Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

“อนุทิน” จับมือ สมาพันธ์ 11 วิชาชีพ สู้โควิด-19 เผย บุคลากรสาธารณสุข ฉีดวัคซีนเกิน 90%

วันนี้ 29 เมษายน 2564  ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมคณะผู้บริหารสธ. เข้าร่วมในงานแถลงข่าว "สมาพันธ์สภาวิชาชีพรวมใจ สู้ภัยโควิด-19" โดยสมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ทั้ง 11 สภาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สัตวแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัด และสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมระดมกำลังบุคลากรในแต่ละวิชาชีพสู้ภัยโควิด-19

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้การดูแลประชาชนในทุกมิติ ทั้งการรักษา ป้องกันควบคุมโรค และการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงมือแพทย์โดยเร็ว ตลอดจนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครอบคลุมจำนวนประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทย ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่สมาพันธ์วิชาชีพทั้ง 11 สาขา เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกการป้องกันและควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดเตรียมวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศไทย ทุกสัญชาติ เพราะเรายึดหลักการว่า "จะไม่มีใครปลอดภัย หากทุกคนยังไม่ปลอดภัย หากเราฉีดแต่คนไทย ไม่ฉีดสัญชาติอื่นที่อยู่ในเมืองไทย เราก็พูดไม่ได้ว่าเราปลอดภัย" ดังนั้น การที่กลุ่มสมาพันธ์วิชาชีพฯ  โดยสาขาวิชาชีพสุขภาพ เข้ามาสนับสนุนภารกิจการฉีดวัคซีน ก็จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และขับเคลื่อนให้การฉีดวัคซีนบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ

นายอนุทิน กล่าวว่า สธ. ได้ดูแลบุคลากรสาธารณสุข ผู้ทำงานด่านหน้าที่มีโอกาสเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ให้ปลอดภัยจากการปฏิบัติงาน ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ 100% ในเดือน พ.ค. โดยขณะนี้บุคลากรสาธารณสุขได้รับการฉีดวัคซีนเกินกว่า 90% ส่วนประชาชนทั่วไปจะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจากสมาพันธ์ฯ จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อในบุคลากรสาธารณสุขได้ และรัฐบาลก็จะจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้ผู้ปฏิบัติงาน ทำงานอย่างปลอดภัยมากที่สุด

"ผมในนามของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคนไทยทุกคน ต้องขอขอบคุณความทุ่มเทเสียสละของจิตอาสาจากทุกสภาวิชาชีพ ที่เข้ามากับ สธ. ในการบริหารจัดการโควิด-19 ส่วนการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ต้องขอความกรุณาจากสภาวิชาชีพที่มีสมาชิกกว่า 5 แสนคน ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นำมาสู่การเข้ารับวัคซีนตามเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข" นายอนุทินกล่าว

'รศ.หริรักษ์' อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ใครก็ตามที่มีส่วนในการริเริ่ม หรือจัดการโครงการ บ้านเอื้ออาทร และโครงการรับจำนำข้าว ไม่มีสิทธิโจมตีรัฐบาลไหนทั้งสิ้นว่าทำให้ประเทศชาติเสียหายยับเยิน เพราะโครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการรับจำนำข้าว คือโครงการที่ทำให้ประเทศเสียหายยับเยินของจริง ชัดเจน

ทั้ง 2 โครงการนอกจากจะมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารแล้ว ยังทำให้ประเทศเสียเงินแบบสูญเปล่าอีกมหาศาลอีกด้วย

บ้านเอื้ออาทรหลายแห่งกลายเป็นหมู่บ้านร้างที่มีสิ่งปลูกสร้างคล้ายบ้านที่ดูแล้วไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นที่อยู่อาศัยได้ เรียงกันเป็นแถวยาว ใกล้ชิดกันขนาดที่หากมีคนอยู่ ก็สามารถเปิดหน้าต่างออกมาทักทาย แทบจะจับมือกับผู้ที่อยู่บ้านติดกันได้ นี่คือเงินที่สูญเปล่าทั้งสิ้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโครงการรับจำนำข้าว ที่นอกจากจะมีการทุจริตเป็นที่ประจักษ์แล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ จนบัดนี้รัฐบาลยังใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ไม่จบไม่สิ้น และยังอีก 13 ปีจึงจะใช้หนี้หมด

