Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

‘ธนกร’ ซัด ‘ธนาธร’ บิดเบือนงบเยียวยาฟื้นฟูสู้โควิด หลังโบ้ย ‘บิ๊กตู่’ แจกงบให้รัฐมนตรีไปคุมฐานเสียง

หลังจากวันก่อน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “เรื่องนี้เรื่องใหญ่จริง ๆ นะครับ เวลาที่ประเทศต้องการทุกกำลัง ทุกทรัพยากร มาแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน มาหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลกลับนำงบที่ขออนุมัติสภา ด้วยเหตุผลเพื่อการเยียวยาและฟื้นฟู มาให้รัฐมนตรีไปดูแลฐานเสียงตามแต่ละจังหวัดของตนเอง โดยอำพรางว่าเป็นงบฟื้นฟูที่ลงไปแต่ละจังหวัด”

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงได้ออกมากล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ใช้งบแจกรัฐมนตรีคุมฐานเสียง ทั้งที่ประเทศเจอวิกฤติโควิดยังแจกพวกพ้องว่า...

ประเทศเจอวิกฤติโควิด นายธนาธรยังตั้งหน้าตั้งตาเอาเรื่องเท็จมาใส่ร้าย พล.อ.ประยุทธ์ ตนขอยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยจัดสรรงบประมาณไปให้กับรัฐมนตรี เพื่อไปดูแลฐานเสียง แต่เป็นการจัดสรรงบประมาณฟื้นฟูให้กับทุกจังหวัด ซึ่งงบดังกล่าวยังไม่ผ่านครม. ที่สำคัญตนมองว่า นายธนาธรแกล้งโง่ บิดเบือนข้อมูลโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ แสดงว่านายธนาธรไม่รู้ขั้นตอนการใช้เงิน ตนขอทำความเข้าใจให้เข้าใจขั้นตอนการใช้เงินโดย...

1.) สภาพัฒน์ฯ ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด

2.) จากนั้นจะเสนอโครงการผ่านรัฐมนตรีที่ดูแลกลุ่มจังหวัดนั้น ๆ แค่ให้ดูโครงการ

3.) ส่งต่อให้กระทรวงมหาดไทยตรวจสอบ

4.) ส่งต่อให้สภาพัฒน์ฯ วิเคราะห์โครงการ

5.) เสนอครม.อนุมัติ

6.) ผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัดจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบราชการ

7.) เบิกจ่ายตามระเบียบกรมบัญชีกลาง และ

8.) ตรวจสอบโครงการโดย สตง. / ป.ป.ช. / ผู้ตรวจการแผ่นดิน

ไม่มีตรงไหนเลยที่จะให้รัฐมนตรีไปจัดการ หรืองบอยู่ในมือรัฐมนตรี ทุกอย่างมีขั้นตอน มีการตรวจสอบ การอวดฉลาดของนายธนาธรครั้งนี้จึงไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก

นายธนกร กล่าวอีกว่า ตนบอกหลายครั้งแล้วว่า นายธนาธรเป็นบุคคลที่ล้มเหลวทางด้านความน่าเชื่อถือ จงใจทำลายรัฐบาลอย่างเดียวโดยไม่ได้สนใจความทุกข์ร้อนของประชาชน การที่พล.อ.ประยุทธ์ให้รัฐมนตรีแต่ละคนดูแลกลุ่มจังหวัด ก็เพื่อทำงานในเชิงรุกให้กับประชาชน มีการรับผิดชอบพื้นที่ เพื่อสร้างความเจริญให้ทุกจังหวัด ซึ่งมีการดูแลทั้งประเทศ นายธนาธร กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ไม่เอาเงินไปดูแลประชาชน แต่เอาไปแบ่งให้รัฐมนตรีใต้อาณัติ ตนขอประนามนายธนาธร หากเล่นการเมืองแบบนี้ระวังจะสูญพันธุ์ และระวังว่าแกล้งโง่บ่อย ๆ จะสมองกลวงเอาเข้าจริงสักวัน พล.อ.ประยุทธ์ดูแลประชาชนทุกคนเสมอภาค เท่าเทียม ไม่จัดสรรงบให้จังหวัดที่เลือกพรรคตัวเองเหมือนนักการเมืองบางคน อย่างไรก็ตาม นายธนาธรได้แสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นแล้ว ดังนั้น ประชาชนอย่าไปให้ค่าคนแบบนี้

นักแสดงหนุ่ม เอ พศิน เรืองวุฒิ เปิดเผยคำทำนายของหมอดูชื่อดังที่ได้ทำนายเรื่องราวของโควิด-19 ในประเทศไทย

