Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

เตรียมตั๋วพักผ่อนกันได้เลย (หากโควิด-19 จาง) หลังรัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ.64

วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน ถึงการเตรียมการเพื่อกำหนดวันหยุดเฉพาะกิจในปี 64 เพิ่มเติม

โดยเบื้องต้นที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันว่า ในปีหน้ารัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ. 64 เพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ

ส่วนอีกกรณีนั้น ที่ประชุมเห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสม คือการเพิ่มวันหยุดในช่วงเทศกาล หรืองานประเพณีต่างๆ ของจังหวัดหรือภูมิภาคนั้นๆ เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟ เทศกาลเข้าพรรษา หรือเทศกาลกระทงที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด

ก็อาจประกาศให้เป็นวันหยุดในภูมิภาคนั้น ซึ่งจากนี้ทุกหน่วยงานจะไปดูรายละเอียดอีกครั้งว่า วันหยุดในช่วงเทศกาลนั้นจะให้หยุดในระดับกลุ่มจังหวัด หรือหยุดในภูมิภาคนั้นเลย เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟในภาคอีสานก็ให้ภาคอีสานมีวันหยุดเพิ่มเติมเฉพาะภูมิภาคนั้น ซึ่งทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

5 เทคนิค ทำใจสบาย ไม่กดดันตัวเอง สำหรับคุณแม่

Sandwich Generation คำนิยามใหม่ของคุณแม่ยุค COVID19 ขยายความกันสักนิด เรียกว่า ‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว’ ทั้งคุณแม่ใจดีของคุณลูก ภรรยาสายสตรองของคุณสามี เป็นเพื่อนที่ดีของก๊วน งานก็ต้องปั่น ไหนจะต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอีก โอ้ยยย คุณแม่ขอยาดมแพร้บ! 

ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเช่นนี้ อะไรๆ ก็เร่งรีบไปหมด เป็นใครก็ต้องเครียด อย่าว่าแต่คุณแม่เลย จริงไหมคะ ยิ่งคนที่เป็นคุณแม่ต้องมารับศึกหลายด้านแบบนี้ ย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิตได้ ไหนคุณแม่ลองมาเช็กอาการกันหน่อยสิคะ ว่าตอนนี้ตัวเองมีอาการแบบนี้อยู่หรือเปล่า

ช่วงนี้วีนเหวี่ยง: ถ้าคุณแม่วีนเหวี่ยงอย่าเพิ่งโทษตัวเอง การวีนเหวี่ยงหรือบ่น คือสัญญาณเตือนค่ะ เป็นสัญญาณว่าเราเครียด การบ่นเป็นกลไกในการระบายความเครียดของผู้หญิงตามธรรมชาติค่ะ เมื่อได้พูดความในใจออกไปให้ใครซักคนฟังแล้ว จะรู้สึกสบายตัวขึ้น สามารถดำเนินกิจกรรมหรือหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้ แต่ว่าคุณสามีหรือคุณลูก หรือคนอื่นๆ ในครอบครัว จะพานเครียดกับเราไปด้วยรึเปล่า หากว่าเราระบายความเครียดเยอะไป อันนี้ก็ต้องระวัง 

ช่วงนี้นอนไม่หลับ รู้สึกเครียด ท้องผูก สิวขึ้น: ถ้าคุณแม่มีอาการนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่าย ท้องผูก หรือมีสิวขึ้น อย่างนี้ก็เป็นสัญญาณความเครียดเช่นกันค่ะ อาการแบบนี้น่าเป็นห่วงกว่าคุณแม่ที่เลือกระบายออกทางการวีนเหวี่ยงหรือบ่นเสียอีก เพราะคุณแม่เก็บและกดความเครียดนั้นเอาไว้ หรือทางจิตวิทยาเรียกว่า suppression ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการซึมเศร้าได้เลยค่ะ

ความเครียดที่เกิดเหล่านี้ อย่าคิดว่าไม่ส่งผลต่อคุณลูกนะคะ มีคุณพ่อคุณแม่หลายคนคิดว่าความเครียดที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่นั้น เด็กไม่ได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือคงไม่ส่งผลต่อเด็กหรอก แท้จริงแล้ว ลูกๆ สามารถรับรู้และเลียนแบบอารมณ์ของคุณพ่อคุณแม่ได้ด้วย จากการศึกษาพบว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการเลี้ยงดูยาวนานว่าสิ่งมีชีวิตอื่น และมีเส้นประสาทพิเศษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า mirror neuron คือเส้นประสาทที่ทำให้เราเลียนแบบอย่างอัตโนมัติ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะบอกลูกว่า ปัญหาของผู้ใหญ่ ลูกไม่ต้องเอาไปเครียดด้วย หรือสอนลูกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ แต่ลูกจะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่ที่กระทำให้เห็นอยู่จริง ไม่ได้เรียนรู้จากการสอนค่ะ

“Happy child comes from happy parents”

“เด็กที่มีความสุขมาจากพ่อแม่ที่มีความสุข”

เมื่อคุณแม่ตกอยู่ในภาวะความเครียด จะสร้างความสุขในครอบครัวได้อย่างไร

วิธีการสร้างความสุขภายในครอบครัวนั้น คือการที่เรามีความสุขกับตัวเองก่อน เพราะ “ธรรมชาติของมนุษย์ มีทุกข์จะแบ่งปันทุกข์ มีสุขจะแบ่งปันสุข” ดังนั้น วันนี้เรามีวิธีในการปรับสมดุลอารมณ์ของคุณแม่ด้วยเทคนิคที่ชื่อว่า SMART มาฝากกันค่ะ

