Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

คลังเปิดยอดใช้ “เราชนะ” เงินหมุนลงเศรษฐกิจเกือบแตะ 2 แสนล้าน

กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ล่าสุดวันที่ 8 เมษายน 2564 โดยจำนวนผู้ใช้สิทธิผ่านโครงการ 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 192,930 ล้านบาท โดยประเภทที่คนใช้สิทธิมากที่สุดคือ ร้านค้าทั่วไปและอื่น ๆ รวมกันถึง 77,729 ล้านบาท รองลงมาคือ ร้านธงฟ้า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านโอทอป ร้านค้าบริการ และการขนส่งสาธารณะ ซึ่งล่าสุดมีผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.3 ล้านกิจการ

ทั้งนี้เมื่อแยกเป็นกลุ่ม พบว่า ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมพาภันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 72,167 ล้านบาท, ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ http://www.เราชนะ .com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2564 เป็นต้นมา จำนวน 108,818 ล้านบาท 

ส่วนสุดท้าย คือ ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 11,945 ล้านบาท 

ประเทศไทย หรือในชื่อเดิมว่า สยาม ทำการค้ากับต่างประเทศมาเป็นเวลานับน้อยปี และหากย้อนเวลากลับไปราว 166 ปีก่อน วันนี้ในอดีตนั้น ถือเป็นวันสำคัญ เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงนามทำสนธิสัญญาการค้าฉบับสำคัญ ที่มีชื่อเรียกขานกันว่า

หลังการขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2393 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานช่วยเหลือราษฎรด้านความเป็นอยู่ โดยทรงเห็นว่า หากมีการเปิดการค้าข้าวเสรีกับชาวต่างชาติ จะเป็นประโยชน์ต่อราษฎรอย่างมาก ประกอบกับหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและข้อตกลงด้านการค้ากับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ยังคงมีปัญหาและไม่ได้รับการแก้ไข

ต่อมา รัฐบาลอังกฤษจึงได้ส่ง จอห์น เบาว์ริง เข้ามาทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ในปี พ.ศ. 2398 โดยเป็นการเชิญพระราชสาส์น ของสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียเข้ามาถวาย พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ เข้ามาทำสนธิสัญญาทางไมตรี ทั้งนี้คณะของเบาว์ริงเดินทางมาถึงปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2398 และได้ทำการลงนามสนธิสัญญากันเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

แม้ในรายละเอียดของสนธิสัญญา ต้องแลกกับการสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางการศาล และสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่ถือเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด จากสถานการณ์การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการค้าเสรี ไม่ผูกขาด และทำให้การผลิตเพื่อค้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการจากต่างประเทศ โดยสินค้าสำคัญที่สยามผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศ นั่นคือ ข้าว ไม้สัก และดีบุก

ต่อมา สนธิสัญญาเบาว์ริงได้กลายเป็นต้นแบบของการทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ ที่เข้ามาเจรจากับสยาม ทั้งนี้สนธิสัญญาฉบับดังกล่าว มีการบังคับใช้อยู่นานกว่า 70 ปี จนกระทั่งมีการแก้ไข และค่อย ๆ ยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 6 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง กระทั่งในปี พ.ศ. 2482 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้มีการแก้ไขและลงนามสนธิสัญญาใหม่กับประเทศโลกตะวันตกทั้งหมด เพื่อให้ทันยุคสมัย และส่งผลดีต่อประเทศมากยิ่งขึ้น


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สนธิสัญญาเบาว์ริง, http://valuablebook2.tkpark.or.th/2015/13/document4.html

ด่วน..!!!! ผู้อำนวยการ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ออกประกาศแจ้งให้วปอ.รุ่น 63 ตรวจหาเชื้อ - กักตัว 14 วัน หลังพบนักศึกษาติดโควิด ขณะที่ในรุ่นมี ทหาร-ตำรวจ-นักธุรกิจ-ราชการ ร่วมเรียนอื้อ