นักแสดงหนุ่ม เอ พศิน เรืองวุฒิ เปิดเผยคำทำนายของหมอดูชื่อดังที่ได้ทำนายเรื่องราวของโควิด-19 ในประเทศไทย เอาไว้ก่อนจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดระลอกที่ 3 ซึ่งไทม์ไลน์นั้นตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันเป๊ะ

พร้อมระบุแคปชั่นว่า “#คำทำนาย ขอให้เป็นจริงตามนั้น อ.พรหมญาณ ทำนายไว้ก่อนโควิดระบาด รอบนี้ #covid19 ไม่ได้งมงาย แต่ คำทำนายเชิงบวก มี Timeline ชัดเจน ก็อยากให้เป็นจริง #ขวัญและกำลังใจ สำคัญมาก ช่วยกันดูแลกันดี ๆ นะครับ ” โดยหมอดูชื่อดังได้ทำนายเอาไว้ว่า

เมษายน (ทำนายไว้เมื่อ 23 ธ.ค. 63) โควิดจะกลับมาระบาดหนักกว่าเดิม แพร่จากแหล่งอโคจรกิน ดื่ม เที่ยว

พฤษภาคม-มิถุนายน (ทำนายไว้เมื่อ 23 ธ.ค. 63) ไทยจะเจอวัคซีนที่ได้ผลดีมาก อาจเป็นไปได้ว่าไทยผลิตได้เอง

กรกฎาคม มีความผันผวนจากต่างประเทศ มีการถกเถียงเรื่องการรักษา

สิงหาคม-กันยายน การรักษาได้ผลดีมาก เริ่มนิ่ง มีวัคซีนตัวหนึ่งที่โดดเด่นได้ผลเกือบ 100%

ตุลาคม ควบคุมสถานะการณ์ได้ดีเกือบทั้งหมด

พฤศจิกายน มีความขัดแย้งทางวิชาการในการรักษา ทำให้วัคซีนไปไม่ทั่วโลก

ธันวาคม ทุกอย่างราบรื่น โลกเริ่มนับหนึ่งใหม่

มกราคม เปิดการเดินทางทั่วโลก


ที่มา : https://www.matichon.co.th/entertainment/news_2692094

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4503287796353073&id=100000156922776

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เกี่ยวกับเสียงสะท้อนจากหมอหน้างาน 4 ประเด็นที่รัฐบาลควรรับฟังว่า...

เมื่อคืนนี้ (26 เม.ย. 64) ผมได้ประชุมหารือกับคุณหมอที่มีปฏิบัติงานอยู่หน้างาน เพื่อสรุปปัญหา และความกังวลต่อชีวิตของประชาชน ในมุมมองของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างานอย่างเต็มกำลัง เต็มความสามารถ

ทุกเรื่องที่ได้หารือ ล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาล ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ควรเร่งนำไปพิจารณา และปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุข และลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิตของประชาชนลง ซึ่งผมได้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงบวก เสนอต่อรัฐบาลโดยเปิดผนึก ดังนี้

 

ประเด็นที่ 1: ปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยข้ามสังกัด

ถ้าพิจารณาเรื่องปัญหาการหาเตียงให้กับผู้ป่วยที่เป็นปัญหาอยู่ ณ ขณะนี้ จะพบว่า “กรุงเทพมหานคร” จะเป็นพื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุด จนประชาชนรู้สึกเดือดดาลต่อรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่ กทม. ดูเหมือนจะเป็นพื้นทีที่มีบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากร เครื่องมือแพทย์ โรงเรียนแพทย์ ซึ่งมีศักยภาพด้านระบบสาธารณสุขสูงกว่าต่างจังหวัดมาก

ปัญหาการจัดการเตียงที่เกิดขึ้นที่ กทม. เป็นเพราะ โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. มีอยู่หลากหลายสังกัด ทั้งของ กทม. เอง (เช่น รพ.กลาง รพ.ตากสิน รพ.วชิรพยาบาล ฯลฯ) ของกรมการแพทย์ (รพ.ราชวิถี รพ.เลิดสิน ฯลฯ) ของมหาวิทยาลัย (รพ.จุฬาฯ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี ฯลฯ) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รพ. ตำรวจ) กรมแพทย์ทหารบก (รพ.พระมงกุฎ) กรมแพทย์ทหารเรือ (รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า) กรมแพทย์ทหารอากาศ (รพ.ภูมิพล) ฯลฯ และในแต่ละเขตทั้ง 50 เขต ของ กทม. ก็ไม่มี รพ. ในทุก ๆ เขต