S - STOP เพื่อตั้งสติ 

หยุดเพื่อตั้งสติ หากคุณแม่สังเกตเห็นว่าช่วงนี้เรานอนไม่หลับ เครียด วีนเหวี่ยง ปี๊ดแตก ลองให้เวลาตัวเองซัก 5 นาที สำรวจตัวเองเพื่อตระหนักว่า เรากำลังเครียดอยู่หรือเปล่า แล้วถ้าเครียด เครียดเรื่องอะไร

M - Meta เมตตา

เมตตาในเทคนิคนี้ไม่ใช่เมตตาต่อผู้อื่นนะคะ แต่เป็นการเมตตาต่อตัวเองค่ะ ในแต่ละวันนั้นคนที่พูดกับเรามากที่สุดไม่ใช่ใคร แต่คือตัวเราเอง หรือที่เรียกว่า self talk คุณแม่ที่อยู่ในภาวะเครียด ส่วนใหญ่เกิดจากการกดดันตัวเองค่ะ คุณแม่มักจะโทษตัวเอง โกรธตัวเองว่ายังทำได้ไม่ดีพอ ใช้คำพูดกับตัวเอง หรือมี self talk ในเชิงตำหนิติเตียน ดุร้ายเฆี่ยนดีตัวเองด้วยคำพูด ฉะนั้น อยากให้คุณแม่เมตตาต่อตัวเองก่อนโดยการพูดกับตัวเองดีๆ เราเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเหนื่อย มีเครียด มีอารมณ์ มีผิดพลาดได้ ลองหันมาให้กำลังใจตัวเอง ให้อภัยตัวเอง ยอมรับความเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ความเมตตาเหล่านี้จะแผ่ออกไปยังผู้อื่นได้ทันทีเลยค่ะ เพียงแค่คุณแม่เมตตาตนเองได้ คุณแม่จะเมตตาผู้อื่นไปโดยปริยาย

A- Adding (success of the day)

คุณแม่สามารถสร้างความรู้สึกมั่นใจกับตัวเองโดยการมองเห็นความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน ลองหยิบสมุดขึ้นมาจดหรือจะโน้ตในโทรศัพท์แล้วแต่คุณแม่จะสะดวกเลยค่ะ เขียนความสำเร็จในแต่ละวันอย่างน้อยวันละ 3 ข้อ โดยเป็นเรื่องง่ายๆ ที่วันนี้เราทำสำเร็จ เช่น วันนี้เราตื่นเช้า วันนี้ดื่มน้ำครบ 8 แก้ว ได้อ่านหนังสือก่อนนอน หรืออะไรก็ได้ ให้โน้ตความสำเร็จลงไป บางทีเรามาเปิดอ่าน จะเห็นว่าเราได้สะสมความสำเร็จในแต่ละวันเยอะแยะเลย ช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้ตัวคุณแม่ได้เป็นอย่างดี

R- Revive ฟื้นฟูให้เกิดชีวิตชีวา

เราทุกคนมีฮอร์โมนที่รักษาความเครียดตามธรรมชาติ อย่าง Endorphin และ Dopamine สารเหล่านี้จะหลั่งเมื่อเราได้ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การนวด อ่านหนังสือการ์ตูน ไปเที่ยว ทำสปา หาเวลาเล็กๆ ทำกิจกรรมช่วยฟื้นฟูความสุข ผ่อนคลายความเครียดให้ร่างกายรีแลกซ์ เป็นวิธีที่ทำให้คุณแม่มีชีวิตชีวาได้ดีเช่นกันค่ะ

T- Thank you การขอบคุณ

การขอบคุณนั้นฟังดูง่ายแต่ทรงพลังมากค่ะ ขอบคุณที่นี้หรืออีกคำที่เรียกว่า gratitude คือการระลึกถึงและขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่เรามีอยู่ตอนนี้ เวลาที่เครียดเรามักจะพยายามแสวงหานู่นนี่นั่นที่เราไม่มี เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีความสุขขึ้น แล้วถ้ายังไม่ได้ก็เหมือนไปเพิ่มความทุกข์อีก การขอบคุณสิ่งที่มีนั้น เป็นการเติมเต็มและเตือนใจเราว่ามีชีวิตที่ดีแค่ไหน ถ้าคุณแม่นึกไม่ออกว่าจะขอบคุณเรื่องอะไร เรามีตัวอย่างเช่น ขอบคุณที่วันนี้เรายังมีลมหายใจ ขอบคุณที่วันนี้อาหารอร่อย ขอบคุณที่คุณพ่อคุณแม่ยังแข็งแรง ขอบคุณที่มีสามีอยู่ข้างๆ ขอบคุณที่ลูกเป็นเด็กดี ขอบคุณที่วันนี้ร้อนแต่ยังมีลม ขอบคุณที่มีคนเล่าเรื่องตลกให้เราได้หัวเราะ อะไรง่ายๆ เหล่านี้เป็นต้น

เทคนิคเหล่านี้ ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับคุณแม่ทั้งหลาย แต่ผู้คนในสถานภาพอื่นๆ ก็สามารถนำไปใช้เป็นเทคนิคทำใจให้สบายนี้ได้เช่นกันค่ะ สังคมที่มีความสุขย่อมเกิดจากครอบครัวที่มีความสุข เป็นกำลังใจให้คุณแม่และลูกๆ ทุกคนนะคะ

สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/1019527608469219


เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร : Ep 1

The States Times เปิดตัว Podcast รายการแรก ชื่อว่า ‘The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร’ สำหรับ EP.แรก คุณเจตหยิบเอาประเด็นร้อน ‘กฎหมายมาตรา 112’ มาตีแผ่ ปรับ แก้ แล้วได้อะไร? ตามไปฟังกันครับ...