ดังนั้นอย่าได้วิจารณ์หรือโจมตีผู้อื่นซึ่งยังไม่แน่ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างที่ถูกโจมตีจริงหรือไม่ ในขณะที่ตัวเองมีส่วนในการทำให้ประเทศเสียหายยับเยิน ของจริง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4292240754119780&id=100000016923106

เปิด 5 มาตรการ ศบค.ยกระดับ 6 จังหวัดสีแดงเข้ม งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ห้ามกินในร้าน ตรึงเวลา 14 วัน ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว

เปิด 5 มาตรการ ศบค.ยกระดับ 6 จังหวัดสีแดงเข้ม งดเดินทางออกนอกพื้นที่ ห้ามกินในร้าน ตรึงเวลา 14 วัน ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว ให้มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค. พ.ศ.2564

วันที่ 29 เม.ย. 64 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงผลการประชุมศปก.ศบค.ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดว่า โดยที่ประชุมพิจารณายกระดับการดูแลจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 ด้วยการยกระดับ 6 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ประกอบด้วย กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ

โดยมาตรการสำคัญสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ใน 6 จังหวัดคือ

1.) ให้พื้นที่กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

2.) ห้ามการจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 20 คน

3.) มาตรการควบคุมสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด กำหนดยกระดับมาตรการควบคุมบูรณาการขึ้นเพิ่มเติม สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

(3.1) ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในลักษณะของการนำกลับไปบริโภคที่อื่นได้เท่านั้น โดยงดบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน และเปิดบริการได้ถึง 21.00 น.

(3.2) สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนสให้ปิดบริการ ยกเว้นสถานที่ใช้เป็นเอกเทศตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ส่วนสนามกีฬาหรือสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ่ง เปิดให้บริการได้ไม่เกิน 21.00 น. และสามารถจัดแข่งขันโดยไม่มีผู้ชม

(3.3) ห้าง ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่คล้ายกัน ให้เปิดได้ตามปกติ จนถึง 21.00 น.ยกเว้นส่วนตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม และสวนสนุกที่งดบริการ

(4.) ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เกต ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดปกติ แต่ไม่เกิน 21.00 น. ส่วนร้านเปิด 24 ช.ม. ให้เปิดเวลา 04.00 น.

(5.) การงดการเดินทางอออกนอกพื้นที่ ให้ประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด งดการเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่มีเหตุจำเป็น

โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 00.00 น. วันที่ 1 พ.ค. พ.ศ.2564 ซึ่งยืนยันไม่ได้เป็นการประกาศใช้เคอร์ฟิว

‘ศุภชัย ใจสมุทร’ โดดป้อง ‘เสี่ยหนู’ เปรียบดังยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่บ้านกระสุนตก ฝาก ‘บิ๊กตู่’ มองให้ดี ในสงครามโควิด ใครเป็นขุนศึกร่วมรบ - รับหอกดาบแทน ถ้าไม่ใช่ ‘อนุทิน’!

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

นาทีนี้ “ชายเดียว” ที่ยืน “โดดเดี่ยว” ในหมู่บ้านกระสุนตก คงหนีไม่พ้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ที่โดนจัดหนัก จัดเต็ม ถูกจับเป็น “แพะ” บูชายัญ จากสถานการณ์โควิด-19 ทันทีที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อดีดขึ้นไปถึงพันจนทะลุสองพันกว่า บาปทุกอย่างก็ตกอยู่ที่ “เสี่ยหนู” ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีการระบาดในสถานบันเทิงรอบนี้ กระทรวงหมอ ก็เสนอมาตรการป้องกัน และคาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ว่าหากไม่มีการจัดการใด ๆ หลังสงกรานต์จะเกิดอะไรขึ้นเอาไว้แล้ว