ปัจจุบัน รพ.แต่ละแห่งใน กทม. ต้องรับมือกับการระบาดของโรค โดยเน้นการจัดการภายในสังกัดของตัวเองเป็นหลัก ทั้งการจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีสมรรถนะในการรักษามากกว่า

อย่างบริการรถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉิน ก็ยังต้องจัดการกันเองภายในสังกัดของตัวเอง อย่าง ศูนย์เอราวัณ ของ สำนักการแพทย์ กทม. ก็จะเน้นส่งผู้ป่วยให้กับ รพ. ในสังกัดของ กทม. เป็นหลัก หรือศูนย์นเรนทร ของกรมการแพทย์ ก็จะเน้นส่งผู้ป่วยให้กับ รพ. ในสังกัดของกรมการแพทย์ หากเตียงของ รพ. ในสังกัดเต็ม ก็จะเน้นการหาเตียงใน รพ. อื่นในสังกัดเป็นหลัก การหาเตียงให้กับผู้ป่วยใน รพ. อื่นข้ามสังกัด ทำได้ยากมาก ๆ ไม่มีระบบในการประสานงานเพื่อให้เกิดการจัดการอย่างบูรณาการ

การส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้น ก็จะเน้นส่งต่อไปยัง รพ. ในสังกัดเท่านั้น ต่อให้คุณหมอรู้ทั้งรู้ว่า รพ. อีกแห่งหนึ่งมีสมรรถนะในการรักษาที่สูงกว่า และพอที่จะรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้ แต่การส่งต่อก็เป็นเรื่องที่ยากทั้ง รพ. ที่จะส่ง และ รพ. ที่จะรับ หากว่าอยู่กันคนละสังกัด

ขนาด รพ. ในสังกัดกรมการแพทย์ หากเกิดปัญหาเตียงเต็ม จะส่งผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ไปยัง รพ.ประจำจังหวัดที่อยู่ติดกับ กทม. ก็ยังยาก ทั้ง ๆ ที่สังกัดภายใต้กระทรวงสาธารณสุขเหมือนกัน เพราะ รพ.ประจำจังหวัด นั้นไม่ได้สังกัดกรมการแพทย์ แต่สังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ต้องยอมรับว่า การบริหารการจัดสรรเตียงใน รพ. ในต่างจังหวัดวันนี้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคในด้านความพร้อม แต่มีระบบในการจัดการที่ดีกว่า กทม. มาก โดยแต่ละจังหวัดจะใช้วิธีบริหารโดยสาธารณสุขจังหวัด โดยมีผู้ตรวจการประจำเขตสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมประมาณ 4-5 จังหวัด ทำหน้าที่จัดหาเตียงให้กับผู้ป่วย โดยกระจายผู้ป่วยไปยัง รพ.อำเภอ และ รพ.ประจำจังหวัด ในเขตสุขภาพอย่างบูรณาการ ถึงแม้จะมีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่มีความอลหม่าน จัดการอย่างลำดับความสำคัญผิด และให้ รพ. แต่ละแห่งจัดการกันเองอย่างเดียวดาย อย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม.

ข้อเสนอแนะ:

1.) ควรจะให้มี “ศูนย์กลางในการประสานงานจัดหาเตียง และส่งต่อผู้ป่วย” ที่ รพ. ทุกสังกัดใน กทม. บูรณาการร่วมกัน มี Call Center กลางเพียงเบอร์เดียว ที่ทำหน้าที่ประสานงานได้ทุกสังกัด เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน และพะว้าพะวงกับการโทรไปหลายๆ เบอร์ โดยให้กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีความรู้ความสามารถในการควบคุมการระบาดของโรค เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการตัดสินใจ โดยลดบทบาทของ ศบค. ลง

2.) ควรจัดหา และดัดแปลงพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ ที่มีที่จอดรถจำนวนมาก เช่น ศูนย์จัดการแสดงสินค้า หรือ รัฐสภา เพื่อจัดตั้งเป็น “โรงพยาบาลแรกรับ” ที่มีขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัย และดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งต่อผู้ติดเชื้อไปยัง รพ. ที่มีสมรรถนะเหมาะสมกับอาการของผู้ติดเชื้อแต่ละคน ถ้า รพ. ไหน เตียงเต็ม ก็ให้ส่งผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลแรกรับก่อน แล้วค่อยส่งต่อในภายหลัง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยไปรอคอยเตียงอย่างสิ้นหวังที่บ้าน โดยที่ทำได้แค่บอกให้ผู้ติดเชื้ออย่าหมดหวังในการโทร ในขณะที่อาการของผู้ป่วยทรุดลงทุกวัน

