Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

‘บิ๊กตู่’ กังวลโควิด แพร่ไม่หยุด เรียกถก ศบค.ขุดใหญ่พรุ่งนี้ เตรียมออกมาตรการชั้นสูงสุดป้องกัน หวั่น หลังสงกรานต์คนกลับจากภูมิลำเนาขยายวงกว้างอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกเดือนเมษายน ทำให้มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งขณะนี้ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับจากภูมิลำเนาหลังเทศกาลสงกรานต์ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความกังวล จะเกิดการแพร่ระบาดต่อเนื่อง ได้มีการพูดคุยและหารือกับกระทรวงสาธารณสุขและ ศบค. เตรียมกำหนดมาตรการเข้มงวดและประกาศใช้โดยเร่งด่วน ทั้งนี้ในเวลา 13.30 น. วันที่ 16 เมษายน 2564 นี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

สำหรับการประชุม วาระแรกเป็นการรับรองรายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 4/2564 จากนั้นศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ และที่น่าจับตาคือศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เสนอการยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อโควิด - 19 ในการระบาดระลอกเมษายน 2564 และแผนการให้บริการวัคซีนโควิด - 19 ของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด - 19 ของกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ ในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เตรียมออกประกาศและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง อาทิ การประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 11), ประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ , การประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ

นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 ที่ 4/2564   เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

ในช่วงท้าย การประชุม กองบัญชาการกองทัพไทย จะเสนอแนะแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ตามแนวชายแดน

สมาคมธนาคารไทย แจ้งปรับเปลี่ยนเวลาทำการหนีโควิด สาขาในห้าง ปิด 17:00 น. ส่วนสาขาภายนอกปิด ไม่เกินเวลา 15:30 น. พร้อมจำกัดช่องให้บริการ และจำกัดจำนวนลูกค้าในสาขา เว้นระยะห่างที่เหมาะสม

สมาคมธนาคารไทย แจ้งว่า ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ ปรับปิดเวลาทำการธนาคารในพื้นที่เสี่ยง พร้อมสั่งปิดเวลาทำการแบงก์ในห้าง เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยธนาคารอาจพิจารณาปิดสาขาบางแห่งชั่วคราวสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดตามประกาศของจังหวัดหรือรัฐบาล ซึ่งลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการที่ตู้ ATM หรือทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตามปกติ โดยขอให้ตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ปิดการบริการทาง website ของแต่ละธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารปรับเวลาปิดสาขาทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 16 เมษายน 2564 นี้ คือ สาขาในห้าง/สาขาที่เปิดให้บริการ 7 วัน ปิด ไม่เกินเวลา 17:00 น. ส่วนสาขาภายนอกปิด ไม่เกินเวลา 15:30 น. พร้อมกันนี้ยังจำกัดช่องให้บริการ และจำกัดจำนวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตามในกรณีสาขาใดมีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อเข้าใช้บริการ กำหนดให้แต่ละธนาคารปิดเพื่อพ่นฆ่าเชื้อทันที และเปิดทำการเมื่อเสร็จสิ้น, พนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจเชื้อ/และทำการกักตัวเองในที่พักทันที (Self-Quarantine at Home) ในระยะเวลาตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข และจัดให้มีพนักงานปฏิบัติงานทดแทน ซึ่งเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องสัมผัสเชื้อ เข้าปฏิบัติหน้าที่แทน

กรมการขนส่งทางบก เตือน!!! รถโดยสารสาธารณะอย่าฉวยโอกาส ต้องให้บริการด้วยความเป็นธรรม และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ภาพรวมการเดินทางช่วงสงกรานต์พบว่าปริมาณการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะต่ำกว่าการคาดการณ์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประชาชนส่วนใหญ่จึงให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการงดเว้นการเดินทาง แต่สำหรับประชาชนที่มีความจำเป็นในการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ กรมการขนส่งทางบก ได้กำชับหน่วยงานในส่วนกลางและสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่ง จัดผู้ตรวจการลงพื้นที่อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยตามสถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอด รวมถึงจุดที่มีประชาชนเรียกใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ

 

