Monday, 7 July 2025
TheStatesTimes

'นายกตุ้ย'​ ล่ามือบอน!!​ พ่นสเปรย์โซนหาดวอนนภา ย้ำ!! ต้องช่วยกันรักษามากกว่าทำลาย

(13 มี.ค.65) นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม หรือ นายกตุ้ย นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข จ.ชลบุรี ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'ณรงค์ชัย (ตุ้ย) คุณปลื้ม'​ ระบุว่า...

"อยากหาเรื่องดีๆ มาลงบ้างแต่ก็ไม่ได้เลย บางแสนของพวกเรา ถูกทำร้ายด้วยคนหนักแผ่นดินเสมอมา ไม่เว้นแต่ละวัน กำลังจะตามล่าต่อไป คนชั่วต้องไม่ลอยนวล  ลงทุนทำหาดวอนไว้ให้สวยๆ แล้ว น่าจะช่วยกันรักษามากกว่านะครับ" พร้อมภาพที่มีผู้ใช้สีสเปรย์ พ่นใส่ขอบปูนริมหาดเป็นภาษาอังกฤษ

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่หาดวอนนภา บริเวณจุดนั่งชมวิว ซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยมากันเป็นจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ เทศกิจเทศบาลเมืองแสนสุข มาดูพื้นที่ พบนายสุภาพ วงษ์สวรรค์ อายุ 63 ปี ผู้ประกอบการร้านค้าหาดบางแสน ได้กล่าวว่า ควรช่วยกันรักษาความสะอาด ยิ่งขยะ เช่น ขวดเหล้า ขวดเบียร์ ถุงพลาสติก ที่ทิ้งเกลื่อนด้วยความมักง่ายยิ่งไม่น่าทำ ถังขยะที่เทศบาลเมืองแสนสุข เอามาตั้งไว้มีทุกระยะ เดินเอาไปทิ้งก็จะเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว

14 มีนาคม ของทุกปี ตรงกับวัน ‘White Day’ ของญี่ปุ่น วันมอบของแทนใจจากฝ่ายชายสู่ฝ่ายหญิง

ถ้าพูดถึงเทศกาลสำคัญที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ และช็อกโกแลต เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงต้องนึกถึงวันวาเลนไทน์ แต่ว่าในประเทศญี่ปุ่นเอง กลับมีวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ และช็อกโกแลต ไม่ต่างไปจากวันวาเลนไทน์ นั่นก็คือวัน ‘White Day’ ของชาวญี่ปุ่น

โดยตามธรรมเนียมญี่ปุ่น ในวันวาเลนไทน์มักเป็นวันที่ฝ่ายหญิงมอบของขวัญให้แก่ฝ่ายชาย ดังนั้น อีก 1 เดือนถัดมา ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ก็จะเป็นวันที่ฝ่ายชายจะได้ให้ของขวัญกลับแก่ฝ่ายหญิง ซึ่งดูเป็นเทศกาลแสดงความรักที่แสนน่ารักอีกเทศกาลหนึ่ง

แต่รู้หรือไม่ว่าเทศกาล ‘White Day’ จริง ๆ แล้วมีที่มา ที่ไปอย่างไร?

จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1977 ทางบริษัทขนม อิชิมุระ มันเซโดะ ในจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการตลาดเพื่อโปรโมทสินค้า ‘มาร์ชเมลโล’ โดยมุ่งเป้าไปที่ ‘กลุ่มเพศชาย’ ซึ่งการตลาดนี้ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นกระแสที่ทำให้เกิด ‘วันมาร์ชเมลโล’ ขึ้น 

‘วันสิทธิผู้บริโภคสากล’ วันสำคัญที่มีขึ้นเพื่อเตือนให้ผู้บริโภคทุกคนตระหนักถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง

15 มีนาคมของทุกปี เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่มีขึ้นเพื่อเตือนให้ผู้บริโภคทุกคนตระหนักถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเคารพและปกป้องสิทธิของผู้บริโภคทุกคนอย่างทั่วถึงทั้งโลก ซึ่งต่างเรียกวันนี้ว่า ‘วันสิทธิผู้บริโภคสากล’ หรือ ‘World Consumer Rights Day’

โดยจุดเริ่มต้นของวันสิทธิผู้บริโภคสากล เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1962 โดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็นผู้บัญญัติวันสำคัญสากลนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อว่า Consumer Right Day โดยได้รับการรับรองจากสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International)