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.พล.ท.วิโรจน์ เกิดแสง ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ได้ออกประกาศวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 63 ในกรณีสถานการณ์ไม่ปกติ อันเนื่องมาจากภาวการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19

โดยระบุว่า ได้รับรายงานว่ามีนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 63 จำนวน 1 คน ติดเชื้อ และ มีนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 63 จำนวน 2 คน ขอกักตัวเนื่องจากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ประกอบกับมีข้าราชการ 1 คน ตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 เมื่อวันที่ 7 เมษายน จึงได้ขอยกเลิกการเดินทางไปดูกิจการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 26 - 30 เมษายน และเลื่อนการจัดสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 3 ระว่าง 20 - 22 เมษายน ไปก่อน และยกเลิกกิจกรรมการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ตังแต่ 8 เมษายน เป็นต้นไปถึง 30 เมษายน และขอให้นักศึกษา รุ่น 63 และข้าราชการ เข้ารับการตรวจ ตั้งแต่ 8 - 9 เมษายน และกักตัว 14 วัน ณ ที่พัก พร้อมรายงานในระบบทุกวัน

ทั้งนี้ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 63 มีผู้เข้ารับการศึกษา จำนวน 285 คน ประกอบด้วย ข้าราชการทหาร 94 นาย ข้าราชการตำรวจ 9 นาย ข้าราชการพลเรือน 77 คน พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์กรอิสระ 15 คน ภาคเอกชน 15 คน นักธุรกิจและบุคคลทั่วไป 68 คน นักศึกษาจากมิตรประเทศจำนวน 7 นาย จาก 7 ประเทศได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐเกาหลี สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน และ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคปฐมนิเทศ และภาคการศึกษาหลัก

ยืนยันอีกรอบ คลิปเสียงหมอศิริราช แนะนำกินยาเขียว เพื่อรักษาโควิด-19 เป็นของปลอม ย้ำชัดไม่ใช่เสียง ‘คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช’ ซ้ำร้าย ‘ยาเขียว’ ไม่มีสรรพคุณรักษาโควิด-19

ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความในประเด็นเรื่อง คลิปเสียงหมอศิริราช แนะนำกินยาเขียว เพื่อรักษาโควิด-19 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีการส่งต่อคลิปเสียงโดยระบุว่าเป็นเสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่กล่าวถึงการรักษาโควิด-19 โดยให้รับประทานยาเขียวเพื่อทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เมื่อร่างกายเกิดความร้อนก็จะมีการขับเหงื่อและปัสสาวะออกมาซึ่งเชื้อไวรัส จะออกมาด้วยกับเหงื่อและน้ำปัสสาวะ อุจจาระนั้น ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ชี้แจงว่า เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

และข่าวนี้เป็นข่าวเก่าที่เคยมีการส่งต่อแล้ว ซึ่งการใช้ยาเขียวในการรักษาโรคเป็นองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนไทยที่ใช้กระทุ้งไข้ หัด อีสุกอีใส อีกทั้งยาเขียวยี่ห้อดังกล่าวไม่มีการบอกสูตรยาที่แน่นอน และยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้น จึงยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถใช้รักษาโรค โควิด-19 ได้

โดยยาเขียวเป็นตำรับยาไทย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้าน ที่มีการใช้กันมานานหลายทศวรรษ และเป็นตำรับที่ยังมีการผลิตขายทั่วไปตราบจนปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปในสมัยก่อนจะรู้จักวิธีการใช้ยาเขียวเป็นอย่างดี กล่าวคือ มักใช้ยาเขียวในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว ซึ่งยาเขียวจัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งพิษในที่นี้หมายถึงของเสียหรือความร้อนที่อยู่ภายในร่างกายเท่านั้น

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ หากต้องการรับรู้ข่าวสารเพิ่มเติม จากข่าวประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://www.si.mahidol.ac.th หรือโทร. 02 4197646 ต่อ 50

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช ที่ถูกแชร์ซ้ำเมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้น จึงยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าการกินยาเขียว สามารถใช้รักษาโรค โควิด-19 ได้

