อไปอีก 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าโซเวียตจะไม่ทำการปิดล้อมอีก

สำหรับปฏิบัติ Berlin Airlift ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 1 กันยายน 1949 โดยมีเที่ยวบินทั้งหมด 276,926 เที่ยว ขนส่งสินค้ามากกว่า 2.3 ล้านตัน ซึ่งภารกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้จากการบริหารงานของ พลตรี วิลเลียม เอช. ทันเนอร์ ที่ปรับปรุงกระบวนการทำงานต่าง ๆ และเป็นต้นแบบให้แก่การบินในปัจจุบัน ซึ่งเมืองเบอร์ลินได้ตั้งชื่อถนนตามชื่อของท่านเพื่อเป็นเกียรติต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.logisticshalloffame.net/en/members/william-h-tunner

https://www.defense.gov/Explore/Inside-DOD/Blog/Article/2062719/the-berlin-airlift-what-it-was-its-importance-in-the-cold-war/

https://history.state.gov/milestones/1945-1952/berlin-airlift

https://www.americanheritage.com/william-h-tunner-berlin-airlift-commander#1

เคาะแล้ว! ดีเดย์ 7 มิถุนายน 64 เริ่มรับลงทะเบียน ณ จุดบริการฉีดวัคซีน (On-site ไม่ใช่ Walk-in)

เคาะแล้ว! ดีเดย์ 7 มิถุนายน 64 เริ่มรับลงทะเบียน ณ จุดบริการฉีดวัคซีน (On-site ไม่ใช่ Walk-in) แบบปูพรมทั่วประเทศ

ย้ำ จังหวัดไหนมีความพร้อม ดำเนินการได้ทันที


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ส.อ.ท. เผยโควิดระลอก 3 ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้ออย่างหนัก ล่าสุด พบคนจองรถในงานมอเตอร์โชว์ เลื่อนรับรถและยกเลิกการจองเพียบ หลังลูกค้าไม่มั่นใจเรื่องการเงิน อีกทั้งธนาคารปฏิเสธให้สินเชื่อรถยนต์มากขึ้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบให้ยอดการจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด ที่มีจำนวนยอดจองกว่า 27,800 คัน มีผู้จองรถยนต์ในงานกว่า 30% ที่ขอชะลอการรับรถยนต์ออกไป รวมทั้งยกเลิกการจอง จากปกติที่ยอดชะลอการรับรถยนต์มีเพียง 5-6% เท่านั้น เนื่องจากลูกค้าไม่มั่นใจเรื่องการเงินในอนาคต รวมทั้งธนาคารปฏิเสธการให้สินเชื่อรถยนต์มากขึ้น ประมาณ 20-30% จากปกติที่จะปล่อยสินเชื่อให้เกือบหมด

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยังมองว่า หากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งกำลังระบาดอย่างหนักในช่วงนี้เริ่มค่อย ๆ คลี่คลายลง เชื่อว่า สถาบันการเงินต่าง ๆ จะกล้าปล่อยสินเชื่อได้ตามปกติ และตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นมา มีลูกค้าเข้ามาในโชว์รูมรถยนต์ลดลงกว่า 50% เพราะหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน ซึ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศตอนนี้เงียบเหงา

ทั้งนี้ กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ปี 64 ไว้ที่ 1.5 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและผลิตเพื่อส่งออกอย่างละ 750,000 คัน ซึ่งการผลิต จำหน่ายและส่งออกเม.ย.ปีนี้และรวม 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) ปีนี้มีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสเกินเป้าหมายดังกล่าวได้แต่ด้วยจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่จะกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ ประกอบกับการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ (ชิป) ทั่วโลกที่มีการประเมินว่าจะลากยาวไปถึงปี 65 ทำให้กลุ่มฯ จึงต้องขอเวลา 2 เดือนติดตามสถานการณ์เหล่านี้ให้ชัดเจนก่อนที่จะมีการปรับเป้าหมายเพิ่มหรือไม่


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

โลกการเงินมุ่งหน้าสู่กระแสยุคดิจิทัลไม่หยุดยั้ง มาคราวนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED เตรียมรวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิ ถกจริงจังเรื่องการสร้างเงินดิจิทัล 'ดอลลาร์' ออกสู่ตลาดในสหรัฐฯ ในปีนี้

แผนการสร้างเงินดิจิทัล ดอลลาร์ ได้เริ่มมีการศึกษาข้อมูลโดยทีมงานของ FED มานานหลายปี และในที่สุดก็เริ่มเป็นโครงการจริงจังเสียที โดย FED ได้ให้ทีมวิจัยชั้นนำจากสถาบัน Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT มาวิเคราะห์ข้อมูลในการสร้างเงินดิจิทัล ดอลลาร์ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปี 2020