แม้ว่าการเกิดขึ้นครั้งแรกอาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ในวันที่ 15 มีนาคม ปี ค.ศ. 1983 ได้มีการจัดแคมเปญนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยจัดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรม และเผยแพร่ความสำคัญของวันสิทธิผู้บริโภคสากลตามสื่อต่างๆ เท่าที่จะทำได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วันที่ 15 มีนาคมของทุกปี จึงกลายเป็น ‘วันสิทธิผู้บริโภคสากล’

ซึ่งในประเทศไทยเองก็ให้ความสำคัญ กับสิทธิผู้บริโภคไม่แพ้กัน โดยเห็นได้จากร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559 ก็ได้บัญญัติถึงสิทธิของผู้บริโภคไว้ในมาตรา 46 ว่า "สิทธิของผู้บริโภค ย่อมได้รับความคุ้มครอง บุคคลย่อมมีสิทธิร่วมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค

องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิร่วมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้ง อำนาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
 

Good Morning THE STATES TIMES | ประจำวันที่ 12 มีนาคม 2565

เช้านี้มีอะไรอัปเดต!!
#GoodMorningTHESTATESTIMES
ประจำวันที่ 12 มีนาคม 2565

พบกับประเด็นข่าวน่าลิงก์ Good Morning THE STATES TIMES
ข่าวยามเช้าที่จะมาสแตนบาย ทุกวันอังคาร-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 5.00 น. เป็นต้นไป
โดย ปริม-กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา

.

.

'กอบศักดิ์' วิเคราะห์ สหรัฐฯ ใช้ 'นิวเคลียร์เศรษฐกิจ' ต้อนรัสเซียให้จนมุม หวังตัดกำลังพัฒนากองทัพ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

"นิวเคลียร์เศรษฐกิจ" 

อาวุธใหม่ที่พัฒนาขึ้น ระหว่างการทำสงครามกับรัสเซีย
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซีย คือ การนำ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในอดีต เวลาเกิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ใดๆ ก็จะมีการนำนโยบาย Sanctions มาใช้ เพื่อลงโทษประเทศที่ก่อปัญหา 
แต่สิ่งที่แตกต่างรอบนี้ ก็คือ ระดับความเข้มข้นของนโยบาย ทั้งจาก จำนวน กลุ่มประเทศที่เข้าร่วม และความรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ รัสเซียได้กลายเป็นประเทศที่ถูก Sanction เยอะที่สุดของโลก ด้วยมาตรการกว่า 3,000 อย่าง!!!! จากประเทศหลักๆ มากกว่า 40 ประเทศ
หลายมาตรการ ต้องบอกว่า เป็นมาตรการไม่ปกติ 

เช่น ยึดเงินสำรองระหว่างประเทศ สั่งไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินด้วย ไม่ให้ระดมทุน ไม่ให้ใช้ระบบการชำระเงิน ยึดสินทรัพย์ ไม่ซื้อสินค้า เร่ง Exit ออกจากธุรกิจและการลงทุนต่างๆ  รวมไปถึง ห้ามใช้เทคโนโลยีทางการทหารและดิจิทัล ที่สหรัฐและโลกตะวันตกพัฒนา

ทั้งหมดนี้ เป็นการนำ "ระบบการค้าและระบบการเงินของโลกตะวันตก" มาเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้ เพราะตลาดการค้าของโลกตะวันตกมีขนาดประมาณ 70% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นระบบหลักที่ควบคุมการไหลเวียนของการเงินโลกมากกว่า 90% 

(1) ในเชิงการค้า ถ้ารัสเซียถูกตัดออกจากระบบดังกล่าว ก็จะเท่ากับว่า "ถูกปล่อยเกาะ" ให้รัสเซียต้องสู้ด้วยตัวเอง ผลิตสินค้า พัฒนาสินค้าต่างๆ โดยอาศัยรัสเซียและเพื่อนของรัสเซียเท่านั้น ไม่มีคนช่วยผลิต ไม่มีตลาดขนาดใหญ่มารองรับ
กลไกการแบ่งงานกันทำ กลไกการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เคยเป็นหัวใจหลักที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้กับระบบการผลิตของรัสเซีย จะถูกทำลายลงไปในพริบตา 

หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ถ้าเราเคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เอารายได้ไปซื้อของอื่นๆ มาใช้ มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่วันหนึ่ง ทุกคนไม่ยอมมายุ่งกับเรา ต้องทำก๋วยเตี๋ยวกินเอง และผลิตทุกอย่างใช้เอง ตั้งแต่สบู่ ยาสีฟัน ขนม อาหารต่างๆ ... ประสิทธิภาพของการทำงานจะลดลงแค่ไหน และชีวิตจะลำบากขึ้นแค่ไหน 

(2) ในเชิงการเงิน การถูกขับให้ออกจากระบบการเงินโลก ไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT ไม่ให้ชำระเงินผ่านระบบธนาคารของสหรัฐและพันธมิตร การไม่ให้ระดมเงิน รวมไปถึงการ Freeze สินทรัพย์ทุกอย่าง เป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซียออกไป 
ทั้งหมดเพื่อให้เกิด Financial System Meltdown ในรัสเซีย

ไม่น่าแปลกใจ ผลที่ตามมา ค่าเงินรัสเซียอ่อนลงไปครึ่ง จาก 70 เป็น 130 รูเบิล/ดอลลาร์ คนรัสเซียที่เคยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของตน เงินหายไปอย่างน้อย 70-80% (จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถเปิดตลาดหลักทรัพย์ได้) ธนาคารพาณิชย์ถูกแห่ถอนเงิน บริษัทหลายแห่งกำลังจะมีปัญหา

นอกจากนี้ สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ (ETF ต่างๆ) ถูกระงับการซื้อขาย พันธบัตรรัสเซียถูก Downgrade จนเป็น Non-investment grade หรือ Junk Bonds และต่อไปคงไม่ผิดการชำระหนี้ได้

ล่าสุด การไล่ล่าทางการเงิน กำลังจะไปถึงการประกาศห้ามไม่ให้ค้าขายทองคำกับรัสเซีย ที่รัสเซียได้สะสมเอาไว้มากกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมา 

(3) สุดท้าย สหรัฐและ NATO มุ่งจะตัดรัสเซียออกจาก "ระบบนวัตกรรมโลก" 
เรื่องนี้ แม้ดูว่าไม่น่ามีผลมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเท่ากับว่า กีดกันให้รัสเซียต้องไปคิดค้นทุกอย่างเอง ไม่ให้ใช้เทคโนโลยีที่โลกตะวันตกร่วมกันพัฒนา
โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ การทหาร การบิน การเดินเรือ และดิจิทัล 

ในประเด็นนี้ การพัฒนานวัตกรรมมีต้นทุนสูงมาก การช่วยกันพัฒนาคนละส่วน จะช่วยให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว 
การที่รัสเซียต้องอยู่ในห้อง Lab คนเดียว คิดอยู่คนเดียวจะทำให้ การคิดค้นสิ่งต่างๆ ของรัสเซียช้าลงมาก และจะส่งผลต่อระดับอานุภาพของยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียคิดค้น และต่อการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจของรัสเซียด้วย

ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่า จะรุกฆาต เอากันให้จนมุม 
หลายคนถามว่า ทำไปทำไม เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
คำตอบ "บั่นทอนเศรษฐกิจของรัสเซีย" 
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ "ความเข้มแข็งของประเทศในเชิงเศรษฐกิจ คือพื้นฐานสำคัญของความเข้มแข็งเชิงการทหาร"

ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียอ่อนแอ สุดท้ายรัสเซียก็จะไม่มีเงินมาพัฒนากองทัพ ไม่สามารถแข่งขันทันกับสหรัฐและพันธมิตร NATO ได้
คิดว่า สหรัฐและ NATO คงมีภาพ GDP ของรัสเซียหลังการผนวกไครเมีย อยู่ในใจ
ก่อนเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น 5 ปีให้หลัง ขนาดเศรษฐกิจรัสเซียลดลงมาเหลือเพียง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมา 1/4 

อัตราการเจริญเติบโตที่เคยสูงถึง 7-8% ลดลงมาเหลือแค่ 2-3% ผิดจากปกติของประเทศเกิดใหม่
ทั้งหมดทำให้ รัสเซียที่เป็นมหาอำนาจทางการทหาร กลายเป็นประเทศเล็กๆ เชิงเศรษฐกิจ ที่มีขนาดเพียง 1/10 ของสหรัฐ หรือเท่ากับรัฐ Texas เท่านั้น