ด้านความปลอดภัยให้ดำเนินการเข้มข้นรถโดยสารและพนักงานขับรถต้องมีความพร้อมสำหรับการบริการตามมาตรการด้านความปลอดภัย ปฏิบัติตามเงื่อนไขการเดินรถ ห้ามบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนที่กำหนด ห้ามเรียกค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด สภาพรถต้องมีความพร้อม และความปลอดภัยในการใช้งานบนท้องถนน พนักงานขับรถต้องไร้สารเสพติด แอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์และขับรถไม่เกินชั่วโมงการทำงานตามที่กฎหมายกำหนด พบฝ่าฝืนลงโทษหนักทุกกรณี กรณีรถแท็กซี่ รถจักรยานยนต์สาธารณะ ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ที่ได้ตกลงกันไว้ แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร ใช้รถป้ายดำรับส่งผู้โดยสารปรับสูงสุดทุกกรณี และหากเป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก ความผิดอาญา กระทำอนาจาร ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ลงโทษพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

 

พร้อมกำชับมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในรถโดยสารสาธารณะ และสถานีขนส่งผู้โดยสารให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันขั้นสูง เพื่อให้การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะของประชาชนปลอดภัย ห่างไกลจากโควิด จัดให้มีมาตรการคัดกรองผู้โดยสารและตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจคัดกรองพนักงานขับรถและผู้ให้บริการ เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร งดการให้บริการอาหารบนรถในระหว่างการเดินทาง กำกับดูแลให้พนักงานขับรถ ผู้ให้บริการ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง และดูแลให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง

 

.

 

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกมีศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584 ชั่วคราว ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งทั่วประเทศ และเพิ่มจำนวนคู่สายโทรศัพท์สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำผู้ประกอบการขนส่ง และพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ต้องให้บริการด้วยมาตรฐานคุณภาพ สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรม ทั้งนี้ หากประชาชนพบรถโดยสารสาธารณะเอาเปรียบสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1584 หรือศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584 ในช่วงเทศกาล ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งทั่วประเทศ, ผ่านทางเว็บไซต์ที่ http://ins.dlt.go.th/cmpweb/, ผ่านทาง E-mail ที่ [email protected], เฟซบุ๊ก ชื่อ “ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน 1584”, LINE @1584dlt

ล็อกดาวน์พนมเปญ!!! ‘ฮุนเซน’ เตือน! โควิดระบาดทำกัมพูชาเข้าใกล้ความตายทุกขณะ วอนประชาชนให้ความร่วมมือ

เอเอฟพี - ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กำลังทำให้กัมพูชาเข้าใกล้ความตาย นายกรัฐมนตรีฮุนเซน กล่าวเตือน ขณะที่ประเทศประกาศล็อกดาวน์กรุงพนมเปญ และเมืองใกล้เคียง

 

ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงตั้งแต่เดือน ก.พ. หลังจากตรวจพบการระบาดครั้งแรกในชุมชนชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศ

 

เจ้าหน้าที่กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เตียงผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ ในกรุงพนมเปญใกล้หมดลงแล้ว และพวกเขาได้ปรับเปลี่ยนโรงเรียนและห้องจัดงานแต่งงานให้กลายเป็นศูนย์รักษาพยาบาล ขณะเดียวกัน ฮุนเซนได้ขู่ว่าจะจำคุกผู้ที่ละเมิดการกักตัว

 

ในคืนวันพุธ (14) ทางการประกาศล็อกดาวน์กรุงพนมเปญ และเมืองตาเขมา ที่อยู่ติดกัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และหยุดการเคลื่อนไหวของประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน

 

“ทุกคนได้โปรดร่วมมือกันเพื่อยุติเหตุการณ์อันตรายนี้” ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนที่บันทึกไว้ก่อนหน้าถูกนำออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐ เมื่อคืนวันพุธ (14)

 

“เรากำลังอยู่บนขอบเหวของความตายแล้ว หากเราไม่ร่วมมือกัน เราจะมุ่งหน้าสู่ความตายของจริง” ผู้นำเขมร กล่าว

 

ยอดผู้ป่วยติดเชื้อล่าสุดของกัมพูชาเกินกว่า 4,800 รายแล้ว แต่ฮุนเซนกล่าวเมื่อวันพุธว่า มีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มอีก 300 ราย

 

ผู้ที่อยู่อาศัยในกรุงพนมเปญและเมืองตาเขมาถูกห้ามออกจากบ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ยกเว้นออกไปโรงพยาบาลหรือซื้อยา และอนุญาตให้สมาชิกในครัวเรือนออกจากบ้านเพื่อซื้ออาหารได้เพียง 2 คนเท่านั้น