นาย เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าตอนนี้ทาง FED ก็ได้รับข้อมูลพร้อมเรียบร้อยแล้ว เตรียมเปิดประชุมหารือกันอีกครั้งภายในกลางปีนี้ ที่หลายฝ่ายต่างคาดหมายว่า ดิจิทัล ดอลลาร์ มาแน่!! ไม่นานเกินรอ

แต่ทั้งนี้ ทาง FED ย้ำว่า ดิจิทัล ดอลลาร์ ไม่ใช่เงิน Crypto อย่าง Bitcoin หรือ Dogecoin ที่เป็นการซื้อขายนอกระบบธนาคารใน Blockchain ซึ่งไม่อิงกับค่าเงินสกุลใด ๆ ในโลก แต่ดิจิทัล ดอลลาร์ ยังคงอยู่ในระบบเดียวกับเงินดอลลาร์ที่ใช้กันอยู่ในสหรัฐฯ และยังอยู่ภายใต้การดูแลของ FED

ทว่าเงินดิจิทัล ดอลลาร์ จะทลายข้อจำกัดหลายอย่างของธนบัตรดอลลาร์ ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้การใช้เงินแพร่สะพัดได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก และเข้าถึงผู้ใช้ทุกกลุ่ม แม้แต่กลุ่มคนชั้นรากหญ้าที่ไม่สามารถเข้าแหล่งทุนในระบบธนาคารได้ แถมยังเป็นการแก้ปัญหา Pain Point ใหญ่ในระบบเงินดิจิทัล คือมีค่าเงินที่เสถียรกว่าเงิน Crypto Currency นั่นเอง

สำหรับสิ่งที่ FED คาดหวังอย่างมาก กับการสร้างเงินดิจิทัล คอลลาร์ ในระบบการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของระบบการเงินของโลก คือการสกัดอิทธิพลจากเงิน ดิจิทัล หยวน ที่รัฐบาลจีนได้เริ่มทดลองปล่อยออกมาใช้แล้วตั้งแต่ปี 2020 ใน 4 เมืองนำร่อง อย่าง เสิ่นเจิ้น ซูโจว เฉิงตู และ สงอัน และในปีนี้จีนได้ปล่อยให้ใช้ในระบบเพิ่มอีก 6 เมืองสำคัญของจีน ที่ เซี่ยงไฮ้ ไห่หนาน ฉางซา ต้าเหลียน ซีอาน และ ชิงเต่า

และเมื่อใดก็ตามที่จีนสามารถปล่อยให้มีการใช้เงินดิจิทัล หยวน ได้อย่างเต็มรูปแบบ ก็จะเพิ่มศักยภาพให้กับเงินหยวนจีน ในการเป็นสื่อกลางการค้าระหว่างประเทศ และย่อมมีผลต่อการถือครองเงินดอลลาร์ในตลาดโลกที่ลดลงได้ ที่น่าจะเป็นเหตุผลหลักในการผลักดันให้ FED เร่งแผนการใช้ดิจิทัล ดอลลาร์ ให้ได้ในเร็ววันนี้

และนอกจาก ดิจิทัล หยวน และ ดิจิทัล ดอลลาร์ ที่กำลังจะออกมาฟาดฟันกันในระบบการเงินโลกแล้ว ล่าสุดกลุ่มสหภาพยุโรปเตรียมพิจารณาออก ดิจิทัล ยูโร เช่นเดียวกัน เพื่อรักษาอำนาจของเงินยูโรในท้องตลาด และคาดว่าหลายประเทศแถวหน้าของโลก ทั้งอินเดีย ญี่ปุน เกาหลีใต้ ก็มีแผนการที่จะออกเงินดิจิทัล สกุลเงินในประเทศในปีนี้

และด้วยกระแสเงินดิจิทัลที่กำลังจะมาในเร็ววันนี้ อาจจะเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงินของมนุษย์เราไปตลอดกาลก็เป็นได้

 

อ้างอิง : https://www.cnbc.com/2021/04/19/central-bank-digital-currency-is-the-next-major-financial-disruptor.html

https://www.marketwatch.com/story/fed-will-launch-a-broad-discussion-of-a-digital-dollar-this-summer-powell-says-11621534045?mod=home-page

https://en.wikipedia.org/wiki/Digital_renminbi


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘อลงกรณ์’ ร่วมปกป้องเพชรบุรี ระดมพลคนเพชรฯ ผนึก 3 กระทรวง ‘เกษตร-สาธารณสุข-พาณิชย์’ สนับสนุนทีมจังหวัดเดินหน้ายุทธศาสตร์ ‘1ปิด1เปิด’ เร่งขจัดโควิด ‘สาธิต’ ยืนยันเตรียมส่งวัคซีนระดมฉีดโดยเร็ว ‘กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย’ พร้อมมอบเงินสนับสนุนโรงพยาบาลพระจอมเกล้า

