Wednesday, 9 July 2025
TheStatesTimes

เอกฉันท์!! 'ร่างพรบ.นิรโทษกรรม' 65% ต่อ 35% ไม่เห็นด้วยนิรโทษกรรม คดีอาญามาตรา 112

จากกรณีที่ เว็บไซต์รัฐสภา เปิดรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 รัฐธรรมนูญ ของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. …. ที่ น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน ร่วมกันเสนอ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายนั้น

ล่าสุด (13 มิ.ย.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

มันจบละครับ.. ไม่เห็นด้วย 65.0% 🔴

สรุปผลการรับฟังความเห็น ร่างพรบ.นิรโทษกรรม ฉบับประชาชน

ผลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 88,565 
✅ เห็นด้วย 35%
❌ ไม่เห็นด้วย 65% 
ซึ่งคิดเป็นจำนวนสูงถึง 57,567คน

สำหรับกระบวนการพิจารณาต่อไป ร่างนี้จะถูกนำเสนอให้มีการปรับแก้ ยังไม่จบครับ.. รอติดตามกันต่อไปครับ

ขอบคุณที่แสดงสิทธิตามกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ..นอนหลับฝันดีครับทุกท่าน

รู้จัก 'บทบาท-หน้าที่' ธนาคารโลก ทำไมถึงปรับเป้า GDP ไทย-ประเทศอื่นๆ ได้

จากข่าวล่าสุดที่ทาง World Bank หรือธนาคารโลกได้ออกมาประกาศปรับเป้า GDP ไทยปี 2024 ลง เหลือโตเพียงแค่ +2.4% หลังจากได้มีการปรับลดก่อนหน้าลงมาในเดือนเมษายนเหลือ +2.8% ทั้งๆ ที่ต้นปีธนาคารโลกเองเคยมองว่าไทยจะมีการเติบโตอยู่ที่ระดับสูงถึง +3.2% และปรับเป้า GDP ปี 2568 เหลือเพียงแค่ +2.9%

ว่าแต่ World Bank มีหน้าที่อะไร? ทำไมถึงมาปรับเป้า GDP ไทยและประเทศอื่นๆ ในโลก?

โดยประวัติความเป็นมาของธนาคารโลกนี้ ถูกจัดตั้งมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในตอนนั้น การจัดตั้งธนาคารโลก เป็นไปเพราะต้องการเป็น 'แหล่งกู้ยืมเงิน' ให้กับประเทศสมาชิก เพื่อนำเอาไปใช้ในการฟื้นฟูประเทศหลังจากสงครามโลกค่ะ แต่ต่อมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการให้เงินกู้แก่ประเทศในโลกที่สามเป็นสำคัญ

ธนาคารโลกก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ.1944 ในการประชุมที่เบร็ตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมเชียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในการประชุมดังกล่าวมีการร่างกฎบัตรขึ้นมาสองฉบับสำหรับธนาคารโลกหรืออีกชื่อหนึ่งคือ ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและพัฒนา (International Bank for Reconstruction and Development-IBRD) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) และได้มีการรวมสถาบันการเงินอื่นๆ อีก 3 หน่วยงานได้แก่ 1) บริษัทการเงินระหว่างประเทศ, 2) สมาคมพัฒนาระหว่างประเทศ, 3) องค์การประกันการลงทุนหลายฝ่าย แล้วเรียกรวมกันว่า 'ธนาคารโลก' หรือ World Bank 

โดยในช่วงแรกมีประเทศสมาชิกเพียงแค่ 38 ประเทศ แต่ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 189 ประเทศ ซึ่งมี ซูดานใต้ เป็นประเทศที่ 189 ที่เข้าร่วมในปี 2012 ส่วนประเทศไทยเองเข้ามาเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 ด้วยลำดับสมาชิกที่ 47 ค่ะ

นอกจากธนาคารโลกจะมีหน้าที่ช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการให้กู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และระยะยาวแล้ว ยังช่วยค้ำประกันเงินกู้ทำให้ประเทศที่กู้เงินสามารถได้รับอัตราดอกเบี้ยในเรทที่ต่ำได้ และให้คำปรึกษารวมให้ความรู้กับประเทศสมาชิก รวมถึงกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศค่ะ 

