Tuesday, 8 April 2025
Thailand

นักท่องเที่ยวชาวไทยครองแชมป์จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดใน #ลาว ประจำปี 2566

โดยกระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ของ สปป.ลาว เผย #ท็อปเทน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวลาวในปี 2023 

The Ministry of Information, Culture, and Tourism unveiled the 2023 tourist arrival data. Here are the top 10 tourist nationalities that entered #Laos last year.

‘ชาตรามือ’ เปิดตัวสาขาแรกในอเมริกา ลูกค้าแห่ต่อคิวซื้อยาวเหยียด พร้อมเผย “คิดถึงเมืองไทย” ขึ้นแท่นซอฟต์พาวเวอร์ไทยในต่างแดน

‘ชาไทย’ ไม่ธรรมดา!! ล่าสุด ‘ชาตรามือ’ เปิดตัวสาขาแรกในสหรัฐอเมริกา ได้รับการต้อนรับอย่างดี นับเป็นอีกเรื่องราวที่น่าภูมิใจของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในต่างแดน ลูกค้าต่อคิวยาว แต่เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “คิดถึงเมืองไทย!!”

เมื่อไม่นานนี้ เพจ ‘ร้านเด็ด อเมริกา - Landed America’ เพจขวัญใจชาวไทยในอเมริกา ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 4.6 แสนคน เผยภาพบรรยากาศร้านเครื่องดื่มที่คนไทยคุ้นเคย นั่นคือ ‘ร้านชาตรามือ’ ที่ตัดสินใจเลือกทำเลในแอลเอ เพื่อเปิดร้านเป็นสาขาแรกในสหรัฐอเมริกา บรรยากาศภายในร้านมีทั้งชาวไทยในสหรัฐฯ และชาวต่างชาติต่อคิวจนยาวจนพ้นหน้าร้าน บรรยากาศคึกคัก มีชาวต่างชาติ ต่อคิวยาวตลอดทั้งวัน

เพจร้านเด็ด อเมริกา เผยว่า ชาตรามือ สาขาลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ได้รับการตอบรับอย่างดี โดย ‘ชาไทย’ คือเมนูที่ขายดีที่สุด รองลงมาคือ ‘ชาเขียว, ชามะนาว’ ส่วนราคาจำหน่ายที่นี่ ราคาแก้ว 5.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 200 บาท

นอกจากนี้ ยังมี ‘ชากุหลาบ’ ที่เป็นกระแสในเมืองไทย ในเรื่องการช่วยขับถ่าย ซึ่งก็เป็นที่สนใจเช่นเดียวกัน อีกทั้งสามารถเลือกระดับความหวานได้หลายระดับ ตั้งแต่ 0%, 30%, 70%, 100% และ 130% ทำให้ชาวต่างชาติต่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก ลูกค้าหลายคนบอกว่าเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมาแล้ว และเคยได้ลองชิมก็ติดใจ จึงเดินทางมาซื้อชาไทยที่ร้านนี้ด้วย

คนไทยในสหรัฐฯ ที่คิดถึงเมืองไทยหรืออยากแนะนำเพื่อนต่างชาติ ให้ลองชิมชาไทยเครื่องดื่มสุดฮิตของประเทศ แวะไปกันได้ ที่ 1100 N Main St, Los Angeles, CA 90012

‘สื่ออาวุโส’ ชี้!! ‘คนไทย’ นี่แหละ Soft Power ที่คนญี่ปุ่นตระหนัก พร้อมเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ ‘ปรับตัว-ประยุกต์’ สร้างโอกาสต่อยอดเก่ง

(26 ก.พ.67) เถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…
 

สวัสดีบัดดี้… เวลาบัดดี้ไปญี่ปุ่น เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘Soft Power’ ของไทยในบ้านเมืองเขาไหม…

