Monday, 9 June 2025
NewsFeed

ทบ. พร้อมนำส่งถังออกซิเจน ช่วยผู้ป่วยโควิดที่รักษาตัวที่บ้าน พื้นที่ กทม.และปริมณฑล

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ท.หญิง พัชรินทร์ บุศยกุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการประสานขอความช่วยเหลือของทีมแพทย์อาสา จากราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มจิตอาสา จัดตั้งเครือข่ายดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้านหรือ Home Isolation ผ่านศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด กองทัพบก เพื่อให้กองทัพบกช่วยนำส่งถังออกซิเจนให้กับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการทางระบบการหายใจ และต้องการออกซิเจนเพื่อช่วยในการรักษา ตามบ้านพักอาศัย ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยใช้ศักยภาพ และกลไกของศูนย์การเคลื่อนย้ายศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กองทัพบก (ศคย.ศปม.ทบ.) 


ซึ่งดำเนินการช่วยเหลือ รับ-ส่งผู้ติดเชื้อโควิดมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 27 เม.ย.64 ที่ผ่านมาทั้งนี้ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบกเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนและความเดือดร้อนของผู้ติดเชื้อโควิดได้สั่งการให้หน่วยทหารสนับสนุนยานพาหนะและกำลังพลเพิ่มเติมสำหรับภารกิจนี้โดยเฉพาะ จากกรมการทหารสื่อสาร, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก, กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน, กรมยุทธโยธาทหารบก และกรมสรรพวุธทหารบก ภายใต้การกำกับดูแลของ ศคย.ศปม.ทบ. 

โดยก่อนเริ่มปฏิบัติภารกิจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ ต้องเข้ารับการอบรมในการเคลื่อนย้ายถังออกซิเจน, วิธีการปิดวาล์วปรับแรงดันออกซิเจน,และวิธีการต่ออุปกรณ์ช่วยในการหายใจ จากทีมแพทย์อาสาฯ เพื่อสามารถให้คำแนะนำกับ ผู้ป่วยหรือครอบครัวเบื้องต้นได้ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ 10 ส.ค.64 เป็นต้นมา โดย ศคย.ศปม.ทบ. ดำเนินการจัดแบ่งกำลังพล 3 นายต่อทีม แต่ละทีมได้รับภารกิจเฉลี่ย 4 - 5  ถัง/วัน และใช้ระยะเวลาขนส่งประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที/ถัง ปัจจุบันได้ดำเนินการนำส่งถังออกซิเจนให้ผู้ป่วยโควิดที่บ้านแล้ว จำนวน 336 ถัง (22 ส.ค. 64) และมีแนวโน้มผู้ป่วยมีความจำเป็นต้อง ใช้ออกซิเจนช่วยในการรักษาเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ กองทัพบกเห็นถึงความสำคัญและความเดือนร้อนของประชาชน เพราะความต้องการออกซิเจนต่อลมหายใจของผู้ป่วยโควิดนั้นรอไม่ได้ เพื่อช่วยรักษาอาการและฟื้นฟูสภาพการทำงานของปอดให้ดีขึ้น ลดการสูญเสียชีวิตของพี่น้องประชาชน ซึ่งกำลังพลของ กองทัพบกมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท และเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความยากลำบาก เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากโรคโดยเร็วที่สุด และพร้อมเป็นที่พึ่งให้พี่น้องประชาชนตลอดไป

ทบ. ดูแลผู้ป่วยกักตัวในชุมชน (Community Isolation)

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ต.หญิง ปวีณา ศรีบัวชุม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ปัจจุบันยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น ผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการรุนแรงจึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อรับการรักษาตามระบบของสาธารณสุขและมาตรการของรัฐบาล ซึ่งเป็นนโยบายที่ พลเอกณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบกให้ความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนและช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ทั้งโดยอากาศยานและยานพาหนะของกองทัพบก ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็ว ช่วยลดความคับคั่งในโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้เป็นอย่างดี 

ในส่วนภูมิภาคนั้น รพ.สังกัดกองทัพบกทั่วประเทศ ได้สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโควิด-19  ในทุกมิติ ทั้งให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาล,จัดเตรียมสถานที่รองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ (Cohort Ward), จัดตั้ง รพ.สนาม, ดูแลผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และระบบการกักตัวในชุมชน (Community Isolation) นอกจากนี้ กองทัพบกได้จัดให้มีรพ.สนามศูนย์คัดกรอง ทบ. ขึ้น ตั้งแต่ 23 ก.ค. 64 ในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 4 แห่ง และ ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 10 แห่ง ให้บริการตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยการตรวจคัดกรองโควิด (ATK) เพื่อแยกผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงออกจากครอบครัว และดำเนินการตรวจยืนยันโควิด (RT-PCR) เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างทันท่วงที