ดังนั้น สาเหตุหลักในการปรับเป้า GDP ไทย เพราะธนาคารโลก มองว่า การส่งออกและการลงทุนภาครัฐไทยดูมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เนื่องมาจากความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณปี 2567 และไทยเองก็ยังมีหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง แถมยังมีปัญหาใหญ่ที่รออยู่นั่นก็คือ ปัญหาทางโครงสร้างประชากรที่ไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุด้วยค่ะ โดยการปรับตัวเลข GDP นี้ ยังไม่ได้มีการรวมเอาโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป เพราะถ้าเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดไว้ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเข้ามาช่วยเพิ่ม GDP ไทยได้ราว 1% เพียงแต่จะแลกมาด้วยหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นตามมา 

ส่วนในเรื่องการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่เป็นกลไกหลักในการสร้างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถูกมองว่าจะกลับไปที่ระดับก่อนโควิดระบาดได้ในช่วงกลางปี 2568 ขณะที่เรื่องการส่งออกไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออก ก็จะได้อานิสงส์จากการค้าโลกที่เติบโตดีขึ้นด้วยค่ะ

นอกจากประเทศไทยแล้ว ธนาคารโลกก็ยังปรับประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียงแค่ 2.6% ในปีนี้ ซึ่งได้แรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market และประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัวลดลงจากปี 2566 มาอยู่ที่ระดับ 4.2% ... จีนจะขยายตัวลดลงจากปีที่แล้วที่ระดับ 5.2% มาอยู่ที่ระดับ 4.8% และเศรษฐกิจแถบยูโรโซนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ระดับ 0.4% มาอยู่ที่ระดับ 0.7% ค่ะ

‘บีโอไอ’ ชี้ Q1/67 ต่างชาติแห่ลงทุน ‘ไทย’ เพิ่มขึ้น 94% มูลค่า 228,207 ลบ. สะท้อน!! ความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย

(13 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวภายหลัง บีโอไอ และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการลงทุนของอาเซียน ว่า…

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพและความพร้อมหลายด้านที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะขั้นสูง รวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนเชิงรุกจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

โดยที่ผ่านมารัฐบาลและบีโอไอได้เดินหน้าออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการลงทุนในโครงการสำคัญของบริษัทรายใหญ่จากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตัวเลขการลงทุนทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปี ด้วยมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 8.48 แสนล้านบาท เติบโต 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น FDI กว่า 6.63 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 72%

ทั้งนี้ บีโอไอเชื่อว่ากระแสการลงทุนจากต่างประเทศจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปี 67 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 724 โครงการ เพิ่มขึ้น 94% มูลค่าเงินลงทุนรวม 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย

'เยอรมนี' วางแผนจะนำรูปแบบการเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ใหม่ ภายใต้แรงกดดันจากกรณีสงคราม 'ยูเครน-รัสเซีย'

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 67) บอริส พิสโทริอุส รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี เข้าร่วมแถลงข่าวเรื่องการปฏิรูปการรับราชการทหารในเยอรมนี โดยระบุว่า เยอรมนีกำลังวางแผนปรับรูปแบบการรับราชการทหารใหม่ เนื่องจากประเทศต้องการปรับปรุงกองทัพภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

บอริส พิสโทริอุส แสดงความต้องการฟื้นฟูการขึ้นทะเบียนของผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับราชการทหารซึ่งเคยถูกระงับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้วสำหรับรูปแบบการเกณฑ์ทหารใหม่ นอกจากนี้นักการเมืองสังกัดพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD) ยังใช้มาตรการบังคับให้ชายหนุ่มแจ้งข้อมูลในแบบสอบถามเกี่ยวกับความเต็มใจและความสามารถในการรับใช้ราชการทหารของพวกเขาด้วย