 

ในเช้าวันพฤหัสฯ (15) ตำรวจได้ออกมากั้นถนนสกัดผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะผ่านจุดตรวจที่ตั้งขึ้นบริเวณเขตแดนระหว่างสองเมือง ซึ่งผู้อยู่อาศัยพยายามแสดงบัตรประชาชนของตัวเองด้วยความหวังว่าจะสามารถผ่านทางไปได้

 

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งกีดขวางถูกติดตั้งรอบถนน นโรดม บูเลอวาร์ด ที่เป็นถนนสายหลักรอบอนุสาวรีย์เอกราช เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนสัญจรไปมา

 

แม้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การดูแลสุขภาพของกัมพูชาจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่โครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทยังคงย่ำแย่ เนื่องจากขาดการบริการและแพทย์ที่มีคุณภาพ

 

ก่อนที่จะพบการระบาดในชุมชนเมื่อเดือน ก.พ. ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นเพราะไม่มีการตรวจหาเชื้ออย่างกว้างขวาง

ที่มา : https://mgronline.com/indochina/detail/9640000035809

 

รองโฆษก ประชาธิปัตย์ เตือนสติ "ดร.อานนท์" ไม่กล่าวหาใครแบบไม่มีที่มา ก่อนถูกด้อยค่าเป็นนักวิชาเกิน

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ นิด้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวพาดพิงพรรคในหลายประเด็น โดยใช้คำเรียกแทนว่าเป็นพรรคเก่าแก่ และล่าสุดในวันที่ 14 เมษายน 2564 ได้ออกมาให้ความเห็นอีกครั้งด้วยการคาดเดานั้น ในฐานะที่ตนเองเป็นสมาชิกพรรคจึงจำเป็นต้องตอบโต้ เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด

โดยนางดรุณวรรณ กล่าวว่าในฐานะที่ตนเองเป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่ง การที่อยู่ดีๆ มีคนมากล่าวหาพรรคของตนเอง เปรียบเสมือนมีใครสักคนมายืนตะโกนด่าที่หน้าบ้าน หากไม่ลุกขึ้นมาตอบโต้หรือชี้แจงก็คงเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย โดยเฉพาะคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิชาการ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายมากล่าวหาแบบลอย ๆ อ้างอิงเพียงแค่การใช้คำว่าข่าวกรองเพื่อหวังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนฟัง และสร้างความเกลียดชังให้กับผู้ถูกกล่าวหาบนตรรกะที่เป็นเรื่องผิดเพี้ยน

“ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าในสถาบันเดียวกันกับที่อาจารย์เป็นผู้สอน ได้ถูกปลูกฝังให้ยึดถือในค่านิยม Wisdom for Change หรือการมีปัญญาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ผู้ที่มีปัญญาย่อมจะไม่ทำในสิ่งที่โง่เขลา และควรมีจิตสำนึกที่ดีในการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม… เฉกเช่นเดียวกับการเป็นนักวิชาการที่จะไปเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการพูดจาหรือนำเสนอสิ่งใด ๆ จึงต้องมีเอกสารหรือหลักฐานอ้างอิง ไม่กล่าวหาใครแบบลอย ๆ และหากมีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าข้อกล่าวหาของ ดร.อานนท์ เป็นความจริง ก็ควรนำมาแสดง เพื่อไม่ให้ข่าวกรองถูกด้อยค่าเป็นได้แค่ข่าวลือ แบบเขาเล่าว่า หรือ ใครบอกมาอย่างที่นักวิชาเกินส่วนใหญ่ชอบทำกัน” นางดรุณวรรณ กล่าว

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวเสริมในตอนท้ายด้วยว่า อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณ ดร.อานนท์ ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด พรรคเป็นสถาบันการเมืองเก่าแก่อยู่มา 75 ปี และก้าวขึ้นสู่ปีที่ 76 ไปเมื่อไม่นานมานี้ ได้สั่งสมประสบการณ์และผลงานมาตลอดระยะเวลานาน จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ได้ใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนในการสร้างตัวเองให้เป็นที่รู้จัก ส่วนตัวยังเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์และ ดร.อานนท์ ยังมีจุดร่วมที่ตรงกันหลายประเด็นในการมุ่งเน้นทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยมีประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงอยากให้เปิดใจ ไม่ใช้อคติในการตัดสิน และพรรคพร้อมยินดีน้อมรับคำตำหนิติชมจากทุกฝ่าย แต่ขอให้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