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

แอสตร้าเซนเนก้า แจงข้อมูลผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดอีกด้าน ระบุ 'ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน-เกล็ดเลือดต่ำ’ เกิดยากมาก หลังองค์การยายุโรป มีความเห็นเชื่อมโยงกับวัคซีน แต่เกิดได้ยาก ขณะที่ภาพรวมมีประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง

รายงานความคืบหน้าหลังการแถลงข่าวจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของสหราชอาณาจักร (MHRA) และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของยุโรป (EMA) เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า

เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของสหราชอาณาจักร (MHRA) และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของยุโรป (EMA) ได้ประเมินถึงการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบได้ยากมากในประชาชนกว่า 34 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าใน สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป

ทั้งสองหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ขอให้แอสตร้าเซนเนก้าปรับเปลี่ยนข้อความบนฉลากวัคซีนที่ใช้ในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป โดยไม่มีการระบุถึงปัจจัยเสี่ยงใด ๆ อาทิ อายุ เพศหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ซึ่งพบได้ยากมากนี้ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานทั้งสองมีความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ว่ามีความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับวัคซีนและขอให้ระบุว่าเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ยากมาก

โดยภาพรวมแล้วทั้ง MHRA และ EMA ได้ยืนยันอีกครั้งว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถช่วยป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรงได้และประโยชน์เหล่านี้นั้น ยังคงมีมากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์

แอสตร้าเซนเนก้าได้ร่วมมืออย่างแข็งขันกับหน่วยงานต่างๆที่ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านยาเพื่อดำเนินการเพิ่มเติมข้อมูลเหล่านี้ในเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ พร้อมกันนี้กำลังศึกษาและทำความเข้าใจการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยแต่ละราย การระบาดวิทยา รวมถึงกลไกที่น่าจะเป็นไปได้ เพื่อจะอธิบายภาวะที่เกิดขึ้นได้ยากมากนี้

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังกล่าวในวันนี้ว่า จากข้อมูลปัจจุบันนั้น ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการเกิดภาวะนี้มีความเป็นไปได้แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ และระบุว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเฉพาะทางเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการฉีดวัคซีนและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เป็นไปได้

องค์การอนามัยโลก ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้พบได้ยากมากและมีรายงานการเกิดภาวะนี้ในตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ทั่วโลกเกือบ 200 ล้านคน

เข้าใจอยู่ว่าใคร ๆ ก็กลัวถูกด่า แต่นาทีนี้ใครปิดไทม์ไลน์ เท่ากับมีความผิด และใครปกปิดหลักฐาน เช่น ลบภาพสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ตนเองได้ไป ก็คงไม่ดีนัก​ ฉะนั้นเปิดตัวกันตรง ๆ สังคมน่าจะได้ประโยชน์ อย่าได้กลัว!!

ล่าสุด เพจ 'ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก' ได้โพสต์เฟซบุ๊ก อวยดาราคนจริง 'พลอย เฌอมาลย์' หลังไม่ลบรูปสถานที่เสี่ยงที่ตนไปร่วมงานว่า...

ไม่รู้จะคุณมัม พลอย เฌอมาลย์ เป็นดาราคนเดียวที่ไม่ลบรูปที่มีข่าวดารา คนดังไปงานปาร์ตี้มาที่ภาคใต้รึเปล่า แต่นี่คือหนึ่งในคนที่เออ ไปมาจริง ไม่หนี ไม่ลบรูป และพร้อมแสดงความรับผิดชอบจริง

โดยที่เจ้าตัวแจ้งในไอจีว่ากักตัวแล้ว และยกเลิกทริปพร้อมงานทั้งหมดในเดือนเมษายน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และจะมาแจ้งผลการตรวจต่อไป

ส่วนตัวประทับใจนะ ไม่ลบแล้วทำนิ่ง เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิด พอเกิดแล้วก็รีบแก้ไขและแจ้งไทม์ไลน์และเอกสารทั้งหมดจริง ๆ