.

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด ให้ความมั่นใจ ‘อาหารทะเลจากมหาชัย’ ปรุงสุกกินได้ พร้อมวอนประชาชนลดดีกรีฉลองปีใหม่ ย้ำให้ติดตามแถลงของศบค.แหล่งเดียว ยืนยัน มีคนไทยในเกาหลีติดโควิด 31 คน ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ ผู้ประกอบการจากจังหวัดสมุทรสาครร้องเรียนศบค.ว่าจังหวัดอื่น ปฏิเสธรับซื้อสินค้าของจังหวัดสมุทรสาคร ศบค. จะแก้ปัญหาอย่างไร ว่า น่าเห็นใจในภาวะของการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นมากไปสักนิด

ขอย้ำว่าโรค โควิด-19 เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ ดังนั้นอาหารทะเลหรืออุปโภคบริโภคที่ออกไปจากสมุทรสาคร แล้วเกิดความรังเกียจนั้นก็ถือว่าแรงเกินไป เพราะในความเป็นจริงไม่ถึงขนาดนั้น หากอาหารทะเลหรืออาหารอุปโภคบริโภคเมื่อปรุงสุกแล้ว มีการทำความสะอาดทุกอย่างสินค้าเหล่านั้นยังใช้ได้เหมือนเดิมตามปกติดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจและอุดหนุนสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาครได้ตามปกติ หากทำความสะอาดก่อนที่จะปรุงสุกแล้วเชื้อโรคก็ไม่ได้ทนทาน ยืนยันเรื่องความปลอดภัย ขอให้ทุกคนช่วยกัน

นายกรัฐมนตรีได้กำชับในศบค. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมเข้าไปตรวจสอบคุณภาพถึงสถานที่ผลิตเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าสินค้าที่ออกมานั้นเกิดความมั่นใจต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้นในจังหวัดก็ต้องให้ความร่วมมือร่วมใจและขอให้ประชาชนทั่วไปมีความมั่นใจด้วย

ส่วนกรณีที่คนไทยในประเทศเกาหลีใต้ ติดโควิด-19 มากกว่า 30 คนนั้น โฆษก ศบค.กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ที่ประชุมศบค. ชุดเล็กได้มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยรักษาการอธิบดีกรมการกงสุลกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าทางสถานเอกอัครราชทูตณกรุงโซล ประเทศเกาหลี รายงานมาว่ามีการติดจริง 31 คนในเมืองชอนัน จ.ชุงชองใต้

ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งทางใต้ของกรุงโซลประมาณ 80 กิโลเมตรซึ่งพบว่า เป็นชาวไทยติดเชื้อเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1 ราย และได้ทำการตรวจผู้สัมผัส กับผู้ป่วยดังกล่าวและผู้มีความเสี่ยง ที่ร้านขายอาหารไทยแห่งหนึ่ง จำนวน 90 ราย พบว่ามีการติดเชื้อ ในชาวไทยเพิ่มขึ้นอีก 31 คนและอยู่ระหว่างการตรวจรอยืนยันอีก 28 คน

ตอนนี้จะได้มีการเชื่อมโยงไปมา ตามที่เราเคยมีการดูแลข้ามประเทศโดยใช้ การติดต่อผ่านทางออนไลน์ , เฟสไทม์ , วีดีโอคอนเฟอเรนซ์กัน โดยกลุ่มทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขได้ติดต่อกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้แล้ว เพื่อดูแลเรื่องการติดเชื้อว่าอะไรเป็นอย่างไร ขณะนี้ทีมแพทย์จากกรมการแพทย์ได้ตั้งกลุ่มไลน์และได้ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

โฆษกศบค. ยังกล่าวถึงกรณีชาวต่างชาติไม่ปฏิบัติตามมาตการป้องกันการติดเชื้อว่าว่า ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ได้เข้มงวดในการทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 และขณะนี้เราได้ประกาศอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ 100% ต้องสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า

ดังนั้นทุกคนต้องเตือนกันได้ว่าใครที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยต้องเตือนกันได้โดยไม่ถือโทษโกรธกัน ซึ่งทาง ผู้ช่วยโฆษกศบค. จากกระทรวงการต่างประเทศจะได้ประสานข้อมูลไปยังผู้ที่เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยเพื่อขอความร่วมมือในการที่จะต้องปฏิบัติตนให้เหมือนกับคนไทยทุกคน

เมื่อมาอยู่ร่วมกันในประเทศไทยก็ต้องเลือกที่จะใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรครวมกันเหมือนอย่างที่เราทำได้ผลมาแล้ว เพราะตัวเลขการติดเชื้อครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้วเพราะฉะนั้นเราต้องจะเข้มมากกว่าครั้งก่อนอีกมาก เช่นในต่างจังหวัดมีชาวต่างชาติทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยและสวมใส่หมวกกันน็อคขณะขับขี่รถจักรยานยนต์

ดังนั้นคงถือว่าเป็นส่วนน้อยที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุข ดังนั้นขอความร่วมมือให้ 100% ดังนั้นขอฝากให้ทุกคนดูแลป้องกันตัวเองด้วย และต้องขอความร่วมมือให้เราปฏิบัติกันสักพักใหญ่ๆ เพื่อต้องการให้ตัวเลขสองถึงสามหลักที่เกิดขึ้นในขณะนี้ลดลงให้ได้โดยเร็ว

