Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้วจริงหรือ ?

กระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) กำลังมาอย่างมาก จากกระแสธารเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของทั่วโลก กระตุ้นความสนใจให้กับผู้คนในประเทศไทยพอสมควร ประเทศที่มีปัญหาด้านมลพิษสูงอย่าง PM2.5 ติดอันดับโลกอยู่หลายครั้ง และหนึ่งในสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิด PM2.5 คือมลภาวะจากควันรถยนต์ที่ปล่อยออกมา

ปัญหาทางโครงสร้างทางคมนาคม ถนนหนทาง และนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการซื้อรถยนต์ กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาระยะยาว คือปัญหารถติด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ติดอันดับรถติดของโลก (แต่ละอันดับ ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่) ที่ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตนี้จะแก้ปัญหานี้ได้ไหม รวมไปถึงการโดยสารสาธารณะไม่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุและอาชญากรรรมในพื้นที่สาธารณะ ความรู้สึกของผู้คนในเมืองใหญ่จึงยอมที่จะซื้อรถส่วนตัว เพื่อแลกกับความปลอดภัย จำนวนรถเยอะขึ้น จำนวนมลพิษก็เยอะขึ้นเป็นธรรมดา รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ประชาชนอย่างเรา จะยอมซื้อเพื่อแลกกับคุณภาพอากาศที่ดี (ที่รัฐแก้ปัญหาไม่ได้สักที)

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) รถยนต์แห่งโลกอนาคต ที่ในไม่ช้าคงกลายเป็นรถยนต์กระแสหลัก ตอบโจทย์ชีวิตของผู้คนและสังคมอย่างมาก จากข้อดีหลายประการ อาทิ ลดมลภาวะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงน้ำมัน, ความเงียบและอัตราเร่งที่ได้ดั่งใจ ,ประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงไม่ต้องเสียเวลาไปปั๊มน้ำมัน ,ประหยัดเงินค่าน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันในมหานครใจกลางกรุง ก็มีสถานีชาร์จไฟฟ้าให้กับรถยนต์ไฟฟ้าหลายจุด

อย่างไรก็ตามเราแทบไม่เห็นรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนถนนเลย เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าบ้านเรายังต้องนำเข้า และมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสมรรถนะและความสะดวกสบายที่ได้รับ แถมแบรนด์ที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมีให้เลือกไม่มากนัก บวกกับคนทั่วไปอาจมีความกังวล และไม่เข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเพียงพอ รวมถึงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีการจัดซื้อและใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะเพื่อเป็นตัวอย่างนำร่อง

แต่รู้ไหมว่า ? หากศึกษาถึงความคุ้มค่า สำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถยนต์และต้องการรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย ก็ต้องบอกว่าคุ้มมาก เพราะมาตรการทางภาษียังถูกกว่ารถยนต์เชื้อเพลิงอีกต่างหาก

โดยรัฐมีการส่งเสริมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิต ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ยกเว้นอากรการนำเข้าพวกชิ้นส่วนและอุปกรณ์ โดยผู้ผลิตต้องยื่นเข้ารับการส่งเสริมแก่ BOI และยังมีมาตรการในการลดภาษีสรรพาสามิต และทำให้ผู้บริโภคหาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งภาครัฐมีเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดปลั๊กอิน และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่รวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านคันในปี พ.ศ. 2579

ลองเปรียบเทียบกับต่างประเทศกันดูบ้างว่ารัฐบาลบ้านเขาส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) อย่างไร

ประเทศนอร์เวย์ ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการยกเว้นภาษีจดทะเบียนและภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยรัฐให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการที่ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า และผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทุกคนในประเทศสามารถชาร์จไฟฟ้าในแท่นชาร์จสาธารณะได้ ‘โดยไม่มีค่าใช้จ่าย’ มียกเว้นค่าผ่านทางในถนนที่มีการเก็บค่าผ่านทาง และอนุญาตให้รถยนต์ไฟฟ้าใช้ช่องทางสำหรับรถโดยสารประจำทางและรถแท็กซี่ (Bus and taxi lanes) พร้อมทั้งให้จอดรถในพื้นที่สาธารณะทุกแห่งได้โดยไม่เสียค่าจอด

ประเทศญี่ปุ่นภาครัฐนั้นให้เงินสนับสนุนในเรื่องของงานวิจัยพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยมุ่งให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งเรื่องของโมเดลรถและแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และได้มีการทำข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่ต้นในเรื่องของ ‘แท่นชาร์จ’ ให้รถทุกยี่ห้อสามารถใช้หัวชาร์จแบบเดียวกันได้ รวมถึงยังมีการให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการลดหรือยกเว้นภาษีจากผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีมาตรการนำรถยนต์ทั่วไปคันเก่า มาแลกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ที่สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่รัฐกำหนดไว้ อีกทั้งมีการจัดตั้ง

‘เมืองยานยนต์ไฟฟ้า EV/PHEV town’ เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย

นโยบายที่ชัดแจนและการสร้างองค์ความรู้ที่ชัดเจนให้กับประชาชนในประเทศ ผนวกกับการส่งเสริมของภาครัฐอย่างจริงจังก็สะท้อนให้เห็นว่าประเทศเหล่านั้นประสบความสำเร็จในการผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รักษาสิ่งแวดล้อม ประชาชนก็ได้ประโยชน์

ส่วนบ้านเรา !! ในฐานะที่เป็นหนึ่งในประชาชนผู้เสียภาษี และมีความจำเป็นที่ต้องออกรถใหม่ในไม่ช้า ส่วนตัวก็มีความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้า แต่ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ารัฐส่งเสริมมาตรการภาษีอย่างไร การให้บริการพร้อมสรรพหรือยัง รู้แต่เพียงว่าราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าช่างสูงลิ่ว และเราอาจต้องนั่งรถเมล์สูดควันดำกันต่อไป