ข้อเสนอของนักการเมืองพรรค SPD ถือเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นไปได้ในการนำมาตรการรับราชการทหารภาคบังคับกลับมาใช้ใหม่ ขณะเดียวกันพิสโทริอุสต้องการดำเนินการตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริงในช่วงระยะเวลาของกฎหมายนี้จากข้อมูลของสื่อเยอรมัน แผนการของพิสโทริอุสจำเป็นต้องมีการขยายกรอบกฎหมายการเกณฑ์ทหารสำหรับชายหนุ่ม

นักวางแผนทางทหารประเมินว่า ในแต่ละปีจะต้องมีคน 400,000 คนกรอกแบบสอบถาม และคาดการณ์ว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนนั้นอาจแสดงความสนใจ โดยมีแผนจะสั่งผู้สมัคร 40,000 คนเพื่อทำการทดสอบ ขณะนี้ทางกองทัพมีความสามารถในการฝึกอบรมทหารเกณฑ์ได้ 5,000-7,000 คน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และการฝึกอบรมจะใช้เวลาหกหรือสิบสองเดือน

บอริส พิสโทริอุส รายงานข้อเสนอเกี่ยวกับแผนการของเขาให้คณะกรรมการรัฐสภากลาโหมทราบในเช้าวันพุธ (12 มิ.ย.) และในช่วงบ่ายเขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการคัดค้านอย่างชัดเจนต่อแผนการรื้อฟื้นการรับราชการทหารภาคบังคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางส่วนของพรรค SPD เอง ‘ลาร์ส คลิงไบล์’ หัวหน้าพรรค SPD กล่าวยืนยันว่าเขายังสนับสนุนการสรรหาบุคลากรทางทหารโดยสมัครใจต่อไป 

“ผมคิดว่าแนวทางการสรรหาด้วยความสมัครใจจะทำให้บุนเดสแวร์ (กองทัพเยอรมัน) น่าดึงดูดใจมากกว่า” 

ส่วน ‘โอมิด นูริปูร์’ หัวหน้าพรรคกรีน กล่าวอย่างชัดเจนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วว่า “ผมไม่เชื่อว่าเราจำเป็นต้องมีการเกณฑ์ทหาร” นอกจากนี้ยังมีเสียงคัดค้านการคัดเลือกกำลังพลภาคบังคับจากพรรคเสรีประชาธิปไตยเยอรมนี (FDP) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ตามแบบจำลองของพิสโทริอุส ทุกคนจะต้องตอบแบบสอบถามและเข้ารับการทดสอบเมื่อถูกเรียกตัว มีรายงานว่าเขาเห็นชอบที่จะเปิดทางสำหรับการรับราชการทหารภาคบังคับ แม้ในยามสงบ หากไม่สามารถสรรหาทหารเกณฑ์ได้เพียงพอ

การรับราชการทหารภาคบังคับในเยอรมนีเคยถูกระงับไปเมื่อปี 2011 ภายใต้รัฐมนตรีกลาโหม ‘คาร์ล-เทโอดอร์ ซู กุตเทนแบร์ก’ (สังกัดพรรค CSU ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในขณะนั้น) ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และทำให้โครงสร้างการรับราชการทหารภาคบังคับเกือบทั้งหมดสลายไปด้วย

แม้จะขาดแคลนกำลังพล แต่ในปีที่แล้วบุนเดสแวร์ก็ลดจำนวนทหารลงเหลือ 181,500 นาย บอริส พิสโทริอุสจึงรื้อฟื้นแบบจำลองการรับราชการทหารภาคบังคับมาตรวจสอบอีกครั้ง ภายใต้แรงกดดันจากสงครามรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน เขาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนในกระทู้ของรัฐบาลว่า เขาไม่หวังจะพึ่งพาความสมัครใจเพียงอย่างเดียว

‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ ผงาดที่ 2 เมนูมะม่วงดีสุดในโลก เป็นรองแค่ 'Aamras' เมนูเด็ดจากอินเดีย

(13 มิ.ย.67) สำหรับ ‘มะม่วง’ เชื่อว่าคงเป็นผลไม้สุดโปรดปรานของใครหลาย ๆ คน โดยมะม่วงสามารถถูกรังสรรค์ได้หลายเมนู อาทิ ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน ไอศกรีมมะม่วง หรือบิงซูมะม่วง