ความร่วมมือของคนไทยและคนต่างชาติต้องร่วมมือกันเราจึงจะมีอิสรภาพอย่างนี้ได้เพราะถ้าไม่ร่วมมือความเข้มข้นก็จะต้องตามมาโดยที่คงไม่มีใครชอบที่จะถูกจำกัดอิสรภาพต่าง ๆ ดังนั้นขอความร่วมมือไปยังพี่น้องชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ด้วย

ทั้งนี้ หากประชาชนจะเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงวันหยุดยาวปี สามารถตรวจสอบข้อมูล ผ่านการแถลงข่าวของศบค.ได้ทุกวัน ทั้งในเรื่องตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายจังหวัด ส่วนการเดินทางขณะนี้จำกัดเฉพาะจังหวัดสมุทรสาครที่กำหนดว่าไม่ควรเดินทางออกนอกจังหวัด

ส่วนจังหวัดอื่นๆยังสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่พยายามอย่าเดินทางไปในที่ที่เป็นสถานที่ชุมชน แต่การจะไปเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นก็ยังสามารถเดินทางได้ ยังไม่มีการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดแต่อย่างใด ดังนั้นขอให้ติดตามเป็นรายวันไป

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้รวมศูนย์แถลงข่าวมาที่ทำเนียบรัฐบาล มีความกังวลว่าตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะไม่อัพเดท ช้ากว่าข้อเท็จจริง จะมีการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละพื้นที่สามารถแถลงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันประชาชนสับสนและคลายความกังวลหรือไม่

โฆษกศบค.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความสับสนในพื้นที่และมีความกังวลเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากข้อมูลที่เข้ามาในส่วนกลางไม่ได้เป็นทางเดียวแต่ออกมาเป็นคนละทิศและทางดังนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศบค. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจึงให้มีการรวมศูนย์ชุดข้อมูล ให้เป็นเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นขอให้ทุกคนทราบว่าชุดข้อมูลที่เป็นชุดเดียวในเวลาที่ใช้แถลงข่าว 11.30 น. ในรอบ 24 ชั่วโมงมาแถลงข่าวเพื่อรายงานหนึ่งครั้งนั้นถือว่าไม่ช้าจนเกินไป ไม่มีอะไรต้องเร่งด่วนมากขนาดนั้น และความเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยอยากจะได้ข้อมูลรวดเร็วแต่ปรากฏว่ายังบวก ๆ ลบ ๆ จึงเกิดความผิดพลาดกันไปใหญ่ เหมือนกับที่ขณะนี้มีข้อมูลว่ามีผู้ติดเชื้อแล้ว 36 จังหวัด แต่เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกยังอยู่ที่ 31 จังหวัดแต่หากจะถามว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็รอในรอบ 24 ชั่วโมงก็ถือว่าไม่ช้าเกินไป

เพราะขณะนี้เราไม่ได้มีการล็อคดาวน์แต่อย่างใด ดังนั้นความถูกต้องและละเอียดของข้อมูลจึงต้องเน้นย้ำ ตนมั่นใจที่จะเสนอต่อทุกคน ดีกว่าข้อมูลออกไปหลายรอบแล้วไม่ตรงกัน สื่อ แต่ละสื่อก็จะไปนำเสนอเองทำให้เกิดความงุนงงขึ้นในสังคม ดังนั้นขอใช้ช่องทางศูนย์แถลงข่าวของศบค.แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพียงช่องทางเดียว เหมือนอย่างที่เราทำกันมาตลอดและเป็นรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับได้โดยไม่มีการปกปิดข้อมูล

“ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะก้าวไปด้วยกันจึงขอเน้นย้ำในข้อเท็จจริงที่เราร่วมมือขอให้คงไว้ให้นานที่สุด ภาครัฐและภาคเอกชนภาคประชาชนประชาสังคมขอให้รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสู้กับไวรัส โควิด-19 ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ เป็นพันคนแล้ว และกระจายไปในหลายจังหวัดเราก็ไม่ได้เพิ่งเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้น ขอให้ย้อนไปในประสบการณ์ที่ผ่านมา

เราก็ผ่านมาแล้วดังนั้นขอความร่วมมือกันอีกครั้งหนึ่งถึงแม้ว่าปีใหม่นี้ทุกคนอยากจะสนุกสนานจึงขอร้องว่าให้ลดน้อยลงกันสักนิดขอให้มีความสุขกันได้โดยมีหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ที่จะช่วยทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ในทุกที่มีความปลอดภัยดังนั้นขอย้ำให้ช่วยกันสวมใส่และมีความสุขในบรรยากาศปีใหม่กับครอบครัว ขอให้ทุกคนต่างช่วยกันและเราจะผ่านพ้นไปด้วยกัน”

เรียกว่าต้องหักกันชั่วคราว สำหรับ ‘ลาว’ กับ ‘ไทย’ หลังจากโควิดสมุทรสาคร ‘ทำพิษ’ จนทำให้ทางประเทศลาว มีคำสั่งชัดในการห้ามนำเข้าอาหารทะเลสด - แช่แข็งของไทยชั่วคราว

ก่อนหน้านี้รายงานจาก ลาวโพส สื่อท้องถิ่นประจำประเทศลาว ได้รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่มี สมจิด อินทะมิด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ได้ลงนามในหนังสือด่วน ถึงกรมภาษี กระทรวงการเงิน กรมอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงด่านชายแดนระหว่างลาว-ไทย เกี่ยวกับเรื่อง ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภท จากราชอาณาจักรไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