ทว่า เหตุผลทาง “เศรษฐกิจ” นำ “สุขภาพ” ดังนั้น ในเวลาที่คนทั่วไปกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “หมอหนู” จึงต้องทำงานที่ “หนัก” อยู่แล้ว ให้ “หนักขึ้นไปอีก” เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วัคซีนก็ยังต้องหา วางแผนการฉีด เตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ จนเมื่อเกิดภาวะ “ฝีแตก” ผู้ติดเชื้อสูงสุดเกือบเหยียบ 3 พัน มีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้เตียง มีผู้เสียชีวิต คนบางกลุ่มก็ชี้ว่า เป็นความผิดของ “อนุทิน” ระดมทำแคมเปญลงชื่อขับไล่พ้นจาก “เก้าอี้” เพื่อระบายอารมณ์ และหวังผลทางการเมือง

ปัญหาการจัดส่งผู้ป่วย การจัดหาเตียง “มีจริง” ตัว “เสี่ยหนู” ก็ยอมรับ และแก้ไขด้วยการตั้งศูนย์แรกรับ ส่งต่อผู้ป่วย แบบไม่ปริปากถึงเรื่องราวเชิงลึกใด ๆ แม้เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่า “ปัญหานี้” เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ กทม. ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจเต็มของสธ. ถามว่า 76 จังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทำไมไม่มีปัญหาแบบนี้ คำตอบจึงอยู่ในคำถาม ที่ผ่านมาสิ่งที่ “เสี่ยหนู” ทำ คงไม่ได้ดีที่สุด ถูกใจทุกคนที่สุด แต่การทำงานที่ผนึกกับทีม สธ. จนทำให้ไทยประคับประคองสถานการณ์สู้กับโควิด -19 มาได้จนถึงวันนี้

การจัดหาวัคซีนซิโนแวค ด้วยคอนเน็คชั่นส่วนตัว เต็มใจควักกระเป๋า ถ้าจะทำให้จัดส่งเร็วขึ้น การวางแผนจัดหาวัคซีน ที่ไทยไม่เข้าร่วมโคแวค ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วว่าโคแวค ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ตามที่ตกลงไว้ แต่ไทยมีสยามไบโอไซแอนท์ ที่ผลิตวัคซีนได้ภายในประเทศของเราเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีอยู่ในสต็อก คน ๆ นี้ ไม่มี “เครดิต” เลยหรือ

ส่วนการที่ “นายกลุงตู่” ใช้วิธีพิเศษ รวบอำนาจจากหลายกระทรวง และตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ เพื่อมาทำเรื่อง โควิด-19 ก็ไม่ใช่เครื่องหมายที่จะมาตีตราว่า “เสี่ยหนู” กับ กระทรวงหมอจัดการไม่ได้ เพราะถ้ามองให้ดี ๆ จะเห็น “ชัดในชัด” ว่าไม่มีอะไร “ใหม่” ทั้งการหาวัคซีน การฉีดวัคซีน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ สธ. วางแผนไว้ทั้งสิ้น สิ่งที่ “นายก” ทำคือการบริหารอารมณ์ ความรู้สึกของภาคเอกชน ให้คนมีความคิดเห็นได้มีพื้นที่แสดงออก มีส่วนร่วมในการทำงาน

แค่อยากฝากถึง “บิ๊กตู่” ว่าในการศึกโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ใครคือขุนศึกร่วมรบ ก็เห็นมีแต่ “รองนายกหนูเพียงหนึ่งเดียว” ที่เป็น “หนังหน้าไฟ” ออกมา “ไฟท์” กับทุกเหตุการณ์ ฟาดกับฝ่ายตรงข้าม รับหอกรับดาบให้ลุงอย่างไม่เกรงสิ่งใด คำตอบชัดคือ “เสี่ยหนู” เวลานี้รัฐบาลควรเป็นหนึ่งเดียว อย่าให้ผู้ไม่หวังดีที่คอยเป่าขนหาแผล คิดว่าเจอรอยแยก แล้วปั่นให้ปริแตก “คนที่มีใจจริง” ไม่ใช่คนที่ออกฉาก แล้วมีแต่คำพูดที่สวยหรู แต่คือคนไม่ฆ่าน้อง ที่ทำงานใต้บังคับบัญชา ไม่ฟ้องนาย ที่เป็นผู้นำทีม ไม่ขายเพื่อน ที่ต้องทำงานร่วมกัน

