Friday, 10 May 2024
STARK

นักวิเคราะห์ ชี้!! ระวังหุ้น STARK ภาค 2 หายนะครั้งใหญ่จ่อนักลงทุนนับหมื่นคน

เมื่อไม่นานนี้ คุณสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมนิสต์และนักวิเคราะห์หุ้น ได้เผยว่า แม้หุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ปิดฉากการสร้างภาพลวงตาไปแล้ว แต่ไม่ใช่หุ้นตัวสุดท้ายที่จะสร้างหายนะครั้งใหญ่ให้นักลงทุนนับหมื่นคน

เพราะยังมีหุ้นบางตัวที่มีพฤติกรรมไม่แตกต่างจาก STARK และถูกจับตาว่า อีกไม่นานเกินรอบริษัทจะล่มสลายเช่นเดียวกัน

หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กนับสิบบริษัท ช่วงนี้สงบราบคาบตามๆ กัน แต่บางตัวยังมีความพยายามสร้างข่าว กระตุ้นราคาหุ้นอยู่เป็นระยะ แม้ว่าธุรกิจหลักกำลังตกต่ำ กลายเป็นสินค้าและบริการที่ตกยุค เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกล และสะดวกสบายมากกว่า

หุ้นที่มีพฤติกรรมปั่นราคาจะมีสูตรสำเร็จในลักษณะเดียวกันคือ การสร้างข่าว การขยายการลงทุน การซื้อทรัพย์สิน หรือซื้อกิจการบริษัทอื่น รวมทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกัน

การแจกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญหรือวอร์แรนต์

การปล่อยข่าวโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท และการจุดพลุไล่ราคาหุ้น เพื่อล่อแมลงเม่าให้ตามแห่เข้าไปเก็งกำไร

การซื้อทรัพย์สิน กิจการ หรือบริษัทจดทะเบียนจะใช้เงินจากการออกหุ้นกู้ โดยวิ่งหาบริษัทจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถแจกเครดิตเกรดดีๆ ได้ง่าย เช่นเดียวกับ STARK และมีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งเสนอตัวเป็นตัวแทนผู้จำหน่ายหุ้นกู้ จนระดมเงินจากหุ้นกู้ได้หลายพันล้านบาท

บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กบางแห่งสร้างภาพเป็นกิจการขนาดใหญ่ มีบริษัทย่อยในเครือข่ายจำนวนนับสิบแห่ง จนนักลงทุนมองว่าเป็นกิจการที่มั่นคง ขณะที่มีเจ้ามือคอยดูแล สร้างมูลค่าการซื้อขายแต่ละวันสูง ราคาบางช่วงขึ้นถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรงจนดูเหมือนเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่อง

แต่บริษัทพร้อมล่มสลายได้ตลอดเวลา

หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางตัวมีจำนวนผู้ถือหุ้นหลายหมื่นคน มากกว่าจำนวนผู้ถือหุ้น STARK เสียอีก ซึ่งหากวันใดบริษัทถึงจุดอวสาน จะสร้างความเสียหายให้นักลงทุนจำนวนมากยิ่งกว่า STARK

ผู้บริหารหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางคนไม่รู้ไปทำเรื่องร้ายๆ อะไรไว้ จึงต้องคอยระวังตัว โดยมีคนคอยเดินติดตามคุ้มกัน เหมือนกลุ่มคนที่ทำธุรกิจสีเทา ทั้งที่เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องดำเนินงานด้วยความโปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาล

นายเอริค เลอวีน อดีตผู้บริหาร บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ CAWOW ชาวแคนาดา ซึ่งมาเปิดกิจการฟิตเนส ก่อนหอบเงินสมาชิกหนีคดีฉ้อโกงออกนอกประเทศ โดยยังมีหมายจับติดตามตัวอยู่

ผู้บริหาร CAWOW เคยจ้างตำรวจขับรถตำรวจนำทางจากบ้านย่านฝั่งธนบุรี ส่งถึงสำนักงานย่านสีลม เพื่อคุ้มกัน เพราะรู้ตัวว่ากำลังฉ้อโกง และเกรงกลัวผู้ที่ได้รับความเสียหายจะลอบทำร้าย