1.) ห้ามนำเข้าชั่วคราว อาหารทะเลสด และแช่แข็ง ที่นำเข้ามาจากราชอาณาจักรไทย

2.) มาตรการห้ามนำเข้านี้ เป็นมาตรการชั่วคราว และจะมีผลบังคับใช้จนกว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว และราชอาณาจักรไทย จะสามารถปรึกษาหารือมาตรฐานการตรวจสอบ คัดกรอง และยืนยันถึงความปลอดภัยของอาหารทะเลที่ส่งออกจากราชอาณาจักรไทย ว่าไม่พบการเจือปนของเชื้อโควิด

3.) มอบให้กรมอาหารและยา เป็นเจ้าภาพ สมทบกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของลาวและไทย ค้นคว้าหามาตรการการแก้ไขตามที่ระบุไว้ในข้อ 2

ส่วนโอกาสที่จะกลับมาค้าขายกันอีกนั้น ก็คงต้องรอจนกว่าเจ้าหน้าที่ของลาวและไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะร่วมกันหาหนทางตรวจสอบ คัดกรอง และรับรองความปลอดภัยของอาหารทะเลที่มาจากไทยได้ว่าไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ได้แบบ 100%

ล่าสุด ‘โควิดสมุทรสาคร’ ก็ทำให้ทางการลาว ตัดสินใจเด็ดขาด ‘ห้ามนำเข้าอาหารทะเลสดและแช่แข็งทุกประเภทไทยชั่วคราว’

ล่าสุด!! หนุ่มโคราชได้รายงานข้อมูลด่วนจากแหล่งข่าวในระดับเชื่อถือได้ว่า ‘กระทรวงพาณิชย์ลาว’ จะยกเลิกคำสั่งดังกล่าว เร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีของอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย ที่ทางภาครัฐบาลไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว จนทางการลาวไทยเปลี่ยนคำสั่งยกเลิกห้ามนำเข้า ‘อาหารทะเลสด - แช่แข็งจากไทย’ ได้อย่างรวดเร็ว

การลงทุนในโลหะเงินแท่ง (แบบทองคำแท่ง) เพื่อซื้อเก็บในระยะยาว อาจไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเก็งกำไรด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Silver Online Futures) ในตลาด TFEX เท่านั้น

แต่รู้หรือไม่ว่าในมุมมองของนักลงทุนระดับโลกหลาย ๆ คนนั้นไม่ได้มองว่าโลหะเงินด้อยไปกว่าทองคำเลย โดยในบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ นั้นพวกเขามักจะใช้คำว่า "Gold and Silver" อยู่เสมอ คือเรียกโลหะทั้ง 2 ชนิดนี้พร้อมกันเลย

เนื่องจากพวกเขาเชื่อมั่นว่าโลหะทั้ง 2 ชนิดเป็น "เงินที่แท้จริง" เพราะนอกจากทองคำแล้ว โลหะเงินก็ถูกนำมาใช้เป็นเหรียญในสกุลเงินต่าง ๆ มานับพันปี

ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทานของเงิน (Silver) ที่แม้เมื่อใช้งานไปนาน ๆ แล้วโลหะเงินจะมีสีหมองคล้ำลงจากปฏิกิริยาเคมี แต่ปฏิกิริยานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะที่ผิวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้สมบัติต่าง ๆ ของเนื้อเงินเปลี่ยนไป ต่างจากโลหะชนิดอื่น ๆ ที่มักจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ด้วยความทนทานนี้จึงทำให้โลหะเงินเป็นเครื่องมือในการรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ทองคำ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราสามารถหาซื้อทองคำแท่งได้ง่ายกว่าโลหะเงินแท่ง จึงดูไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณต้องลำบากไปลงทุนในโลหะเงิน นอกเสียจากว่า "ในเวลานั้นโลหะเงินน่าจะทำกำไรได้มากกว่า"

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้!! คือตอนนี้บรรดานักลงทุนระดับโลกอย่างจิม โรเจอร์ส, โรเบิร์ต คิโยซากิ รวมถึงอีกหลาย ๆ คน กำลังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ราคาโลหะเงินตอนนี้อยู่ในระดับที่น่าลงทุนกว่าทองคำ"

เนื่องจากราคาของมันยังต่ำกว่า All Time High อยู่ถึง 50% เมื่อเทียบกับทองคำที่ทะลุ All Time High ไปแล้ว

(ราคาโลหะเงินปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 25$/Oz. ส่วน All Time High อยู่ที่ประมาณ 50$/Oz.)

บทความนี้จึงได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับโลหะเงิน (Silver) โดยสังเขปมาให้คุณได้เห็นภาพรวมของโอกาสและความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเชื่อคำแนะนำของนักลงทุนระดับโลกเหล่านั้นหรือไม่ ดังนี้ครับ

1.) "ต้นทุนการผลิตโลหะเงิน" ของแต่ละเหมืองนั้นมีความแตกต่างกันมาก เพราะโลหะเงินนั้นเป็นผลผลิตพลอยได้จากการผลิตโลหะชนิดอื่น เนื่องจากในธรรมชาตินั้นแร่เงินมักจะอยู่ร่วมกับแร่อื่น ๆ เช่น ทองคำหรือตะกั่ว เสมอ แต่โดยเฉลี่ยแล้วต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 11$/Oz. (ข้อมูลเมื่อปี 60) ซึ่งต่ำกว่าราคาในปัจจุบันถึง 56% ทว่าหากความต้องการของแร่เงินสูงขึ้นก็จะดันต้นทุนสูงขึ้นได้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้กำลังการผลิตจากเหมืองที่มีต้นทุนสูงกว่า (เหมือนกับน้ำมันที่แท่นขุดเจาะในสหรัฐมีต้นทุนสูงกว่าแท่นในซาอุฯ แต่ด้วยความต้องการการใช้งานที่สูงทำให้กำลังการผลิตของซาอุฯไม่เพียงพอ)