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะอดีตส.ส.เพชรบุรี เปิดเผยวันนี้ว่า (21 พ.ค.) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จากคลัสเตอร์โรงงานแคลคอมพ์ ในอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีที่รุนแรงมากขึ้น ตนจึงได้ประสานกับ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ พร้อมกับระดมพลคนเพชรบุรีและภาคเอกชนร่วมมือกันเดินหน้ายุทธศาสตร์ ‘1ปิด1เปิด’ สนับสนุนจังหวัดเพชรบุรีในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในทันทีตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เป็นต้นไป

จากการประสานงานกับทีมจังหวัดเพชรบุรีและดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 22 พ.ค. 64 (กรมปศุสัตว์โดยด่านเพชรบุรีจะส่งทีมฉีดพ่นฆ่าเชื้อปฏิบัติการในเขตอำเภอเขาย้อยตามพื้นที่ที่ทางศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าอำเภอเขาย้อยที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการและนายอำเภอเขาย้อยกำหนด ทั้งนี้อธิบดีกรมปศุสัตว์พร้อมสนับสนุนทีมและน้ำยาฆ่าเชื้อมาเสริมเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฉีดพ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่เสี่ยงในเขตอำเภอเขาย้อยและพื้นที่เฝ้าระวังในอำเภออื่น ๆ

นอกจากนี้ได้ประสานกับดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าทางกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งส่งฉีดวัคซีนมาให้โดยเร็วที่สุด เช่นเดียวกับกรณีการระบาดของคลัสเตอร์ตลาดกุ้งและโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร

ส่วนการเปิดเศรษฐกิจนั้น ในวันอาทิตย์ 23 พ.ค.64 จะจัดทีมอีคอมเมิร์ซของกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์ บริษัทไปรษณีย์ไทย หอการค้า สภาอุตสาหกรรม AIC และทีมจังหวัดเพชรบุรีลงพื้นที่ตลาดกลางสินค้าเกษตรที่อำเภอท่ายางและอำเภอบ้านลาดเพื่อส่งเสริมการค้าการขายด้วยระบบอีคอมเมิร์ซตลาดกลางสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ‘1ปิด1เปิด’ คือการเร่งปิดเกมโควิด-19 พร้อมกับเปิดเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน

ถ้าล็อคดาวน์อย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องดูแลปัญหาเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน เพราะชาวบ้านต้องกินต้องใช้ ธุรกิจการค้าต้องประกอบการและเกษตรกรต้องขายผลผลิตทุกวัน อย่าง 2 วันที่ผ่านมาได้เร่งแก้ปัญหาโรคระบาดลัมปีสกินในวัวที่จังหวัดเพชรบุรีก็ใช้ยุทธศาสตร์ ‘ปิด1เปิด’ เช่นกันคือ ขจัดการแพร่ระบาดพร้อมกับผ่อนปรนให้ส่งโคจำหน่ายขายข้ามเขตไปโรงชำแหละได้สำเร็จเป็นครั้งแรกภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของกรมปศุสัตว์ด้วยความร่วมมือระหว่างกลุ่มเกษตรกร ฟาร์มวัว กรมปศุสัตว์และทีมจังหวัดเพชรบุรี

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้มีโรงพยาบาลสนามโดยโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเป็นผู้ดูแลได้เปิดรองรับผู้ติดเชื้อในจังหวัดเพชรบุรีหลายแห่งยังต้องการการสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ แจ้งว่ากลุ่มเพื่อนเฉลิมชัยพร้อมบริจาคเงินจำนวน 2 แสนบาทเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลพระจอมเกล้าโดยมอบนายอภิชาติ สุภาแพ่ง นายอรรถพร พลบุตรและ ดร.กัมพล สุภาแพ่ง เป็นตัวแทนมอบในวันจันทร์ที่ 24 พ.ค.นี้


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง 'จีน' กับเส้นทางสู่อวกาศ ที่เริ่มต้นจาก 'คำดูถูก'

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2021 ประเทศจีนได้ส่งยานสำรวจจู้หรง ที่มากับยานเทียนเหวิน-1 ร่อนลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้สำเร็จเป็นชาติที่ 3 ของโลก ต่อจากสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย แต่ความสำเร็จครั้งนี้ของจีนถือว่าล้ำหน้ากว่านั้น เพราะหากนับยานที่ร่อนลงจอดบนดาวอังคารแล้วยังสามารถติดต่อสื่อสารกับยานแม่ได้ ก็จะนับว่าจีนเป็นชาติที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกาที่ทำได้ และยังเป็นการประกาศความสำเร็จตามหลังนาซ่า ที่ส่งยาน "เพอร์ซีเวอแรนซ์" ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้ก่อนหน้านั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์เพียงไม่กี่เดือน 