3.) เร่งจัดหาเครื่องช่วยหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรเร่งจัดหาเครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) เพิ่มเติม จากที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้กรุณาพระราชทานให้กับ รพ. ต่างๆ ไว้แล้วในเบื้องต้น เครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) ได้รับการยอมรับจากแพทย์ผู้ปฏิบัติงานว่า มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตประชาชน โดยสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยให้คำแนะนำเอาไว้ว่า การใช้เครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) สามารถช่วยรักษาและประคับประคอง อาการหายใจเหนื่อยจากโควิด-19 ลงปอดได้ โดย หาก ICU ยังเต็มอยู่ ไม่สามารถใส่ท่อช่วยหายใจได้ อาจจะใช้เครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) ในการรักษาไปก่อน ซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิต และอัตราการเข้านอนไอซียูลงได้ ส่งผลให้ผู้ป่วย ICU น้อยลง และที่สำคัญสามารถใช้งานนอกห้อง Isolation room ได้ เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการฟุ้งกระจาย (High Risk Aerosol Generating Procedure)

 

ประเด็นที่ 2: ผลตรวจช้า เบิกยาไม่ได้ พอรู้ผล อาการก็ลุกลามแล้ว

ปัจจุบัน อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจลดต่ำลง สะท้อนว่าจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการหนักมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่บุคลกรทางการแพทย์กำลังรับภาระอย่าง Overload

สาเหตุหนึ่งมาจาก ปัจจุบันการส่งตรวจ RT-PCR มีจำนวนเพิ่มขึ้น กว่าจะทราบผลว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ในบางกรณี ต้องรอถึง 2 วัน ระหว่างที่รอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ แม้ว่าแพทย์จะมีดุลยพินิจจากอาการ ที่เชื่อได้ว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ไม่สามารถจ่ายยา Favipiravir ได้ กว่าจะทราบผลตรวจ ก็พบว่า อาการของผู้ติดเชื้อแย่ลง ทำให้การรักษายากขึ้น ผู้ป่วยบางรายพบเชื้อลามไปที่ปอด จนมีโอกาสเสียชีวิตสูง

ข้อเสนอแนะ:

1.) ควรที่จะปรับปรุงกระบวนการให้ออกผลตรวจจากห้องปฏิบัติการให้เร็วขึ้น หรืออาจเปิดทางเลือกให้ตรวจหาเชื้อในรูปแบบอื่น ที่ออกผลตรวจได้เร็วขึ้น เช่น Rapid Antigen Test ในระหว่างที่การตรวจแบบ RT-PCR ยังคงล่าช้าอยู่

2.) ควรพิจารณาอนุญาตให้แพทย์ สั่งจ่ายยา Favipiravir ได้ เมื่อวินิจฉัยจากอาการ หรือผลตรวจแบบ Rapid Antigen Test แล้วเชื่อว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อโควิด-19

3.) กระทรวงสาธารณสุข ควรจะสำรองยาทางเลือกอื่นนอกจาก Favipiravir เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ในการรักษาให้กับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับประชาชน อาทิ Remdesivir (เป็นยาฉีดที่ขึ้นทะเบียน อย. แล้วแต่ขาดแคลนสต๊อก) Monoclonal (ยาที่มีการวิจัยยืนยันว่า สามารถลดการแบ่งตัวของไวรัสได้ และป้องกันภาวะไวรัสลงปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ) Bamlanivimab ของ Eli Lilly (ขึ้นทะเบียนกับ FDA ที่อเมริกาแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อย. ที่ประเทศไทย) นอกจากกระทรวงสาธารณสุขควรจะกระจายความเสี่ยงในการรจัดหารวัคซีนแล้ว ยังควรต้องกระจายความเสี่ยงในการจัดหายารักษาด้วย

 

ประเด็นที่ 3: ถ้าละเลยชุมชนแออัดใน กทม. การระบาดจะแพร่กระจายต่อเนื่องเกินควบคุม ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ กทม. มีชุมชนแออัด อยู่เป็นจำนวนมาก และ ณ ขณะนี้ การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ระบาดเข้าไปในพื้นที่ชุมชนแออัดหลายแห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็เข้าใจดีอยู่แล้ว่า การอยู่อาศัยของประชาชนในชุมชนแออัด หนึ่งหลังคาเรือมีผู้อยู่อาศัยร่วมกันหลายคน นอนติดกันโดยไม่มีฉากกั้น ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ซึ่งมีความเสี่ยงขั้นสุดต่อการแพร่ระบาด