ใครดีก็อวยยศ ที่ลบแล้วเงียบอันนั้นไม่น่ารักแต่อย่างใดนะ ไม่ใช่แค่ดารา แต่ประชาชนทั่วไปก็ด้วย ถ้าเราไปงานที่ได้รับแจ้งว่ามีผู้ติดเชื้อและมีการไปที่อื่นอีกไหมหลังจากนั้น การแจ้งไทม์ไลน์อย่างไม่ปกปิดอย่างดี

มันช่วยลดเรื่องการระบาดไปได้เยอะเลยนะคะ

ขอบคุณคุณมัมค่ะ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=301049538046233&id=100044235679015

เชียงราย - เข้มรับมือสงกรานต์ ป้องกันอุบัติเหตุและอาชญากรรม

เวลา 19.45 น.วันที่ 7 เม.ย. 64  พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย ได้เดินทางตรวจ จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์นางแล สภ.บ้านดู่ ตามนโยบายของ รัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นการอกนวยความสะดวกในการใช้รถใช้ถนนให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมไปถึงดูแลความปลอดภัยของประชาชนที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด

โดยได้เน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ ให้ปฏิบัติด้วยความสุภาพ เรียบร้อย ในการให้บริการต่อพี่น้องประชาชน เน้นบริการและอำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทางและดูแลความปลอดภัยของประชาชนที่เดินทางกลับต่างจังหวัดและเข้ามาในพื้นที่ เพิ่มความเข้มในการตรวจเฝ้าระวัง  สืบสวน และจับกุมการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง  แรงงานต่างด้าว ทั้งขาเข้าและขาออก ที่จะมีผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้อุปกรณ์ในการป้องกันการแพร่ระบาด เช่น หน้ากาก, ถุงมือ โดยเคร่งครัดเพื่อป้องกันการติดต่อโรคโควิด-19  การตั้งด่านห้ามมีการเรียกรับผลประโยชน์โดยเด็ดขาด  การปฏิบัติหน้าที่ให้แต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบ ทั้ง เสื้อผ้า ทรงผม การพกพาอาวุธและเครื่องมือสื่อสาร การตั้งจุดตรวจฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดทั้งรูปแบบและอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

ขอนแก่น - ผู้ว่าฯขอนแก่นย้ำชัด ใครเดินทางมาจาก 5 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง ต้องรายงานตัวและกักตัวที่บ้าน 14 วันทันที โดยไม่มีละเว้น

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 เม.ย. 2564 นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อและห่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ซึ่งขณะนี้ผู้ติดเชื้อระลอกใหม่ของจังหวัดยังสะสมอยู่ที่ 16 ราย โดยรวมอาการดีขึ้นตามลำดับ ในส่วนของข่าวลือต่าง ๆ ที่ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มในพื้นที่ของจังหวัดขอนแก่นนั้น ขอให้ประชาชนรับทราบข้อมูลจากทางจังหวัดเท่านั้นเพื่อให้เป็นข้อมูลที่ไปในทิศทางเดียวกัน ขณะนี้ยังไม่มีรายงานยืนยันจากทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด หากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มทางจังหวัดจะมีการแถลงข่าวให้ทราบทันที

"คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่นยังได้ออกประกาศฉบับที่ 30 สั่งงดการจัดคอนเสิร์ตทุกพื้นที่ทั้ง 26 อำเภอของจังหวัด พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าพื้นที่จังหวัดขอนแก่นที่มาจากพื้นที่เสี่ยงทั้ง 5 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานครฯ, ปทุมธานี,นนทบุรี, สมุทรปราการ และ นครปฐม โดยในส่วนของ กรุงเทพฯ นั้น ก็จะแยกเป็นเขตพื้นที่เสี่ยงต่ำเสี่ยงสูง โดยที่เขตทองหล่อนั้นถือเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ในส่วนเขตอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏผู้ติดเชื้อก็ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงต่ำ แต่ทั้งนี้ทุกคนที่เดินทางเข้ามาที่จังหวัดจะต้องทำการสแกนคิวอาร์โค้ดของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น เพื่อรายงานตัวและใน 5 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวจะต้องทำการกักตัว 14 วันที่บ้านตัวเองทันทีโดยไม่มีการละเว้น ส่วนประชาชนที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่น ๆ เมื่อกลับเข้าที่พักอาศัยให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานในพื้นที่ คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ อสม. และ อบต.ในแต่ละพื้นที่ที่อาศัยอยู่ทั้งหมด เพื่อเป็นไปตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19มาตรฐานปลอดภัยสูงสุด ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่าจะมีประชาชนที่เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงสูงเข้ามายังพื้นที่ 3 อำเภอของจังหวัดและขอเข้ารับการกักตัวทั้งหมดแล้ว"