ความสำเร็จของโครงการสำรวจอวกาศของจีนครั้งนี้ ทำให้ทั่วโลกเริ่มหันมาสนใจว่าจีนจะไปได้ไกลถึงไหน และนี่อาจเป็นการเปิดศักราชสงครามเย็นยุคใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐฯ อย่างที่สหรัฐฯ และ สหภาพโซเวียต เคยขับเคี่ยวกันอย่างสูสีในการมุ่งสู่ห้วงอวกาศเมื่อกว่า 70 ปีก่อนก็เป็นได้ 

ถ้าหากมองย้อนกลับไปในสมัยที่โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็นใหม่ ๆ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจีนจะกระโดดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจอวกาศ หรือ แม้แต่จะพัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานได้ทัดเทียมกับชาติมหาอำนาจของโลกได้อย่างที่เห็นในวันนี้ 

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจีนจะไม่เคยฝันว่าจะต้องได้ไปเหยียบเย้ยชมจันทร์อย่างชาติตะวันตกให้ได้สักวันหนึ่ง 

จุดเริ่มต้นของความพยายามมุ่งสู่อวกาศของจีนนั้นมาจากปณิธานของเหมา เจ๋อตุง ที่ได้เห็นยานสปุตนิก-1 ดาวเทียมดวงแรกของโลกจากสหภาพโซเวียต ที่ส่งออกไปโคจรรอบโลกได้สำเร็จในปี 1957 จึงตั้งเป้าหมายว่าจีนต้องส่งยานอวกาศสักลำออกไปนอกโลกบ้างให้ได้ หลังจากนั้น เหมา เจ๋อตุง จึงสั่งเดินหน้าโครงการสำรวจอวกาศของจีนทันที ภายใต้ชื่อ Project 581 ในปี 1958

เมื่อมีโปรเจกต์เริ่มต้นแล้ว ก็ต้องมีคนมาคุม ที่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอากาศยานที่ล้ำสมัยแบบตะวันตกที่หาไม่ได้ในประเทศจีน แต่ในที่สุด เหมา เจ๋อตุง ก็ได้หัวกะทิระดับประเทศมา ที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา และต้องยอมแลกกับนักโทษการเมืองชาวอเมริกันหลายคน 

ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ที่ต่อมาได้รับสมญาว่าเป็นบิดาแห่งการบินอวกาศจีน คนนั้นก็คือ เฉียน สเวเซิน

เฉียน สเวเซิน พื้นเพเป็นคนเซี่ยงไฮ้ เกิดในปี 1911 พร้อมพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์อย่างหาตัวจับยาก จึงได้ทุนจากสหรัฐฯ ไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมการบินที่ Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT

หลังจากจบปริญญาโทที่ MIT แล้ว เฉียน สเวเซิน ย้ายไปทำงานวิจัยพัฒนาด้านอากาศยานระบบแอโรไดนามิกกับ ธีโอดอร์ ฟอน คาร์มาน ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่สถาบัน California Institute of Technology หรือ Caltech ซึ่งในช่วงเวลานั้น ศาตราจารย์ คาร์มาน เป็นผู้ดูแลห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ช่วยพัฒนายานขับเคลื่อนไร้คนขับ และระบบยานขนส่งอวกาศให้กับองค์การ NASA 

และเมื่อเฉียน สเวเซิน จบปริญญาเอกที่ Caltech ในปี 1939 เขาได้รับบรรจุให้ทำงานในกองทัพสหรัฐฯ โดยรับผิดชอบการวิเคราะห์ จรวด และขีปนาวุธของฝ่ายเยอรมัน เพื่อพัฒนาอาวุธให้กับฝ่ายสหรัฐฯ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังได้รับเลือกให้ร่วมเป็นหนึ่งในทีมวิจัยของ Manhattan Project ในการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกอีกด้วย 

แต่พอสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคสงครามเย็นของ 2 ขั้วอำนาจใหม่ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน นำโดยสหรัฐอเมริกาที่ยึดแนวทางเสรีนิยมประชาธิปไตย กับ สหภาพโซเวียตที่เดินตามแนวสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

ประกอบกับช่วงนั้น เหมา เจอตุง สามารถรบชนะรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็ก จึงทำให้จีนกลายเป็นประเทศสังคมนิยมตั้งแต่ 1949 เป็นต้นมา 

ด้วยความกลัวกระแสลัทธิสังคมนิยมในรัฐบาลสหรัฐฯ จึงทำให้ เฉียน สเวเซิน ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นสายลับให้จีน และถูกคุมขังในบ้านพักพร้อมครอบครัวนานหลายปี จนกระทั่งเหมา เจ๋อตุง ได้เจรจากับ ประธานาธิบดี ดไวต์ ไอเซนฮาวร์ เพื่อแลกตัว เฉิน สเวเซิน กับนักโทษการเมืองชาวอเมริกันที่ถูกคุมขังในประเทศจีนหลายคน จนสามารถได้ตัว เฉียน สเวเซิน กลับมาประเทศจีน 