5 วันดับ 192 ราย เจ็บ 1818 คน ศปถ.กำชับจว.ปรับแผนรองรับการเดินทางกลับ ส่วนพื้นที่ยังคงเข้มมาตรการดื่มแล้วขับ-ขับรถเร็ว

วันที่ 15 เม.ย. ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฐานะประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 14 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ห้าของการรณรงค์ “สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” เกิดอุบัติเหตุ 330 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 37 ราย ผู้บาดเจ็บ 328 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 34.55 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 31.52 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 85.84 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 60.61 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 38.18 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 37.27 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 26.67 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 17.81 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,908 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 59,315 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 341,495 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 71,889 ราย มีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ 18,998 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 17,599 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ (12 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ปทุมธานี (4 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี ตาก นครศรีธรรมราช (จังหวัดละ 13 คน) 

นายอรรษิษฐ์ กล่าวต่อว่า สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 5 วันของการรณรงค์ (10 – 14 เม.ย. 64) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,795 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 192 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 1,818 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 15 จังหวัด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ นครศรีธรรมราช (76 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น ปทุมธานี (จังหวัดละ 8 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช (82 คน)

นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ปภ.) เปิดเผยว่า จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงวันที่ 13 – 14 เม.ย. พบว่าถนนสายรองและเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างอำเภอมีสถิติอุบัติเหตุทางถนนสูง เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด จึงได้ประสานพื้นที่ให้ดูแลปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้อัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะการขับรถเร็ว และดื่มแล้วขับ ประกอบกับในวันนี้ประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกลับแล้ว จึงได้ประสานให้จังหวัดปรับแผนการจัดตั้งจุดตรวจ และการอำนวยความสะดวกในการจราจรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ โดยกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัย ทั้งบนเส้นทางสายหลัก สายรอง พร้อมจัดเตรียมจุดบริการ จุดพักรถ และการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้เพียงพอ เพื่อรองรับการเดินทางกลับของประชาชน อย่างไรก็ตาม ระยะนี้หลายพื้นที่มีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ซึ่งสภาพถนนที่เปียกลื่น และทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ไม่ดี เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จึงขอฝากเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางเป็นพิเศษ ที่สำคัญ อย่าลืมดูแลตนเองภายใต้มาตรการสาธารณสุข (DMHTT) เพื่อช่วยกันควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

พรรคประชาธิปัตย์ ห่วงสถานการณ์โควิด เลื่อนประชุมใหญ่ จากเดิมกำหนด วันที่ 25 เมษายน 2564

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการประชุมใหญ่สามัญประจำปีว่า จากที่ได้มีการกำหนดนัดประชุมใหญ่ประจำปี 2564 ในวันที่ 25 เมษายน 2564 นั้นพรรคเห็นว่าเนื่องจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดโค-วิด19 มีความเป็นห่วงว่าจะเกิดความเสี่ยงและเกิดความยากลำบากในการเดินทางมาของสมาชิกพรรคที่เป็นองค์ประชุมเพราะในหลายจังหวัดมีมาตรการค่อนข้างเข้มงวดเป็นอย่างมาก และการรวมกลุ่มบุคคลที่มีจำนวนหลายร้อยคนจะเกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้ 

ทางพรรคจึงขอเลื่อนการประชุมประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ต้องจัดภายในเดือนเมษายน 2564 ออกไปก่อนและจะได้ทำหนังสือแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งต่อไป หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19คลี่คลายลงจะได้กำหนดนัดประชุมใหญ่ต่อไป

นายราเมศกล่าวต่อว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ที่ได้นัดประชุมในวันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ก็ได้เลื่อนออกไปด้วยเช่นกัน

แห่แก้หนี้บัตรเครดิตกว่า 2 แสนคน!! ธปท.เล็งขยายเวลาแก้หนี้ออกไปถึง 30 มิ.ย. 64 หลังประชาชนตอบรับล้นหลาม พร้อมเตรียมจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ให้ครอบคลุมสินเชื่อเช่าซื้อ คาดเริ่มพฤษภาคมนี้