และอีกปัญหาหนึ่ง ที่จะละเลยไม่ได้ก็คือ ปัญหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นแรงงานต่างชาติ ซึ่งมักจะอยู่อาศัยรวมกันอย่างแออัด ที่วันนี้ถูกละเลย และหากยังคงปล่อยปละละเลยต่อไป ไม่เข้าไปดูแลรักษา และกักกันโรค ก็มีโอกาสสูงมาก ที่จะนำมาซึ่งการแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ข้อเสนอแนะ:

1.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) การเคหแห่งชาติ และ กทม. ควรร่วมกันจัดหาพื้นที่ให้กับประชาชนในชุมชนแออัด ที่พบการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ออกมาจากในชุมชน เพื่อกักตัวรักษา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

2.) กทม. ควรต้องเร่งจัดสรรพื้นที่ในการกักตัวรักษาให้กับแรงงานต่างชาติ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

 

ประเด็นที่ 4: ถ้าไม่แก้กฎหมาย ไม่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีน อาจฉีดวัคซีนไม่ได้ตามเป้า ด้วยข้อจำกัดของกฎหมายในปัจจุบัน ได้กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ 3 ประเภทเท่านั้น ที่จะสามรรถปักเข็มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ ซึ่งได้แก่ แพทย์ พยาบาล และหมออนามัย (ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์) ซึ่งต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบัน ทั้งแพทย์ และพยาบาล ต้องรับภาระอย่างหนักมาก ในการตรวจวินิจฉัย และรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้น ถ้าหากไม่แก้ไขกฎหมายข้อนี้ เมื่อวัคซีนมาแล้ว รัฐบาลจะมีบุคลากรที่เพียงพอต่อการฉีดวัคซีนให้เป็นไปตามเป้าหมาย 10 ล้านโดสต่อเดือน ได้อย่างไร และต่อให้มีการแก้ไขกฎหมายเมื่อวัคซีนมาถึง แล้วจะฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่อื่นมีทักษะในการฉีดวัคซีนทันได้อย่างไร

ข้อเสนอแนะ:

1.) ควรแก้ไขกฎหมาย โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ หรือบุคลากรประเภทอื่นที่ได้รับการฝึกอบรม ให้สามารถทำหน้าที่ฉีดวัคซีนได้

2.) ควรเร่งจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมความพร้อม ระหว่างที่รอการส่งมอบวัคซีน เพื่อให้เมื่อวัคซีนมาถึง จะได้มีบุคลากรที่มีความพร้อมในการฉีดวัคซีนได้ทันที

3.) รัฐบาลควรวางระบบในการจองคิวฉีดวัคซีน โดยให้ประชาชนจองคิวเข้าฉีดวัคซีนที่ทั้งระบุวัน และช่วงเวลา มีการทำ Online Checklist มาก่อนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ประชาชนผู้ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ ต้องมาที่สถานที่ฉีดวัคซีนแบบเสียเที่ยว เมื่อมาถึงมีระบบในการจัดแถวคอยที่มีประสิทธิภาพ พยายามวางจุดบริการที่ให้ประชาชนบริการตนเองให้มากที่สุด เช่น การลงทะเบียนผ่านบัตรประชาชน การรับบัตรคิว การชั่งน้ำหนัก การวัดความดันโลหิต เพื่อลดภาระของบุคลกรทางการแพทย์ลง เป็นการทำให้กระบวนการฉีดวัคซีนเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ต้องเร่งเตรียมการไว้ตั้งแต่วันนี้ได้แล้ว จะรอให้วัคซีนมาก่อนแล้วค่อยเตรียมไม่ได้

4.) ปัจจุบันคาดว่ามีประชาชนจำนวนไม่ต่ำกว่า 140,000 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac ครบ 2 โดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขควรสรุปให้ประชาชนทราบว่า จากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ทั้งหมด ประเมินได้ว่า มีผู้ที่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับวัคซีนครบ คิดเป็นร้อยละเท่าใด เพื่อเป็นการประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac จากการฉีดจริง