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของการเดินทางออกนอกพื้นที่นั้นทางจังหวัดไม่ได้มีการห้ามแต่อย่างใด ทุกคนยังใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ขอให้ทุกคนช่วยกันตั้งการณ์ดให้สูง การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ และพกติดตัวไว้ เว้นระยะห่างทางสังคม 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยงที่มีคนรวมตัวกันเยอะ ๆ และสแกนคิวอาร์โค้ดไทยชนะในทุกสถานที่ที่เดินทางไป เพื่อให้การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพ และขอให้ทุกคนอย่าตระหนกจนเกินไป ขอให้เชื่อมั่น และปฏิบัติตามประกาศในการดำเนินการของทางคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

นครราชสีมา - ศูนย์อนามัยที่ 9 จับมือเครือข่าย เปิดเมืองปลอดภัย จัดงาน KORAT MICE มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน

วันที่ 8 เมษายน 2564  ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา ร่วมกับ จังหวัดนครราชสีมา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา จัดงาน “เปิดเมืองปลอดภัย  จัดงาน KORAT MICE  มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน” อาหารปลอดภัย ห่างไกลโควิด พิชิต PM2.5  โดยมีนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธาน  นพ.ประสาน ชัยวิรัตนะ ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 9 กล่าวรายงาน  ร่วมด้วย นายบรรจง กิติรัตน์ตระการ ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 9   ,ผู้แทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา  หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่  ศูนย์ส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการจังหวัดนครราชสีมา (NCEP) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานศึกษา รวมกว่า 200 คน ณ ห้องนกยูง รร.เซ็นเตอร์พอยท์ เทอมินอล 21 โคราช

จากวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบ เกิดภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นที่มาที่หน่วยงานทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ท้องถิ่นและภาคเอกชน จับมือกันร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ภายใต้นโยบายของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุล ระหว่างมิติสาธารณสุขกับมิติทางเศรษฐกิจและสังคม จังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดทางภาคอีสาน ที่ใหญ่ที่สุดของไทย เป็นเมืองที่น่าสนใจ ในด้านธุรกิจการจัดประชุม และงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ ซึ่งมีความเหมาะกับการเป็นเมืองไมซ์

เมืองไมซ์ หรือ MICE City  เป็นเมืองที่มีความพร้อมและศักยภาพในการเป็นจุดหมายปลายทางเพื่อรองรับการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจไมซ์ใน 4 กิจกรรมธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ MEETINGS  การประชุม โดยอาจจัดประชุมระดับภูมิภาค ระดับชาติหรือระดับนานาชาติ INCENTIVES TRAVEL การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล เช่น งานเลี้ยง กิจกรรมสันทนาการ รวมถึงกิจกรรม CSR ซึ่งมีการกำหนดที่พัก โปรแกรมท่องเที่ยว วางแผนกิจกรรมต่างๆ ไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน CONVENTIONS การประชุมขนาดใหญ่ใช้เวลาหลายวันและมีผู้เข้าร่วมหลายร้อยหรือหลายพันคนจากทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นการจัดของสมาคมในระดับนานาชาติ และ EXHIBITIONS เป็นงานแสดงสินค้า และนิทรรศการ รวมไปถึงงาน Trade Show, Trade Fair, Trade Expo และงาน Mega Event