'หมอชลน่าน' ลั่นชื่อ 'อุ๊งอิ๊ง' แคนดิเดตนายกฯ พท. อ้าง ถ้าปชช. ตอบรับดีก็มีทางเป็นไปได้

13 มี.ค. 65 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า เราเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด เลือกตั้งเมื่อไหร่เราก็พร้อมลงทุกเขต ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จะเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนว่าเห็นอย่างไร ถ้าประชาชนมีเสียงตอบรับที่ดี มีเสียงสนับสนุนก็มีความเป็นไปได้ทั้งหมด อยู่ที่พี่น้องประชาชน


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/641101

“จุรินทร์” โชว์วิชั่น กทม. เปิด 3 นวัตกรรม บริหาร ทั้ง ครม.กรุงเทพฯ-กรอ.กรุงเทพฯ​ และเกรทเตอร์ แบงค็อก

13​ มี.ค.65​ ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงทิศทางแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อนำพากรุงเทพมหานครไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ในงาน The 2 Leaders’ Visions “เศรษฐกิจประเทศ - เศรษฐกิจเมือง” ที่จัดขึ้นที่พรรคฯ โดยได้กล่าวว่า 

ภายหลังการเลือกตั้งปี 2562 ก่อนที่ตนมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ ไม่ได้รับเลือกตั้งเลย แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น แต่ประชาธิปัตย์ได้ผ่านจุดนี้มาแล้วหลายครั้ง ทั้งที่รุ่งเรืองจนได้รับเลือกตั้งเกือบยกทีมก็มี หรือได้รับเลือกคนเดียวก็มี หลายคนปรามาสประชาธิปัตย์คงจะสูญพันธุ์ แต่ตนยังมั่นใจว่ามาถึงวันนี้เรากำลังเดินขึ้นและมั่นใจว่าพี่น้องชาวกรุงเทพฯ จะต้อนรับประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง เพราะประชาธิปัตย์กับชาวกรุงเทพฯ ผูกพันกันมายาวนานนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค คนกรุงเทพฯ มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ตั้งแต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ ท่านพิชัย รัตตกุล ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายคนล้วนเป็นคนกรุงเทพฯ ดังนั้น คนกรุงเทพฯ กับประชาธิปัตย์จึงผูกพันกันมาเนิ่นนาน 

เมื่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กำลังจะมาถึง ก็มีคนตั้งคำถามใหม่ว่า ประชาธิปัตย์จะส่งผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค ตนเป็นคนหนึ่งที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าประชาธิปัตย์ต้องส่ง ประชาธิปัตย์ไม่ส่งไม่ได้ เพราะเราผูกพันกับชาวกรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯ เลือกเรามาต่อเนื่องยาวนาน เพราะฉะนั้นเราต้องรับผิดชอบต่อคนกรุงเทพฯ การไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งผู้สมัคร ส.ก. คือการตัดทางเลือกของคนกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงเป็นที่มาที่ประชาธิปัตย์มีมติส่ง ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามพรรคประชาธิปัตย์ รวมกับเพื่อนผู้สมัคร ส.ก. 50 คน 50 เขต ซึ่งเป็นการนับ 1 ที่ถือว่าประชาธิปัตย์ได้ส่งทางเลือกที่ดีที่สุดทางเลือกหนึ่งให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ได้พิจารณา 

ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวอีกว่า... 

ประการที่ 1 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นั้น ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามผู้สมัครอิสระ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงหมายความว่า ในการเลือกตั้งรณรงค์หาเสียง รวมทั้งไปถึงภายหลังหากได้รับเลือกตั้ง “ดร.เอ้” ก็ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีหลังพิงสำคัญที่จะคอยทำงานร่วมกันและขับเคลื่อนกรุงเทพฯไปสู่ความสำเร็จ นั่นการมีหลังพิงที่เป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืนที่สุดของประเทศ ที่ชื่อว่าประชาธิปัตย์ 