ล่าสุด กองทัพบกพัฒนาระบบการกักตัวในชุมชน (Community Isolation) ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19กลุ่มสีเขียวที่เดินทางกลับภูมิลำเนาที่มีจำนวนมากขึ้น โดยประสานงานร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด ในการพิจารณาปรับใช้พื้นที่ในค่ายทหาร โดยเลือกบริเวณที่แยกออกจากชุมชนบ้านพักให้บริการจัดเตรียมเตียงผู้ป่วย, เครื่องนอน, ของใช้ที่จำเป็น รวมทั้งยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดย รพ.สังกัดกองทัพบก รับผิดชอบจัดบุคลากรทางการแพทย์ให้การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่กักตัวในชุมชน รวมทั้งจัดตั้งระบบติดตามอาการผ่านวิดิโอและกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้ให้ความสำคัญในการเตรียมพร้อมช่วยเหลือชีวิตเร่งด่วนฉุกเฉิน กรณีผู้ป่วยมีอาการแย่ลง และพร้อมนำส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด ซึ่งช่วยลดอัตราการสูญเสียได้เป็นอย่างดี 

ในส่วนของการดูแลชุมชน รพ.สังกัดกองทัพบก ร่วมกับ สาธารณสุขจังหวัด,อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.), ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน (ชป.กร.) และอาสาสมัครกิจการพลเรือน (อส.กร.) ดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในชุมชน เน้นให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างถูกวิธี รวมทั้งแจกจ่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันตนเองและชุมชนให้ปลอดภัยจากโควิด-19 นอกจากนี้ ได้จัดให้มีระบบประสานงานผ่านผู้นำชุมชน, อสม. และอส.กร. กรณีพบผู้ที่มีอาการผิดปกติหรือมีความเสี่ยงติดเชื้อ เพื่อนำส่งศูนย์คัดกรอง แยกผู้ป่วยออกจากครอบครัว ลดการแพร่กระจายเชื้อ และเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป 

ทั้งนี้ กองทัพบกพร้อมยืนหยัดช่วยเหลือประชาชนท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 อย่างเต็มศักยภาพในทุกมิติ เน้นการส่งเสริมสุขภาพเพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ช่วยให้ผู้ป่วยเข้ารับ การรักษาตามระบบได้อย่างรวดเร็วปลอดภัยลดการแพร่ระบาดในชุมชน อันจะนำไปสู่การช่วยลดอัตราการติดเชื้อในภาพรวมของประเทศต่อไป 

โฆษก ศบศ. เผยที่ประชุมเคาะลดวันกักตัว ภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ ใช้สูตร 7+7 ให้นักท่องเที่ยวเดินทางพื้นที่นำร่องเชื่อมโยงภูเก็ตได้ มั่นใจ 25 ส.ค.เที่ยวบินภูเก็ต-สมุย เปิดให้บริการอีกครั้ง ดึงยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มแน่ 

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบการขยายพื้นที่ของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ให้กว้างขึ้น โดยให้นักท่องเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่นในลักษณะ 7+7 เป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปยังพื้นที่นำร่องอื่น ๆ ได้เพิ่มเติม โดยปรับลดเวลาที่ต้องอยู่ในพื้นที่ภูเก็ตจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน ซึ่งพื้นที่นำร่องประกอบด้วย พื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ และพื้นที่เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย

นายธนกร กล่าวว่า ขณะนี้ยอดนักท่องเที่ยวสะสมของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ อยู่ที่ 22,810คน มียอดการจองโรงแรมที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2564) จำนวนกว่า 409,390 คืน ยังคงมีเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน โดย 5 อันดับแรกมาจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยหลังจากที่ปรับเป็นสูตร 7+7 ให้นักท่องเที่ยว 'ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’ อยู่ภูเก็ตครบ 7 วันแล้วเดินทางไปพื้นที่นำร่องอื่นต่อได้ 7 วัน จึงจะสามารถเดินทางไปจังหวัดอื่นได้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มแซนด์บ็อกซ์ที่เดินทางออกจากพื้นที่ภูเก็ตทางบก ขณะนี้มีจำนวนสะสมอยู่ที่ 3,578 คน 