และให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศแห่งชาติจีน หรือ CAST ที่นอกจากเขาจะเป็นคนวางพื้นฐานการพัฒนายานอวกาศ และดาวเทียมให้จีนเป็นคนแรกแล้ว ยังถ่ายทอดความรู้ให้กับนักวิศกรชาวจีนอีกมากมายหลายรุ่น ที่กลายเป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าให้กับโครงการอวกาศของจีน

ตอนแรก เหมา เจ๋อตุง ต้องการเร่งพัฒนาดาวเทียมสัญชาติจีนสู่อวกาศให้ทันภายในปี 1959 เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งการสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ยังทำไม่สำเร็จ ทำได้เพียงการทดลองปล่อยจรวดส่งหนูขาวออกไปนอกชั้นบรรยากาศเท่านั้น 

จนกระทั่งจีนสามารถพัฒนาดาวเทียมดวงแรกได้สำเร็จในปี 1970 ที่ชื่อว่า ตงฟางหง-1 ปล่อยจากศูนย์ส่งดาวเทียมจิ่วเฉวียน ในมณฑลกานซู และทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ 5 ที่สามารถส่งดาวเทียมไปโคจรรอบโลกได้ ตามหลัง สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น 

แต่ทั้งนี้ ในปี 1969 สหรัฐอเมริกาได้ส่งมนุษย์คนแรกไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดวงจันทร์เรียบร้อยแล้วด้วยยานอพอลโล่ 11 

เหมา เจ๋อตุงไม่อยากจะถูกทิ้งห่างไปนาน ยังคงฝันที่ไล่ตามชาติตะวันตกให้ทัน แต่ทว่าการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของจีนก็มีหยุดชะงักนานหลายปีเพราะปัญหาการเมืองในประเทศในช่วงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม จนสิ้นสุดหลังจากการอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตุงในปี 1976 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ NASA เปิดตัวโครงการ Viking เพื่อมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารไปแล้ว

โครงการสำรวจอวกาศยุคแรกจึงไม่ได้รับความสนใจจาก 2 ชาติมหาอำนาจยักษ์ใหญ่เท่าที่ควร เพราะมองว่าเทคโนโลยีของจีนยังล้าหลังอยู่หลายขุม และไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะชวนจีนให้มาเข้าร่วมสมาคม "มุ่งสู่ดวงจันทร์" ไปด้วยกัน 

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนในสมัย เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงได้เริ่มเดินหน้าแผนสำรวจอวกาศจีนขึ้นมาใหม่ โดยคราวนี้จีนตั้งใจพัฒนายานที่สามารถพามนุษย์ขึ้นไปได้จริง ๆ ด้วยโครงการยานเสินโจว และในที่สุดก็ทำสำเร็จกับยานเสินโจว-5 ในปี 2003 ที่สามารถพา หยาง ลี่เว่ย นักบินอวกาศคนแรกของจีนไปสู่นอกโลกได้นาน 21 ชั่วโมง และกลาย เป็นชาติที่ 3 ของโลกที่สามารถก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้ 

การพัฒนายานอวกาศของจีนยังเดินหน้าต่อเนื่อง จีนเริ่มพัฒนากระสวยอวกาศ ฉางเอ๋อ-1 เพื่อวนรอบดวงจันทร์ในปี 2007 และยานเสินโจว-7 ในปี 2008 ที่นักบินอวกาศจีนสามารถออกจากยานมาลอยอยู่นอกชั้นบรรยากาศได้ 

แต่พอมาถึงจุดนี้ แผนการสำรวจอวกาศของจีนก็เริ่มทำให้ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ไม่พอใจ เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาจรวดอวกาศ กับ จรวดพิสัยไกลข้ามทวีป ICBM ที่เป็นอาวุธทางทหารใช้พื้นฐานเดียวกัน 

และในปี 2011 สภาคองเกรซสหรัฐฯ ก็ลงมติแบนโครงการสำรวจอวกาศของจีน ไม่ยอมให้ NASA ใช้งบประมาณไปสนับสนุนโครงการของจีน และไม่ยอมให้จีนใช้สถานีอวกาศนานาชาติที่ดูแลโดย NASA ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ไม่ต้องการให้จีนแอบใช้เทคโนโลยีอวกาศของสหรัฐฯ ไปพัฒนาอาวุธ กล่าวหาว่าจีนแอบขโมยข้อมูลจากห้องแล็บของ NASA รวมถึง ดาวเทียมวงโคจรต่ำของจีน มีเทคโนโลยีที่ล้าหลัง และจะกลายเป็นขยะในชั้นบรรยากาศที่อาจเป็นอันตรายกับโลกในภายหลัง