ขณะเดียวกัน Taste Atlas เว็บไซต์จัดอันดับอาหารทั่วโลก ที่มักจัดอันดับในประเภทต่าง ๆ ก่อนหน้านี้เคยจัดอันดับอาหารยอดแย่อันดับ 1 ได้แก่ ‘แกงไตปลา’ สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มโซเชียล บ้างก็ว่าไม่ควรติดอันดับ เพราะเป็นเมนูที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย รวมถึงรสชาติที่จัดจ้าน ต่อมาก็ได้จัดอันดับพุดดิ้งข้าวที่ดีที่สุดในโลก โดยประเทศไทยคว้าอันดับ 2 จากทั่วโลก ด้วยเมนู ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ 

ล่าสุดเว็บดังกล่าวจัดอันดับเมนูมะม่วงที่ดีที่สุดในโลก โดย 10 อันดับแรก ได้แก่…

1. Aamras อินเดีย
2. ข้าวเหนียวมะม่วง ไทย
3. Sorbetes ฟิลิปปินส์
4. Rujak อินโดนีเซีย
5. Mango Chutney อินเดีย
6. Mango pomelo sago จีน
7. Chinese mango pudding (Mangguo buding) จีน
8. Rujak cingur อินโดนีเซีย
9. Baobing จีน
10. มะม่วงน้ำปลาหวาน ไทย

'จีน' เรียกร้อง 'สหภาพยุโรป' ทบทวนแผนรีดภาษีรถ EV นำเข้าจากจีน เตือน!! อย่าหลงเดินทางผิด เพียงเพื่อปกป้องอุตฯ ยานยนต์ของตัวเอง

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 67 รัฐบาลจีนเรียกร้องให้สหภาพยุโรปทบทวนแผนรีดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน และ ‘อย่าหลงเดินทางผิด’ เพียงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของตัวเอง หลังจากที่อียูได้ประกาศมาตรการขึ้นภาษีรถอีวีจีนสูงสุดในอัตรา 38.1% โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป

จีนยังขู่จะใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ประกาศแผนขึ้นภาษีดังกล่าว

“เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างและขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โตแล้ว หากจีนและอียูสามารถร่วมมือกันในประเด็นการค้าและเศรษฐกิจได้ก็จะเป็นการดีที่สุด” บทความแสดงความคิดเห็นของสำนักข่าวซินหวา ระบุ

“อียูเองก็จะมีความคุ้มทุน (cost-effective) มากขึ้น หากอาศัยข้อได้เปรียบของจีนเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมรถอีวีของตนเอง”

ไม่ถึง 1 เดือนหลังจากที่สหรัฐฯ ขยับอัตราภาษีรถอีวีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัวเป็น 100% บรัสเซลส์ก็กระโดดร่วมวงต่อสู้นโยบายอุดหนุนของปักกิ่งโดยเตรียมที่จะขึ้นภาษีในอัตราตั้งแต่ 17.4% สำหรับรถยนต์ BYD และสูงสุด 38.1% สำหรับรถยนต์ SAIC นอกเหนือไปจากภาษีนำเข้ามาตรฐาน 10% ที่ใช้อยู่แล้ว และนั่นทำให้อัตราภาษีสูงสุดที่เรียกเก็บพุ่งขึ้นไปเกือบถึง 50% ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของอียูแทบไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบรรดาค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีน เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว โดยราคาหุ้น BYD ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงขยับพุ่งขึ้นกว่า 7% ในการซื้อขายช่วงเช้า ส่วนที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นก็ขยับขึ้น 4.5%

“อัตราภาษีที่อียูประกาศออกจะให้ผลในเชิงบวกกับ BYD ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับที่เราคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะสูงถึง 30% และนั่นทำให้ภาพรวมการส่งออกของ BYD ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น” 

รายงานของ Citi ระบุ ราคาหุ้น Geely Auto ขยับพุ่ง 2.5% และ Xpeng เพิ่มกว่า 2% เช่นเดียวกับหุ้นของ Nio ที่ปรับเพิ่ม 3.5% ขณะที่ราคาหุ้น SAIC Motor ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ปรับตัวลดลง 1%