ผู้บริหารหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางคนกำลังก่อพฤติกรรมฉ้อโกง สร้างความเสียหายให้นักลงทุนหรือไม่ จึงต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มกัน

หุ้น STARK เก็บฉากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ซากศพนักลงทุนทั้งหุ้นกู้และหุ้นสามัญนับหมื่นชีวิต แต่หุ้น STARK 2 อาจตามมาในเร็วๆ นี้

อย่าหวังว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์จะป้องกันไม่ให้เกิด STARK ภาค 2 ได้

แต่นักลงทุนต้องป้องกันตัวเอง โดยสำรวจตรวจสอบว่ามีหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กตัวใดที่มีพฤติกรรมสร้างภาพ สร้างข่าวกระตุ้นราคาหุ้น มีการซื้อทรัพย์สิน ซื้อกิจการ ออกหุ้นกู้หลายๆ รุ่น และอยู่ในข่ายอาจล่มสลายเช่นเดียวกับ STARK หรือไม่

ถ้ามีหุ้นเล็กตัวอันตรายอยู่ในพอร์ตต้องรีบตัดสินใจขายทิ้งทันที จะขาดทุนเท่าไหร่ก็ช่าง

เพราะถ้าชะล่าใจ หรือทำใจตัดขายขาดทุนไม่ได้ จะเสียใจที่ตกเป็นเหยื่อหุ้น STARK 2 ในภายหลัง

‘STARK’ ที่ตกแต่งงบการเงิน จนเกิดความเสียหายนับหมื่นล้านบาท และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนของไทย

แม้จะมีการใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่เก่งกาจหรือมีชื่อเสียงแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบบัญชีออกมาได้อย่างถูกต้อง 100% ทุกบาททุกสตางค์ หากเหล่าผู้บริหารและตัวบริษัทที่เป็นผู้ให้ข้อมูล จงใจปกปิดข้อมูลบางอย่างต่อบุคคลภายนอกอย่างผู้ตรวจสอบ

ดั่งเช่น ‘STARK’ ที่ตกแต่งงบการเงิน จนเกิดความเสียหายนับหมื่นล้านบาท และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนของไทย ซึ่ง STARK เอง ก็ใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่อยู่ใน BIG4 ด้วยเช่นกัน

‘STARK’ เอฟเฟกต์  ความเชื่อมั่น ‘ตลาดทุนไทย’ หดหาย รอลุ้น ‘DSI’ พิสูจน์ฝีมือช่วยกู้วิกฤต

เหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะผ่าน 6 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ไม่ค่อยดีเลยสำหรับ ‘ตลาดหุ้นไทย’ หลังติดอันดับ TOP 3 ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนยอดแย่ของโลก

ขณะเดียวกัน ยังมีกรณีทุจริตสะท้านวงการหุ้นซ้ำเติมอีก จากกรณีที่ บมจ. สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) เกิดการทุจริตทั้ง การไม่ยอมส่งงบการเงิน ร่วมกันตกแต่งบัญชี สร้างออเดอร์ยอดขายเทียม ลูกหนี้เก๊ ลูกค้าปลอม พร้อมถ่ายโอนเงินออกไปจากบริษัทจริง ส่งผลให้ราคาหุ้นรูดลงมาเหลือเพียง 0.02 บาทต่อหุ้นเท่านั้น ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป เหลือเพียง 268 ล้านบาท จากที่เคยขึ้นไปสูงสุด 73,733 ล้านบาท

มหกรรมการโกง ที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ได้สร้างหายนะต่อนักลงทุนผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ ของ STARK เท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยอย่างหนัก พร้อมมีคำถามขึ้นมากมาย ไปถึงผู้บริหารบริษัท คณะกรรมการ กรรมการตรวจสอบ บริษัทผู้สอบบัญชี และหน่วยงานกำกับดูแล ทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหลาย ๆ คำถาม ก็ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด

แน่นอนว่า เมื่อหวังพึ่งหน่วยงานกำกับดูแลไม่ได้แล้ว ถือหุ้นรายย่อยที่ได้รับความเสียหายกว่า 10,000 คน ได้เริ่มรวมตัวเรียกร้องความยุติธรรม ผ่านช่องทางออนไลน์ www.thaiinvestors.com ของ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ล่าสุดมีการรวบรวมรายชื่อยื่นฟ้องแล้ว จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน ปรากฏว่ามีผู้แจ้งความจำนงค์ดำเนินคดีรวม 1,759 คน รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 4,063 ล้านบาท แม้โอกาสได้รับเงินกลับคืนนั้นแทบจะไม่มีเลย เมื่อเทียบกับเจ้าหนี่ที่มีหลักประกัน เจ้าหนี้การค้า และเจ้าหนี้หุ้นกู้ ที่ยังอาจพอมีหวังได้รับเฉลี่ยหนี้คืนบ้าง

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของหายนะครั้งนี้ มีสัญญาณผิดปกติมาตั้งแต่การส่งงบการเงินปี 2565 ล่าช้า โดยทาง STARK ได้ให้เหตุผลว่าเนื่องจากมีการเปลี่ยนวิธีการนับสินค้าคงคลัง อีกทั้งยังเป็นปีแรกที่บริษัทเปลี่ยนผู้สอบบัญชีจากบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด มาเป็น บริษัท บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด (PWC)

ต่อมา ผู้สอบบัญชี (PwC) ตรวจพบปัญหาการตกแต่งบัญชีหลายรายการ เช่น การสร้างยอดรอเรียกเก็บหนี้จากลูกค้าปลอม ยอดขายปลอม และสร้างรายการจ่ายเงินซื้อสินค้าล่วงหน้า ให้กับบริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งผู้บริหารของบริษัทเป็นผู้ถือหุ้น โดยสมอ้างเป็นบริษัทคู่ค้าโดยไม่มีการซื้อขายหรือจ่ายเงินจริง คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 26,816 ล้านบาท

อีกทั้ง ยังพบพฤติกรรมการโยกย้ายถ่ายเทเม็ดเงินเกิดขึ้นภายใน 3 บริษัทย่อยของ STARK ได้แก่ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) ,บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) และ บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด (ADS) เริ่มจาก ‘เฟ้ลปส์ ดอด์จ’ ผู้สอบบัญชีพบว่ามีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริงสูงถึง 24,452 ล้านบาท ตามมาด้วย ‘อดิสรสงขลา’ มีการตกแต่งบัญชีสูงเกินจริง 1,045 ล้านบาท และ ‘ไทย เคเบิ้ลฯ’ อีกมูลค่า 689 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า ในช่วง 2 ปีก่อน (2564-2565) มีการตกแต่งบัญชีและโอนเงินให้บริษัทระหว่างกันทั้ง STARK และบริษัทบ่อยรวมถึงบริษัทที่อ้างเป็นคู่ค้าธุรกิจ จนทำให้ STARK มีผลขาดทุนจริงมากกว่า 12,640 ล้านบาท โดยในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 5,989 ล้านบาท และในปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 6,651 ล้านบาท

ภายหลังความจริงเริ่มปรากฏชัดออกมาเรื่อย ๆ สังคมตลาดทุนต่างมีคำถามมากมาย มีใครบ้างที่มีเอี่ยวกับการทุจริตดังกล่าว ทั้งผู้บริหารบริษัท พนักงานและบริษัทตรวจสอบบัญชีมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ รวมไปถึงหน่วยงานกำกับดูแล ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร รวมถึงแอคชันการทำงานที่ดูเหมือนจะล่าช้า จนเกิดความเสียหายหนักเกินจะเยียวยาแล้ว

ปฏิบัติการกู้คืนความเชื่อมั่น

ล่าสุดมีรายงานว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำชับให้ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งดำเนินการตรวจสอบความผิดอย่างรวดเร็ว และหากพบความผิด ให้ดำเนินการเอาผิดในทุกกรณีตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า การดูแลนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาเป็นอันดับแรก

ขณะที่ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้รับกรณีการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินของSTARK เป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติ การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่า มีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุน และระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ ส่วนกรมสรรพากร ระบุจะตรวจสอบการจ่ายภาษีของ บริษัท STARK อย่างละเอียด หลังพบการปลอมแปลงรายได้ของบริษัท

ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับ 9 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน จับมือแถลงข่าวหวังเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อภาพรวมตลาดทุน เมื่อช่วงเช้า วันที่ 26 มิ.ย. 66 แต่ในหลาย ๆ ประเด็นยังไม่มีความกระจ่าง โดยเฉพาะการดำเนินการตรวจสอบผู้สอบบัญชี และบริษัทผู้สอบบัญชี โดยนายธวัชชัย ทิพย์โสภณ รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ไม่สามารถตรวจสอบและเอาผิดกับบริษัทผู้สอบบัญชีได้ เพราะมีอำนาจตามกฎหมายในการให้ความเห็นผู้สอบบัญชีเท่านั้น ซึ่งยอมรับว่ามีช่องโหว่ และกำลังอยู่ระหว่างแก้กฎหมาย

ส่วนการตรวจสอบผู้สอบบัญชี สำนักงานก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมหากพบพบว่ามีส่วนรู้เห็นการกระทำความผิดก็จะมีโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดทุจริตรายอื่นที่มีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องรายใด

นายธวัชชัย ย้ำว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งการสั่งให้บริษัทเปิดเผยข้อมูล ขยายขอบเขตการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เพิ่มเติม และการแจ้งเตือนผู้ลงทุน รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งขณะนี้การตรวจสอบมีความคืบหน้าไปมาก แม้ทาง ก.ล.ต. จะไม่มีอำนาจในการฟ้องคดี แต่พร้อมให้การสนับสนุนทุกฝ่าย และหากช่วยได้ก็จะดำเนินการให้ โดยขอยืนยันว่าทาง ก.ล.ต. ทำเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย

ด้านนางสาวสิริพร สงบธรรม เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากที่สมาคมฯ ได้เปิดให้ผู้ลงทุนหุ้น STARK ลงทะเบียนเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่ม ตั้งแต่ 19-25 มิ.ย.66 มีจำนวนผู้ลงทะเบียน 1,759 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 4,063 ล้านบาท โดยหลังจากนี้สมาคมฯจะนำข้อมูลของผู้เสียหายมาตรวจสอบเบื้องต้น และให้ความรู้ในการฟ้องคดีแบบกลุ่ม โดยจะเป็นคนกลางเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

จากข้อมูลที่แถลงออกมานั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีการชี้แจงการเยียวยาผู้ลงทุนที่เสียหายทั้งจากการลงทุนหุ้นและหุ้นกู้ STARK ที่เบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหายกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท จากหุ้นกู้ 5 รุ่น รวม 9.1 พันล้านบาท และความเสียหายจากการทุจริตงบการเงินราว 2.5 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับรวมมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่ราคาหุ้น STARK ดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับมหากาพย์ความหายนะในครั้งนี้ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการตกแต่งบัญชี คงต้องรอการทำคดีของดีเอสไอ ว่าจะสืบสาวไปจนถึงต้นตอได้หรือไม่ และเชื่อว่าคนที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดคงเริ่มหนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน เพราะมีโทษสูงสุดติดคุกถึง 20 ปีเลยทีเดียว 

อ้างอิง
https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/STARK/financial-statement/company-highlights
https://www.thaipost.net/economy-news/403508/
https://www.bbc.com/thai/articles/c3gzkwl1lnro
https://www.infoquest.co.th/2023/312719
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000057779

 

‘พงษ์ภาณุ’ ชี้ปัญหา ความไม่สมมาตรของข้อมูลข่าวสาร ช่องโหว่ของกฎหมาย ความหย่อนยานของการบังคับใช้ ยกกรณี ‘Stark’

(2 ก.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้พูดคุย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 โดยได้ให้มุมมองถึง 
ตลาดทุนของประเทศไทยไว้ว่า ...