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

นับถอยหลัง EV ไทย!! ‘บอร์ดอีวี’ ตั้งเป้าอีก 14 ปี EV เต็มถนน เชื่อยานยนต์ไฟฟ้าปั้นเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ หรือ ‘Electric Vehicle: EV) คือ เทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกอย่างแท้จริง หลังจากหลายประเทศทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายก้าวไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยมลพิษในอากาศอย่างถ้วนหน้า

เมื่อมองนโยบายด้านพลังงานของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่า ทุกประเทศจะมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดการใช้งาน EV แทบทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น อังกฤษ ที่ได้วางเป้าหมายส่งเสริมการผลิตรถ EV 100% ในปี 2035

ขณะที่สหรัฐอเมริกา ตั้งเป้าเพิ่มจำนวน EV บนถนน 4 ล้านคัน พร้อมพัฒนา EV Charging Station สาธารณะ 500,000 แห่งทั่วประเทศในปี 2030 พร้อมทั้งกำหนดให้เปลี่ยนรถสันดาป (ICE) ของรัฐบาลกลางเป็นรถ EV จำนวน 645,000 คัน โดยจะผลิตและใช้แรงงานในประเทศเป็นหลัก

ส่วนจีน เป็นหนึ่งประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของ EV ค่อนข้างสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะผลักดันให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 0% ภายในปี 2060 โดยไม่สนับสนุนโรงงานผลิตรถยนต์สันดาปอีกต่อไป พร้อมกับประกาศว่า จะเปลี่ยนรถยนต์สันดาปเป็น EV ทั่วประเทศในปี 2040 คู่ขนานไปกับการพัฒนา EV Charging Station 4.8 ล้านหัวจ่าย ทั่วประเทศ

จากนโยบายที่ว่ามาของประเทศต่างๆ ได้ส่งผลให้ EV เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงตั้งแต่ปี 2014 - 2019 มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 60% ต่อปี โดยเมื่อสิ้นปี 2019 มี EV ทั่วโลกสะสมอยู่ราว 7.2 ล้านคัน และมีการประเมินว่าส่วนแบ่งตลาดรถ EV จะเท่ากับรถ ICE ในปี 2037 (พ.ศ.2580)

ทีนี้หากขยับมาดูนโยบายด้าน EV ของประเทศเพื่อนบ้านไทยในกลุ่มอาเซียน อย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งของไทยในการผลิตรถยนต์ ต่างก็พยายามผลักดันการผลิต EV เป็นนโยบายหลัก โดยอินโดนีเซีย ตั้งเป้าหมายผลิต EV 20% ในปี 2025 ส่วนมาเลเซีย ตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาคในปี 2022 พร้อมกำหนดรถยนต์ส่วนบุคคล ต้องเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูง (Energy Efficient Vehicles : EEVs) จำนวน 1 แสนคัน ในปี 2030 และเวียดนาม ตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนและร่วมทุนผลิต เทคโนโลยีระดับสูง ด้าน EV อันดับ 1 ของอาเซียน เช่นกัน

จะเห็นได้ว่า ประเทศที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์ในอาเซียน ต่างตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิต EV ทั้งสิ้น เพราะประเทศเหล่านี้ต่างหมายมั่นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แข่งกับไทยนั่นเอง

เอาล่ะ!! ทีนี้มามองดูไทย ที่ถือเป็นประเทศฐานการผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของอาเซียนมายาวนานหลายทศวรรษ จนได้รับฉายาว่า ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ จากการเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับที่ 12 ของโลก และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน กับยอดการผลิตราว 2 ล้านคันต่อปี เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และบริโภคภายในประเทศอีก 1 ล้านคัน

แต่นั่น คือ ภาพของผู้นำการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาป!!

ฉะนั้นเมื่อ EV กำลังก้าวขึ้นมาเป็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ และถ้าประเทศไทยไม่อยากเสียแชมป์ด้านการผลิตในอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็คงอยู่เฉยปล่อยให้คู่แข่งแซงหน้าไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกราว 1 ล้านคันต่อปี แต่ในขณะที่ประเทศคู่ค้าที่นำเข้ารถยนต์จากไทยหลายประเทศ เริ่มประกาศนโยบายลดการใช้งานรถยนต์เครื่องสันดาปแล้ว หากไทยไม่เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบบจริงจัง ก็อาจจะสูญเสียตลาดส่งออกรถยนต์ให้กับคู่แข่งเป็นแน่แท้

อย่างไรก็ดี การจะเปลี่ยนเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดปุ๊บแล้วทำได้ปั๊บ เพราะไม่ว่าจะด้านการผลิต การใช้งาน โครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบันไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพอสมควร

ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ทางรัฐบาล จึงได้แต่งตั้ง ‘คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ’ หรือ ‘บอร์ดอีวี’ ขึ้นมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งกรอบที่ทางบอร์ดอีวีได้วางไว้ในการประชุมครั้งแรก นั่นคือ เร่งให้เกิดการผลิต ยานยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle: รถยนต์ที่พึ่งพิงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว) ในประเทศไทยภายใน 5 ปี

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมบอร์ดอีวี โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อกำหนดทิศทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ด้วยการลดการใช้รถยนต์ที่่ใช้เครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเป็นรูปธรรม

โดยในที่ประชุมได้ร่วมกำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมาผลิตเครื่องยนต์สันดาปซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จึงได้วางเป้าหมายการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ทางบอร์ดอีวี ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ร่วมกันพิจารณาส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย รถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นเจ้าภาพในการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของอุปทาน (ผู้ผลิต) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อเร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็ว

ขณะเดียวกัน ทางบอร์ดอีวี ยังได้กำหนดเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทุกประเภทในปี 2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น1,055,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 402,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 622,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน

และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 15,580,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 6,400,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 8,750,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 430,000 คัน

ส่วนเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศในปี 2568 จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,051,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 400,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 620,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน

และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 18,413,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 8,625,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 9,330,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 458,000 คัน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้วางนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยมาตรการระยะเร่งด่วนและมาตรการระยะ 1-5 ปี ประกอบด้วย...