ในทางกลับกัน ราคาหุ้นค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของยุโรปซึ่งมีจีนเป็นตลาดใหญ่กลับดิ่งลง (12 มิ.ย.) สืบเนื่องจากความกังวลว่าจีนอาจจะใช้มาตรการแก้แค้น

แม้ว่าค่ายรถยุโรปจะต้องเผชิญความท้าทายจากรถอีวีราคาถูกสัญชาติจีนที่หลั่งไหลเข้าสู่ภูมิภาค ทว่ามาตรการรีดภาษีของ EU กลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากอุตสาหกรรมรถยนต์สักเท่าไหร่

บรรดาค่ายรถเยอรมนีนั้นต้องพึ่งยอดขายในจีนมากเป็นพิเศษ และเกรงว่าจะถูกปักกิ่งเล่นงานแก้แค้น ขณะที่ค่ายรถยุโรปหลาย ๆ เจ้าก็นำเข้ารถยนต์ของตัวเองที่ผลิตในจีนเช่นกัน

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เคยออกมาแถลงย้ำหลายครั้งว่ายุโรปจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้จีนส่งรถอีวีที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐเข้ามาท่วมตลาดยานยนต์ยุโรป

‘หมอเอก’ ชี้ ประเทศไทยใช้งบ 300 ล้านแต่ปัญหายาสูบย่ำอยู่กับที่ พร้อมจี้ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างเครือข่ายรณรงค์

อดีตส.ส.เชียงราย ‘หมอเอก’ ชี้ข้อเสนอมาตรการคุมบุหรี่ไฟฟ้าจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นการ “ทำสิ่งเดิมซ้ำๆแต่หวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” ยันอัตราการสูบบุหรี่และจำนวนผู้สูบบุหรี่ในไทยแทบไม่ลดลง แม้มี สสส.มา 30 ปี พร้อมยกประเด็นงบประมาณสสส. 300 ล้านที่ส่อแววผลประโยชน์ทับซ้อน ยันหากไทยอยากกลดคนสูบบุหรี่ให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 5 ต้องปรับวิธีคิด

นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 1 จังหวัดเชียงราย และอดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขเรื่องปัญหาการควบคุมยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค “หมอเอก Ekkapob Pianpises” เกี่ยวกับข้อเสนอในเรื่องมาตรการการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าจากที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง จากข้อสรุปของที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งได้มีข้อเสนอเรื่องมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า สรุปได้ 5 ข้อ 1. พัฒนาการจัดการความรู้ 2. สร้างการรับรู้ 3. เฝ้าระวังการบังคับใช้กฎหมาย 4. พัฒนาศัพยภาพภาคีเครือข่าย 5. ยืนยันมาตรการป้องกัน-ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ทั้ง 5 ข้อนั่นคือการทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ แล้วเราจะหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างได้หรือ?”

โดยหมอเอกวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ข้อเสนอ 1-4 นั้นอาจเอื้อให้สสส.ทำการ ‘แจกจ่าย’ ให้กับเครือข่าย ซึ่งตนอยากให้ประชาชนจับตาดูและตั้งคำถามว่าเครือข่ายดังกล่าวประกอบด้วยบุคคลหรือองค์กรใดบ้าง พร้อมระบุว่าการเสนอให้ใช้วิธีเดิมซ้ำๆโดยคนกลุ่มเดิม ๆ อาจนำมาซึ่งความ ‘ล้มเหลว’ แบบเดิม ๆ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการควบคุมยาสูบโดยการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ยาเส้น ในภาพรวม โดยมุ่งไปยังเป้าหมายการสร้างสังคมไร้ควัน หรือการที่มีอัตราผู้สูบบุหรี่ในประเทศต่ำกว่า 5% จากที่ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราผู้สูบบุหรี่สูงถึง 17-18%