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. สำนักงานศาลยุติธรรม และกรมบังคับคดี ได้ร่วมกันจัด “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล” (หนี้บัตรฯ) โดยเดิมได้กำหนดช่วงเวลาของงานไว้ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ – 14 เมษายน 2564 ปรากฏว่าผลตอบรับโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก กล่าวคือ มีประชาชนมากกว่า 2 แสนคน ให้ความสนใจและได้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยครั้งนี้เกือบ 5 แสนบัญชี ทั้งนี้ เมื่อใกล้ครบช่วงเวลาที่กำหนดไว้ มีข้อเรียกร้องจากหลายภาคส่วนให้ขยายระยะเวลาที่จัดงานออกไป

ธปท. ได้หารือเรื่องดังกล่าวกับผู้ให้บริการทางการเงินและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นร่วมกันที่ให้ขยายระยะเวลาจัดงานออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสเข้ามาไกล่เกลี่ยหนี้ได้มากและกว้างขวางยิ่งขึ้น ธปท. เห็นว่าแม้เครื่องชี้เศรษฐกิจหลายตัวจะมีทิศทางดีขึ้น และเริ่มมีการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ความเสี่ยงที่อาจจะมีการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ยังมีอยู่ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 12 เมษายน 2564 ประชาชนให้ความสนใจเข้ามาลงทะเบียนจำนวน 234,906 คน หรือ 481,936 บัญชี ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการอยู่ระหว่างเร่งติดต่อ รวมทั้งตรวจสอบสถานะ และทยอยแจ้งผลเข้ามาต่อเนื่อง โดยภาพรวมการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น พบว่า กลุ่มลูกหนี้ที่เข้าเงื่อนไข ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีอยู่จำนวน 110,956 บัญชี (ระหว่างนี้ยอดดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นตามการพิจารณาของผู้ให้บริการที่ทยอยรายงานเข้ามา) โดยลูกหนี้และเจ้าหนี้สามารถตกลงเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ประมาณ 63% ส่วนกรณีที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุป บางส่วนอยู่ระหว่างกำลังตรวจสอบเอกสาร และเป็นผลจากลูกหนี้ยื่นขอไกล่เกลี่ยเข้ามาผิดกลุ่ม เช่น สถานะยังผ่อนชำระดี แต่ยื่นขอไกล่เกลี่ยในช่องทางของกลุ่มที่มีคำพิพากษาแล้ว เป็นต้น รวมทั้งบางกรณีลูกหนี้ยังไม่พร้อมที่จะผ่อนชำระตามแผน และบางรายต้องการข้อเสนอที่แตกต่างจากข้อตกลงของงานมหกรรมในครั้งนี้ โดยในช่วงที่ต่อเวลาคาดว่าสัดส่วนที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถไกล่เกลี่ยกันได้จะเพิ่มสูงขึ้น

นางธัญญนิตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธปท. ได้รับแจ้งมาว่าประชาชนในหลายกลุ่ม ยังไม่ทราบเกี่ยวกับงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรในครั้งนี้ จึงต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรในครั้งนี้ให้ประชาชนทราบมากขึ้นในวงกว้าง เพื่อให้ประชาชนที่มีหนี้บัตรใช้โอกาสที่มีการจัดงานในครั้งนี้แก้ปัญหาหนี้ที่มีอยู่ โดยความพิเศษของงานครั้งนี้ คือ ข้อเสนอการผ่อนชำระหนี้จะมีความผ่อนปรน และอยู่ในวิสัยที่ลูกหนี้จะสามารถปฏิบัติได้ ให้เวลาผ่อนชำระยาวเพียงพอ

นอกจากนี้ งานมหกรรมครั้งนี้จะมีข้อเสนอสำหรับลูกหนี้ทุกกลุ่มสถานะ กล่าวคือ

กลุ่มแรก เป็นหนี้บัตรฯ ที่ยังไม่เป็นหนี้เสียแต่รู้สึกฝืดเคือง หรือหนี้บัตรฯ ดีที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 ท่านสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ โดยหยุดการจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งใช้เวลานานกว่าหนี้จะลด และขอเปลี่ยนวงเงินสินเชื่อบัตร มาเป็นสินเชื่อแบบมีกำหนดเวลา ซึ่งจะได้รับดอกเบี้ยถูกลงจาก 16% เหลือ 12% สำหรับบัตรเครดิต โดยสามารถคงวงเงินที่เหลือไว้ใช้ได้ และประวัติเครดิตบูโรจะไม่เสีย