แต่จีนไม่ยอมแพ้ แก้ลำด้วยการสร้างสถานีอวกาศเป็นของตัวเองในโครงการ เทียนกง-1 ออกสู่ชั้นบรรยากาศในปี 2011 เช่นเดียวกัน และตามมาด้วยสถานีอวกาศเทียนกง-2 ในปี 2016 

และในปี 2019 ทีมสำรวจอวกาศจีนก็สร้างความฮือฮาให้กับโลกอีกครั้ง ที่สามารถนำยาน ฉางเอ๋อ-4 ร่อนลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ในด้านที่ยังไม่เคยมีประเทศไหนสำรวจมาก่อน จนนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการสำรวจดวงจันทร์ 

และต่อมาในปี 2020 จีนก็บรรลุภารกิจส่งดาวเทียมเป่ยโต่ว ที่เป็นดาวเทียมระบุพิกัดสัญชาติจีนที่ครอบคลุมพิกัดทั่วโลก ท้าทายธุรกิจดาวเทียมระบบ GPS ของสหรัฐฯ ได้แล้วในตอนนี้ 

จนกระทั่งวันนี้ เทคโนโลยีอวกาศของจีนก็ขยับเข้าใกล้สหรัฐฯ มากขึ้นจากความสำเร็จของยานจู้หรง-1 เพื่อมุ่งหน้าสำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร นับว่า 60 ปีของโครงการพัฒนายานอวกาศของจีนเดินทางมาไกลมาก จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลย

แม้ความจริงในตอนนี้ จีนยังไม่สามารถทัดเทียมสหรัฐฯ ได้ ในโครงการอวกาศ และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะไปถึงจุดที่สหรัฐฯ ทำได้ในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันจนไม่เห็นฝุ่น แถมยังสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ใกล้เคียงในระดับหายใจรดต้นคอ

เรื่องนี้ เหมา เจ๋อตุง ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อย่าปรามาสว่าเป็นเพียงฝันลม ๆ แร้ง ๆ เพราะก้าวแรกของความมุ่งมั่นนั้นสำคัญเสมอ 

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าประเทศต่าง ๆ ทำไมถึงอยากมุ่งสู่นอกโลก และหากถามว่าการสำรวจอวกาศด้วยงบประมาณมากมายมหาศาลนั้น โลกจะได้ประโยชน์อะไร? 

การแสวงหาแร่หายาก และทรัพยากรใหม่ ๆ งั้นหรือ? การสร้างอาณานิคมนอกโลกสำรองไว้หากโลกเกิดหายนะงั้นหรือ? 

ฤาจริง ๆ แล้ว อาจเป็นเพราะ DNA ของความอยากรู้ ที่ทำให้มนุษย์พยายามแสวงหาคำตอบมานับพันปี ถึงความจริงเรื่องจุดเริ่มต้นสิ่งมีชีวิต โดยมีโลกเป็นฐานผลักดันให้มนุษย์มุ่งสู่อวกาศเพื่อไขปริศนาความลับของจักรวาลกันแน่...


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.nbcnews.com/science/space/china-becomes-only-second-nation-history-land-rover-mars-n1267410

https://interestingengineering.com/all-you-need-to-know-about-the-chinese-space-program

https://www.labroots.com/trending/space/16798/china-banned-international-space-station

https://www.reuters.com/article/us-space-exploration-china-moon-timeline/timeline-major-milestones-in-chinese-space-exploration-idINKBN28B5GE

https://www.washingtonpost.com/national/health-science/nasas-1976-viking-mission-to-mars-did-everything-right--except-find-martians/2016/06/18/749701f6-2c15-11e6-9b37-42985f6a265c_story.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Chinese_space_program

https://en.wikipedia.org/wiki/Qian_Xuesen

โชธะปุระ (Jodhpur) & บุณฑี (Bundi) วิถีชีวิตบนความจัดจ้าน นคร‘สีฟ้า’ที่ตราตึงใจ...ในอินเดีย

เมืองสีฟ้าย่อมถูกโฉลกกับคนบ้าสีฟ้า ผู้ซึ่งเข้าข่ายคลั่งไคล้สีนี้เป็นที่สุด จะเป็นใครเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่ผม การได้ไปเยือนไปอยู่ ณ สถานที่สีฟ้าย่อมทำให้มีความสุขสบายใจอย่างเป็นล้นพ้นสำหรับคนประเภทนี้ ในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่แห่งเสียด้วยสิ และบางแห่งในนั้นอยู่ในประเทศอินเดียนั่นเอง หากเจาะจงให้เฉพาะลงไปอีกก็ที่รัฐราชสถาน ที่นั่นมีเมืองสีฟ้าอย่างน้อยสองแห่ง หนึ่งนั้นคือ บุณฑี อีกหนึ่งก็คือ โชธะปุระ หรือจอดห์ปูร์นั่นเอง หากดูตามพิกัดแล้วจะเห็นว่าสองเมืองนี้ตั้งอยู่เกือบสุดขอบด้านตะวันตกของประเทศ ภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย ซึ่งแม้จะร้อนจะแห้งแล้งจะอะไรก็ตามแต่ นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์บ้าสีฟ้ายังเป็นสีฟ้าอยู่