#คนภูมิใจไทย

#พรรคภูมิใจไทย

ผอ.สถาบันวัคซีนฯ ชี้!! ซิโนแวคป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% เตือน!! กลุ่มวิจารณ์วัคซีน ไม่ควรยึดข้อมูลเดียวมาตัดสิน

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลประสิทธิผลวัคซีนชิโคแวคต่อไวรัสโควิด-19 ในประเทศบราซิล พบว่าสามารถป้องกันอาการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงได้ 50.4% อาการรุนแรงปานกลางได้ 83.7% และป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% ซึ่งวัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนตัวเดียวที่ได้รับการทดสอบในกลุ่มบุลากรทางการแพทย์

ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย จำนวน 61 ล้านโดส จะส่งมอบเดือนมิ.ย. มีข้อมูลตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีผลต่อไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ป้องกันอาการป่วยได้ 70% ส่วนไวรัสอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการกลายพันธุ์นั้นการป้องกันอยู่ที่ 85% ดังนั้นวัคซีนทั้ง 2 ตัวมีผลในการป้องกันอาการป่วยได้

นพ.นคร กล่าวอีกว่า การพิจารณาเรื่องวัคซีนนั้น ข้อสำคัญคือ ไม่สามารถจะมาเปรียบเทียบเฉพาะตัวเลข เพื่อบ่งชี้ถึงประสิทธิผลของวัคซีนเพียงลำพังเท่านั้น ต้องใช้ข้อมูลอื่นประกอบด้วยเช่น ผลการศึกษาระยะ 3 ที่แสดงผลของวัคซีนได้ทำในกลุ่มประชากรใด หากเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจำนวนมากจากพื้นที่ ที่มีการติดเชื้อสูงและพบเชื้อได้บ่อย จะไปเอาตัวเลขเปอร์เซ็นต์มาเปรียบเทียบกับวัคซีนบางตัวที่ใช้ในกลุ่มประชากรจากชุมชนทั่วไปไม่ได้ ต้องเอาทุกอย่างมาประกอบกัน

“ผู้ที่ออกวิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิผลของวัคซีนตัวนี้ ขอให้ใช้ข้อมูลความจริงทางด้านวิชาการตรงนี้ให้ครบถ้วน และพิจารณาเปรียบเทียบหลาย ๆ ส่วนกับวัคซีนตัวอื่น ที่มีการตีพิมพ์ผลงานของวัคซีนออกมาแล้ว ซึ่งจะเห็นความต่าง ความเหมือน หรือความใช้การได้ของวัคซีน ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนซิโนแวคที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีประสิทธิผลพอสมควรและมีประสิทธิผลมากในการป้องกันอาการรุนแรง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ และต้องฉีดให้ครอบคลุมอย่างมากและรวดเร็ว เราติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช้ความเชื่อหรืออคติแต่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในประเทศ และ ขององค์การอนามัยโลก”


ที่มา: https://www.facebook.com/101696788465808/posts/215848057050680/?sfnsn=mo

กาฬสินธุ์ – นก อพยพปักหลักขยายพันธุ์ กินหอยเชอรี่ศัตรูข้าว ชาวนาเผยเป็นผลดี พื้นที่ท้องนาสวยงาม และมีความชุ่มชื้น ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวเย็นลง

ฝูงนกธรรมชาตินานาชนิดหลายพันตัว บินอพยพจากต่างถิ่น เข้ามาปักหลักหากินในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ และเกิดการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ชาวนาเผยเป็นผลดีช่วยกินหอยเชอรี่ศัตรูข้าว และมองดูเหมือนสวนสัตว์นกดูเพลิดเพลินสวยงามเต็มท้องทุ่ง ขณะที่ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ ทสจ.กาฬสินธุ์ขอความร่วมมือประชาชนร่วมอนุรักษ์ ไม่ควรจับมาทำอาหารเพราะอาจจะติดเชื้อพยาธิได้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 18 อำเภอ ซึ่งอยู่ในช่วงของฤดูแล้งและบางวันมีฝนหลงฤดูตกลงมา ทำให้เกิดความชุ่มชื้น บางแห่งมีน้ำขัง ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าวเย็นลงบ้าง ขณะที่พื้นที่ใช้น้ำจากคลองชลประทานลำปาวหรือเขื่อนลำปาว กำลังอยู่ในระหว่างเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปรัง จึงพบว่าในช่วงนี้ จะมีฝูงนกธรรมชาตินานาชนิด โดยเฉพาะนกกระยางและนกปากห่าง โบยบินอยู่รอบ ๆ รถเกี่ยวข้าว และโผบินขึ้นบนท้องฟ้า แล้วโฉบลงมาจิกกินหอย กบ เขียด ปู ปลา ตามท้องนา ทำให้เกิดสีสัน สวยงาม

นายนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ฝูงนกกระยางและนกปากห่างดังกล่าว เห็นเข้ามาในพื้นที่ครั้งแรกประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นประปราย ไม่กี่ตัว ก่อนที่ระยะหลังต่อมาจะเห็นเพิ่มจำนวนมาก คาดว่าจะมีจำนวนหลายพันตัว กระจายอยู่หลายพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ทำนาปรัง ทั้งในเขต ต.ดอนสมบูรณ์ ต.บัวบาน ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด, ต.เหนือ ต.หลุบ ต.ลำพาน อ.เมืองกาฬสินธุ์ โดยจะเห็นอยู่กันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณ 20-100 ตัว

นายนาคินทร์ กล่าวอีกว่า ช่วงที่ฝูงนกดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับข้าวในนาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก จะมีเพียงเหยียบต้นข้าวเท่านั้น เนื่องจากอาหารหลักของนกเหล่านี้คือหอยเชอรี่ รวมทั้งกบ เขียด ปู ปลาที่อยู่ในนาข้าว ซึ่งหอยเชอรี่ถือเป็นศัตรูข้าว โดยจะกัดกินต้นข้าวเป็นอาหารและมีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายต่อต้นข้าว ชาวนาต้องไปหาซื้อสารเคมีที่ราคาแพงมากำจัดหอยเชอรี่ ทำให้เกิดสารพิษตกค้าง ส่งผลเสียต่อคุณภาพข้าวและสุขภาพของชาวนา ทั้งนี้ พอมีนกกระยางและนกปากห่างเข้ามาในพื้นที่ จึงเป็นการช่วยกำจัดหอยเชอรี่ศัตรูข้าวได้เป็นอย่างดี และผลดีของนกเหล่านี้ ยังทำให้แลดูเพลินตาเพลินใจ มองดูเหมือนเป็นสวนสัตว์นกธรรมชาติ ที่สร้างความสวยงามอยู่ตามท้องทุ่งนา

ขณะที่นายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์กล่าวว่า ฝูงนกธรรมชาติดังกล่าว สันนิษฐานว่าบินอพยพมาจากต่างประเทศ และในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง อาหารขาดแคลน โดยจับกลุ่มบินเข้ามาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ พบกับสภาพอากาศที่ชุ่มชื้น มีแหล่งน้ำ มีอาหาร ให้หากินตลอดปี โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตใช้น้ำชลประทานลำปาว ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ จึงปักหลักหากินและเกิดการขยายพันธุ์ดังกล่าว

นายนิยมกล่าวอีกว่า อาหารของนกเหล่านี้คือ กุ้ง หอย ปูปลา และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอื่น ๆ ช่วงแรกที่นกธรรมชาติเหล่านี้เข้ามาในพื้นที่ ได้รับการร้องเรียนจากชาวนาบ้าง ว่าลงเหยียบย่ำต้นข้าวเสียหาย และลงหากินตามบ่อกุ้งบ่อปลา  ซึ่งก็ได้ให้คำแนะนำให้หาวิธีการป้องกันความเสียหาย โดยทำนาดำเพื่อจะได้ต้นข้าวที่แข็งแรง ขณะที่ผู้เลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาเอง ก็ให้ทำอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ใช้ภูมิปัญญาไล่นกด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งบรรเทาความเสียหายลงได้ ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ชาวนาและประชาชนทั่วไป ไม่ทำร้ายและไม่นิยมจับนกเหล่านี้มาทำอาหาร อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นนกธรรมชาติ ที่ช่วยกำจัดหอยเชอรี่ที่เป็นศัตรูข้าว และยังสร้างสีสัน มองดูสวยงาม จึงขอความร่วมมือจากประชาชน ช่วยกันอนุรักษ์เป็นสัตว์ประจำถิ่น เพราะฝูงนกเหล่านี้ให้คุณมากกว่าโทษ และไม่ควรจับมาทำอาหาร เพราะอาจจะติดเชื้อพยาธิได้