โดยปลายทาง 5 อันดับอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งปัจจุบันแต่ละจังหวัดมีการเตรียมการวางแผน บริหารจัดการควบคุมเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามมาตรการที่ ศบค. กำหนดแล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นปลายทางมั่นใจได้

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วนของสมุยพลัสโมเดล ที่เชื่อมต่อกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์นั้น มีกลุ่มแซนด์บ็อกซ์เข้ามาแล้วจำนวนเกือบ 400 คน มีจำนวนคืนเข้าพักแรมรวมเกือบ 3,000 คืน (รูมไนท์) จำนวนวันพักเฉลี่ย 9 คืนต่อคน ประมาณการรายได้อยู่ที่ 17.28 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยเนื่องจากเส้นทางการบินภูเก็ต-สมุยได้หยุดทำการบินไปตั้งแต่วันที่ 3-16 สิงหาคม 2564 ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ต และจะประกาศต่อจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เนื่องจากการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 

อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินภูเก็ต-สมุยจะกลับมาให้บริการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม เป็นต้นไป คาดว่าหลังจากเปิดเส้นทางการบินภูเก็ต-สมุย และใช้มาตรการ 7 + 7 แล้ว จะทำให้ยอดนักท่องเที่ยวสมุยพลัสโมเดลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศว่า โควิด-19 ระบาดหนักในไทย ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้เร่งสื่อสารตลาดต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว และทัวร์โอเปอร์เรเตอร์ ในเชิงซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (City marketing) แยกจังหวัดภูเก็ตออกมาจากประเทศไทยในภาพรวมว่าภูเก็ตมีความปลอดภัย รัฐบาลได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ สาธารณสุข ภายใต้มาตรการสาธารณสุข และการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการประเมินและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทบ. จัดฝึกทบทวนการปฏิบัติชุดสุนัขทหาร เน้นเสริมภารกิจด้านความมั่นคง ภายใต้รูปแบบการฝึกวิถีใหม่ (New Normal) 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ท.หญิง นุชระวี แจ่มจำรัส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า การปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศและการป้องปรามอาชญากรรมในปัจจุบันนั้น มีการนำชุดสุนัขทหารเข้ามาร่วมปฏิบัติหน้าที่อยู่บ่อยครั้ง ในการรักษาความปลอดภัยลาดตระเวน สะกดรอย ตรวจค้นยาเสพติดและวัตถุต้องสงสัย รวมถึงการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย เนื่องจากสุนัขเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาด เข้าใจการสื่อสารและปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างถูกต้อง ประกอบกับสุนัขมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ มีความซื่อสัตย์และเป็นมิตร รวมถึงมีประสาทสัมผัสพิเศษในการได้ยิน การมองเห็น และการดมกลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์หลายเท่า สามารถช่วยเสริมภารกิจในการค้นหาและพิสูจน์ทราบได้อย่างรวดเร็วและแน่นอน 


ปัจจุบันกองพันสุนัขทหารได้จัดกำลังพลร่วม 400 นาย พร้อมสุนัขทหารประมาณ 250 ตัว ร่วมปฏิบัติภารกิจเสริมขีดความสามารถและศักยภาพของกองทัพในการสนับสนุนแผนงานป้องกันประเทศ การลาดตระเวนระวังป้องกันตามแนวชายแดน การตรวจจับยาเสพติด สกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมถึงการสนับสนุนแผนงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในการเฝ้าระวัง รักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน ตลอดจนสถานที่สำคัญ และเพื่อเป็นการทบทวนการปฏิบัติพร้อมพัฒนาทักษะขีดความสามารถการปฏิบัติงานของชุดสุนัขทหารให้เป็นไปตามรูปแบบและมาตรฐาน โรงเรียนสุนัขทหาร ศูนย์การสุนัขทหาร กรมการสัตว์ทหารบก จ.นครราชสีมา จึงได้เปิดหลักสูตรการทบทวนชุดสุนัขทหารทุกหน้าที่ ในห้วงวันที่ 19 ส.ค. – 29 ก.ย. 64 เป็นเวลารวม 6 สัปดาห์ ให้กับชุดสุนัขทหารที่ผ่านการฝึกในหลักสูตรหน้าที่ชุดสุนัขยาม, สุนัขยามสายตรวจ, สุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิดและอุโมงค์, สุนัขลาดตระเวน, สุนัขสะกดรอย, สุนัขตรวจค้นยาเสพติดให้โทษ และชุดสุนัขตรวจค้นวัตถุระเบิดที่เคยลงปฏิบัติงานในพื้นที่จริงมาแล้ว เพื่อเป็นการฝึกทบทวนการปฏิบัติ การควบคุมและการออกคำสั่ง รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากการปฏิบัติงานจริงของชุดสุนัขในแต่ละหน้าที่เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติภารกิจได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ


การฝึกทบทวนในครั้งนี้ประกอบไปด้วยสุนัขทหารหลายพันธุ์ที่มีอายุระหว่าง 2-8 ปี อาทิ เยอรมันเช็พเพอด, อัลเซเซียน, ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ และเบลเยี่ยมมาลินอยด์ ซึ่งถือเป็นสุนัขพันธุ์หลักที่มีลักษณะพึงประสงค์ในการฝึกทางทหารได้ในทุกหน้าที่ โดยการดำเนินการฝึกเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 อย่างเคร่งครัด ในการกักตัวผู้บังคับสุนัขก่อนฝึก 14 วัน และฝึกในระบบปิด พร้อมแบ่งการฝึกออกเป็นกลุ่มย่อยตามประเภทของภารกิจและหน้าที่ของชุดสุนัขทหาร รวมถึงให้กำลังพลปฏิบัติตามมาตรการพิทักษ์พลในการสวมใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่างตลอดเวลา 


ทั้งนี้ การฝึกทบทวนการปฏิบัติของชุดสุนัขทหาร สอดคล้องกับนโยบายพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่มุ่งพัฒนาทักษะขีดความสามารถกองทัพด้วยการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติและการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้มีประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญความชำนาญในหน้าที่ อันจะสร้างความสำเร็จและความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจต่อผู้บังคับสุนัขและตัวสุนัขเอง ประกอบกับการฝึกจะก่อให้เกิดความคุ้นเคย ความรักและผูกพันระหว่างกัน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้การปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี 

นบข. เห็นชอบมาตรการคู่ขนาน โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 “บิ๊กตู่”ย้ำให้ใช้จ่ายงบประมาณให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างแท้จริง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ร่วมประชุม ว่า เป็นการติดตามสถานการณ์ข้าวโลก ข้าวไทย ความต้องการใช้ข้าวปี 2564/65  ความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวและมาตรการคู่ขนาน ปี 2563และ 2564

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและเกษตรกร จึงขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันดูแลเกษตรกรและประชาชนให้ดีที่สุด โดยใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใยต่อปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย เช่น การแข่งขันกับต่างประเทศที่มีราคาข้าวถูกกว่าของไทย การขาดแคลนตู้สินค้า ค่าระวางเรือที่สูง โรงสีขาดสภาพคล่อง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นต้น แม้ผู้ส่งออกจะได้รับผลดีในเรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าถึงร้อยละ 8  จึงอยากให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก รวมถึงการบริหารจัดการตู้สินค้าสำหรับข้าวให้เพียงพอ  นายกรัฐมนตรียังเสนอแนะแนวทางช่วยเหลือชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ทำนาได้ปีละครั้ง โดยให้หันมาปลูกพืชอื่นควบคู่การปลูกข้าวให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และปริมาณน้ำ เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนสามารถมีอาชีพและรายได้เพิ่มขึ้นในการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวแทนการเข้ามาหางานทำในเมืองด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการมาตรการคู่ขนาน โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/2565 รอบที่ 1 โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือแนวทางการจัดสรรงบประมาณพร้อมจัดทำรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อนำเสนอครม. พิจารณาต่อไป  ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำให้ใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อประชาชนเกษตรกรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง 

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจรในระยะที่ 2 (ปี 2565 – 2568) โดยกระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. ร่วมเป็นหน่วยงานร่วมดำเนินการ และให้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมดำเนินการประชาสัมพันธ์และการตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ จัดสรรโควตาร้อยละ 10 ของโควตาการส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรป (EU) จำนวน 1,700 ตันต่อปี สำหรับจัดสรรให้เฉพาะผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ให้กับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ที่ดำเนินโครงการ   ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับคาดว่าคือ เกษตรกรมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวคุณภาพที่แน่นอนไม่น้อยกว่า 30,000 ครัวเรือน มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 350 ล้านบาท (ข้าว GAP เพิ่มขึ้นตันละ 500 บาท ข้าวอินทรีย์เพิ่มขึ้นตันละ 2,000 บาท) รวมถึงขยายพื้นที่การผลิตข้าวคุณภาพที่ได้รับการรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์และข้าว GAP อย่างน้อย 700,000 ไร่ นอกจากนี้ เกษตรกรและผู้บริโภคยังมีสุขภาพที่ดีขึ้น ลดการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรและสารตกค้างในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ผบช.สตม. พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจก่อสร้างอาคารที่ทำการ ตม. เข้มแรงงานต่างด้าว พิจิตร-สุโขทัย

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมคณะประกอบด้วย พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.มานะ นาคทั่ง รอง ผบก.ตม.5 พ.ต.อ.คงฤทธิ์ สุกใส ผกก.ตม.จว.กระบี่พ.ต.อ.ประสิทธิ์ สมใจประสงค์ ผกก.บคด.บก.ตม.4 และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.

เดินทางไปตรวจราชการและความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งใหม่ในพื้นที่ จ.พิจิตร และ จ.สุโขทัย ทั้งนี้ได้เรียกประชุมตำรวจ ตม. ประชุมหารือเรื่องการปราบปรามแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ให่เป็นไปตามมาตรการความปลอดภัยในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาดอีกด้วย

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า หลังจาก ตม. ได้กระจายกำลังครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย จึงได้มีการจัดสร้างที่ทำการแห่งใหม่ในหลายจังหวัดเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาในอนาคต หากการระบาดขอโควิด-19 ลดน้อยลง ตนจึงเดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าของการก่อสร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อราชการสูงที่สุด

โดยในวันที่ 23 สิงหาคม จะลงพื้นที่ตรวจการก่อสร้างที่ จ.นครสวรรค์ จากนั้นจะเดินทางไปมอบสิ่งของบำรุงขวัญ และชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ให้กับ ตม.จว.อ่างทองด้วย ทั้งนี้ตนได้เน้นย้ำให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว หากพบว่าเป็นการนำพาก็ให้จับกุมผู้ร่วมขบวนการและดำเนินคดีอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

รมว.ยุติธรรมควงเลขา ป.ป.ส. ลงพื้นที่ 3จ.ภาคใต้ คิกออฟปลดล็อกพืชกระท่อมพรุ่งนี้ ย้ำทำกฎหมายเพื่อประโยชน์ประชาชน ใช้ได้เสรีตามวิถีชีวิตแต่อย่าไปทำ4x100 หวังผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกสร้างรายได้ ชาวบ้านยก "สมศักดิ์"เป็นบิดาพืชกระท่อมไทย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน พร้อมด้วยนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ 3 จังหวัดพื้นที่นำร่องพืชกระท่อม คือ บ้านนาสาร ต.น้ำพุ จ.สุราษฎร์ธานี ต.คลองกระบือ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และ ต.นาพละ อ.เมือง จ.ตรัง เพื่อขอบคุณประชาชนที่สนับสนุนให้กระทรวงยุติธรรมยกเลิกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดได้สำเร็จ และมอบแนวนโยบายเกี่ยวกับพืชกระท่อมในอนาคต โดยมีนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผวจ.นครศรีธรรมราช นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผวจ.ตรัง นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่ร่วมงาน ทั้งนี้ก่อนเดินทางนายสมศักดิ์ และคณะได้ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK ซึ่งผลออกมาเป็นลบทั้งหมด และในงานได้มีมาตรการคัดกรองและควบคุมโรคอย่างเข้มงวด

โดยนายวิชวุทย์ กล่าวว่า ชาวบ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการประกาศอิสรภาพของพืชกระท่อม เพราะที่แห่งนี้ถือเป็นเมืองหลวงของพืชกระท่อม นอกจากนี้ชาวบ้านได้ยกย่องให้นายสมศักดิ์ เป็นบิดาแห่งพืชกระท่อมไทย ที่ช่วยให้พืชกระท่อมเป็นพืชสารพัดประโยชน์ ทำให้ชาวบ้านสามารถใช้ได้ตามวิถีชีวิต รวมถึงมีประโยชน์ทางการแพทย์อย่างมาก ช่วยให้ชาวบ้านสามารถทำเป็นพืชทางการเกษตรได้และคนที่ถูกดำเนินคดีก็จะเป็นอิสระด้วย