บุณฑี เป็นเมืองเล็กกว่า ป้อมวังอะไรต่าง ๆ เป็นฉบับย่อส่วนเมื่อเทียบกับเมืองโชธุปุระ บรรยากาศของสองเมืองมีทั้งคล้ายคลึงและแตกต่าง แน่นอน บุณฑีย่อมให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเรื่อยเฉื่อยมากกว่า ไม่ใช่แค่เพราะขนาดเล็กกว่า แต่น่าจะเพราะเมืองนี้ไม่ได้คลาคล่ำไปด้วยฝูงนักท่องเที่ยว ในโชธะปุระนั้นลำพังคนท้องถิ่นก็หนาแน่นพอสมควรอยู่แล้ว ไหนจะยังต้องมามุด ต้องฝ่าดงแบ็คแพ็คเกอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนหลักที่เลือกมาเดินทางท่องเที่ยวยังประเทศนี้ จะถ่ายรูปภาพเก็บเป็นที่ระลึกตามวัดวังอะไรต่าง ๆ ก็มักมีคนมาขวางฉากหรือหลุดเข้ามาในเฟรมภาพก่อนลั่นชัตเตอร์ให้เสียอารมณ์อยู่เนือง ๆ ซึ่งเจ้าความวุ่นวายขวักไขว่เช่นนี้ ก็แลกกันอย่างสมน้ำสมเนื้อกับความอลังการงานสร้างของงานสถาปัตยกรรมของเขาล่ะ 

อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าป้อมปราการของเมืองบุณฑีนั้นกระจอกกว่าป้อมแห่งเมืองโชธะปุระนะ ผมไม่ได้ต้องการสื่อความหมายเช่นนั้น เพราะแต่ละเมืองก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเองที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญ ตราบใดที่สองเมืองนี้เป็นสีฟ้า ก็ย่อมนับว่าสวยเสมอกัน ...และสวยกว่าเมืองใดก็ตามบนโลกใบนี้ที่ไม่ใช่สีฟ้า (โปรดเข้าใจมนุษย์สีฟ้า)

หากรวบยอดประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้เป็นฉบับย่อที่สุด ก็คงต้องย้อนหลังกลับไปหลายร้อยปี ซึ่งเป็นยุคสมัยที่มีการปกครองระบอบกษัตริย์ ประกอบด้วยอาณาจักรน้อยใหญ่มากมาย โดยมักมีการแผ่อิทธิพลของเจ้าอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า โดยใช้วิธีทั้งการทูตและการทหาร หากอยากเห็นภาพชัดเจนกว่านี้ขอแนะนำให้ดูหนังบอลลีวูด (Bollywood) เรื่อง “โยดา อักบาร์” (Jodhaa Akbar) หนังรักโรแมนติกบอกเล่าช่วงเวลาที่ราชวงศ์โมกุลเรืองอำนาจและแผ่บารมีไปทั่วชมพูทวีป ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับสมัยอยุธยา นอกจากเกร็ดประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีแง่มุมเกี่ยวกับศาสนาฮินดูกับอิสลาม รวมถึงวัฒนธรรมของดินแดนแถบทะเลทรายแห่งราชสถานด้วย  

ทั้งสองเมืองนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ ชาวแบ็คแพ็กเกอร์ทั้งหลายถูกอกถูกใจเพราะค่าครองชีพไม่แพง ร้านรวงเกสต์เฮาส์ที่จอดห์ปูร์ดูจะพรักพร้อมกว่า ทั้งปริมาณและคุณภาพ ห้องพักมีให้เลือกทั้งแบบนอนรวมราคาไม่กี่สิบรูปีต่อวัน ไปจนถึงห้องเดี่ยวราคาสูงกว่า ลวดลายสไตล์การตกต่างภายในตามแบบฉบับราชสถาน ในขณะที่บุณฑีนั้นส่วนใหญ่เป็นบ้านพักคล้ายโฮมสเตย์ราคาย่อมเยา บางแห่งมีอาหารเช้าแบบง่ายๆแถมให้ด้วย 