(เสียงสัมภาษณ์ นายนาคินทร์ ภูจ่าพล ผู้ใหญ่บ้านดอนยานาง หมู่ 9 ต.ดอนสมบูรณ์และนายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์)

ระยอง - มารู้จัก “เต่าทะเล” สัตว์โลกล้านปีใกล้วันสูญพันธุ์

"ระยอง" อีกหนึ่งจังหวัดยอดนิยมทางภาคตะวันออกของไทยที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ทุกคนควรมาเยือน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ, อุทยานแห่งชาติ“เขาแหลมหญ้า” หรือ ทะเลแหวก เกาะมันใน ที่อะเมซิ่งสุด ๆ เพราะใคร ๆ ก็คาดไม่ถึงว่าจะมีทะเลแหวกสวย ๆ แบบนี้ในทะเลฝั่งตะวันออกด้วย นอกจากที่เกาะมันในแห่งนี้จะมีทะเลแหวกให้ชมแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล และเป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล ซึ่งมีทั้งส่วนของอาคารพิพิธภัณฑ์เต่าทะเลไว้ให้ความรู้เรื่องเต่า และบ่อเลี้ยงเต่าช่วงวัยต่าง ๆ ก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล อย่าลืมแวะมาหาความรู้และชมความน่ารักของเต่าทะเลไทย ที่เกาะมันใน จ.ระยอง

เต่าทะเล จัดเป็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลานที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า เต่าทะเลทั่วโลกมีทั้งหมด 8 ชนิด แต่พบในไทยเพียง 5 ชนิด ได้แก่ เต่าตนุ เต่ากระ เต่าหญ้า เต่าหัวฆ้อน  และเต่ามะเฟือง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในปี พ.ศ.2535 

บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) เล็งเห็นความสำคัญของความ สัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากโดยเฉพาะเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์  ดังนั้นในปี 2564 ทาง BLCP จึงได้ริเริ่มการอนุบาลเต่าทะเล โดยเบื้องต้นได้ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง จ.ระยอง สนับสนุนกิจกรรมเต่าทะเล เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลเต่า ณ เกาะมันใน จ.ระยอง

นอกจากนี้ โรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายาก ภายใต้การดูแลของ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก  จัดเป็นสถานดูแลอภิบาลสัตว์ทะเลหายากที่เกยตื้น ไม่ว่าจะเป็นโลมา ปลาวาฬ รวมไปถึงเต่าทะเล โดยสาเหตุจากการเกยตื้นได้แก่ ป่วย, หลงทิศ, กินขยะทะเล และโดนจับด้วยเครื่องมือประมง ทำให้สัตว์ทะเลเหล่านี้บาดเจ็บและป่วย โดยที่สัตว์ทะเลที่เกยตื้นมากที่สุดคือเต่าทะเลนั่นเอง

ในปัจจุบันทางโรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายาก จ.ระยอง ยังขาดแคลนทุนทรัพย์ในการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่สำคัญในการรักษาสัตว์ทะเลหายากเกยตื้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนการปรับปรุงห้องทำงานคุณหมอและห้องปฎิบัติการ การสนับสนุนเครื่อง  Vet state เครื่องชั่งน้ำหนักกันน้ำ ขนาด 300 กิโลกรัม, บ่อพักรักษาสัตว์ขนาดใหญ่ (ขนาด 5,000-6,000 ลิตร) เครื่องตรวจ Blood gas analysis เพื่อวัดปริมาณสารเคมีในเลือดเครื่องตรวจค่าเคมีในเลือด และเครื่องตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือด ดังนั้นหากท่านใดประสงค์จะช่วยเหลือเต่าทะเลและสัตว์ทะเลหายาก สามารถติดต่อได้โดยตรงที่  ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ที่อยู่ 309 ม.1 ต.ปากน้ำกระแส อ.แกลง จ.ระยอง โทร. 038-661-693-4