กลุ่มที่สอง เป็นหนี้บัตรฯ ที่เป็นหนี้เสียแล้ว ยังไม่ฟ้อง หรือฟ้องแล้วแต่ยังไม่พิพากษา สามารถผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 10 ปี ดอกเบี้ยต่ำเพียง 4%-7% ตามเงื่อนไขของคลินิกแก้หนี้

กลุ่มที่สาม เป็นหนี้บัตรฯ เป็นคดีมีคำพิพากษาแล้ว ไปจนถึงบังคับคดียึดทรัพย์แต่ยังไม่ขายทอดตลาด ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ และถือเป็นความพิเศษของงานมหกรรมไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ คือ ปกติเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ เจ้าหนี้มักจะไม่ยินยอมให้ผ่อนยาว แต่ผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 23 แห่งที่ร่วมโครงการ เห็นความจำเป็นที่ต้องผ่อนปรนเงื่อนไขให้ปฏิบัติได้จริง เพื่อช่วยให้ทุกฝ่ายเดินต่อไปได้ โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ในชั้นบังคับคดีเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง โดยลูกหนี้จะผ่อนชำระเฉพาะเงินต้นนานสูงสุด 5 ปี และยกดอกเบี้ยที่ค้างให้หากลูกหนี้จ่ายชำระตามแผนได้สำเร็จ

ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร 1213 วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30-16.30 น. กรณีนอกเวลาทำการท่านสามารถฝากชื่อและเบอร์โทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมล์มาที่ [email protected] เพื่อที่เจ้าหน้าที่ของ ธปท.จะได้ติดต่อกลับไป

นางธัญญนิตย์ กล่าวด้วยว่า ธปท. ได้รับข้อแนะนำจากหลายภาคส่วนให้จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สำหรับสินเชื่อประเภทอื่นเพิ่มเติม ปัจจุบัน ธปท. อยู่ระหว่างการพิจารณาและหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะเริ่มในช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ โดยเมื่อรายละเอียดต่าง ๆ มีความชัดเจนแล้วจะได้ชี้แจงให้ทราบต่อไป

สภาฯ ผู้บริโภค เชิญชวนประชาชน ร่วมลงชื่อ คัดค้าน ‘ต่อสัมปทานและขึ้นราคารถไฟฟ้าสายสีเขียว’ เข้า ครม. ยืนยัน 25 บาท ตลอดสายทำได้จริง

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า กทม. จะต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวไปอีก 30 ปี (สัญญาเดิมจะสิ้นสุดในปี 2572) โดยเก็บอัตราค่าโดยสาร 65 บาท ซึ่งกทม.ไม่ได้ชี้แจงว่าราคา 65 บาทคิดจากอะไร และแม้ว่าผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค จะพยายามสอบถามถึงที่มาของตัวเลข 65 บาท แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภค คำนวณอัตราค่าโดยสารในอนาคตที่น่าจะเป็นไปได้ และพบว่าหากเก็บอัตราค่าโดยสาร 25 บาท กทม. ยังมีกำไรถึง 23,200 ล้านบาท จึงยืนยันว่าราคา 25 บาททำได้จริง

น.ส.สารี กล่าวต่อว่า การต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะสัญญาฉบับปัจจุบันจะหมดลงในปี 2572 หรืออีก 8 ปีข้างหน้า ดังนั้น จึงควรพิจารณาปัญหาและผลกระทบอย่างถ้วนถี่ โดยเฉพาะผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการที่ต้องแบกรับภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นภาระผูกพันไปอีก 38 ปี ทั้งนี้ หาก กทม. ไม่สามารถบริหารจัดการให้อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้ก็ไม่ควรเร่งต่อสัญญา และรอให้ผู้ว่า กทม. คนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ

น.ส.สารี กล่าวอีกว่า ราคาค่ารถไฟฟ้า 65 บาทที่ กทม. เสนอมา นอกจากเป็นราคาที่สูงเกินกว่า ‘มวลชน’ จะจ่ายได้ ยังไม่สามารถชี้แจงฐานการคิดคำนวณของราคาดังกล่าวที่ชัดเจนว่ามาจากหลักการใด ซึ่งหากราคานี้ถูกพิจารณาผ่านและถูกนำมาใช้ จะส่งผลกระทบกับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคจะต้องผูกมัดจ่ายค่าโดยสารในราคานี้ไปอีก 38 ปี จนกว่าจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2602 ในขณะที่ข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมให้ใช้ราคาค่ารถไฟฟ้า 49.83 บาทเท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีกำไรส่งรัฐในปี 2602 ถึง 380,200 ล้านบาท แต่กทม.ไม่เคยมีโมเดลการคิดค่าโดยสารมานำเสนอเลย

"เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลส่งปัญหานี้กลับมายัง กทม. เพื่อให้ กทม.ทำกระบวนการการกำหนดราคาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ประชาชนที่เป็นผู้รับภาระการจ่ายค่าโดยสารมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น จากการคำนวณของสภาฯ พบว่า ค่ารถไฟฟ้าในราคา 25 บาท สามารถทำได้จริงแน่นอน ซึ่งในการคำนวณดังกล่าวได้อ้างอิงจากตัวเลขของกระทรวงคมนาคม โดยลดรายได้รวมลงครึ่งหนึ่งและคิดราคาค่าโดยสารเพียง 25 บาท สุดท้ายแล้ว กทม. ยังมีกำไรหรือมีเงินเหลือนำส่งรัฐได้ถึง 23,000.00 ล้านบาท" น.ส.สารี กล่าว

น.ส.สารี กล่าวอีกว่า สามารถร่วมลงชื่อคัดค้านการนำประเด็น 'ต่อสัมปทานและขึ้นราคารถไฟฟ้าสายสีเขียว' เข้า ครม. ได้ที่ https://forms.gle/fKXLvaFSjbU1tHaX9 ภายในวันที่ 19 เม.ย. 64 เวลา 08.00 น. โดยรายชื่อทั้งหมดจะถูกรวบรวมและนำไปยื่นที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านการนำประเด็น 'สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว' เข้า ครม. ต่อไป

 

ผบ.ทบ. กำชับหน่วยทหาร ส่งกำลังพลและอุปกรณ์สนับสนุนการดูแลโควิดต่อเนื่อง พร้อมตั้ง ”โรงพยาบาลสนามกองทัพบก”เพิ่ม ลดภาระโรงพยาบาลสาธารณสุข

เมื่อวันที่ 15 เม.ย.พ.อ.หญิงศิริจันทร์ ผู้บัญชาการทหารบกมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในพื้นที่ต่างๆได้ติดตามและกำชับให้ทุกหน่วยทหารดำรงความช่วยเหลือส่วนราชการต่างๆ ให้การสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นต่อการรักษาพยาบาลอาทิ เตียงนอน ที่นอน โดยเฉพาะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามและการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในพื้นที่ต่างๆตามที่ได้รับการประสานจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข

พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก และ กรมแพทย์ทหารบก  จัดตั้ง ”โรงพยาบาลสนามกองทัพบก” ในพื้นที่ค่ายทหารหรือสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อดูแลรองรับประชาชน กำลังพลและครอบครัวที่ติดเชื้อและมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ รวมทั้งผู้ที่ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลมาและอาการทุเลาลงแล้ว เพื่อเป็นการลดภาระด้านการรักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาลสาธารณสุขในจังหวัดต่างๆ 

ล่าสุดโรงพยาบาลสนามกองทัพบกได้จัดตั้งแล้ว 2แห่งคือ 1. โรงพยาบาลสนามกองทัพบก(ค่ายธนะรัชต์) จ.ประจวบคีรีขันธ์  ดำเนินการโดยศูนย์การทหารราบ และโรงพยาบาลค่ายธนะรัชต์ สามารถรองรับผู้ป่วย 69 เตียง ซึ่งเป็นการส่งต่อการรักษาพยาบาล จากโรงพยาบาลหัวหิน หรือโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อจาก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์  

สำหรับแห่งที่ 2 คือโรงพยาบาลสนามกองทัพบก(เกียกกาย)  กรุงเทพมหานคร โดยได้ดำเนินการปรับ อาคารรับรองเกียกกาย เขตดุสิต เป็นโรงพยาบาลสนาม ดำเนินการโดยกรมสวัสดิการทหารบก และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า  รองรับได้ 86 เตียง  เป็นผู้ติดเชื้อที่อาการไม่หนัก ที่ส่งมาจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อสำรองเตียงในโรงพยาบาลไว้รองรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักต่อไป
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top