จุดเด่นของสถานที่พักของทั้งสองเมืองนี้ก็คือดาดฟ้าสำหรับขึ้นไปนั่งเล่นกินลมชมวิวยามเช้าหรือซึมซับบรรยากาศโพล้เพล้ยามค่ำ บ้านเรือนแถบนี้สร้างกันแบบไม่ต้องมีหลังคาจั่วมุงสังกะสีหรือกระเบื้องแต่อย่างใด ปล่อยโล่งกันแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะฝนไม่ได้ตกชุกเหมือนที่อื่นก็เป็นได้ คนเขาจึงใช้พื้นที่ดาดฟ้าในการตากผ้าหรือเป็นที่หย่อนใจ นอกจากให้ความรู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังสามารถสังเกตอากัปกิริยาผู้คนจากระยะไกลโดยไม่ต้องลงไปเดินไปเบียดกับฝูงชน บางครั้งบริเวณดาดฟ้านี่เองที่เป็นพื้นที่สำหรับเว้นระยะห่างทางสังคมที่ดีที่สุด

กิจกรรมเรื่อยเฉื่อยของการเป็นนักท่องเที่ยว ก็คือการทอดน่องท่องเมือง เดินลัดเลาะตรอกซอยแบบไม่ต้องกางแผนที่ แลนด์มาร์กสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในระยะเดินกันถึง ตลาดกลางสีสันจัดจ้านก็มี ร้านค้า แทรกอยู่ทั่วไป กระหายน้ำคอแห้งก็แวะซื้อดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือลาสซี (โยเกิร์ตปรุงรส) ของกินเล่นกินจริงทั้งคาวหวานก็มากมี คนที่ชอบเครื่องเทศรับรองติดใจ การได้ชิมโน้นกินนี้น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของการออกไปท่องโลกล่ะ

มนุษย์เรานี่ชอบงานรื่นเริงกันมาก แต่ดูเหมือนคนบ้านเมืองนี้จะชื่นชอบมากกว่าที่อื่นใด เพราะมักได้ยินเสียงฆ้องกลองตามจุดต่าง ๆ ของเมืองแทบทุกวัน หรือเดินอยู่ดี ๆ ก็เจอขบวนแห่อะไรสักอย่าง หรือเจอเวทีรื่นเริง มีคณะแสดงยิปซีกำลังร่ายรำระบำกัน

แน่นอน ที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือวังและป้อมปราการประจำเมือง นอกจากได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์มากขึ้นแล้ว ยังได้เห็นงานสถาปัตยกรรมอลังการงานสร้างด้วย คนสมัยก่อนนี่ก็เก่งไม่แพ้คนยุคนี้เลย เผลอ ๆ อาจเก่งกว่าเพราะสมัยโน้นไม่ได้มีเครื่องทุ่นแรงเหมือนยุคนี้ ที่สำคัญ การขึ้นไปยังป้อม มองลงมาเห็นวิวบ้านเรือนที่พร้อมใจกันทาด้วยสีฟ้า นี่แหละคือไฮไลต์ล่ะ


 

Sinovac ผลลัพธ์จากการใช้จริง ที่เหนือกว่าตอนทดสอบ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง 

ชวนคิดไปกับหนึ่งในวัคซีนที่ถูกดิสเครดิตมากสุดในตอนนี้!! อย่าง Sinovac กับผลลัพธ์เมื่อฉีดใช้จริง ที่โชว์คุณภาพเหนือกว่าผลการทดสอบ!!

.

.

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ โดยเป็นวันที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เสด็จสวรรคต

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ ประสูติเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2447 อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิ์เดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ซึ่งต่อมาได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม และทรงมีพระจริยวัตรอันนุ่มนวล พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะพระบรมราชินี ในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังหัวเมืองต่าง ๆ รวมทั้งต่างประเทศ เพื่อเป็นการเชื่อมพระราชไมตรีระหว่างประเทศอยู่เสมอ

ภายหลังจากที่คณะราษฎรทำการอภิวัตน์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประเทศอังกฤษ ต่อมาหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สละราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2478 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ จึงประทับอยู่ประเทศอังกฤษจวบจนพระราชสวามีเสด็จสวรรคต กระทั่งในปี พ.ศ.2492 พระองค์ได้เสด็จนิวัตกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลในขณะนั้น

หลังเสด็จพระราชดำเนินกลับเมืองไทย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงมีพระราชกรณียกิจเพื่อบ้านเมืองหลายประการ อาทิ การพัฒนาการสาธารณสุขและการศึกษาของชาวจันทบุรี ทรงปรับปรุงโรงพยาบาลพระปกเกล้า รวมทั้งทรงตั้งมูลนิธิพระปกเกล้าเพื่อสนับสนุนกิจการต่าง ๆ ของโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังทรงมีส่วนร่วมในการก่อตั้งวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงมีพระอาการประชวรด้วยพระโรคความดันพระโลหิตสูง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 และวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2527 พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยพระหทัยวายโดยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษา 79 พรรษา

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top