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พืชกระท่อมเดิมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท5 แต่หลังจากที่พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2564 ถอดพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2564 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งจะตรงกับวันพรุ่งนี้ประชาชนสามารถนำพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบวิถีชาวบ้านได้โดยไม่ผิดกฎหมาย รวมถึงการใช้พืชกระท่อมทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย ในขณะนี้ ได้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.... ซึ่งอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งร่างกฎหมายมีหัวใจการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและป้องกันการนำพืชกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิดภายหลังถอดให้โทษ โดยเฉพาะควบคุมไม่ให้เด็กและเยาวชนนำกระท่อมไปใช้ในทางทีผิด และให้ชาวบ้านเข้าถึงการปลูกและแปรรูปพืชกระท่อมได้ สามารถรวมกลุ่มสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน หรือเป็นรายบุคคลเพื่อจำหน่ายเองได้ ดังนั้น พ.ร.บ.พืชกระท่อม ฉบับนี้จึงถือเป็นกฎหมายที่มาจากวิถีชาวบ้านความต้องการของประซาชนโดยประชาชน เป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง

"วันนี้ผมดีใจไม่แพ้กับพี่น้องชาวใต้ ซึ่งวันพรุ่งนี้ (24 ส.ค.) เราจะได้กระท่อมเสรี เป็นความดีใจและภาคภูมิใจร่วมกันกันที่เราได้ร่วมทำงานหนักกันมาโดยตลอด ผมลงมาที่นี่หลายครั้งตั้งแต่เราได้ดำเนินการปลดล็อก และได้มาพูดคุยหวังให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ ตอนนี้เรากำลังปลูกเสรี ใช้เสรี แต่อย่าเอาไปผสมยาเสพติดทำเป็น 4x100 เพราะมีความผิด ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากเราไม่ร่วมมือกันโอกาสปลดล็อกก็คงยาก เราปฏิบัติดีประพฤดีทำให้หลายฝ่ายเห็นจนสนับสนุนเรา ในสมัยก่อนรัฐบาลก็เคยคิดจะปลดล็อกแต่ทำไม่สำเร็จ จนผมเข้ามาเป็น รมว.ยุติธรรม ได้เห็นแนวทาง และเห็นปัญหาคนล้นคุก มีคนที่เกี่ยวข้องกับคดีพืชกระท่อมเยอะ ซึ่งตนได้นำความรู้ของรุ่นพี่ที่ทำไม่สำเร็จ ทำให้เข้าถึงพี่น้องประชาชน และที่ผ่านมามี ส.ส.หลายท่านมีความคิดที่จะปลดล็อก เราจึงร่วมแรงร่วมใจกัน"นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ตนตั้งใจให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ เราจะทำอย่างไร พืชกระท่อมมีสรรพคุณทางยาสูง วันนี้มีการผลิตผงจากใบแห้งขายสหรัฐฯ ตรงนี้จะเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่ขายต่างประเทศด้ เราต้องทำให้ได้ การดำเนินการต่างๆต้องทำให้สอดคล้องกับราคาตลาด เราไม่ควรใช้ในครัวเรือนอย่างเดียวแต่ต้องทำเป็นพืชเศรษฐกิจ หากในภาครัฐได้จัดระเบียบการปลูก การผลิต เป็นอุตสาหกรรมให้เรียบร้อย ตนเชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจได้ต่อไป และที่ชาวบ้านยกย่องตนเป็นบิดาแห่งพืชกระท่อมไทย ผมคิดว่า น่าจะเป็นนายสงคราม บัวทอง กำนัน ต.น้ำพุ มากกว่า ที่เป็นผู้ริเริ่มและผลักดันมานานแล้ว ทั้งนี้ในขณะนี้ในส่วนของกรมราชทัณฑ์มีผู้ต้องขังคดีพืชกระท่อม 1,038 ราย ที่รอหมายศาลปล่อยตัว ส่วนในชั้นอัยการที่กำลังพิจารณาคดีมี 9,000 คดี ในชั้นสอบสวนของตำรวจมี 2,400 คดี ซึ่งทั้งหมดนี้จะรับการปล่อยตัวและยกเลิกคดีทั้งหมด

จากนั้นได้มีการมอบใบประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ผู้สนับสนุนพื้นที่นำร่องในการควบคุมพืชกระท่อม โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 189 คน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางชาวบ้าน ได้ให้วงฌา-มา แต่งเพลงเพื่อขอบคุณรัฐบาลและนายสมศักดิ์ ที่ช่วยปลดล็อกพืชกระท่อมจนสำเร็จ โดยมีชื่อเพลงว่า "24 สิงหาชาวประชาเฮโล"

‘กระทรวงแรงงาน’ ดีเดย์ คิกออฟ ‘โครงการ FACTORY SANDBOX’ ในสถานประกอบการแห่งแรกของนนทบุรี

วันที่ 23 สิงหาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางสาวบุปผา เรืองสุด ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่นำร่องการดำเนินโครงการ FACTORY SANDBOX ของจังหวัดนนทบุรี ณ บริษัท วาไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม วิชาชีพ นักเรียนและนักศึกษา มีผู้ประกันตน จำนวน 907 คน โดยมี สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี อุตสาหกรรมจังหวัดนนทบุรี และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนนทบุรี เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