มาตรการเร่งด่วน...

1.) มาตรการกระตุ้น การใช้รถ สองล้อ สาม ล้อ และสี่ล้อไฟฟ้า

2.) มาตรฐาน และ ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ -แผนพลังงาน และ การจัดตั้งสถานีอัด ประจุสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์

3.) ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐจัดซื้อ/เช่ารถยนต์ไฟฟ้า

4.) จัดให้มีโครงการเช่ารถเมล์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน ไฟฟ้า 2,511 คัน

ส่วนมาตรการในระยะ 1 - 5 ปี มีดังนี้...

1.) ด้านมาตรการแรงจูงใจ (Demand)

- ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต (เริ่มพ.ศ. 2569 หรือ ค.ศ.2026) เพื่อส่งเสริมการใช้ ZEV

- ปรับปรุงภาษีรถยนต์ประจำปี ตามหลักสากล “รถยิ่งเก่า ยิ่งต้องจ่าย แพง”

2.) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน

- สนับสนุนให้มีสถานีชาร์จสาธารณะสำาหรับรถ BEV และ สถานี SWAP สำหรับ รถจักรยานยนต์ BEV ให้เพียงพอ

- มาตรการทางภาษี กองทุนเพื่อการบริหารจัดการแบตเตอรี่ในรถยนต์

- การบริหารจัดการซากรถยนต์ แบตเตอรี่และ Solar cell ใช้แล้วอย่างยั่งยืน

- การพัฒนาบุคลากร Upskill / Reskill ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนสำหรับ ZEV รวมทั้งมาตรการรองรับบุคลากรจากอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมไปสู่ S-Curve

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้น ได้แก่

1.) คณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน

2.) คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและแบตเตอรี่เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า

3.) คณะอนุกรรมการประเมินผลกระทบด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซเรือนกระจกจากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า

4.) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

สำหรับคณะอนุกรรมการทั้ง 4 ชุด ตั้งขึ้นเพื่อให้การส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดำเนินนโยบายไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งเกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การนำประเทศก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกนั่นเอง


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ฉก.นราธิวาส ช่วยชาวบ้านตอหลังเก็บเกี่ยวข้าว สืบสานวัฒนธรรมและประเพณีประจำท้องถิ่น ส่งเสริมเพื่อพัฒนาที่ดินเปรี้ยว

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15  ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นประธาน เปิดกิจกรรมพหุวัฒนธรรมการเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีประจำท้องถิ่น สนับสนุน ส่งเสริม เพื่อพัฒนาที่ดินเปรี้ยว ณ บ้านตอหลัง ตำบลไพรวัน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยมี นายสังคม เกิดก่อ นายอำเภอตากใบ ,พันโททวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 , ผู้นำท้องที่ และประชาชนชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม ในพื้นที่ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

สำหรับกิจกรรมการเก็บเกี่ยวข้าวครั้งนี้จัดขึ้น โดยมีจุดประสงค์ คือ ที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขปัญหาในเรื่องดินเปรี้ยว ทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ทำการเพาะปลูกได้ ทางหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จึงร่วมกับทุกภาคส่วน มาส่งเสริมการปลูกข้าว โดยใช้พันธุ์ข้าวพื้นเมือง คือ พันธุ์ซีบูกันตัง และพันธุ์หอมกระดังงา ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียง มีคุณค่าทางอาหาร ประการต่อมาการใช้พื้นที่มาเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย  จะช่วยให้รอดพ้นวิกฤตอาหารในสถานการณ์ต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์โควิด-19  ด้วยการหุงข้าวกินเอง ปลูกผักรอบบ้าน ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญประชาชนในพื้นที่มีพี่น้องไทยพุทธ พี่น้องมุสลิม อยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็งมาอย่างยาวนาน ก็ได้มารักษาต่อยอด ได้ร่วมกันดำนาตามวิถีชีวิตดั้งเดิม และสืบสานภูมิปัญญาอีกด้วย

ทั้งนี้ พลตรีไพศาล หนูสังข์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาเสริมสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และ ประชาชนในพื้นที่ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม และส่งเสริม ฟื้นฟูวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงาม ที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ขับเคลื่อนให้ชุมชน 2 วิถี เรียนรู้ และ ยอมรับการอยู่ร่วมกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการรักษาคุณภาพดินเพื่อให้มีความอุดมสมบูรณ์ ใช้เพาะปลูกพืชได้อย่างยั่งยืน และ เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี สร้างอาชีพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ของประชาชนในพื้นที่ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

ภาพ/ข่าว  กรียา  (นราธิวาส)

บุรีรัมย์มาราธอน 2021 เปิดประวัติศาสตร์ใหม่ ! วิ่งไนท์รัน-วิถีใหม่ “สัญชัย” ครองถ้วยพระราชทานอีกสมัย

บุรีรัมย์สว่างไสวไปทั้งเมือง นักวิ่งกว่า 2.1 หมื่นคน ร่วมวิ่งไนท์รัน-นิวนอร์มอลครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่  “สัญชัย นามเขต” ดีกรีเหรียญเงินซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ฟิลิปปินส์ รักษาแชมป์คนไทยพร้อมคว้าถ้วยพระราชทานไปครอง แม้จะพ่าย คู่แข่งเซอร์เก ซีรียานอฟ จากรัสเซีย ในการวิ่งมาราธอนแบบเฉียดฉิวใน 1 กม.สุดท้าย