ก่อนหน้านี้ หมอเอกได้เคยออกมาให้ความเห็นเนื่องในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก (World No Tobacco Day) ประจำปี 2567 ระบุว่า “วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปีถือเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก กับประเทศไทยที่โหมทำกิจกรรมเกี่ยวกับ บุหรี่ไฟฟ้า เหมือนกับจะเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจที่ ความล้มเหลวในการควบคุมยาสูบ ?!!!” หมอเอกระบุเพิ่มเติมว่า ในปี 2545 มีการจัดตั้งสสส.ขึ้น จากนั้นบุหรี่ไฟฟ้าถูกแบนในปี 2557 และมีพรบ.ควบคุมการบริโภคยาสูบออกมาในปี 2560 ขณะที่มีงบประมาณรณรงค์จากสสส.กว่าปีละ 300 ล้านบาท พร้อมด้วยเครือข่ายการันตีรางวัลจากองค์กรอนามัยโลกด้านการควบคุมยาสูบ รวมถึงทุนวิจัยในเรื่องการจัดการยาสูบโดยเฉพาะ ทว่าตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถลดอัตราผู้สูบบุหรี่ได้ และมีบุหรี่ไฟฟ้าทะลักเข้ามาในประเทศในจำนวนมหาศาล ขณะที่รัฐเลือกปรับภาษีบุหรี่ขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการยาสูบแห่งประเทศไทยและชาวไร่ยาสูบ และนำมาซึ่งสัดส่วนการตลาดของบุหรี่เถื่อนที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างมีนัยสำคัญ

อนึ่ง หมอเอกได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการสอบข้อเท็จจริงในประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนดังกล่าวโดยคณะกรรมาธิการสาธารณสุขของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมา และได้มีการส่งต่อประเด็นให้แก่คณะกรรมาธิการปปช. ทว่าการสอบข้อเท็จจริงต้องหยุดดำเนินการหลังการยุบสภา

“ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ และในฐานะของผู้ที่ติดตามปัญหาด้านสาธารณสุข ผมย้ำมาโดยตลอดว่า ไม่สนับสนุนให้ใครสูบบุหรี่ ใครสูบอยู่ก็ควรที่จะเลิก โดยต้องดำเนินการด้วยชุดข้อมูลวิชาการที่ไม่บิดเบือน คำนึงถึงสิทธิของประชาชน และการมองปัญหารวมทั้งรับฟังจากทุกภาคส่วน ในเมื่อชุดความคิดเดิมๆ ในเมื่อคนกลุ่มเดิมๆ ทำงานไม่ได้ตามเป้ามาร่วม 30 ปี เราจะให้โอกาสคนที่ทำพลาดซ้ำๆ ทำงานต่ออีกหรือ?”

‘ยูนิเซฟ’ เผยวิกฤตของ ‘เด็กเล็ก’ เกือบ 400 ล้านคนทั่วโลก ต้องเผชิญความรุนแรงทาง ‘ร่างกาย-วาจา’ ในครอบครัว

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประมาณการใหม่จากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ (UNICEF) ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (11 มิ.ย.) เนื่องในโอกาสการฉลองวันแห่งการเล่นสากล (International Day of Play) ครั้งแรก เปิดเผยว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เกือบ 400 ล้านคน หรือร้อยละ 60 ของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก ต้องทนเผชิญความรุนแรงทางจิตใจหรือการลงโทษทางร่างกายจากที่บ้านเป็นประจำ โดยในจำนวนนี้มีเด็กราว 330 ล้านคนถูกลงโทษด้วยวิธีทางร่างกาย

ด้าน แคทเธอรีน รัสเซลล์ คณะกรรมการผู้บริหารของยูนิเซฟ กล่าวว่า เมื่อเด็กเผชิญความรุนแรงทางร่างกายหรือทางวาจาจากที่บ้าน หรือเมื่อไม่ได้รับการดูแลทางสังคมและทางอารมณ์จากบุคคลอันเป็นที่รัก การกระทำเหล่านี้เป็นบ่อนทำลายความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองและพัฒนาการของพวกเขาได้ พร้อมเสริมว่าการเอาใจใส่และการเลี้ยงดูอย่างสนุกสนานสามารถสร้างความสุขและยังช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกปลอดภัย ได้เรียนรู้ สร้างทักษะ และสำรวจโลกรอบ ๆ ตัวของพวกเขา