“ก่อนตัดสินใจเลือก ดร.เอ้ ผมกับ ดร.เอ้ ได้นั่งคุยกัน และท่านองอาจด้วยในฐานะรองหัวหน้าพรรค ได้คุยกันบอกว่าถ้าจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องทำงานร่วมกัน และต้องไม่บริหารราชการกรุงเทพมหานครโดยความรับผิดชอบเฉพาะกับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ แต่ต้องรับผิดชอบต่อพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเพราะประชาธิปัตย์จะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารงานราชการกรุงเทพฯ ของ ดร.เอ้ ต่อไปในอนาคต นี่คือความแตกต่างของผู้สมัครอิสระกับผู้สมัครที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมือง โดยเฉพาะสถาบันการเมืองที่ยั่งยืนที่ชื่อว่าประชาธิปัตย์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 

ประการที่ 2 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของประชาธิปัตย์นับตั้งแต่นี้ต่อไป ต้องไม่คิดแค่บริหารเมืองหลวงของประเทศและต้องไม่คิดแค่บริหารหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และต้องไม่คิดแค่การบริหารอภิมหานครกรุงเทพ หรือ กทม. เท่านั้น แต่จะต้องไปไกลไปกว่านั้น 

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ภารกิจของคนเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ที่ต้องบริหารกรุงเทพฯ แบบ “Mini Thailand” จึงมี 3 ประการ 

ประการที่ 1 ประชากรคนไทยทั้งประเทศมี 65 ล้านคน เป็นคนกรุงเทพฯ ตัวจริงที่มีทะเบียนบ้าน 5.5 ล้านคน ทำให้กรุงเทพฯ มีขนาดประชากร คิดเป็น 1 ใน 12 ส่วนของประชากรทั้งประเทศที่มีรวมกัน 77 จังหวัด 

ประการที่ 2 ด้วยขนาดประชากรดังกล่าว ทำให้มีปัญหาหลายเรื่องที่ ผู้ว่าฯ กทม. ต้องแก้ปัญหา และต้องบริหารจัดการในฐานะผู้ว่าฯ Mini Thailand ซึ่งเมื่อดูขนาดเศรษฐกิจของ กทม. จังหวัดเดียว คิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ประเทศ  หมายความว่าขนาด GDP ประเทศ อยู่ที่กรุงเทพฯ ถึง 1 ใน 4 และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP ของกรุงเทพฯ ก็เติบโตมากกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศอีกด้วย  

เมื่อไปดูสัดส่วน GDP ของกรุงเทพฯ ก็พบว่าการที่เศรษฐกิจกรุงเทพขับเคลื่อนอยู่ได้ทุกวันนี้ ขึ้นอยู๋กับ...

อันดับ 1 การค้า คิดเป็น 87 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ดังนั้นการค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งตั้งแต่คนตัวใหญ่จนถึงคนตัวเล็ก 

อันดับ 2 อุตสาหกรรม 13% มีเรื่องเกษตรไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ 

ดังนั้นจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าว จึงถือว่าลมหายใจของเศรษฐกิจกรุงเทพฯ จึงเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับการค้า 87% อุตสาหกรรม 13% ขณะที่เมื่อไปดู ตัวเลข Per Capita income หรืออัตรารายได้เฉลี่ยต่อหัว จะเห็นได้ชัดขึ้นว่ารายได้ของคนกรุงเทพฯ เฉลี่ย มากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศ 3 เท่า แม้จะฟังแล้วเหมือนดีว่าคนกรุงเทพฯ รวย แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเป็นตัวเลขถัวเฉลี่ย แต่เมื่อดูตัวเลขลึกลงไปพบว่า คนกรุงเทพฯ ตัวจริงที่เป็นคนจน มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี ที่ต้องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีมากกว่า 5 แสนคน ตรงนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญของผู้ว่าฯ กทม. นอกจากรัฐบาลที่ต้องแก้ไข ผู้ว่าฯ กทม. ก็ต้องคิดเป็นภาระของตัวเองด้วยเพื่อเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร ดังนั้นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ประชาธิปัตย์จากนี้ไป จึงต้องคิดเรื่องการบริหารกรุงเทพมหานคร ให้เป็นการบริหารแบบ Mini Thailand 

ประการที่ 3 การบริหารกรุงเทพมหานครของยุคประชาธิปัตย์ ยุค “ดร.เอ้” จากนี้ไป จึงต้องเกิดนวัตกรรมใหม่ทางการบริหารต้องขึ้นอย่างน้อย 3 นวัตกรรม 