ตลาดทุนกับปัญหา Asymmetric Information 
ตลาดทุนมีหน้าที่สำคัญในการระดมเงินจากผู้ออมเงิน และนำเงินนั้นมาจัดสรรสู่การลงทุนซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ตลาดทุนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ เศรษฐกิจก็จะยิ่งพัฒนาและเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น

การระดมเงินมาลงทุนอาจทำโดยทางอ้อม Indirect Finance ผ่านสถาบันการเงิน หรือทางตรง Direct Finance โดยตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น เราได้ทุ่มเททรัพยากรเพื่อพัฒนาตลาดทุนให้เป็นเสาหลักคำ้จุนการพัฒนาประเทศ ทั้งการจัดโครงสร้างพื้นฐานของตลาด การจัดตั้งสถาบันการลงทุน การยกระดับ Corporate Governance ของผู้เล่น/สถาบันต่างๆในตลาดให้อยู่ในระดับสากล
แต่ไม่ว่าจะพัฒนาตลาดทุนอย่างไร ปัญหาก็เกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งนี้เพราะตลาดทุนทุกแห่งโดยธรรมชาติมีปัญหาหาเรื่องความไม่สมดุล/ความไม่สมมาตรของข้อมูลข่าวสาร (Asymmetric Information) กล่าวคือ ผู้นำเงินไปใช้มีข้อมูลข่าวสารมากกว่าผู้ให้เงิน และใช้ช่องโหว่ของกฏหมายหรือความหย่อนยานของการบังคับใช้กฏหมายมาฉ้อโกงประชาชนผู้ออมเงิน

กรณี Stark Corporation ไม่ใช่เรื่องใหม่และเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งทั้งในและต่างประเทศ ทางการน่าจะใช้เป็นบทเรียนสำคัญอีกบทหนึ่ง ในการทบทวนว่าโครงสร้าง Corporate Governance ของตลาดทุนไทยมีความเพียงพอหรือยัง โดยเฉพาะองค์กร/สถาบันต่างๆได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นคณะกกรรมการบริษัท (Board of Directors )กรรมการอิสระ คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ผู้สอบบัญชีภายในและภายนอก (Internal and External Auditor) เปึนต้น ฝ่ายผู้ลงทุนและสถาบันอื่นที่เกี่ยวข้องก็จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน และสุดท้ายทางการต้องบังคับใช้กฏหมายโดยการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษอย่างเต็มที่และรวดเร็ว

‘กอบศักดิ์’ จี้ยกเครื่องใหญ่ ‘ตลาดทุน’ ป้องกันเหตุซ้ำรอยโกงหุ้น ‘STARK’

‘กอบศักดิ์’ จี้ยกเครื่องใหญ่ ‘ตลาดทุน’ ป้องกันเหตุซ้ำรอยหุ้น ‘STARK’ ชี้ต้องเอาคนผิดทุจริตมารับโทษ หลังผู้เสียหายมากมูลค่าเกินหมื่นล้าน แนะเพิ่มกลไกการตรวจสอบ เร่งเอาผิดทำให้เกิดความเสียหาย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงกรณีหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “STARK” ที่มีปัญหาการทุจริตและมีผู้เสียหายจำนวนมากว่า ในส่วนแรกคนที่ทำความผิดต้องได้รับความผิด ต้องให้เกิดบทเรียนจากการทำผิดครั้งนี้ คนที่อยู่ในกระบวนการนี้ก็ต้องรับความผิดร่วมกัน

“เราจะยอมรับความผิดในลักษณะนี้ไม่ได้เพราะความเสียหายเป็นหลักหมื่นล้านบาท ความเสียหายมีความกว้างขวางมาก และความเสียหายในครั้งนี้ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยอย่างเดียวแต่เป็นนักลงทุนสถานบันที่มีข้อมูลเพียบ มีนักวิเคราะห์อยู่เยอะไปหมด แต่เขายังพลาดได้ แสดงว่ากระบวนการในครั้งนี้เขามีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามมา”

นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่าในส่วนนี้ FETCO ได้เข้าไปหารือร่วมกับฝ่ายต่างๆ ในตลาดทุนแล้ว เช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าจะต้องมีการเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องกับประชาชนที่ถูกกระทบ ว่าคดีนั้นมีความคืบหน้าอย่างไร เงินที่เสียหายจะได้คืนอย่างไร เท่าไหร่ และเมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมีคำถามกับเรื่องนี้

นอกจากนี้ในการหารือกันอย่างใกล้ชิดว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ต้องมาดูเรื่องของกลไกตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก ซึ่งต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิด โดยทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุลักษณะนี้ในตลาดทุน มักจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และระบบต่างๆ ให้มีกลไกมากขึ้นมาตรวจสอบ เช่น การตรวจสอบ 3 ระดับ ที่เรียกว่า “third line of defense” เพื่อจัดการไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำรอย

“มีหลายเรื่องที่ต้องมาดูเรื่องของรายการระหว่างกัน เรื่องของผู้ที่มาทำหน้าที่ในการตรวจสอบรวมทั้งเรื่องของธรรมาภิบาลต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญให้กับคนในตลาดทุนเพื่อให้ตลาดทุนไทยไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก” นายกอบศักดิ์ กล่าว

STARK ยังวุ่นไม่จบ ปลด ‘วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ’ แถม ‘ปกรณ์ สุชีวกุล’ ลาออกประธานบอร์ด อีกคน

‘ปกรณ์ สุชีวกุล’ ลาออกประธานบอร์ด ตั้ง ‘สมชัย สวัสดีผล’ เข้ารับตำแหน่งแทน มีผล 4 ก.ค. 2566 ปลด ‘วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ’ พ้นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพัน

วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2566 มีมติสำคัญดังนี้

1.รับทราบการลาออกของ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล จากการเป็นกรรมการ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระของบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

2.อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนกรรมการที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ดังนี้

- นายสมชัย สวัสดีผล เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ แทน พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล โดยให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท และกรรมการอิสระ

- นายมนตรี ศรีสกูล เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ แทน นายเสนธิป ศรีไพพรรณ ที่ได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 โดยให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ

- นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการแทน นายสุวัฒน์ เชวงโชติ ที่ได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 โดยให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่

นอกจากนี้ได้อนุมัติเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ดังนี้

จากเดิม นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท

แก้ไขเป็น นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต และ นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท

ส่ง DSI ฟัน ‘วนรัชต์’ พร้อมพวกรวม 10 ราย  เอาผิดทางอาญา-กม.ฟอกเงิน ปมตกแต่งงบ ‘STARK’

ก.ล.ต. ส่ง DSI กล่าวโทษ "ชนินทร์ -วนรัชต์ - ศรัทธา"รวม 10 ราย กรณีตกแต่งงบการเงินของ STARK เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง เอาผิดทางอาญา-กม.ฟอกเงิน

สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  กล่าวโทษบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) กรรมการ อดีตกรรมการและอดีตผู้บริหารของ STARK รวม 10 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จในบัญชีเอกสารของ STARK และบริษัทย่อย ในช่วงปี 2564 – 2565 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ และเปิดเผยงบการเงินในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบ รวมทั้งปกปิดความจริงในข้อมูล factsheet เสนอขายหุ้นกู้ STARK ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยทุจริตหลอกลวง และทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) 

โดย ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บริษัท STARK (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ (4) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี (5) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (6) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม (7) บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) (8) บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) (9) บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด และ (10) บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 

ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ว่า บุคคลข้างต้นได้ร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ ทำบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ในบัญชีหรือเอกสารของ STARK และบริษัทย่อย ในปี 2564 – 2565 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ

อีกทั้ง STARK มีการเปิดเผยในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน โดยเปิดเผยงบการเงินที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบการเงินดังกล่าว รวมทั้งปกปิดข้อความจริงในข้อมูลในส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแสดงรายการข้อมูลสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ STARK ว่าได้มีการเข้าลงทุนในบริษัท LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc แล้ว ทั้งที่ยังเข้าลงทุนในกิจการดังกล่าวไม่เสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ ปรากฏว่าหลังจากที่ STARK ได้รับเงินหุ้นกู้และเงินเพิ่มทุน พบการโอนเงินออกจาก STARK และบริษัทย่อยไปยังบริษัทหรือบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินด้วย

การกระทำของบุคคลรวม 10 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 312 และมาตรา 281/2 วรรค 2 ประกอบมาตรา 89/7 และมาตรา 89/7 ประกอบมาตรา 89/24 มาตรา 278 มาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 มาตรา 306 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (แล้วแต่กรณี) ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 10 ราย ต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ข้างต้น ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นอกจากกรณีที่กล่าวโทษในครั้งนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีข้อสงสัยในเรื่องการทุจริต โดยจะประสานความร่วมมือกับ DSI ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีการเปิดเผยให้ทราบต่อไป 

ในการตรวจสอบเรื่องนี้ ก.ล.ต. ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปปง. DSI และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี

อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ

บทเรียนราคาแพง!! 12 รายใหญ่เจ๊งยับ!! ซื้อหุ้นเพิ่มทุน STARK 3.72 บ.