การแข่งขันวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน พรีเซนเต็ด บาย เครื่องดื่มตราช้าง ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “YOUR ULTIMATE DESTINATION-สวรรค์ของนักวิ่ง” ปีที่ 5 เป็นการแข่งขันวิ่งไนท์รันครั้งแรก ในรูปแบบนิวนอร์มอล ซึ่งออกสตาร์ท ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ และเข้าเส้นชัย ที่สนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขัน ร่วมด้วย นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้บริหารจากภาครัฐและผู้ให้การสนับสนุนมากมาย โดยมีนักวิ่ง เข้าแข่งกว่า 21,000 คน

สำหรับ ผลการแข่งขัน ระยะมาราธอน 42.195 กิโลเมตร ผู้ที่เข้าเส้นชัยคนแรก ฝ่ายชาย ได้แก่ เซอร์เก ซีรียานอฟ ปอดเหล็กจากรัสเซีย ทำเวลาได้ 2.35.01 ชม.ที่ 2 สัญชัย นามเขต ดีกรีเหรียญเงินซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ฟิลิปปินส์ ทำเวลาได้ 2.36.32 ชม.ได้รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ส่วนที่ 3 ธนาทิพย์ ดีฉิม ทำเวลาได้ 2.47.47 ชม.

ฝ่ายหญิง แชมป์ ระเบียง รังเพีย ทำเวลาได้ 3.14.57 ชม. ที่ 2 พิณทุอร วีระสมเกียรติ ทำเวลาได้ 3.15.19 ชม. ที่ 3 ลินดา จันทะชิด ทำเวลาได้ 3.26.02 ชม.

ระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร ที่ 1 “บิ๊ก” ณัฐวุฒิ อินนุ่ม คู่แฝดทีมชาติชุดซีเกมส์ ทำเวลาได้ 1.11.48 ชม.ที่ 2 “เฟรม” ชยพล บุญอุปละ 1.12.17 ชม. ที่ 3 ส.ต.ต.ปฏิการ เพชรศรีชา ทีมชาติ 1.18.26 ชม. ฝ่ายหญิง แชมป์ “ฝน” ณัฐธยาน์ ธนรณวัฒน์ อดีตทีมชาติไทย ทำเวลาได้ 1.26.55 ชม. ที่ 2 อรอนงค์ วงศ์ศร ทำเวลาได้ 1.27.38 ชม. ที่ 3 อรนุช เอี่ยมเทศ 1.30.11 ชม.

ระยะมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ฝ่ายชาย ที่ 1 “เบล” ณัฐวัฒน์ อินนุ่ม แฝดผู้น้อง ทำเวลาได้ 32.02 น. ที่ 2  จาตุรนต์ เขื่อนแก้ว ทำเวลาได้  33.07 น. ที่ 3 จูเลียส มูไต ทำเวลาได้ 33.38 น. ฝ่ายหญิง ที่ 1 ศรัญญา บัวไพร 38.00 น. ที่ 2 ปารียา สนเส็ม 38.38 น. ที่ 3 อริสรา 38.52 น.

สัญชัย นามเขต เปิดเผยว่า “สำหรับวิ่งบุรีรัมย์ มาราธอน ปีนี้ลงแข่งรายการนี้ รูปแบบไนท์รันครั้งแรก ทำสถิติไม่ดี โดยสถิติวิ่งล่าสุด เคยทำได้ 2.12 ชม. ส่วนการจัดงานรูปแบบไนท์รันเป็นมิติใหม่ แสงสีเสียง เรื่องอากาศร้อน ทางคนจัดการแข่งขันดูแลดีมาก มีการฉีดน้ำ แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องสภาพอากาศ ที่บังคับไม่ได้

สำหรับโปรแกรมทีมชาติช่วงนี้ ยังไม่มีโปรแกรมแข่งขัน เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีเพียงรอแข่งซีเกมส์ปลายปีนี้ ถ้าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สงบ อาจจะไปแข่งวิ่งที่ บอสตันและเบอร์ลิน

ด้าน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ถือว่า เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวิ่งบุรีรัมย์มาราธอน ในการแข่งขันทุกๆ ปี จะวิ่งตอนเช้า แต่ปีนี้เนื่องจากเลื่อนการแข่งขันมาเป็นเดือนมี.ค. ทำให้ปีนี้ จัดวิ่งตอนค่ำ ถือเป็นมิติหนึ่งของวงการมาราธอน เป็นตัวอย่าง สำหรับรายการอื่นๆ ของการแข่งขันวิ่งมาราธอน

 “รายการนี้ประชาชนบุรีรัมย์ให้การร่วมมือ ในการจัดการแข่งขันมาราธอนอย่างดี และให้กำลังใจนักกีฬาที่วิ่งในการแข่งขันตามจุดต่างๆ แม้ว่าจะไม่มีนักกีฬาต่างชาติ จะมีแต่นักกีฬาต่างชาติที่อยู่เมืองไทย ความสวยงามของแสง สีเสียง และมีชาวบุรีรัมย์มาเชียร์นักวิ่ง เป็นต้นแบบของการวิ่งมาราธอนแบบนิว นอร์มอล มีการเว้นระยะห่างตอนออกสตาร์ท ชุดละ 2 นาที ของแต่ละรุ่น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย จัดการแข่งขันอย่างยิ่งใหญ่ในระดับซิลเวอร์ ถ้าในปีต่อไปมีนักกีฬาต่างชาติ มั่นใจว่าบุรีรัมย์จะไปถึงในระดับโกลด์แน่นอน