นวัตกรรมตัวที่ 1 ครม. กรุงเทพฯ ต้องเกิด ไม่ใช่การบริหารแบบเดิมที่มี ผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ด้านบริหาร ด้านโยธา ด้านสาธารณสุข ด้านศึกษา ยุทธศาสตร์ และที่ปรึกษา แต่กรุงเทพมหานคร ยุคอุดมการณ์ทันสมัย ต้องมี ครม. กรุงเทพ เกิดขึ้น เพื่อบริหาร Mini Thailand ที่ชื่อว่ากรุงเทพมหานคร ที่ประกอบด้วย รัฐมนตรีเศรษฐกิจกรุงเทพมหานครต้องเกิด เพื่อรับผิดชอบเศรษฐกิจของชาวกรุงเทพฯ ตั้งแต่คนตัวใหญ่ที่ทำธุรกิจค้าขาย 87 % ของ GDP คนตัวกลางอุตสาหกรรม 13% ไปจนถึงคนตัวเล็ก 5 แสนกว่าคนที่รายได้ต่ำกว่าแสนต่อปี การที่ ดร.เอ้ ประกาศวิสัยทัศน์ให้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองสวัสดิการต้นแบบของอาเซียน ดังนั้น รัฐมนตรีสวัสดิการกรุงเทพฯ ต้องเกิด เพื่อขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ที่มีความชัดเจน กว่าการมีแค่รองผู้ว่าฯ ด้านโยธา ด้านศึกษา ด้านสาธารณสุข 

นวัตกรรมตัวที่ 2 ต้องเกิด กรอ. กรุงเทพฯ เนื่องจากเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่คิดเป็น 1 ใน 4 ของ GDP ประเทศ และขับเคลื่อนด้วยการค้ากับอุตสาหกรรม ดังนั้นเอกชนจึงมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร  ซึ่ง กรอ. กรุงเทพฯ จะเป็นเวทีให้ผู้ว่าฯ กทม. ครม.กรุงเทพฯ ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ร่วมกับเอกชน ตั้งแต่คนตัวใหญ่ถึงคนตัวเล็กไม่เว้นแม้แต่คนจนเมือง 

นวัตกรรมตัวที่ 3 คนเป็นผู้ว่ากทมในยุคอุดมการณ์ทันสมัยของประชาธิปัตย์ที่มีตนเป็นหัวหน้าพรรคต้องไม่มองแค่ในกรุงเทพมหานคร เพราะกรุงเทพฯ วันนี้ได้เชื่อมต่อเหมือนเป็นเนื้อเดียวกับปริมณฑล มีประชากรที่เคลื่อนเช้าเย็นกลับมาจากนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งสาธารณูปโภค สาธารณูปการ มีรถไฟฟ้าเชื่อมต่อไปถึงปริมณฑล เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน ทั้งไฟฟ้า-ประปาต่อข้ามเขตได้โดยไม่รู้ตัว 

เพราะฉะนั้นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องทำงานร่วมกัน ทั้งรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และต้องทำงานร่วมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด และกลไกภาครัฐ ไฟฟ้า ประปาในปริมณฑลด้วย ทั้งหมดต้องสอดประสานกัน ต้องคิดวางแผนขุดทีเดียวไม่ต้องขุด 3 รอบ 4 หน่วยงาน ขุด 4 รอบ เพื่อไม่ให้สุดท้ายแล้วกรรมมาตกกับคนกรุงเทพฯ

บริษัทจีนเปิดตัว 'ประกันภัยผมร่วง' หลังคนหนุ่มสาวเสี่ยงหัวล้านเร็วขึ้น

จ้งอัน (Zhong An) บริษัทประกันภัยออนไลน์ของจีน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับผู้มีปัญหาผมร่วง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของจีนที่มีประกันภัยลักษณะนี้ เหตุเพราะชาวจีนในปัจจุบันมีความเสี่ยงหัวล้านเร็วกว่าเดิมมาก

โดยสำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่าเมื่อวันศุกร์ (11 มี.ค.) บริษัท จ้งอัน ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยออนไลน์ของจีน ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ “ประกันภัยป้องกันผมร่วง” ด้วยการเสนอมาตรการสนับสนุนทางการเงินสำหรับปัญหาหนังศีรษะและเส้นผม ตลอดจนการปลูกผมแบบปลูกถ่ายหน่วยรูขุมขน (follicular unit transplantation)

ศีรษะล้านเคยเป็นสภาวะที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุหรือชายวัยกลางคนในจีน ทว่าคนรุ่นใหม่เผชิญปัญหาดังกล่าวกันมากขึ้น