นครพนม - ‘ผู้ว่าฯนครพนม - นพ.สสจ.’ พร้อมบุคลากรด่านหน้า รับวัคซีนโควิดฯ เข็ม 2

วันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมศรีโคตรบูรณ์ ชั้น 5 อาคารอำนวยการโรงพยาบาลนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์สมโภชน์ กังวานธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และนางพัชรินทร์ ฉลาดธัญญกิจ ประธานชมรมแม่บ้านสาธารณสุขจังหวัดนครพนม รวมถึงคณะบุคลากรสาธารณสุขปฏิบัติงานด่านหน้า ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) Sinovac เข็มที่ 2 รวม 180 คน


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

กาฬสินธุ์ - เข้ม 9 อำเภอ กันไข่แตก !! ปรบมือส่งกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโควิด

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์นำหัวหน้าส่วนราชการและกรมการจังหวัดลุกขึ้นยืนปรบมือ เพื่อเป็นการขอบคุณ  และสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 พร้อมกำชับทุกพื้นที่เข้มงวดตามมาตรการ โดยเฉพาะพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วย

เมื่อวันที่ 29 เมษายน  2564 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการ ครั้งที่ 4/2564 ซึ่งเป็นการประชุมแบบ New Normal โดยเชิญเฉพาะผู้แทนกระทรวงเข้าร่วมประชุม  โดยมีนายเลิศบุศย์ กองทอง นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.สมนึก มิควาฬ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.อ.เรืองพงษ์ วงศรีสุข รองผอ.รมน.กาฬสินธุ์ นายพิชัย ส่งสุขเลิศสันติ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมประชุม

โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวเชิญชวนให้คณะกรมการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการ ลุกขึ้นยืน พร้อมปรบมือ เพื่อเป็นการขอบคุณ สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ อสม.รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 พร้อมทั้งกำชับให้ทุกคนร่วมมือกันในการป้องกันตนเอง ด้วยการงดหรือชะลอการเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ให้เข้มงวดและเร่งสร้างความความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ส่วนพื้นที่ 9 อำเภอที่พบผู้ป่วยแล้วก็ได้เข้มงวดปฏิบัติตามมาตรการของสาธารสุขเช่นกัน เพื่อที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดในรอบนี้ให้ได้ 

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดวันที่ 29 เมษายน 2564 ไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติม โดยขณะนี้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 61 ราย และรักษาหายสามารถกลับบ้านได้แล้ว 12 ราย  อยู่ระหว่างการรักษา 49 ราย โดยรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ 25 ราย โรงพยาบาลฆ้องชัย 14 ราย และพักฟื้นเพื่อรอกลับบ้าน ที่โรงพยาบาลสนามกาฬสินธุ์แห่งที่ 1 จำนวน 10 ราย ทั้งนี้พื้นที่ที่พบผู้ป่วยโควิด-19 มีจำนวน 9 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ยางตลาด 24 ราย, อ.เมือง 10 ราย, อ.กมลาไสย 8 ราย, อ.สมเด็จ 5 ราย, อ.สหัสขันธ์ 5 ราย, อ.สามชัย 4 ราย,อ.กุฉินารายณ์ 3 ราย, อ.ดอนจาน 1 ราย และ อ.นาคู 1 ราย ส่วนพื้นที่อีก 9 อำเภอที่ยังไม่พบผู้ป่วยประกอบด้วย อ.ฆ้องชัย อ.ร่องคำ อ.ห้วยเม็ก อ.หนองกุงศรี อ.ท่าคันโท อ.เขาวง อ.ห้วยผึ้ง  อ.คำม่วง และ อ.นามน

นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้ออกประกาศขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออกจากเคหสถาน 100 % หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมขอให้ประชาชนทุกคนเคร่งครัดในการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร ไม่เข้าไปในสถานที่แออัดอากาศไม่ถ่ายเท ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สแกนไทยชนะหรือหมอชนะ หากท่านใดที่สัมผัสใกล้ชิดกับสมาชิกในครอบครัวที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงในช่วงที่ผ่านมา ควรสังเกตอาการตนเองที่บ้าน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ถ่ายเหลว ตาแดง ผื่นขึ้น หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก โปรดแจ้งประวัติการสัมผัสกับผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้บุคลากรการแพทย์ทราบเพื่อคัดกรองความเสี่ยงด้วย