“รายการนี้ ช่วยให้เศรษฐกิจสะพัด จากนักวิ่งกว่า 21,000 คน ส่วนใหญ่ขับรถพาครอบครัวมาเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นำร่องเป็นตัวอย่างการจัดการแข่งขันสำหรับจังหวัดอื่น ว่าจะสามารถจัดการแข่งขันแบบนี้ได้หรือไม่ ถ้าจัดในกทม ต้องปิดถนน ทำให้ไม่สะดวก แต่ถ้าแข่งแบบไนท์รัน จะปิดถนนตอนกลางคืน ทำให้สะดวกกว่า จริงๆ ถ้านักวิ่งฉีดวัคซีน เราจะมีนักวิ่งอีลิทมาแข่ง ได้ในการวิ่งรายการต่างๆ พร้อมประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าไทยสามารถจัดการแข่งขันได้ ประมาณปลายปี นี้ จะมีนักวิ่งต่างชาติเดินทางมาแข่งขันได้แน่นอน”

ใบไม้แลกเงิน เชียงใหม่ผุดไอเดียขายใบไม้โลละ 2 บาท นำร่อง 34 หมู่บ้าน หวังช่วงลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

สมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่เกิดขึ้น ทางศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปันหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ได้หาทางจัดการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการชิงเผา การบริหารจัดการเชื้อเพลิง การเฝ้าระวังและจัดเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟป่า แต่ในปีนี้ มีไฮไลท์สำคัญ เพราะนอกเหนือจากการเฝ้าระวังไฟป่าแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงินได้จริ

ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวได้ดำเนินการนำร่องไปแล้วทั้งหมด 34 หมู่บ้าน ในอำเภอต่าง ๆ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใบไม้ที่นำมานั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นใบไม้ที่มาจากพื้นที่ป่า แต่เป็นใบไม้ที่ถูกจัดเก็บมาจากพื้นที่การเกษตรก็ได้ เช่น สวนลำไย นาข้าวและอื่น ๆ เมื่อได้ใบไม้มาเป็นจำนวนมากตามที่ต้องการ ก็เข้าสู่กระบวนการอัดให้เป็นก้อน ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นก็นำไปจำหน่ายที่จุดรับซื้อ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บัญชาการฯ หมายเลขโทรศัพท์ 053-112808

สำหรับใบไม้ที่นำมาจำหน่ายจะมีมูลค่ากิโลกรัมละ 2 บาท โดยเริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 - 24 มีนาคม 2564 ขณะนี้ได้ใบไม้อัดแท่งแล้วจำนวน 16.69 ตัน และมีความต้องการของบริษัทฯ ผู้รับซื้อสูงถึงจำนวน 50 ตัน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ที่หาได้ ซึ่งการรับซื้อใบไม้ดังกล่าว ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงนี้ และยังเป็นการลดเชื้อเพลิงที่จะถูกเผาในพื้นที่ป่า ลดเชื้อเพลิงจากพื้นที่การเกษตร และจากการเผาของชาวบ้านในแหล่งชุมชน ที่จะส่งผลทำให้เกิดมลพิษในอากาศ เมื่อสะสมจำนวนมากก็จะทำให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานด้วย

ทั้งนี้หากในอำเภออื่น ๆ นอกเหนือจาก 34 หมู่บ้าน ต้องการดำเนินการรับซื้อขายใบไม้ก็สามารถทำได้ โดยสามารถอัดให้เป็นก้อนและนำมาจำหน่ายได้เช่นกัน หรือหากใครไม่มีเครื่องอัดใบไม้ ก็ให้นำใบไม้ใส่ไว้ในกระสอบ ใส่ถุง หรือบรรทุกด้านหลังรถยนต์กระบะ แล้วเดินทางไปพบกับเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ โดยปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ มีเครื่องอัดใบไม้ให้บริการจำนวน 2 เครื่อง และจะหมุนเวียนไปตามแต่ละอำเภอ เพื่อให้บริการกับพี่น้องประชาชน เมื่อบีบอัดใบไม้และมีการชั่งน้ำหนักที่จุดดังกล่าวแล้ว ก็จะได้รับเงินตามจำนวนใบไม้ที่นำมา

.

ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/local/462015?fbclid=IwAR2DDbOkrwDZev4V4lPkZfGRyYzC33AMRiLfU2EiKmJsr_UfvtZRFZyUveQ