2.) "Gold/Silver Ratio" เป็นอัตราส่วนที่ใช้บ่งบอกว่าในเวลานั้นทองคำมีราคาแพงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับโลหะเงิน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 75/1 (หมายถึงทองแพงกว่าเงินอยู่ 75 เท่า) แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราส่วน Gold/Silver นั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามถ้าย้อนไปเมื่อ 800 ปีที่แล้ว ในสมัยโรมันนั้นอัตราส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 12/1 เท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ดันให้อัตราส่วนนี้สูงขึ้นคือการประกาศใช้ Gold Standard

ซึ่งส่งผลให้ทองคำมีบทบาทในแวดวงการเงินมากกว่าโลหะเงินเมื่อเทียบกับอดีต โดยจะสังเกตได้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติต่าง ๆ อัตราส่วนนี้มักจะสูงขึ้นอยู่เสมอ เพราะผู้คนจะเลือกเก็บวิ่งเข้าหาทองคำมากกว่าโลหะเงิน อย่างการแพนิคในช่วงเมษาที่ผ่านมานั้นอัตราส่วนนี้ได้วิ่งขึ้นไปถึง 114/1 เลยทีเดียว และนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอัตราส่วนนี้ก็ไม่เคยต่ำกว่า 30/1 อีกเลย จึงแสดงให้เห็นว่าความต้องการของการเก็บโลหะเงินเพื่อรักษาความมั่งคั่งนั้นลดลงไปมาก

3.) "โลหะเงินมีความผันผวน (volatility) มากกว่าทองคำ" หมายความว่าเวลาเงินขึ้นก็จะขึ้นแรงกว่าทอง แต่เวลาลงก็ลงได้มากกว่าทองคำ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คุณมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่า แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว store of value (ตัวเก็บมูลค่า) นั้นไม่ควรผันผวนมากจนเกินไป

4.) "การใช้งานในอุตสาหกรรม" เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะโลหะเงินมีสมบัติต่าง ๆ ที่โดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด, เป็นตัวสะท้อนแสงอันดับต้น ๆ, แข็งแรง, ทนการกัดกร่อน, ขึ้นรูปได้ง่าย, ป้องกันแบคทีเรีย ฯลฯ ทำให้เงินถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม ทั้งอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอร์รี่, แผงโซลาร์เซลล์ และในทางการแพทย์ ซึ่งคุณจะสังเกตว่าเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตล้วน ๆ!!!

โดยปัจจุบันอุปทานโลหะเงินในอุตสาหกรรมนั้นมีสัดส่วนถึง 56% ของอุปทานทั้งหมด เมื่อเทียบกับทองคำที่มีอยู่เพียง 12% เท่านั้น

สรุปแล้วโลหะเงินนั้นมีความน่าสนใจในแง่ของการป้องกันเงินเฟ้อ เพราะราคายังถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต (ตามความเห็นของจิม โรเจอร์ส)

อีกทั้งเงินยังเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในเทรนด์อนาคตจึงอาจทำให้ความต้องการโลหะเงินสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาเงินให้สูงขึ้น

แต่ถ้าคุณจะลงทุนจริง ๆ ก็ควรต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าเงิน (Silver) มีความจำเป็นมากแค่ไหนในแต่ละอุตสาหกรรม มีโอกาสถูกทดแทนได้หรือไม่และถ้าการต้องการใช้งานมีมากขึ้นจริง ๆ ก็มีโอกาสที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการทำเหมืองเงิน เพื่อให้เงินมีต้นทุนที่ต่ำลงได้เช่นกัน

นอกจากนี้ในแง่ของการลงทุนนั้น โลหะเงินมีข้อด้อยกว่าทองคำอยู่หลายประการทั้งสภาพคล่องที่น้อยกว่า เนื่องจากตลาดเล็กกว่า, ปริมาตรเยอะกว่าในราคาที่เท่ากัน ทำให้เก็บยากกว่า, ความผันผวนที่สูงกว่า ฯลฯ


ที่มา : Kim Property

ส่อง ‘แฟชั่นคริสต์มาสคนดัง’ มีทั้งสวย แซ่บ และสุดซี้ดดดด!!

ต้อนรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสแบบนี้ เหล่าคนดังพลาดไม่ได้ที่จะออกมาแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศ บอกเลยว่าแต่ละคนไม่ธรรมดา จะสวยหวาน สวยแซ่บ หรือน่ารักขนาดไหน ไปชมกันเลย

ชมพู่ - อารยา เอ ฮาร์เก็ต

เจ้าแม่สายแฟชัน มาพร้อมลุคแปลกไม่เหมือนใคร จนน็อต วิศรุต สามีถึงกับเอ่ยแซวว่า แต่งตัวเป็นต้นคริสต์มาสทำไม 