โดยนางสาวบุปผา กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบการและได้ ศบค.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 ตามโครงการนำร่องเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรม (Factory Sandbox) โดยบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ภายใต้กระบวนการ “ตรวจ รักษา ควบคุม และดูแล” ซึ่งประกอบกอบด้วย การตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับพนักงานในโรงงานตามมาตรการที่กำหนด การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรักษาผู้ป่วยเขียว เหลือง แดง การดำเนินการฉีดวัคซีนให้แรงงาน โดยเน้นกลุ่มเสี่ยง คนท้องและออกใบรับรองให้แก่บริษัทเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน และการดำเนินการตามมาตรการ 'บับเบิล แอนด์ ซีล'

นางสาวบุปผา กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้ลงพื้นที่นำร่องการดำเนินโครงการ FACTORY SANDBOX ของจังหวัดนนทบุรี ณ บริษัท วาไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ซึ่งสถานประกอบการได้มีการดำเนินการตามกระบวนการ “ตรวจ รักษา ควบคุม และดูแล” โดยการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ดำเนินการตรวจคัดกรองด้วยการ Swab ในรูปแบบ RT-PCR 100 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 907 คน เพื่อคัดแยกคนป่วยไปรักษาทันทีและดำเนินการตรวจ Antigen Test Kit ทุกสัปดาห์ ส่วนการรักษาจัดให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกกักตัวผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในโรงงาน (Factory Accommodation Isolation: FAI) hospital และไอซียู สำหรับผู้ป่วยเขียว เหลือง และแดง ทั้งนี้ การดูแล ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แรงงาน โดยเน้นกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง คนตั้งครรภ์ และออกใบรับรองให้กับบริษัทเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ส่วนการควบคุมจะต้องดำเนินการตามมาตรการ Bubble & Seal ต่อไป

'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กจวกรัฐบาล 'ลูงตู่' ไร้กลไกบริหารประเทศ 7 ปีผ่านไปปัญหาเดิมยังอยู่

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Yingluck Shinawatra' ว่า...

ย้อนไปใน วันที่ 23 สิงหาคม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นวันที่ดิฉันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ด้วยคำมั่นสัญญาที่ว่าจะอยากให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน สร้างความมั่นคงทางรายได้ในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก มีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับภาคอุตสาหกรรมเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมไปถึงการเชื่อมโยงเส้นทาง และสร้างรถไฟความเร็วสูงระหว่างเมืองหลักไปสู่ภูมิภาคอาเซียน เพื่อขยายฐานเศรษฐกิจ และเพิ่มโอกาสทำมาค้าขายให้แก่ประเทศไทยมากขึ้น 

แต่ผ่านไป 10 ปีแล้วหลายอย่างยังย่ำอยู่กับที่ การบริโภคในประเทศยังไม่สามารถเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เรายังคงพึ่งพาการส่งออก และการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤติโรคระบาด รายได้แทบเป็นศูนย์ รัฐบาลขาดยุทธศาสตร์การเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ ประชาชนต้องกู้หนี้ยืมสิน ส่งผลให้อัตราหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงกว่า 90% ค่าแรงแทบไม่ขยับ เงินเดือนปริญญาตรียังอยู่กับที่ แต่ค่าครองชีพกลับถีบตัวสูงขึ้น ขณะที่สินค้าเกษตรตกต่ำยังเป็นปัญหาเดิมที่เผชิญทุกปี แต่รัฐบาลกลับไร้กลไก และมาตรการในการยกระดับราคาสินค้าเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่เกษตรกร ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำของไทยยิ่งแย่ลง รวยกระจุก จนกระจาย ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐก็ย่ำแย่ต้องทำงบประมาณขาดดุล ต้องกู้จนเต็มเพดานซึ่งจะกลายเป็นภาระของประชาชน และเป็นภาพที่ไม่ดีนักต่อสายตานักลงทุน 

หากไม่มีการรัฐประหารในวันนั้น แผนงานต่าง ๆ ที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาคงสำเร็จเป็นรูปธรรมไปนานแล้ว ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สำหรับบางคนเวลา 7 ปีหลังรัฐประหารภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะผ่านไปเร็ว แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วสถานการณ์ความยากลำบากที่เกิดขึ้น มันเป็นความยาวนาน และทรมานของคนไทยทั้งประเทศค่ะ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราต้องมาหาหนทางเริ่มต้นกันใหม่กับโอกาสที่เสียไป