พี่มีข้อคิดสนุกๆ มาแลกเปลี่ยนกับบัดดี้และเพื่อนๆ ในเพจ ดังนี้…

1.) เราไปเที่ยวญี่ปุ่นเพราะต้องการเสพความสุขจาก Soft Power ของญี่ปุ่น ทั้งอาหาร สินค้า ทิวทัศน์ ฤดูกาล วัฒนธรรม ผู้คน ความทันสมัยของบ้านเมือง และวิธีการบริหารต่างๆ ของญี่ปุ่น

2.) Soft Power ของญี่ปุ่นบดขยี้จิตใจของคนไทยให้อ่อนไหว หลงรัก เสพติด และยินยอมตกเป็นทาสอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

3.) ไม่เพียงแต่คนไทยจะโบยบินไปเสพ Soft Power ถึงประเทศญี่ปุ่นแบบไปแล้วไปอีก เขาบอกว่ามีอะไรใหม่ๆ ก็ไปกันแล้วไปกันเล่า

4.) แม้แต่ในบ้านเมืองของไทย Soft Power ของญี่ปุ่นก็ยกทัพมาให้เราเสพถึงบ้าน…

5.) ในกรุงเทพ ในต่างจังหวัด ในอำเภอ ในตำบล ในหมู่บ้าน เราจะเห็นอิทธิพลทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเต็มไปหมด ทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้… และคนไทยที่เคยเดินทางไปญี่ปุ่นกันมาแล้ว จะมีอยู่แทบจะทุกอำเภอในประเทศไทย

6.) ในทางกลับกัน Soft Power ของไทยในประเทศญี่ปุ่น… แทบจะหาไม่เจอ

7.) ร้านอาหารไทยแทบจะไม่มี ร้านนวดไทยไม่มี มีแต่สาวไทยไปบริการนวดในญี่ปุ่น ซึ่งมีแค่ในเมืองใหญ่ๆ

8.) ดาราไทย เพลงไทย หรือเพลงฝรั่งที่คนไทยร้อง… ไม่มีในญี่ปุ่น

9.) แม้คนญี่ปุ่นจะบินมาอยู่มาเที่ยวเมืองไทยมากมายหลายล้านคน แต่เขาไม่เคยขนเอา Soft Power ไทยกลับไปเผยแพร่ในญี่ปุ่น อย่างที่คนไทยขนมาให้คนไทยด้วยกันเสพสุข

10.) แต่ แต่… ในอีกมุมหนึ่ง

11.) Soft Power ของไทย ที่คนญี่ปุ่นต้องการที่สุด คือ ‘คนไทย’

12.) เพราะคนไทยมี ‘อำนาจซื้อ’ มหาศาล… จับจ่ายใช้สอยกันอย่างมีความสุขในญี่ปุ่น

13.) ในเวลาเดียวกัน… คนไทยจำนวนมากได้ไอเดียทำมาหากิน ทำมาค้าขาย มาจากการไปเที่ยวญี่ปุ่น

14.) Soft Power ญี่ปุ่นที่มากระจายทั่วทุกถนนในเมืองไทย… ส่วนใหญ่ก็เพราะคนไทยมีความสนใจ ได้เรียนรู้ ใฝ่รู้ เสาะหา มาใช้ทำมาค้าขาย จนได้รับความสำเร็จ

15.) การไปญี่ปุ่นของคนไทยทุกคนคือ ‘ทัศนศึกษา’ คือ การเรียนรู้นอกห้องเรียน การซึมซับโลกาภิวัฒน์ในภาคปฏิบัติ

16.) การไปญี่ปุ่น สำหรับพี่แล้ว… เทียบเท่าการไปยุโรปหรืออเมริกา เพราะความเจริญในทุกด้านของญี่ปุ่นเหนือกว่าหลายประเทศในโลกนี้

17.) คนไทยเราได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาในญี่ปุ่น พี่ถือว่า นี่คือการไปเรียนเมืองนอกในแบบกระทัดรัด…

18.) คนไทยส่วนใหญ่ไปญี่ปุ่น กลับมาพร้อมกับโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น และหลายคนได้ ‘แรงบันดาลใจมหาศาล’ มาพัฒนาตัวเอง