อย่างไรก็ตามในการประชุมยังได้มีพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจําปี 2563  จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 4 ราย พิธีมอบเกียรติบัตรยกย่องชุมชนองค์กรอำเภอและจังหวัดคุณธรรมประจำปีงบประมาณ 2562 พิธีมอบเกียรติบัตรปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ระดับจังหวัด ประจำปี 2564  พิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณให้กับบุคคลผู้ได้รับการพิจารณาเป็น "คนดี ศรีกาฬสินธุ์" ตามค่านิยม "มีมารยาทแบบไทย"  พิธีมอบทุนการศึกษาของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยประจำปี 2564 และการมอบระบบบริหาร ครัวเรือนยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ KHM - V.2 โดยมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นข้อมูลในการติดตามครัวเรือนตามโครงการ  Kalasin Happiness Model อีกด้วย

ชลบุรี - ฮือฮา ‘วาฬบรูด้า’ 2 คู่ น้ำหนักตัวละกว่า 4 ตัน โผล่เล่นน้ำหน้าเกาะสีชัง

วาฬบรูด้า ซึ่งมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 4 ตันต่อตัว ได้พากันแหวกว่ายหากินทะเลหน้าน่านน้ำหน้าเกาะสีชัง อย่างสนุกสนาน ทำให้นักท่องเที่ยวและไต๋เรือที่พบต้องรีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเท่าที่ได้เก็บไว้ทันที เนื่องจากไม่ค่อยได้พบมากนัก

บรรยากาศบริเวณน่านน้ำทะเลศรีราชา เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี   เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 64  เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่ไปพักผ่อนที่เกาะสีชัง และไต๋เรือ ที่นำเรือออกไปได้พบ ปลาวาฬบรูด้า สัตว์สงวนลำดับที่ 16 ของประเทศไทย  2 คู่  ซึ่งมีน้ำหนักแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า 4 ตัน  และแยกเป็นคู่แหวกว่ายหากินไม่ห่างกัน ได้พากันแหวกว่ายหากินฝูงปลาเล็ก เช่น ปลากะตัก ที่ว่ายกันเป็นฝูง บริเวณร่องน้ำลึกที่เรือสินค้าผ่าน บริเวณน่านน้ำหน้าเกาะสีชังและหลังเกาะสีชัง อย่างสนุกสนานไปมา สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวที่พาครอบไปพักผ่อนที่เกาะสีชัง และไต๋เรือที่ไปเจอเป็นอย่างมาก จนต้องรีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเก็บไว้เท่าที่ถ่ายได้ทัน เพราะพบเห็นได้ไม่ง่ายนัก

โดยปลาวาฬบรูด้า ได้ขึ้นมาอวดโฉมให้เห็นพอแวบ ๆ ตอนพุ่งหัวขึ้นเหนือน้ำเพื่อล่าเหยื่อ หรือโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำอีกทีก็ตอนหายใจ โดยจะโผล่ส่วนหัวที่มีช่องหายใจขึ้นเหนือผิวน้ำ แล้วหายใจออกอย่างแรง จนทำให้เกิดฝอยละอองน้ำพุ่งขึ้นสูง 3-4 เมตร ก่อนจะหายใจเข้า ทิ้งตัวดำลงไปใต้ผิวน้ำ เมื่อมองจากที่ไกลๆ จึงเห็นแต่ฝอยละอองน้ำที่พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ กับเงาตะคุ่ม ๆ ของลำตัวหรือวงน้ำขนาดใหญ่ เท่านั้น  ซึ่งทำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณน่านน้ำทะเลหน้าเกาะสีชัง – ศรีราชา ว่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลเป็นอย่างมาก

ปลาวาฬบรูด้า ถือเป็นสัตว์ประจำถิ่นในอ่าวไทย ซึ่งได้มีการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 16 ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top