ทั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งผู้ประกอบการในระบบนิเวศน์ไมซ์ การจัดประชุม งานแสดงสินค้า และอีเวนท์ เทศกาล ไปจนถึงกิจกรรมรองรับการเดินทางการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร ตลาด โรงแรมที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว การเดินทาง และธุรกิจต่าง ๆ  โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยของสถานประกอบการและกิจการอย่างเป็นระบบ รวมทั้ง กลไกกำกับดูแลแบบบูรณาการ เพื่อร่วมกันสร้างมาตรฐาน เกิดการขับเคลื่อนทั้งระบบอย่างปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่จัดงาน ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่  โดยสถานประกอบกิจการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ที่พัก และการท่องเที่ยวทุกแห่งในจังหวัดต้องประเมินตนเองเพื่อให้ได้การรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย (TMVS) มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) และ มาตรฐาน Thai Stop COVID Plus  อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  วิลัยพร  อุ่มพิมาย  

พังงา - เฮ...ผู้ว่าตั้งเป้าฉีดวัคซีน 65-70% ในเดือนมิถุนายน พร้อมเปิดรับการท่องเที่ยว 1 ตุลาคมนี้

วันที่ 8 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดพังงา นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพังงา โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามประเมินสถานการณ์ เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาได้กำชับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ำให้ทุกอำเภอเข้มงวดดูแลทุกสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก อสม.ยังคงเข้า SCAN ตรวจสอบถึงหน้าบ้าน และให้ผู้ที่เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงเข้ามาในจังหวัดพังงาจะต้องรายงานตัวกับพื้นที่ ในส่วนของวัคซีนล็อตแรกจำนวน 10,000 โดส จะฉีดเข็มแรกให้กลุ่มเป้าหมายเสร็จในวันที่9 เมษายน และมีข่าวดีว่าจังหวัดพังงาได้รับการจัดสรรวัคซีนล็อตที่2 ฉีดให้กับประชาชนร้อยละ65-70 ภายในเดือนมิถุนายนนี้ และพร้อมเปิดจังหวัดรับการท่องเที่ยวในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา กล่าวว่า จากการที่มีประชาชนติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มจะแพร่ระบาดไปอีกหลายจังหวัด จำเป็นที่สุดที่ทุก ๆ คนจะต้องปฏิบัติตนตามมาตรการ DMHTT ภาครัฐจะดูแลพื้นที่ควบคู่กันไป ที่สำคัญการป้องกันตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนี้อย่าได้ละเลยหรือประมาท สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยและมีติดตัวไว้เสมอ การจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ต้องเป็นไปตามที่ ศบค.กำหนดเท่านั้น สำหรับวัคซีนในล็อตที่ 2 รัฐบาลได้ทำการจัดสรรให้จังหวัดพังงาครอบคลุมประชาชน 130,000-140,000 คน เพื่อทำการฉีดให้ประชาชนจังหวัดพังงากว่าครึ่งจังหวัดจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากที่สุด สำหรับสถานที่ฉีดได้มอบหมายให้หน่วยงานสาธารณสุขและทางอำเภอทุกแห่งพิจารณาจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งจะต้องอยู่ไม่ไกลจากสถานพยาบาล เพราะหากพบว่ามีคนไหนที่มีอาการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงจะถูกนำตัวส่งไปโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที ส่วนพื้นที่อำเภอไหนที่เป็นเกาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมเรือเร็วในการเดินทางทางน้ำต่อไป โดยภายหลังจากการที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว คาดว่าจะเปิดจังหวัดรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1ตุลาคม 2564 นี้ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาก็ได้รับวัคซีนแล้วประกอบกับจังหวัดพังงาเองมีภูมิคุ้มกันหมู่อีกด้วย จะทำให้เกิดการเดินหน้าของเศรษฐกิจการค้าขายในทุกระดับได้


ภาพ/ข่าว  อโนทัย  งานดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top