รายงานระบุว่า บรรทัดฐานทางสังคมอันตรายที่สนับสนุนวิธีการเลี้ยงดูบุตรโดยใช้ความรุนแรงยังคงมีอยู่ทั่วโลก โดยพบว่าแม่และผู้ดูแลหลักมากกว่า 1 ใน 4 มองว่าการลงโทษทางร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเลี้ยงดูและสั่งสอนเด็กอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มความพยายามและการลงทุนด้านการคุ้มครอง โดยการเสริมสร้างกรอบกฎหมายและนโยบายที่ยับยั้งและยุติความรุนแรงที่บ้านที่มีต่อเด็กทุกรูปแบบผ่านการขยายโครงการการเลี้ยงดูแบบอิงหลักฐานที่ส่งเสริมแนวทางเชิงบวก สนุกสนาน และป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ตลอดจนการเรียนรู้อย่างคุ้มค่าผ่านการขยายการเข้าถึงพื้นที่การเรียนรู้และการเล่นให้กับเด็ก ๆ เพื่อรับรองว่าเด็กทุกคนสามารถเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกว่าตนเป็นที่รัก

ชลบุรี- 'บิ๊กเต่า' ลั่นฟัน 157 หากพบเจ้าหน้ามีส่วนเกี่ยวข้อง เรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ

ความคืบหน้ากรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) รายงานว่าเรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

ล่าสุดวันนี้ (13 มิถุนายน) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ และเจ้าหน้าตำรวจสอบสวนกลาง ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง เรือบรรทุกน้ำมันหาย 3 ลำ ณ ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก่อนเข้าประชุมเร่งรัดหาข้อเท็จจริง

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า การดำเนินการติดตามเรือที่หาย ได้มีการตั้งคณะกรรมการในการดำเนินคดีออกเป็น 3 ส่วน คือ เจ้าาหน้าที่ตำรวจน้ำที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และในส่วนของลูกเรือ โดยได้ตั้งกองอำนวยการสืบสวนหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุเรือบรรทุกน้ำหาย และจะเร่งนำเรือของกลางกลับมาโดยเร็ว ทั้งนี้เชื่อว่าเรือที่หายทั้ง 3 ลำ ยังคงอยู่ในอ่าวไทย และยังไปไม่ถึงประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเรือทั้ง 3 ลำมีน้ำมันอยู่ด้วย ทำให้เรือสามารถวิ่งได้ประมาณ 7-8 นอต และจะต้องใช้ระยะเวลาในการวิ่งเรือจากพื้นที่เกิดเหตุไปประเทศเพื่อนบ้านที่มีระยะทาง 240 ไมล์ทะเล โดยต้องใช้ระยะ 15 ชั่วโมง

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าทำไหมเรือบรรทุกของกลางที่จอดด้วยกัน 5 ลำ จึงหายไปเพียง 3 ลำนั้น ด้วย เรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำที่หายนั้น จากสืบข้อมูลเชิงลึก เรือทั้ง 3 ลำ มีเจ้าของและเป็นเรือของผู้มีอิทธิพลเรื่องน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ปัตตานี และเหตุที่คาดการว่าเรือทั้ง 3 ลำจะไปประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยเจ้าของเรือคาดว่าอีก 2 ลำ เป็นเรือไม่มีเจ้าของ แต่ถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกัน สำหรับลูกเรือที่จับได้ทั้งหมด 28 คน และหายไปกับเรือ 3 ลำ 18 คน ทั้งนี้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสั่งลงมาให้ดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง หากพบเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจและปล่อยเรือออกไปก็จะดำเนินคดี เพราะไม่ทำหน้าที่เท่าที่ควร มีอะไรกับเป้าหมายหรือไม่ รับรองว่าการเข้ามาทำหน้าที่ของตนตรงไปตรงมา หากพบเจ้าหน้าที่นายไหนมีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมดำเนินคดี 157 ทันที และเชื่อว่าบนเรือไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในเรือของกลาง อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชา ให้ช่วยติดตามหาเรือทั้ง 3 ลำแล้ว พร้อมเตรียมออกหมายจับลูกเรือที่หนีไป