ข้อเสนอแนะทั้ง 4 ประเด็นนี้ เป็นเสียงสะท้อนจากคุณหมอหน้างาน ที่มีความหมายมากๆ ผมพยายามที่จะเขียนสรุปด้วยข้อความเชิงบวก พยายามหลีกเลี่ยงการติติงโดยไม่จำเป็น เว้นแต่เป็นประเด็นที่จำเป็นต้องสะท้อนความรู้สึกให้รัฐบาลได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน และความกังวลของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจริง ๆ

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลจะเล็งเห็นถึงความปรารถนาดีของผม และเปิดใจรับฟังเสียงสะท้อนของคุณหมอด่านหน้า ที่ผมได้อาสาสรุปเป็นข้อเสนอแนะเพื่อนำเสนอรัฐบาล โดยเปิดผนึกให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมรับทราบด้วย

วันนี้เมื่อ 71 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญที่ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเป็นวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

โดยหากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ทั้งสองพระองค์ทรงพบกันเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2492 และในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระยศในขณะนั้น) ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) มีโอกาสเข้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ กระทั่งทรงหายประชวร ทั้งสองพระองค์ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

กระทั่งเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2492 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีหมั้นขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2493 ทั้งสองพระองค์เสด็จนิวัติพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้นอย่างเรียบง่าย ณ วังสระปทุม

โดยงานพระราชพิธีถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 ภายในงานมีพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ที่ใกล้ชิด ตลอดจนมีผู้ประกอบพระราชพิธีตามกฎหมาย คือ นายฟื้นบุญ ปรัตยุทธ นายอำเภอปทุมวัน เป็นนายทะเบียน รวมทั้งมีราชสักขี 2 คนคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น และพลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ณ ขณะนั้น ร่วมลงนาม ภายหลังจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ ก็ได้ถ่ายทอดมายังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทั้งสองพระองค์ก็ทรงงานร่วมกันต่อเนื่องตลอดมามิได้ขาด


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส_พุทธศักราช_/2493

'ไบเดน' ไฟเขียว!! ปล่อย AstraZeneca 60 ล้านโดสสู่ตลาดต่างแดน หลังหวงแหนวัคซีน เพราะยึดนโยบาย American First จนถูกด่า

หลังจากที่โดนกระแสวิจารณ์อย่างมากมาย เรื่องนโยบาย American First ของ 'โจ ไบเดน' ที่จะเร่งฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ภายใน 100 วันที่เข้ารับตำแหน่ง และกลายเป็นที่มาของคำสั่งประธานาธิบดี ระงับการส่งออก 'วัคซีน Covid-19' และ 'วัตถุดิบ' ที่ใช้ผลิตวัคซีนออกนอกประเทศ เพื่อสงวนไว้ผลิตวัคซีนเฉพาะในสหรัฐอเมริกา จนผู้ผลิตวัคซีนต่างประเทศขาดแคลน ไม่สามารถเร่งผลิตวัคซีนได้ตามกำหนดเวลา

โดยหนึ่งในนั้นคือบริษัท The Serum Institute of India (SII) โรงงานผู้ผลิตวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งได้ยิง Twitter ตรงถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขอร้องให้ยกเลิกคำสั่งระงับการส่งออกวัตถุดิบ เพื่อจะได้เร่งผลิตวัคซีน AstraZeneca เนื่องจากตอนนี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่เจอวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว

เมื่อมีการนำเสนอข่าวทวิตเตอร์ของ SII ออกไป ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงนโยบายของสหรัฐฯ และ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่มุ่งแต่จะเอานโยบายของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประเทศอื่น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ยากจนที่ยังไม่มีโอกาสเข้าถึงวัคซีน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงได้ต่อสายตรงถึงนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดิ เพื่อยืนยันว่าสหรัฐฯ จะรีบส่งความช่วยเหลือถึงอินเดียด่วนที่สุด รวมถึงจัดส่งวัคซีน ถังออกซิเจน และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นไปให้ด้วย

เจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวได้โพสต์ทวิตเตอร์ว่า สหรัฐฯ จะอนุมัติการส่งออกวัคซีน AstraZeneca จำนวน 60 ล้านโดสไปต่างประเทศ แต่ยังไม่มีรายละเอียดว่าวัคซีนล๊อตนี้จะถูกส่งไปที่ไหน จำนวนเท่าไหร่บ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบขององค์การอาหารและยาที่จะเป็นผู้จัดการ และย้ำว่า วัคซีนในสหรัฐก็ยังมีอยู่อย่างจำกัด ไม่ได้มีอย่างเหลือเฟือดังที่เข้าใจ