19.) และความเป็นคนไทยของเราที่มีจิตใจที่ ‘เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ’ ทำให้เราซึมซับนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน 

20.) เช่นเดียวกับ ความหลงใหลในเกาหลี, จีน, ยุโรป, อเมริกา ที่เรานำมาคลุกเคล้าในเบ้าหลอมขนาดใหญ่ที่มี ชื่อว่า ‘ประเทศไทย’

21.) เหลือเพียงว่า เราจะก้าวข้ามไปถึงการนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ปรับใช้จนเป็นสินค้า Soft Power ที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเองหรือไม่ 

22.) ดังเช่นการเข้ามาของ 7-11 ในยุคแรกๆ ส่งผลให้คนไทยนำรูปลักษณ์การค้าขายแบบนั้นไปประยุกต์ใช้จนเกิด ‘มินิมาร์ทของคนไทย’ ไปทั่วบ้านทั่วเมือง และสิ้นสุดยุคร้านค้าแบบ ‘โชว์ห่วย’... แม้เจ้าของร้านค่าส่วนใหญ่ในสมัยนั้นจะยังไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย แต่เห็นระบบการบริหารจัดการของญี่ปุ่นผ่านร้านค้าอย่าง 7-11 

23.) ในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่คนไทยได้รับโอกาสเดินทางไป… ญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้น… และมีปรากฏการณ์เช่นนี้… พี่คิดว่าน่าพอใจมาก

คนไทยนี่แหละ คือ ‘Soft Power’ ที่แท้จริง…

เราจะส่งเสริมให้เขาเรียนรู้ดูดซับความรู้ต่างๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองและสังคม ในเชิงบวกมากขึ้นไปอีกอย่างไร??

'อลงกรณ์' พอใจ 'เอฟเคไอไอบิสซิเนส ฟอรั่ม' ประสบความสำเร็จเชื่อมโยงธุรกิจไทย-เกาหลี บรรลุข้อตกลงจับคู่ธุรกิจการลงทุนกิจการเทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมพร้อมขยายความร่วมมือกับโกลบอลESG

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์( FKII Thailand)เปิดเผยวันนี้ภายหลังเป็นประธานเปิดงาน FKII Global Business Forum : THAI - KOREA COLLABORATION และบรรยายพิเศษเรื่อง อนาคตความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-เกาหลี (Thailand - Korea Collaboration Outlook)ซึ่งจัดร่วมกับสถาบันทิวา โดย นายชยดิฐ หุตานุวัตรและการบรรยายพิเศษเรื่องการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเกาหลีในเอเซีย (Korea-Asia Economic Cooperation)โดย อดีตรัฐมนตรี ดร.ลี นัมคี ( Dr. Lee Nam Kee ) ประธานสมาคมโคเอก้า( Korea-Asia Economic Cooperation Association : KOAECA) ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์

งานดังกล่าว เปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการเกาหลีในนามสมาชิก KOAECA ได้นำเสนอ Profile ของบริษัทและสิ่งที่ต้องการในการเชื่อมโยงธุรกิจกับไทย และแนะนำผู้ประกอบการไทยโดย คุณชนานนท์ นรภูมิพิภัชน์ CEO บริษัท ทิวา แคปิตอลคอนซัลแทนซี่ จำกัด อีกทั้งมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเกาหลีและไทย 4 ฉบับ ได้แก่ 1) N-Biotek กับ TVA Capital Consultancy Ltd. 2) KNJ Engineering & Health กับ EnvitechLtd. 3) Mealbon Inc. กับ Neo Venture Solutions Ltd. และ 4) Global ESG Association กับ TVA Instituteโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเช่น

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษาเอฟเคไอไอ. ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันสร้างชาติ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานเอฟเคไอไอ. นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) ดร.กนก อภิรดี อดีตผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย นายปรพล อดิเรกสาร อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ศจ.ดร.ฐาปนา บุญหล้า ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษเรื่อง โอกาสการลงทุนในประเทศไทย(Investment Opportunity in Thailand)โดย นางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และได้รับเกียรติจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ได้ส่งคุณคิมมินเฮ (Ms. Kim Minhye) ที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ (Commercial Attache) มาร่วมงาน