ด้านพ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยว่า เรือ 3 ลำได้ยึดเป็นของกลางในคดี ทั้งเป็นคดีของพนักสอบสวนกลางและกรมสรรพสามิต ซึ่งเรือแต่ละลำมีทะเบียนเรือไม่ตรงกับข้อมูลเรือ บางลำไม่มีทะเบียนเรือ และจากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่าเรือ 3 ลำ ที่หายไปเป็นเจ้าของเดียวกัน ส่วนการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 5 ลำ นั้น ด้วยมีการขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลในฝั่งทะเล ออกทะเลอันดามัน เพื่อจะเอาน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักร จึงมีการจับกุม ส่วนการจัดเก็บของกลางตามระเบียบ สตช. ระบุให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดูแล และหากของกลางเป็นประเภทเรือ ของกลาง จะต้องให้ตำรวจน้ำในพื้นที่ดูแล

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมเปิดศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ทั่วประเทศ กำชับเข้มงวดกำจัดการพนันทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่

วันนี้ (13 มิ.ย.67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือ ฟุตบอลยูโร 2024 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. 

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ กล่าวว่า วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 จะมีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือฟุตบอลยูโร 2024 (UEFA European Football Championship 2024) ณ ประเทศเยอรมัน โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อโทรทัศน์และสื่ออื่นฯ ให้ประชาชนได้รับชมการแข่งขันพร้อมกันทั่วโลก สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใย และคาดว่าจะมีผู้ลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล อันอาจเป็นเหตุให้กลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชนทั่วไป ตกเป็นเหยื่อเข้าไปเล่นการพนันทายผลฟุตบอล ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ให้ทุกหน่วยปฏิบัติ ดังนี้

1. ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการท่องเที่ยว , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 โดยมีผู้บัญชาการ หรือรองผู้บัญชาการที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ เริ่มเปิดศูนย์ฯ พร้อมกันทั่วประเทศในวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น. 

2. จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบตรวจตราสถานบริการ สถานบันเทิง หรือสถานที่อื่นใดที่เปิดให้บริการรับชมการแข่งขันฟุตบอล เพื่อเป็นการป้องกันปราบปรามและสืบสวนจับกุมอย่างเข้มข้น

3. ให้กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นหน่วยหลักในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการกระทำผิดผ่านเว็บไซต์หรือสื่ออินเทอร์เน็ต ที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ ชักชวน หรือจัดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน หากพบว่ามีการกระทำผิดให้ทำการสืบสวนจับกุม และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปิดเว็บไซต์โดยเร็ว

4. บูรณาการการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อแสวงหาความร่วมมือ แจ้งเบาะแสและข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล ตลอดจนเปิดช่องทางการรับแจ้งเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่ายทุกช่องทาง

5. ให้สืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำผิด ผู้สนับสนุน นายทุน เจ้ามือหรือเครือข่ายรับพนันทายผลการแข่งขันฟุตบอล ทั้งที่เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันโดยตรงและรับพนันออนไลน์ หากเป็นความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีวงเงินหมุนเวียนในการกระทำความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นการจัดให้มีการเล่นการพนันทางออนไลน์ อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(9) ให้นำมาตรการการฟอกเงินมาบังคับใช้ทุกกรณีอย่างเคร่งครัด

6. ประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบถึงโทษของการเล่นการพนัน ตลอดจนการขอความร่วมมือจากสถานศึกษาทุกแห่ง ผู้ปกครองของนักเรียน นักศึกษา เยาวชนให้ช่วยสอดส่องดูแลเอาใจใส่บุตรหลานในปกครอง 

7. ให้ทุกหน่วยประสานและสนับสนุนการปฏิบัติกันอย่างใกล้ชิด กรณีที่มีการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญหรือเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024  รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยด่วน รวมถึงการจัดแถลงข่าวในพื้นที่ทันทีโดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมสูงสุด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัคราเดชฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติคาดหวังว่าพี่น้องประชาชนจะรับชมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ในครั้งนี้ อย่างมีความสุข รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการพนัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อสร้างความเข้าใจ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และขอได้ฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน หากมีเบาะแสหรือเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการพนันทายผลฟุตบอล หรืออาชญากรรมอื่น ๆ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top