🔍ส่อง 12 รายใหญ่ ใครบ้างที่เจ็บหนัก หลังได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน STARK ในราคา 3.72 บาทต่อหุ้น สุดท้ายเจ๊งยับ เหมือนถูกหลอกไปเชือด

'เลิศศักดิ์' ยกทีม กมธ.ปปง.บุกคุกพบนักโทษสางปมคดี 'STARK หุ้นเทวดา'

'เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล' ประธาน กมธ.ปปง. สภาผู้แทนฯ ยกทีมบุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพ พบนักโทษคนสำคัญคดีหุ้น 'STARK' ประกอบการพิจารณาติดตามการทำงานของ DSI หลังมีผู้เสียหายเดินหน้ายื่นเรื่องให้ตรวจสอบการทำงานของ 'DSI' กรณี นายชินวัฒน์ อัศวโภคี อดีตกรรมการ STARK หลุดจากความผิดไปตั้งแต่ชั้นสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด พร้อมด้วยนายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามและศึกษาคดีฉ้อโกง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการฯ พร้อมด้วย กมธ.ปปง.ได้เข้าศึกษาดูงานยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ผู้อำนวยการทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยรายงานปัญหาอุปสรรค์ในการทำงานเรือนจำ และรับทราบข้อเสนอแนะ

จากนั้น นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด พร้อมด้วยนายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามและศึกษาคดีฉ้อโกง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการฯ ได้ขอพบนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ นักโทษในคดี STARK อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ที่ออกมารับสารภาพว่ากรณีคดีหุ้น STARK มีการตกแต่งบัญชีจนเกิดเป็นประเด็นขึ้นมา

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ป.กมธ.ปปง. กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนายศรัทธาพบว่า ข้อเท็จจริงที่ได้รับจากนักโทษศรัทธา กับการแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI  ยังมีความแตกต่างกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายวนรัตน์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ STARK และนายชินวัฒน์ อัศวโภคี อดีตกรรมการ STARK ที่ DSI จะกันไว้เป็นพยาน ข้อมูลที่ได้ถือว่ามีประโยชน์ และจะนำมาพิจารณาในที่ประชุม กมธ.ปปง. เพื่อเชิญ DSI มาซักถามเพื่อความกระจ่างอีกครั้ง 

“การพูดคุยได้ข้อมูลหลายอย่าง นายศรัทธายืนยันว่า คำให้การที่ได้ให้ไว้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ในสำนวนการสอบสวนของ DSI ยังไม่ได้นำไปประกอบการพิจารณา อีกทั้งกรณีนี้ ผู้เสียหาย STARK ได้เข้ามายื่นให้ กมธ.ปปง. ดำเนินการติดตามขอความเป็นธรรมจากการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงอัยการ กรณีเรื่องการฟ้องผู้ต้องหาเพื่อขอให้  กมธ.ปปง. ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและ ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ได้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด“

นายเลิศศักดิ์กล่าวต่อว่า ความน่าสนใจในคดีนี้ กมธ.ปปง. สนใจกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ยังไม่เสนอสั่งฟ้องผู้ต้องหาคนสำคัญอีก 3 คน ประกอบด้วยนายวนรัตน์ , นายชินวัฒน์ และโดยเฉพาะ นายชนินทร์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK ที่หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว กมธ.ปปง.ยืนยันว่าเรื่องนี้จะติดตามให้ถึงที่สุด เนื่องจากคดีนี้ถือเป็นการตกแต่งบัญชีและงบการเงิน ผ่องถ่ายเงิน เป็นคดีฉ้อโกงประชาชน ที่สังคมยังมีคำถามคาใจ เพราะตัวการใหญ่ยังลอยนวล ที่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนผู้ลงทุนจำนวนหลายหมื่นคน ที่ยังเหลือติดค้างถือหุ้นอยู่กว่า 9,000 ราย ที่ทุกคนหมดตัวที่มีมูลค่าความเสียหายกว่าเก้าพันล้านบาท


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top