FKII Thailand (Field for Knowledge Integration and Innovation) เป็นองค์กรความร่วมมือเพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และนวัตกรรม ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non- Profit Organization) ในรูปของวิสาหกิจเพื่อสังคม 100% โดยมี คุณอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นประธานคณะกรรมการและมี คุณชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้บริหารสถาบันทิวา เป็นผู้อำนวยการ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคีภาคส่วนต่าง ๆ ทางด้านการพัฒนาโดยองค์ความรู้ นวัตกรรมและเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ FKII Thailand มีพันธกิจมุ่งเน้นจะสร้างเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy)

ติดตาม FKII Thailand
FB: FKIIThailand https://shorturl.at/87OHy
LineOA: FKIIThailand https://lin.ee/BgPCPvd
 
FKII Thailand มุ่งมั่นสร้างสรรค์ ความร่วมมือ ร่วมทุน ร่วมค้า ระหว่างประเทศ

นิตยสาร Travel + Leisure ยกย่อง ธรรมชาติสวย - 4 ภาคเอกลักษณ์เด่น

(13 พ.ย. 67) ไทยคว้ารางวัลจุดหมายปลายทางแห่งปี 2025 จาก Travel + Leisure - ประกาศศักยภาพ Soft Power สู่สายตาชาวโลก

ประเทศไทยได้รับรางวัล “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวแห่งปี 2025” (Destination of the Year 2025) จากนิตยสาร Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวทรงอิทธิพลระดับโลก โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้ว่า นี่เป็นสัญญาณเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาการท่องเที่ยวในปีหน้า

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า Travel + Leisure เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกสำหรับปี 2025 ด้วยความครบครันในด้านแหล่งท่องเที่ยว ทั้งความงามตามธรรมชาติอย่างอ่าวพังงา การอนุรักษ์ช้างไทย และเสน่ห์ของกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งด้านวัฒนธรรม อาหารอันเลื่องชื่อ และการเปิดกว้างสำหรับชุมชน LGBTQ+

การได้รับตำแหน่งนี้จาก Travel + Leisure ซึ่งจัดอันดับจุดหมายปลายทางแห่งปีมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยในอดีตประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ เช่น คอสตาริกา อิตาลี และญี่ปุ่น ต่างก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

นิตยสาร Travel + Leisure ประเมินว่าประเทศไทยโดดเด่นด้วยความผสมผสานของความเป็นไทยและความทันสมัยได้อย่างลงตัว ฌัคกี กิฟฟอร์ด บรรณาธิการใหญ่ของ Travel + Leisure กล่าวว่า “การประกาศให้ไทยเป็นจุดหมายแห่งปี 2025 เป็นความตื่นเต้นสำหรับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการชิมอาหารในกรุงเทพฯ พักผ่อนบนเกาะงดงามกว่า 1,430 เกาะ หรือสัมผัสการบริการระดับโลก เมืองไทยมีทุกสิ่งให้คนทุกสไตล์ได้ค้นพบ”

นอกจากนี้ แต่ละภูมิภาคของไทยยังมีเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าประทับใจ ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และการผจญภัย อย่างกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารชั้นเลิศและชุมชน LGBTQ+ ที่มีชีวิตชีวา ขณะเดียวกัน เกาะสมุยยังเป็นจุดถ่ายทำซีรีส์ดังอย่าง *The White Lotus* ของ HBO ซึ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรีสอร์ตหรูและบรรยากาศอันเงียบสงบ และอ่าวพังงาก็มีทัศนียภาพเขาหินปูนที่งดงามเป็นเอกลักษณ์

ททท. มองว่าการได้รับรางวัลครั้งนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งต่อเป้าหมายการท่องเที่ยวในปี 2025 โดยนโยบายภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท และยกระดับประเทศไทยให้เป็น “ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬายิ่งใหญ่” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025)

ประเทศไทยยังดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า โดยเฉพาะการดูแลช้างไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งสามารถเยี่ยมชมได้ตามศูนย์อนุรักษ์ช้างทั่วประเทศ 

การคว้าตำแหน่งจุดหมายปลายทางแห่งปี 2025 แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ Soft Power ของไทยที่ยังคงตรึงใจนักเดินทางทั่วโลกและตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าค้นหาในปีหน้า

รัสเซียยินดี 'อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย' ร่วมเป็นชาติพันธมิตรกลุ่ม BRICS

(19 พ.ย.67) สำนักข่าว sputnik รายงานว่า นายอเล็กซานเดอร์ ปันกิน รองรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า แสดงความยินดีต่อ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่กลายเป็นชาติพันธมิตรรายใหม่ของกลุ่ม BRICS แล้ว

นายปันกิน กล่าวว่า การประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซานแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของกลุ่มประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่จะสร้างระเบียบโลกที่ยุติธรรม ปฏิรูปสถาบันระดับโลก และสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม อีกทั้งมีการบรรลุข้อตกลงชุดหนึ่งที่มั่นคงเกี่ยวกับการค้า การลงทุน ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานและสภาพอากาศ และโลจิสติกส์

พวกเรามีเพื่อนร่วมงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) เพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ได้กลายเป็นหุ้นส่วนอย่างเป็นทางการของกลุ่มเราแล้ว

ทั้งนี้ กลุ่ม BRICS เป็นสมาคมระหว่างรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 รัสเซียรับตำแหน่งประธานกลุ่มแบบหมุนเวียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา โดยปีนี้มีสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมเป็นชาติพันธมิตรกับกลุ่มมากขึ้นหลายประเทศ

กต. เปิดตัวตราสัญลักษณ์ ครบรอบสถาปนาสัมพันธ์ทางการทูตสองชาติ

(19 พ.ย. 67) กระทรวงการต่างประเทศได้จัดงานเปิดตัวตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ สุราลัย ฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม 

งานนี้จัดขึ้นร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ โดยได้รับเกียรติจากนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเป็นประธานในงาน พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน รวมถึงสื่อมวลชนจากหลายแขนงที่มาร่วมงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเปิดงานว่า ความสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีนที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและมั่นคงตลอด 50 ปี นับตั้งแต่การลงนามในแถลงการณ์ร่วมในปี 2518 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีความร่วมมือที่ไม่เคยหยุดยั้ง แม้ว่าโลกและสถานการณ์ภายในประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลง และถือเป็นความสำเร็จสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศที่ครบรอบ 150 ปีการสถาปนาในปี 2568 เช่นกัน

งานนี้ยังมีการเสวนาจากผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี และบทบาทของหน่วยงานในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทย-จีน

กระทรวงการต่างประเทศยังได้ประกาศความร่วมมือพิเศษกับ POP MART INTERNATIONAL GROUP LIMITED ในการจัดทำ Dimoo รุ่น Limited Edition ที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2568

ภายในงานยังมีการแสดงพิเศษจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ในชุด 'ตอแบ๋ตั่วะ' ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ของคณะงิ้วสตรีในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และการแสดงจากศิลปินพิเศษ 'นนกุล' ที่ได้รับความนิยมทั้งในไทยและจีน

ตราสัญลักษณ์ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ถูกออกแบบร่วมกันโดยกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ โดยใช้ภาพพญานาคและมังกร สัตว์มงคลของทั้งสองประเทศ มารวมกันเป็นเลข 50 ซึ่งแสดงถึงการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น

หน่วยงานต่าง ๆ ที่จะนำตราสัญลักษณ์นี้ไปใช้ในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่าง ๆ สามารถนำมาใช้ได้ตามความเหมาะสมในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนนี้

พอใจในเซ็กส์-เสพติดความโรแมนติก ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ รั้งท้าย