ญาญ่า - อุรัสยา เสปอร์บันด์

นางเอกสาวสวยมาในลุคชุดเดรสสีแดงสบายๆ แต่สวยหวานราวกับเจ้าหญิง

ใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่ 

มาในลุคสาวน้อยผมเปียสุดน่ารัก แต่แอบแฝงความเซ็กซี่ เสื้อเว้าพาใจบาง

มิว - นิษฐา จิรยั่งยืน

มาในชุดเดรสสีดำดูลึกลับน่าค้นหา ได้ลุคสวยแพงไปอีกแบบ

มุก - วรนิษฐ์ ถาวรวงศ์

แซนตี้สาว สวยหรู ดูน่าค้นหา ถ่ายรูปออกมาเข้ากับแสงสีในช่วงเทศกาล

ปันปัน - สุทัตตา อุดมศิลป์

แซนตี้ขี้เล่นแสนซน มาพร้อมผิวขาวออร่า แอบแฝงความเซ็กซี่เบา ๆ

ใบเตย - สุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ

เจ้าสาวป้ายแดง ไม่ได้แต่งตัว แต่แต่งหน้ามาในลุคสาวหวานสุดน่ารัก พร้อมกลิตเตอร์เกล็ดหิมะวิบวับ

ออม - สุชาร์ มานะยิ่ง

มาในลุคสบาย ๆ กับเสื้อแขนยาวรับวันหยุด แต่น่ารักสดใสไม่แพ้ใครเลย

กวาง - วรรณปิยะ ออมสินนพกุล

มาในชุดขนระบายสีขาว ขายความเซ็กซี่ ตัดด้วยส้นสูงสีแดง สุดปังปุริเย่  

เกรซ - กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า

ลุคสุดแฟนตาซี ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย สวยไม่ซ้ำใคร

เชื่อน - ภัทรดนัย เสตสุวรรณ

เรียกได้ว่าลุคนี้ มีความเป็นตัวของตัวเองในแบบฉบับที่น่ารักมาก

แน็ค - ชาลี ไตรรัตน์

ปิดท้ายแฟชันคริสต์มาสด้วยลุคของหนุ่มแน็ค ที่เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้แฟนคลับเป็นอย่างดี เพราะมีสไตล์การแต่งหน้าแต่งตัวที่ไม่ซ้ำใคร


เป็นยังไงกันบ้างคะ กับแฟชันเหล่าคนดังที่เราเอามาอวด เรียกได้ว่าน่ารักสูสีไม่มีใครยอมใคร แต่ละคนก็มีสไตล์คนละแบบ สำหรับช่วงเทศกาลคริตส์มาสแบบนี้ใครยังไม่มีแพลน จะดูรูปเอาไว้เป็นเรฟไปแต่งหน้าแต่งตัว ถ่ายรูปตามก็ได้น้า

หลังจากที่ฮ่องกงตรวจพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ของอังกฤษ ที่เรียกสั้น ๆ ว่า B117 เป็นนักศึกษาฮ่องกงที่เพิ่งเดินทางกลับจากลอนดอนจำนวน 2 คน

ทำให้ทางการฮ่องกงไม่รอช้า ออกคำสั่งด่วนเพิ่มระยะเวลาการกักตัวของผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ นอกเหนือจากจีน เข้าเมืองฮ่องกง ต้องถูกกักตัวเพิ่มจาก 14 วัน เป็น 21 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป

โดยผู้ที่เข้าเมืองทั้งชาวฮ่องกง และ ชาวต่างชาติต้องถูกกักตัวในโรงแรมที่ทางการฮ่องกงกำหนดให้เท่านั้น ที่จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลากักตัวเป็น 21 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เข้าเมืองปลอดเชื้อไวรัสโคโรน่าจริง ๆ โดยเฉพาะจากไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ ที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าจะมีระยะฟักตัวนานกว่าเดิมหรือไม่

นอกจากนี้ ทางการฮ่องกงยังแบนผู้ที่เคยมีประวัติเข้าประเทศอาฟริกาใต้ภายในระยะเวลา 21 วัน เข้าเมืองฮ่องกง และระงับทุกเที่ยวบินจากอังกฤษเรียบร้อย

นับเป็นมาตรการตั้งการ์ดสูงของฮ่องกง ที่จะไม่ยอมให้ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าเดิมเข้ามาในฮ่องกง

ความวิตกกังวลในเรื่องเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ เริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีการพบผู้ติดเชื้อไวรัสตัวใหม่นอกประเทศที่พบการกลายพันธุ์ และล่าสุดในเยอรมันมีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ B117 แล้วที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต จากชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากลอนดอนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม และเป็นผู้ติดเชื้อ B117 รายแรกในเยอรมัน

ขณะนี้ มีมากกว่า 40 ประเทศได้ประกาศแบนเที่ยวบินจากอังกฤษ หรือ แอฟริกาใต้เรียบร้อยแล้ว


แหล่งข่าว

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/covid-19-hong-kong-21-days-quarantine-south-africa-13841170

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/hong-kong-imposes-21-day-quarantine-for-visitors-adds-south-africa-to-banned-list

https://www.scmp.com/news/china/science/article/3115008/what-we-know-so-far-about-new-coronavirus-strain-emerged-britain

https://www.bbc.com/thai/international-55401953

เครดิต : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

การพ่ายแพ้อย่างราบคาบในสนามเลือกตั้งเล็ก (อบจ.) และอาจจะรวมถึงทุกๆ ความนิยมที่ลดทอน ของคณะก้าวหน้า ทำให้เห็นได้ชัดถึงก้าวที่ผิดพลาด จนดูเหมือนว่าที่ยืนของคณะก้าวหน้า และพลพรรคของขั้วตรงข้ามรัฐ เริ่มไร้ที่ยืนลงไปเรื่อยๆ

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมา เผยแพร่ ความพ่ายแพ้แบบแลนด์สไลด์ของคณะก้าวหน้าผ่านเฟซบุ๊กว่า

“เหตุผลสำคัญที่คณะก้าวหน้าพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ คือ การถือนโยบายที่ผิด หมกมุ่นอยู่กับการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ หวังสานต่อภารกิจ 2475 ที่ยังไม่เสร็จของคณะราษฎร ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความมั่นคงของชาติและประชาชน