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หรือ KMITL ผนึกต่างชาติ เปิดตัว ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันโปรแกรมเมอร์แห่งแรกของไทย และแห่งที่ 3 ของเอเชีย ใต้แนวคิดเก๋ ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ เร่งผลักดันนโยบาย ‘ส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์’ (Coding) ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยนวัตกรรม (Digital Disruption) ที่มุ่งปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อีกทั้งสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานยุคดิจิทัลได้เต็มศักยภาพ สู่การมีทักษะสำคัญอย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล คิดเชิงคณิตศาสตร์ และการแก้ไขปัญหาอย่างมีหลักการ 
.
โดย สจล. ถือเป็นต้นสถาบันการศึกษาแห่งอนาคตของไทย ที่มีหัวคิดทันสมัยและปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ภายใต้ความร่วมมือของ ‘เอกอล 42’ (Ecole42) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับโลก เพื่อพัฒนาคนคุณภาพด้านโปรแกรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล อันสอดรับกับนโยบายดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม 
.
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล. เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสของการมี ‘ซุปเปอร์โปรแกรมเมอร์’ เนื่องจากอาชีพดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์อาชีพที่เป็นที่ต้องการจากทุกองค์กรทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล 
.
ดังนั้น การจัดตั้ง ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับหัวกะทิ แห่งแรกอาเซียน และที่ 3 ของเอเชีย ถือเป็นสนามปั้นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ ระดับซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) ภายใต้มาตรฐานการสอนเดียวกับสถาบันต้นกำเนิดจากกรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ฉีกทุกกฎการเรียนรู้แบบไร้ข้อจำกัด ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’ นับเป็นจุดเปลี่ยนแรกของการศึกษาไทย ที่เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดโลกการทำงานระดับสากล ภายใต้เครือข่ายเอกอล 42 ทั่วโลก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะรูปแบบการสอนเดิมเท่านั้น แต่สามารถก้าวสู่โลกการทำงานสายดิจิทัลได้อย่างมืออาชีพ ตอกย้ำการเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง (Change Maker) ของ สจล. อย่างแท้จริง
.
ด้าน ผศ.ดร.ชัยยันต์ เจตนาเสน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ Executive Director of 42 Bangkok กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘42 บางกอก’ มีการเรียนการสอนในรูปแบบ Project Based Learning ที่เน้นการเรียนรู้จริงปฏิบัติเป็น และแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ผ่านการฝึกคิดแก้โจทย์จริงจากภาคธุรกิจชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์-เทคโนโลยี แบบเป็นขั้นตอน ซึ่งจะไต่ระดับจากง่ายไปยากใน 21 ระดับ โดยการเรียนในระยะแรก ผู้เรียนจะต้องเรียนการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และเมื่อเลื่อนขั้นแล้ว ผู้เรียนจะสามารถเลือกทำโปรเจกตามความสนใจ ซึ่งในบางระดับต้องไปฝึกงานเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในสนามจริง
.
ทั้งนี้ เมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จในแต่ละระดับ จะมีคะแนนสะสมเพื่อขอเลื่อนขั้นในระดับต่อไปได้ จนกระทั่งจบการศึกษาภายในระยะเวลา 2-4 ปี เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริง โดยจะปูพื้นฐานด้วยภาษา C และ C++ พร้อมเพิ่มพูนทักษะด้วย Python Javascript เพื่อสร้างเว็บไซต์ หรือกระทั่งทำงานออกแบบเว็บไซต์ (Design) ให้มีฟังก์ชันที่รองรับการงานรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
“เพราะการเรียนที่ 42 บางกอก เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีอาจารย์สอน ไม่กำหนดเวลาเรียน ดังนั้น กระบวนการคัดเลือกผู้เรียนจึงมีการทดสอบแบบเข้มข้นใน 3 ด่านสำคัญ คือ ทดสอบออนไลน์ (Online Test) เพื่อวัดว่ามีตรรกะด้านการเขียนโปรแกรม ยืนยันสิทธิ์ (Check In) และ ด่านสุดท้าย ทำค่ายโปรเจก เวิร์คชอป (Piscine) การทำงานร่วมกันเป็นทีมแบบ 24/ 7 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่าการเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี ในคณะสายคอมพิวเตอร์ สำหรับในรอบนี้จะคัดเลือกในแต่ละกลุ่มเพียง 150 คน เพื่อเป็นนักศึกษาตัวจริงที่จะได้เรียนใน 42 บางกอก” ผศ.ดร.ชัยยันต์ กล่าว
.
สำหรับคุณสมบัติของผู้เรียนค่อนข้างเปิดกว้าง โดยเป็นบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศ มีอายุอย่างน้อย 18 ปี ไม่ต้องมีวุฒิการศึกษาหรือเคยเรียนเขียนโปรแกรมมาก่อน ขณะเดียวกัน คนที่กำลังศึกษาด้านอื่นหรือทำงานอยู่ก็สามารถเรียนควบคู่ไปได้ และเมื่อเข้ามาเรียนได้ก็สามารถกำหนดรูปแบบการเรียนด้วยตนเองได้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน 42 บางกอก อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้เรียนเข้าศึกษาต่อในเทอมแรก ซึ่งมีผู้สมัครจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่า 1,600 คน ครอบคลุม 81 ประเทศ โดยจะเริ่มเรียนในเดือน กรกฎาคม 2564 
.
ใครสนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ www.42bangkok.com หรือติดต่อ สำนักงานกิจการต่างประเทศ สจล. โทรศัพท์ 02-329-8140 เว็บไซต์ https://oia.kmitl.ac.th, www.kmitl.ac.th หรือ https://m.facebook.com/42Bangkok/
.
ที่มา: https://techsauce.co/news/kmitl-open-42-bangkok-thailand-first-programmer-institute?fbclid=IwAR0Iig2VvOpjYrLGfj5OKuolswfdisBuBGnkcU2apg_CFDDqdC-hLcnfSr0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ตั้งเป้า 2 ปี ดันประเทศไทยติด 1 ใน 10 “ดูอิ้ง บิสเนส”

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับทุกส่วนราชการเพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (ดูอิ้ง บิสเนส) โดยได้ตั้งเป้าหมายการทำงานภายในปี 65 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องติด 1 ใน 10 ประเทศแรกของโลกที่ได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการจัดตั้งธุรกิจตามการจัดอันดับของธนาคารโลกให้ได้ จากปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 21 จากการจัดอันดับประเทศสมาชิกของธนาคารโลก ทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก  

“ได้สั่งการในเรื่องของการเชื่อมโยงระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ ในส่วนที่เป็นเนชั่นแนล ซิงเกิล วินโดว์ ที่ได้วางระบบไว้แล้วของทุกส่วนให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้จริงภายในเดือน กันยายนนี้ เพื่อให้ขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง มีความรวดเร็วมากขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ เช่นระบบศุลกากร ที่จะต้องขับเคลื่อน โดยจากการรับทราบข้อมูลก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง จึงได้มีการเร่งรัดงานทุกด้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ด้วย”

สำหรับการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ที่เป็นการปฏิรูปการทำงานในเรื่องของการทำธุรกิจในประเทศไทย แบ่งเป็น 11 ด้าน คือ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการขอใช้ไฟฟ้ายกเลิกการเรียกเก็บหลักประกันการใช้ไฟฟ้าจากผู้ขอใช้ไฟฟ้ารายใหม่ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ด้านการชำระภาษี ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงโดยเพิ่มช่องทางการเข้าซื้อทรัพย์ของกรมบังคับคดี หรือสำนักงานบังคับคดีจังหวัดหรือสาขา ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย และด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