โดยก่อนหน้านี้ทางสหรัฐได้ให้ประเทศแคนาดา และ เม็กซิโก ยืมวัคซีน AstraZeneca ไปแล้ว 4 ล้านโดส แต่ทั้งนี้ วัคซีนของ AstraZeneca ยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ รับรองเพียงวัคซีนของ Pfizer Moderna และ Johnson & Johnson เท่านั้น

ปัจจุบันมีชาวสหรัฐฯ กว่า 140 ล้านคน ได้รับวัคซีน Covid-19 ไปแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม จนถึงตอนนี้โครงการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล และบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเจ้าใหญ่ในสหรัฐฯ ทั้ง Pfizer และ Moderna ที่มีกำหนดส่งมอบวัคซีนจำนวน 600 ล้านโดสให้รัฐบาลกลางภายในเดือนกรกฎาคม 2021 นี้

ในวิกฤติมหาโรคระบาดระดับโลกเช่นนี้ หากประเทศมหาอำนาจคิดจะเอารอดตัวเพียงลำพัง คงไม่ดีนัก เพราะการพ้นวิกฤติแบบชัดและแท้จริง คือ การรอดไปทั้งโลก และการช่วยเหลือเผื่อแผ่ประเทศร่วมโลกที่ยากลำบาก จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง


อ้างอิง:

https://www.channelnewsasia.com/news/world/us-export-of-up-to-60-million-astrazeneca-covid-19-vaccine-14700318

https://www.express.co.uk/news/world/1420452/why-is-astrazeneca-not-approved-in-US-evg

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญ โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าธีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเจริญพระชันษา 16 ปี

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าธีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2548 เวลา 18.35 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี (ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร)

โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชหัตถเลขาขนานพระนามว่า ‘พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ’ โดยทรงพระมหากรุณาธิคุณอธิบายพระนามว่า ผู้ทำประทีปคือปัญญาให้สว่างกระจ่างแจ้ง ผู้ทำเกาะคือที่พึ่งให้รุ่งเรืองโชติช่วง

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2562 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ สถาปนาและเฉลิมพระนามพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

วันนี้ถือเป็นวันคล้ายวันประสูติ ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญต่อพสกนิกรชาวไทยสืบไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ_เจ้าฟ้าธีปังกรรัศมีโชติ

 

ตาก - ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สอด บูรณาการร่วมหลายหน่วยงาน ลงพื้นที่ตรวจร้านอาหาร เน้นย้ำตามมาตรการคำสั่งของจังหวัดตาก

นายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ นายอำเภอแม่สอด ได้มอบหมายให้ นายสัญญา เพชรเศษ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง นายภัทรดนัย อุทัยรัตน์ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคง นายธวัชชัย  อ่อนสาร ปลัดอำเภองานป้องกัน พร้อมด้วยสมาชิก อส.อ.แม่สอด ที่ 3  ร่วมกับสาธารณสุขอำเภอแม่สอด และเทศบาลนครแม่สอด ได้ร่วมกันตรวจร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มตามร้านอาหาร ร้านบุฟเฟต์ ชาบู หมูกระทะ จำนวน 5 ร้าน ดังนี้

         1.ร้านหมูกระทะ 2 in 1

         2.ร้านฅนเก็บฟืน

         3.ร้านชาบูหมูตอน

         4.ร้านชาบูบ้านเพื่อน

         5.ร้านย่างเนย@แม่สอด

โดยได้เน้นย้ำประชาสัมพันธ์กับเจ้าของร้านให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยให้บริโภคอาหารและเครื่องดื่มในร้านได้ไม่เกิน 21.00 น. และให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มได้จนถึงเวลา 23.00 น. ในลักษณะของการนำไปบริโภคที่อื่น กรณี ร้านอาหารที่ ต้องให้ลูกค้าบริการตนเอง เช่น บุฟเฟต์ ชาบู หมูกระทะ หรือ ร้านที่มีลักษณะคล้ายกัน ห้ามลูกค้าลุกเดินไปตักอาหารเองโดยให้พนักงานบริการเสริฟอาหารตามโต๊ะ และจัดสถานที่ให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติและมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด และห้ามมีการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในบริเวณดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  วรภา พันลุตัน

ภาวะโลกร้อน กับการบุกเบิกเส้นทางเดินเรือสายใหม่ของจีน | LOCK LENS GURU EP.3

LOCK LENS GURU / EP.3 วันพุธ ที่ 28 เมษายน

???? GURU : อ.ศรัณย์ ดั่นสถิตย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา