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กลุ่มขันอาสา กลุ่มล้านนาปลดแอก และกลุ่มราษฎรลำปาง จัดกิจกรรม Carsmob ไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากโควิดและเรียกร้องวัคซีนและนายกรัฐมนตรีต้องลาออก

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 22 ส.ค.2564 ที่ จ.ลำปาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสวนสาธารณะห้าแยกหอนาฬิกา อ.เมือง จ.ลำปาง กลุ่มขันอาสา กลุ่มล้านนาปลดแอกและกลุ่มราษฎรลำปาง จำนวนกว่า 300 คน นำโดย เกียรติ ลำปาง แกนนำกลุ่มล้านนาปลดแอก และผู้ประสานงาน ร่วมกันจัดกิจกรรม Carsmob ไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากโควิดและเรียกร้องวัคซีนไฟเซอร์ให้กับทุกคนและนายกรัฐมนตรีต้องลาออก โดยมีป้าเป้า วรวรรณ แซ่อั้ง อายุ 67 ปี ขวัญใจผู้ชุมนุมเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วยและปฎิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

ก่อนเริ่มขบวนมีการตรวจคัดกรองป้าเป้าด้วยวิธี  Antigen Test Kid (ATK) และยืนยันผลการตรวจเป็นลบก่อนปล่อยขบวนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมกว่า 100 คันที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมพร้อมบีบแตร ชูสามนิ้ว และชูป้ายไล่ประยุทธ์ ไปตามถนนฉัตรไชย เลี้ยวซ้ายไปถนนตวงรัตน์ เลี้ยวขวาไปถนนไมตรีถึงบริเวณหน้าสถานีรถไฟนครลำปาง เลี้ยวขวามาตามถนนฉัตรไชยถึงจุดเริ่มต้นบริเวณสวนสาธารณะฯรวมระยะทางไป-กลับประมาณ 10 กม.โดยป้าเป้าขึ้นรถแห่ปราศัยนำขบวนดังกล่าวด้วย บรรยายกาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ป้าเป้า กล่าวว่า อยากจะพูดให้ทุกคนฟัง ทำไมถึงต้องสู้ เพราะสงสารเด็กคิดว่า ประเทศนี้เขากดขี่เราบังคับเรา ไม่เคยอยู่ข้างประชาชน อยากกู้ก็กู้แต่ประชาชนพวกเราต้องหาใช้หนี้โดยที่เราไม่ได้กินเงินภาษีเราเลย ประยุทธ์ต้องออกไป คนเราถ้าอยู่ดีกินดีใครจะออกมาไล่ ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เอาภาษีมาซื้ออาวุธฆ่าประชาชน

ทางด้าน เกียรติ ลำปาง ผู้ประสานงานกลุ่มฯ กล่าวว่า เรามาร่วมตัวกันวันนี้มีวุตถุประสงค์

1.เพื่อเรียกร้องวัคซีน

2.แสดงความไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากโควิด แล

3.พลเอกประยุทธ์ต้องลาออก

เนื่องจากที่ผ่านมา มีโรคระบาดแต่ประชาชนเข้าถึงวัคซีนไม่ได้มันคืออะไร เรื่องนี้เกิดมาปีครึ่งแล้วลูกหลานเรายังไม่ได้ฉีดวัคซีน ไปโรงเรียนไม่ได้ พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ไม่มีรายได้มันกระทบกันไปหมด วัคซีนคือโอกาส รัฐบาลต้องเปิดให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงโดยเร็วที่สุด ซึ่งทุกวันนี้มีคนเสียชีวิตทั่วประเทศ รัฐบาลไม่ทำอะไ ถ้ายังเพิกเฉยเราก็จะจัดกิจกรรมเข้มข้นต่อไปอีก เพราะทุกวันนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีวัคซีนให้ประชาชน จึงฝากถึงพลเอกประยุทุธ์  ท่านอยู่มา 7 ปีครึ่งแล้วลาออกเถอะครับ อยู่มาเกือบ 8 ปี ประเทศมีหนี้มากมายมหาศาล ท่านยังจะอยู่ต่ออีกเหรอ ลาออกเถอะครับเพื่อให้คนอื่นที่มีความสามารถเข้ามาเป็นนายกฯแทนและต้องมาจากเสียงประชาชน ไม่ใช่จากการเลือกของ สว.


ภาพ/ข่าว  วินัย / ลำปาง รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top