สำนักงาน ปปง. เทขายทอดตลาดทรัพย์สิน ครั้งที่ 7/2564 และครั้งที่ 10/2564

ในวันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารสำนักงาน ปปง. เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่เขตปทุมวันกรุงเทพมหานคร ซึ่งในการขายทอดตลาดทรัพย์สินครั้งนี้จะทำการขายทอดตลาดทรัพย์สินประเภทที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทองรูปพรรณ และเครื่องประดับ รวม 56 รายการ โดยรายการทรัพย์สินที่จะทำการขายทอดตลาดที่น่าสนใจ ดังนี้

การขายทอดตลาดครั้งที่ 7/2564 จะดำเนินการในเวลา 10.00 น. เป็นทรัพย์สินประเภทที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 1 รายการ (7 แปลง) ราคาเริ่มต้น 8,100,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 102378 เลขที่ดิน 375 หน้าสำรวจ 6324 เนื้อที่ 2 งาน 21 ตารางวา
2.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 104780 เลขที่ดิน 401 หน้าสำรวจ 7123 เนื้อที่ 19 ตารางวา
3.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 104781 เลขที่ดิน 402 หน้าสำรวจ 7122 เนื้อที่ 19 ตารางวา
4.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 104782 เลขที่ดิน 403 หน้าสำรวจ 7123 เนื้อที่ 19 ตารางวา
5.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 104783 เลขที่ดิน 404 หน้าสำรวจ 7124 เนื้อที่ 18 ตารางวา
6.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 104784 เลขที่ดิน 405 หน้าสำรวจ 7125 เนื้อที่ 18 ตารางวา
7.) ที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 50290 เลขที่ดิน 55 หน้าสำรวจ 3247 เนื้อที่ 1 งาน 66 ตารางวา ตำบลนาฝาย อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ

การขายทอดตลาดครั้งที่ 10/2564 จะดำเนินการในเวลา 10.30 น. เป็นทรัพย์สินประเภททองรูปพรรณและเครื่องประดับ จำนวน 55 รายการ อาทิเช่น
1.) สร้อยคอทองคำลายผ่าหวาย น้ำหนัก 77.5 กรัม จำนวน 1 เส้น ราคาเริ่มต้น 201,400 บาท
2.) สร้อยคอทองลายกระดูกงู น้ำหนัก 76 กรัม จำนวน 1 เส้น ราคาเริ่มต้น 121,400 บาท
3.) สร้อยคอทองคำลายเส้นลวด น้ำหนัก 48.5 กรัม จำนวน 1 เส้น ราคาเริ่มต้น 85,700 บาท
4.) สร้อยข้อมือทองลายห่วงซ้อนพร้อมหัวใจทองฉลุลาย จำนวน 1 เส้น จำนวน 1 เส้น ราคาเริ่มต้น 82,800 บาท
5.) สร้อยข้อมือทองลายตีนตะขาบ น้ำหนัก 45.5 กรัม จำนวน 1 เส้น ราคาเริ่มต้น 72,800 บาท
6.) แหวนทองประดับทับทิมล้อมเพชร น้ำหนัก 11 กรัม จำนวน 1 วง ราคาเริ่มต้น 40,000 บาท
7.) แหวนทองรูปหัวใจคู่ น้ำหนัก 7.5 กรัม จำนวน 1 วง ราคาเริ่มต้น 12,100 บาท
8.) ต่างหูทองรูปถุง น้ำหนัก 11.5 กรัม จำนวน 1 คู่ ราคาเริ่มต้น 18,450 บาท
9.) ต่างหูทองแบบพับรูปเกือกม้า น้ำหนัก 10 กรัม จำนวน 1 คู่ ราคาเริ่มต้น 16,200 บาท
10.) จี้ทองรูปหัวใจ น้ำหนัก 11.5 กรัม จำนวน 1 อัน ราคาเริ่มต้น 18,100 บาท

หมายเหตุ : ราคาเริ่มต้นทรัพย์สินที่เป็นทองรูปพรรณและทองคำแท่งตามราคาข้างต้นเป็นการกำหนดราคาเริ่มต้น ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563 โดยอาศัยหลักเกณฑ์ราคารับซื้อทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำในวันพิจารณากำหนดราคาเริ่มต้นเป็นเกณฑ์ หากราคารับซื้อทองคำแท่งของสมาคมทองคำเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงในวันขายทอดตลาดทรัพย์สิน คณะกรรมการขายทอดตลาดอาจกำหนดราคาเริ่มต้นของทรัพย์สินที่เป็นทองรูปพรรณใหม่ ตามราคารับซื้อทองคำแท่งที่สมาคมค้าทองประกาศในวันดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินรายการนั้น 

ในกรณีทรัพย์สินเป็นทองคำแท่งให้คณะกรรมการขายทอดตลาดปรับราคาตามราคารับซื้อทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำ ในวันขายทอดตลาดทรัพย์สินประกอบคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญผู้ที่ประสงค์เข้าสู้ราคาการขายทอดตลาดทรัพย์สินทั้ง 2 ครั้ง สามารถติดต่อขอดูสภาพทรัพย์สินได้ ในวันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564 เวลา 09.30 – 16.00 น. ตามสถานที่ ดังนี้

การขายทอดตลาดทรัพย์สิน ครั้งที่ 7/25 C ที่ดินโฉนดเลขที่ 102378, 104780 – 104784 และ 50290 ตำบลนาฝาย อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ และการขายทอดตลาดทรัพย์สิน ครั้งที่ 10/2564ืC สำนักงาน ปปง. เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร หรือทางเว็บไซต์ www.amlo.go.th ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ปปง. หรือสายด่วน ปปง. 1710

หมายเหตุ : สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ขอความร่วมมือผู้ที่ประสงค์จะขอดูสภาพทรัพย์สินและเข้าร่วมการขายทอดตลาดฯ โปรดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ของสำนักงาน ปปง. อย่างเคร่งครัด

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) คว้าแชมป์อันดับ 1 ผู้นำการให้บริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการครบวงจร จากผลการประเมินการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจปี 2563 สาขาสาธารณูปการ ด้วยคะแนน 4.4221

ลั่นเดินหน้าพัฒนาองค์กรและสร้างบุคลากรทุกระดับ เน้นสร้างมิติใหม่ให้กับงานบริการที่เป็นเลิศผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย!

นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปี 2563 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ได้พัฒนาต่อยอดระบบประเมินผลสำหรับใช้ประเมินในทุกรัฐวิสาหกิจ ซึ่งประกอบด้วย

1.) การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนยุทธศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

และ 2) ผลการดำเนินงานที่สำคัญ (Key Result) และงานตามภารกิจหลัก (Core Business Enablers) ทั้ง 8 ด้าน ได้แก่

- การกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร

- การวางแผนเชิงกลยุทธ์

- การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน

- การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและลูกค้า

- การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล

- การบริหารทุนมนุษย์

- การจัดการความรู้และนวัตกรรม

- และการตรวจสอบภายใน

โดย กนอ.อยู่ในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจ สาขาสาธารณูปการ จากทั้งหมด 9 สาขา ประกอบด้วย สาขาขนส่ง / สาขาอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม / สาขาสาธารณูปการ / สาขาสังคมและเทคโนโลยี / สาขาสถาบันการเงิน / สาขาเกษตร / สาขาทรัพยากรธรรมชาติ สาขาสื่อสาร และสาขาพลังงาน ซึ่งคะแนนประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ปี 2563 (ณ วันที่ 24 ก.พ.2564) ปรากฏว่า กนอ. ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในสาขาสาธารณูปการ โดยได้คะแนน 4.4221 หากเทียบกับรัฐวิสาหกิจอื่น โดยพิจารณาจากคะแนนรวม กนอ. จัดอยู่ในอันดับที่ 3

“การดำเนินงานของ กนอ.มุ่งมั่นพัฒนาและให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจรในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตอบสนองกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานตามภารกิจและความต้องการของผู้ใช้บริการในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล

รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ภายใต้การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กนอ.บรรลุเป้าหมายของการเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำของประเทศ” นางสาวสมจิณณ์ พิลึก กล่าว

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล ถือเป็นโอกาสและความท้าทายของ กนอ.ในการพัฒนาองค์กรและสร้างบุคลากรทุกระดับ เน้นสร้างมิติใหม่ให้กับงานบริการที่เป็นเลิศผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยเป้าหมายหลักของ กนอ.คือการก้าวสู่องค์กรและนิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบดิจิทัล (Digital) เต็มรูปแบบ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า คู่ค้า รวมทั้งยกระดับมาตรฐานการให้บริการสู่สากลทั้งการให้บริการระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทุกกลุ่ม

“การนำระบบดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของ กนอ.ทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีไปยังทุกภาคส่วน และนอกจากเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันแล้ว ยังสร้างความมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคม และสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ด้วย” ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวปิดท้าย


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ผู้ลี้ภัยสงครามหลบหนีเข้าไทยกว่า 2,000 คน ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ด้านกองทัพเมียนมาโจมตีทางอากาศรอบที่ 2 ทหารกะเหรี่ยงตาย 1 เจ็บ 2 ราย ด้านจังหวัดรอคำสั่งจากรัฐฯให้เข้าไปช่วยเหลืออย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหน่วยข่าวความมั่นคงของไทย ได้รายงานว่ามีชาวเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงในเขตรับผิดชอบของกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ (เคเอ็นยู) ได้อพยพหลบหนีภัยสงคราม จากรัฐกะเหรี่ยง จำนวน 1,900 คน เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ฐานออเลาะ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 300 คน , มาจากห้วยอูแวโกร พื้นที่พักพิงของเมียนมา เข้ามาอาศัยในไทย ที่บ้านแม่ดึ หมู่ 5 ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง 300 คน , มาจากห้วยอีทูโกร เขตเมียนมา เข้ามาอาศัยในไทยที่ฐานแม่สะเกิบ บ้านห้วยกองแป หมู่ 3 ต.แม่คง จำนวน 1,300 คน รวมได้มีผู้อพยพเข้ามาอาศัยในไทย ในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง ปัจจุบัน จำนวน 2,194 คน

ต่อมากองทัพอากาศของเมียนมา ได้ส่งเครื่องบิน แบบ JF 17 ที่ผลิตในประเทศจีน จำนวน 4 ลำ จากฐานบินเมืองตองอู เข้าโจมตีฐานที่มั่นของกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ ฐานชิกอท่า ที่ตั้งกองบัญชาการหน่วยรบพิเศษ กองพลน้อยที่ 5 ตรงข้าม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ทำให้ทหารกะเหรี่ยง เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 2 ราย

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยถึงสถานการณ์เกี่ยวกับผู้อพยพว่า สถานการณ์ในประเทศเมียนมา ได้เริ่มรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้อพยพหลบหนีเข้ามาอาศัยในไทย ล่าสุด จำนวน 2,194 คน และคาดว่าน่าจะมีการหลบหนีเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางจังหวัดจะต้องรอคำสั่งจากรัฐบาลในเรื่องการเข้าไปดูแลผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้มีการวางแผนเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ที่ อ.ขุนยวม แต่เป็นพื้นที่คนละจุดกัน ซึ่งตอนนี้ผู้อพยพดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารพรานจากกรมทหารพรานที่ 36 แม่สะเรียง จัดกำลังเข้าไปควบคุมดูแลในเบื้องต้นแล้ว

โดยแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ระบุว่า ตอนนี้ทางฝ่ายปกครองยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้อพยพที่ชัดเจน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นเขตรับผิดชอบของทหารและมีการห้ามหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง เข้าไปดูแลผู้อพยพเหล่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top