(20 พ.ย. 67) IPSOS หน่วยงานวิจัยของฝรั่งเศสออกมาเปิดเผยที่เกี่ยวข้องกับความรักความสัมพันธ์ใน 3 ด้าน จากการสำรวจประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวน 24,269 ราย ที่ไม่เกิน 75 ปี ใน 31 ประเทศ โดยด้านแรกเป็นการประเมินความพึงพอใจในความโรแมนติกและเซ็กส์ โดยพบว่า ชาวอินเดียร้อยละ 76% พอใจในชีวิตเซ็กส์และชอบความโรแมนติกของคู่รักของตัวเอง ตามด้วยเม็กซิโก 76% จีน 75% และประเทศไทยในอันดับ 4 ที่ 75% 

ขณะที่การสำรวจความพึงพอใจในด้านการรู้สึกรักหรือถูกรัก พบว่า ประเทศโคลอมเบียมากสุดที่ 86% ตามด้วย เปรู 86% อินเดีย 84% เนเธอร์แลนด์ 82% เม็กซิโก 81% ส่วนประเทศไทยอยู่ที่ 80%

และการสำรวจความพึงพอใจในด้านความสัมพันธ์กับคู่ชีวิตหรือคู่สมรส ประเทศไทยมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 92% ตามด้วย เนเธอร์แลนด์ 91% อินโดนีเซีย เปรู มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ได้คะแนนเท่ากันที่ 88% 

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับผลสำรวจทั้ง 3 ด้านพบว่า เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น อยู่ในอันดับรั้งท้ายของการสำรวจ โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวญี่ปุ่นเพียง 37% เท่านั้นที่ได้รับความพึงพอใจในเรื่องเซ็กส์และความรัก  ขณะที่ชาวเกาหลีใต้ก็ไม่พอใจในเรื่องเซ็กส์และความรักน้อยเช่นเดียวกัน โดยความพึงพอใจในเรื่องเซ็กส์เป็นอันดับสองเพียง 45%

เช่นเดียวกับเมื่อถามว่าพวกเขารู้สึก "ได้รับความรัก" ในชีวิตมากเพียงใด ชาวญี่ปุ่น 51% ตอบว่ารู้สึกเช่นนั้น ซึ่งถือเป็นอันดับต่ำที่สุด โดยอยู่อันดับรองลงมาเล็กน้อยจากชาวเกาหลีใต้ 

ผลสำรวจนี้สะท้อนสภาพสังคมของทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ที่กำลังเผชิญภาวะประชากรหดตัวเนื่องจากอัตราการเกิดที่น้อยลงในทั้งสองชาติ  ซึ่ง IPSOS ระบุถึงหนึ่งในเหตุผลที่ชาวญี่ปุ่นมีอันดับความไม่พอใจดังกล่าวในระดับต่ำเป็นเพราะ "บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่นที่ไม่เก่งในการแสดงอารมณ์และทัศนคติเมื่อเป็นเรื่องของความรัก" 

เปิดงาน TAIWAN EXPO 2024 ยกขบวน 170 บริษัทชั้นนำ ครบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

(21 พ.ย.67) กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน ร่วมกับสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน เปิดตัว TAIWAN EXPO 2024 in Thailand อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด 'Advancing Smart New Southbound' โดยงานนี้รวมบริษัทชั้นนำจากไต้หวันกว่า 170 บริษัท แบ่งเป็น 10 โซน และ 6 พื้นที่จัดแสดงหลัก ครอบคลุมหลากหลายด้าน เช่น Smart Manufacturing, Smart Medical, Smart Lifestyle, Circular Economy และ Culture & Tourism  

ภายในงานยังมีการประชุมสัมมนาด้านอุตสาหกรรม กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และโซน TAIWAN SELECT ซึ่งนำเสนออาหารเพื่อสุขภาพและกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม เช่น การทำโคมไฟ 12 นักษัตรแบบไต้หวัน และการย้อมสีธรรมชาติจากพืชพื้นเมือง ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้เข้าชมงาน  