“รัชดา” เผย รัฐบาล ไม่ทิ้งชาวสวนทุเรียน ชี้ เจรจาจีน ส่งออกผลไม้-ขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง เชื่อ สินค้าเกษตรปี65 โตขึ้น

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการส่งออกผลไม้ไทยไปประเทศจีน ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย Zero-Covid ของจีน ว่า การตรวจตราที่ด่านโหย่วอี้กวาน ผิงเสียง ตงซิง และโมฮ่าน ที่เข้มงวด ทำให้จราจรติดขัดและส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ของทุกประเทศ ทำให้รัฐบาลบูรณาการการทำงานหลายกระทรวง และหารือฝ่ายจีนมาต่อเนื่อง เพื่อให้การขนส่งสินค้าไทยมีความคล่องตัว ไม่เกิดความเสียหาย นอกจากนั้นเร่งขยายตลาดสู่ประเทศตะวันออกกลางมากขึ้น จึงมั่นใจว่าปีนี้การส่งออกสินค้าเกษตรโตแน่นอน

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจต่อการแก้ปัญหาการส่งสินค้าข้ามพรมแดนไปจีน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ได้บูรณาการการทำงาน ประสานกับทางการจีนตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด19 และแก้ปัญหาข้อติดขัดที่เกิดขึ้น จนทำให้การส่งออกผลไม้ปี 2563 มีมูลค่า 91,000 ล้านบาท ปี 2564 เพิ่มเป็น 160,000 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนมูลค่ากว่า1แสนล้านบาท และรัฐบาลได้หารือกับทางจีนในหลายประเด็น โดยขอให้ล้งไทยที่ผ่านกระบวนการอบรมหลักสูตร “ล้งปลอดโควิด-19” มี GMP Plus รับรอง กว่า 400 แห่ง สามารถผ่านด่านจีนได้โดยไม่ต้องเปิดทุกตู้ , การขนส่งบนเส้นทางรถไฟจีน-ลาว โดยการปิดตู้ที่ประเทศลาว ส่งไปคุนหมิงโดยไม่ต้องแวะตรวจที่ด่านโมฮ่าน เพื่อให้ส่งทุเรียนและผลไม้เศรษฐกิจอื่นทางรางได้ตั้งแต่เดือน มี.ค.นี้,เสนอให้มีการประชุมหารือกับประเทศจีน ลาวและเวียดนามเพื่อตกลงมาตรการร่วมกันเรื่อง protocol ในการเปิด-ปิดด่านชายแดน,เสนอให้ด่านมี Green Lane สำหรับผลไม้ไทยเป็นการเฉพาะ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯสั่งการให้มีมาตรการรองรับปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบปี 2565 ได้แก่ การรองรับเหตุการณ์ไม่ปกติ,การช่วยเหลือในการกระจายสินค้า ควบคุมคุณภาพ และกระตุ้นการบริโภคผลไม้,การช่วยเหลือสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทย,การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มผลไม้ ,การช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ปกติ สำหรับตลาดใหม่ที่กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯเร่งทำการตลาด คือ ตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีความต้องการผลไม้สดจากไทยจำนวนมากและหลากหลายชนิด เช่น เงาะ มังคุด ลำไย มะม่วง ทุเรียน เป็นต้น 

‘บิ๊กตู่’ เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ สนามบินเบตง รองรับตลาดท่องเที่ยว - พาณิชย์

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกเดินทางด้วยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD6260 ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติเบตง ตำบลยะรม อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิด “เที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานนานาชาติเบตง จังหวัดยะลา” พร้อมคณะ อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนออกเดินทางนายกฯ ได้ถ่ายภาพร่วมกับคณะผู้บริหาร และรับมอบภาพวาดสีน้ำรูปเครื่องบินเที่ยวปฐมฤกษ์

สำหรับกำหนดการในเวลา 12.00 น. นายกฯ จะเยี่ยมชมท่าอากาศยานนานาชาติเบตง รับฟังภาพรวมการดำเนินงาน และเยี่ยมนิทรรศการ OTOP จังหวัดยะลา พร้อมมอบถุงกำลังใจให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จังหวัดยะลาที่ประสบอุทกภัย และพบปะกลุ่มตัวแทนชาวยะลา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเวลา 16.45 น. ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top