▶️ หัวข้อ : ภาวะโลกร้อน กับการบุกเบิกเส้นทางเดินเรือสายใหม่ของจีน

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021022706

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

ขอนแก่น - ตำรวจภูธรภาค 4 รับมอบกรมธรรม์ประกันโควิด ครั้งที่ 2 สร้างความมั่นใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในสังกัด

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4  พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรัตม์ชัย ศรีรัตนวุฑฒิ รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และผู้บริหารกลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ได้จัดกิจกรรมพิธีรับมอบกรมธรรม์ประกันโควิด จากกลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ให้กับข้าราชการตำรวจ ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID – 19) ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการระบาดในรอบที่ 3 ทำให้มีข้าราชการตำรวจและครอบครัว ติดเชื้อและอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ และขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่

โดยที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ได้อนุเคราะห์มอบกรมธรรม์ประกันโควิด ให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 (ส่วนกลาง) อันได้แก่ กองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 4 ,กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ,กองบังคับการกฎหมายและคดีตำรวจภูธรภาค 4, ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 ,ตำรวจภูธรจังหวัดเลย และตำรวจภูธรจังหวัดหนองบัวลำภู รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,960 คนจำนวน 2,960 กรมธรรม์ เป็นเงิน จำนวน 3,010,320 บาท ซึ่งได้ทำสัญญาเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2564 มีผลคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 2564 เป็นต้นมา

และในครั้งนี้ กลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ได้ให้ความอนุเคราะห์มอบกรมธรรม์ประกันโควิด เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 อีกครั้งหนึ่ง โดยมอบให้กับตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น จำนวน 3,363 คน และตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี จำนวน 2,159 คน รวมทั้งสิ้น 5,522 คน เป็นเงินทั้งสิ้น 5,615,874 บาท ได้ทำสัญญาไว้

วันที่ 20 เมษายน 2564 มีผลคุ้มครองในวันที่ 5 พ.ค. 2564พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจซึ่งถือเป็นด่านหน้าที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานทั้งในด้านของการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชน ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย ที่เป็นงานประจำที่ต้องดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ตำรวจก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวดังนั้นการดูแลและคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องดูแลในเรื่องดังกล่าว ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ตำรวจเราถือว่ามีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ซึ่งได้เล็งเห็นอันตรายจากความเสี่ยงดังกล่าว จึงได้ประสานการมีส่วนร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 4 ในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัย ในประเภทประกันโควิด เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจภูธร ภาค 4

ด้าน พล.ต.ต.พุฒิพงศ์  มุสิกูล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวว่าการแพร่ระบาด โควิด-19 ในรอบนี้ ตอนนี้เราได้ดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข กำชับไปยังผู้กำกับทุกสถานีและหน่วยในสังกัดต้องยึดถือมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สำหรับบางโรงพักหรือบางหน่วยที่มีข้าราชการตำรวจติดเชื้อในส่วนของตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นที่มีข่าวว่ามีการติดเชื้อซึ่งไม่ใช่หน่วยงานที่พบปะประชาชนโดยตรงเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจซึ่งทำงานเฉพาะด้านดังนั้นจึงไม่มีผลต่อการให้บริการประชาชนในสถานีตำรวจ ดังนั้นต้องปฏิบัติตนไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่ทำงานหรือผู้ใกล้ชิดต่าง ๆ ให้ดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ได้เชิญรถตรวจโควิด-19 พระราชทาน มาให้บริการตรวจฟรีแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด สร้างความพร้อมทำงานเพื่อประชาชน

วันนี้ (27 เม.ย.64) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น., พล.ต.ต.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.อภิสัณห์ หว้าจีน รอง ผบก.อก.บช.น. ได้นำข้าราชการตำรวจในสังกัด จำนวน 1,200 นาย เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) โดยใช้รถตรวจหาเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน จากสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ณ.ลานฝึกอบรม วังปารุสกวัน โดยจะเริ่มตรวจตั้งเเต่ เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป จำนวน 2 วัน วันละ 600 นาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อของข้าราชการตำรวจในสังกัด

นอกจากนี้ ทาง ผบช.น. ยังได้เปิดเผยอีกว่า กรณีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลติดเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) นั้น เป็นเพียงบางส่วนไม่ใช่จำนวนมาก ขอยืนยันว่าตำรวจนครบาลยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนได้ตามปกติ และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) เป็นอย่างดี

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันหากพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่เสี่ยงที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่ได้ทันที

​​​


ที่มา: ทีมงานประชาสัมพันธ์ บช.น.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top