นางซินเทีย เจียง อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน กล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดหมายสำคัญของการลงทุนจากต่างประเทศ ด้วยตำแหน่งที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ สภาพแวดล้อมการลงทุนที่ดี และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ เธอเน้นว่าไต้หวันมีความเชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ การผลิตอัจฉริยะ การดูแลสุขภาพอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย พร้อมสร้างโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม  

นายจาง จวิ้น ฝู ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการแลกเปลี่ยนนักศึกษาไทยในไต้หวันเพิ่มขึ้น 4 เท่าในรอบ 10 ปี ขณะที่นักศึกษาไต้หวันในไทยเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า พร้อมย้ำถึงศักยภาพของทั้งสองประเทศในการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจเพื่ออนาคตที่ชาญฉลาดและยั่งยืน  

นายเจมส์ ซี. เฮฟ. ฮวง ประธานสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) กล่าวว่า TAIWAN EXPO เป็นเวทีสำคัญในการแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยในปีนี้มุ่งเน้นด้าน Smart Manufacturing และ Circular Economy ที่จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายของไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงพัฒนาการรีไซเคิลและบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน  

ในด้าน Smart Medical โรงพยาบาลชั้นนำของไต้หวัน เช่น Changhua Christian Hospital และ Taipei Wanfang Hospital ได้นำเสนอโซลูชันการแพทย์อัจฉริยะ พร้อมจำลองห้องผู้ป่วยอัจฉริยะที่สะท้อนถึงอนาคตของการดูแลสุขภาพ  

TAIWAN EXPO 2024 มีกิจกรรมพิเศษ อาทิ การสัมมนาด้าน Smart Healthcare และ Circular Economy รวมถึงกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและเวิร์กช็อปพิเศษ เช่น การย้อมสีธรรมชาติ นับเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและไทย  

งาน TAIWAN EXPO 2024 in Thailand จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.00-18.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!

นิสสันเล็งลดหรือย้ายพนักงานในไทย ตามแผนลดกำลังการผลิตในอาเซียน

(22 พ.ย.67) นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เตรียมปรับลดหรือโอนย้ายพนักงานประมาณ 1,000 ตำแหน่งในประเทศไทย ตามแผนลดกำลังแรงงานทั่วโลกที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางการลดกำลังการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

แหล่งข่าววงใน 2 รายที่ไม่เปิดเผยตัวตน เปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า นิสสันวางแผนหยุดการผลิตบางส่วนที่โรงงานหมายเลข 1 ในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 โรงงานของบริษัทในประเทศไทย โดยสายการผลิตที่เหลือจะถูกย้ายไปยังโรงงานหมายเลข 2 ภายในเดือนกันยายนปีหน้า  

โฆษกนิสสันปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลดจำนวนพนักงาน แต่ยืนยันว่าการรวมโรงงานเป็นบางส่วนกำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงอุปกรณ์ และจะไม่มีการปิดโรงงานในไทยแต่อย่างใด พร้อมระบุว่า โรงงานหมายเลข 1 จะยังคงเป็นโรงงานหลักของนิสสันในไทย  

ปัจจุบัน โรงงานหมายเลข 1 ของนิสสันมีกำลังการผลิตรถยนต์ราว 220,000 คันต่อปี ส่วนโรงงานหมายเลข 2 มีกำลังผลิต 150,000 คันต่อปี ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนสำหรับนิสสัน  

ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์นิสสันในประเทศไทยลดลง 30% เหลือเพียง 14,000 คัน ในปีงบประมาณที่ผ่านมา โรงงานในไทยยังคงผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) เช่น รุ่น 'คิกส์' สำหรับตลาดอาเซียน และรุ่น 'เทอร์รา' เพื่อส่งออกไปยังตะวันออกกลางและแอฟริกา  

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นิสสันได้ประกาศแผนปรับลดพนักงาน 9,000 ตำแหน่งทั่วโลก หลังผลประกอบการครึ่งปีแรกต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top