“คณะก้าวหน้า คือ คนกลุ่มเดิมที่ไม่ได้เข้าเพื่อมาแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่กลับสร้างปัญหาและความแตกแยกที่รุนแรงให้กับประชาชน โดยที่ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย แต่กลับแอบอ้างประชาธิปไตย หลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ สร้างความแตกแยก และทำลายล้างสถาบันสำคัญของชาติตามรอยคณะราษฎร

“ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ตลอดจนคนที่รักในประชาธิปไตยอย่างมีสติ ซึ่งเห็นคุณค่าของชีวิตประชาชนเพื่อนร่วมชาติก็ย่อมไม่เห็นด้วย เพราะการที่จะไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามที่คณะก้าวหน้าต้องการได้นั้น ต้องผ่านสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนที่เห็นต่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรงและความแตกแยกครั้งมโหฬารที่คนไทยทุกคนจะเป็นผู้พ่ายแพ้

“ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันประชาธิปไตย เพราะถือประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศเป็นใหญ่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข อยู่เคียงข้างกับประชาชนมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในสถานการณ์ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนมากเพื่อรองรับต่อสถานการณ์และช่วยเหลือประชาชนทั้ง 77 จังหวัด 123 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

“แต่ความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์แบบนี้จะไม่มีอยู่ในกะลาของคณะก้าวหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยการปั่นกระแสบิดเบือนในโลกโซเชียล เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหลับหูหลับตา ตลอดจนสร้างความแตกแยกให้กับสังคม อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นก่อม็อบลงถนนมาโดยตลอด ดังนั้นการเสี้ยมให้คนไทยทะเลาะกันเองของคณะก้าวหน้าและเครือข่าย อีกทั้งใช้ช่องว่างทางสังคมทั้งทางกายภาพและโซเชียลมีเดียสร้างความแตกแยกระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ จึงเป็นสิ่งที่เลวร้ายและอำมหิตที่สุด

“พฤติกรรมของคณะก้าวหน้าที่ทำมาโดยตลอดจึงเป็นแค่การแอบอ้างประชาธิปไตย เพื่อหลอกลวงมวลชนในกะลาเป็นเครื่องมืออย่างสกปรกและไร้จิตสำนึกที่สุด ด้วยการสร้างเงื่อนไขความเข้าใจที่ผิดๆเสมือนว่าประชาธิปไตยสามารถสร้างได้ด้วยการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น

“ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง การสร้างประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องสร้างความแตกแยกหรือทำลายใคร เพียงแต่ยกหลักการที่ถูกต้องขึ้นมาสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของประเทศชาติ หรือบางทีการหันมาสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วให้สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยสร้างประชาธิปไตยให้กับประชาชน อาจจะเป็น "ทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย" ก็เป็นได้


ที่มา: เฟซบุ๊ก Suphanat Aphingyan

นับถอยหลัง อีกไม่นานประเทศไทยจะมีการขนส่งทางรางที่เชื่อมโยงการเดินทางของประชาชนได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างดังนี้

• ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 993 กิโลเมตร ยกระดับการเดินทางและขนส่งด้วยระบบรางให้รวดเร็วตรงเวลายิ่งขึ้น

ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. เปิดให้บริการปี 2562

- รถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. เปิดให้บริการปี 2562

กำลังก่อสร้างอีก 5 เส้นทาง ได้แก่

- รถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากนํ้าโพ ระยะทาง 145 กม. ความก้าวหน้า 42.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. ความก้าวหน้า 62.91%

- รถไฟทางคู่ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. ความก้าวหน้า 67.57%

- รถไฟทางคู่ช่วงมาบกระเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. ความก้าวหน้า 53.78%

- รถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. ความก้าวหน้า 54.91%

ทั้ง 5 โครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการปี 2566-2567

• ผลักดันโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่อีก 2 เส้นทาง

- รถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 326 กม.

รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม.

ระยะทางรวม 681 กิโลเมตร

• เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

เพื่อเติมเต็มการเดินทางจากปริมณฑลเข้าสู่ในกลางกรุงเทพมหานครและเชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้ามหานคร

เส้นทางที่กำลังก่อสร้างขณะนี้ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทางรวม 15.26 กิโลเมตร 3 สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 78.76%

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทางรวม 26.30 กิโลเมตร 10สถานี แล้วเสร็จปี 2564 ความก้าวหน้า 81.72%

พร้อมก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ ความก้าวหน้า 99.76%

• ส่วนต่อขยายในอนาคต อีก 3 ช่วง ได้แก่

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

- โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และ บางซื่อ- หัวลำโพง (Missing Link)

โดยอยู่ระหว่างการรถไฟฯ ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการลงทุน PPP

• ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 2 เส้นทาง

2 สายแรกของประเทศไทยเชื่อมโยงเมือง การเดินทาง และพัฒนาเมืองสำคัญในภูมิภาคเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน ยกระดับรายได้ของประเทศ

• ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง 2 สายทางคือ

- รถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 253 กม. 6 สถานี ขณะนี้เริ่มก่อสร้างงานโยธาแล้ว 2 สัญญา อีก 12 สัญญา อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2568

- รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. 9 สถานี เปิดพื้นที่การพัฒนาจากกรุงเทพฯ สู่ EEC ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมดำเนินการก่อสร้าง รื้อย้ายสิ่งกีดขวาง เวนคืนที่ดิน คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2570


ที่มา : Thailand Future


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top