Saturday, 24 May 2025
SMEs

‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ อัดฉีดเงิน 20 ล้านบาท ผ่าน 4 โครงการเด็ด เสริมแกร่ง!! สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน รับเศรษฐกิจยุคใหม่

(2 ก.พ. 68) นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า ตามนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำเรื่องการสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทยนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด และมีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชากรกว่า 12.8 ล้านคนทั่วประเทศ 

ปัจจุบัน SMEs กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือ SMEs อย่างครบวงจร ทั้งในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ การพัฒนาศักยภาพธุรกิจ และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้รับงบประมาณจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อดำเนิน "โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพของ SMEs ไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับ ‘โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี’ ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ที่ครอบคลุม ความต้องการของ SMEs ในทุกมิติ ดังนี้

1. โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ) มุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs ทุกขนาด(Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพ SMEs ในด้านการบริหารจัดการ และช่วยให้สามารถเข้าถึง
แหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในโครงการประกอบด้วยอบรมเชิงปฏิบัติการ ‘บริหารเงิน ฉบับ SMEs’ การจัด Business Matching เชื่อมโยง SMEs กับแหล่งเงินทุน และการให้คำปรึกษาแนะนำ
ด้านการเงินแบบตัวต่อตัว โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 60 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 1.08 ล้านบาท

2. โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ) มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ SMEs ในอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) สู่ยุคดิจิทัล และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การอบรม ‘Digital Transformation for SMEs’ การศึกษาดูงานธุรกิจต้นแบบด้าน BCG และการสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย โครงการนี้ตั้งเป้าหมาย ไว้ที่ 200 กิจการ และ 400 คน ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท

3. โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ) มุ่งพัฒนาศักยภาพธุรกิจฮาลาลของ SMEs ให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกขนาด (Micro/Small/Medium) ในอุตสาหกรรมฮาลาล ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาแนะนำการขอรับรองมาตรฐานฮาลาล การอบรม ‘เจาะตลาดฮาลาลโลก’ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับ
สินค้าฮาลาลเพื่อผลักดันให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 7 ล้านบาท

4. โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ) มุ่งช่วยเหลือ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาหนี้สิน ให้สามารถฟื้นฟูกิจการและกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ทุกขนาด (Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการ เพื่อรับคำปรึกษาแนะนำ ในการปรับโครงสร้างหนี้ การเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้กับเจ้าหนี้และการอบรม ‘ปรับแผนธุรกิจ สร้างโอกาสใหม่’ โดยตั้งเป้าหมายช่วยเหลือ SMEs ไว้ที่ 40 กิจการด้วยงบประมาณ 1.92 ล้านบาท

“โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ลูกหนี้ของกองทุนฯ สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สิน และพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

‘ธปท.’ ประกาศ!! ขยายเวลาการสมัครเข้าร่วม ‘โครงการคุณสู้ เราช่วย’ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ให้ลงทะเบียนได้ถึง 30 มิ.ย.นี้

(27 เม.ย. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่ประกาศ โดยมีใจความว่า ...

ตามที่กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และ ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank อื่น ๆ ออกมาตรการชั่วคราวภายใต้ชื่อโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" (โครงการฯ) เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม นั้น

ที่ผ่านมา มีลูกหนี้ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 24 เมษายน 2568 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมแล้วทั้งสิ้น 1.6 ล้านบัญชี จากลูกหนี้ 1.3 ล้านราย โดยสถาบันการเงินได้พิจารณาคุณสมบัติของลูกหนี้ดังกล่าว และพบว่า ณ วันที่ 15 เมษายน 2568 มีลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายร่วมโครงการฯ ได้ จำนวน 5.3 แสนราย (คิดเป็น 27% ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 1.9 ล้านราย) เป็นยอดหนี้ 3.85 แสนล้านบาท (คิดเป็น 43% ของยอดหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท)

อย่างไรก็ดี ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาดและมีความไม่แน่นอน ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากที่เผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้ และพบว่าลูกหนี้ยังคงให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลัง สศช. ธปท. ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จึงเห็นควรขยายระยะเวลาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568

ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" สามารถศึกษารายละเอียดและสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 23.59 น. หรือติดต่อสาขาของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร 1213 หรือ Call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ

บีโอไอ ปรับเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนรับมือการค้าโลก พร้อมไฟเขียว 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

(19 พ.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติมาตรการชุดใหญ่ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย รับมือการค้าโลกยุคใหม่ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความผันผวน มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน พร้อมออกมาตรการส่งเสริมกิจการท่องเที่ยวในเมืองรอง ฟื้นเที่ยวไทยทั่วประเทศ อนุมัติส่งเสริมลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่” โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย รักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ ภายใต้สภาวะตลาดที่มีความผันผวน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

1. ส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยออกมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ SMEs ไทย ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทย จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100

2. งดให้การส่งเสริมกิจการที่อาจมีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) หรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เช่น กิจการผลิตเซลล์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่กลุ่มตะกั่ว-กรด อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ กิจการตัดโลหะ กิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วกรณีตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมและไม่มีกระบวนการรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังจะงดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม ได้แก่ กิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

3. เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และอุตสาหกรรมเบา โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4. ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ  สำหรับกิจการผลิตที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนและมีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด นอกจากนี้ จะกำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ 150,000 บาทขึ้นไป และระดับผู้เชี่ยวชาญ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างสมดุลการจ้างงานในประเทศให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแย่งงานบุคลากรไทย และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้บีโอไอดำเนินการศึกษาแนวทางการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ และการส่งเสริมการร่วมทุน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการต่างชาติร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทาน และให้นำกลับมาเสนอบอร์ดอีกครั้ง

ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการด้านการท่องเที่ยวในเมืองรอง” ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในเมืองรอง เพื่อส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยสำหรับกิจการด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ กิจการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ สวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศูนย์หัตถกรรมไทย พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์เปิด ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ท่าเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว สนามแข่งขันยานยนต์ กระเช้าไฟฟ้าและรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว หากเป็นการลงทุนตั้งสถานประกอบการในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี  และสำหรับกิจการโรงแรม หากตั้งในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี

ปรับปรุงกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service

บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติการปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ระดับสูงกับกิจการที่ใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูง (Advanced Computing Capabilities) และมีการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้เพิ่มเงื่อนไขให้โครงการที่จะขอรับการส่งเสริม ต้องเสนอแผนพัฒนาบุคลากรไทย เช่น การจัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs หรือการใช้อุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศ โดยต้องดำเนินการตามแผนที่เสนอให้แล้วเสร็จก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลแก่ประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ไฟเขียวลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียดแสนล้าน

ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center และพลังงานหมุนเวียน รวม 7 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กิจการ Data Center 5 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท วิสตัส เทคโนโลยี จำกัด เงินลงทุน 6,854 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท บริดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ไอไอไอ (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 14,452 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (3) บริษัท กาแล็คซี่ พีค ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 23,553 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (4) บริษัท กาแล็คซี่ ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 22,313 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และ (5) บริษัท ดิจิทัล เอดจ์ ดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 24,522 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี

กิจการพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท อัลฟ่า วัน โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 3,195 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชุมพร และ (2) บริษัท อัลฟ่า ทู โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 4,838 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top