Monday, 2 June 2025
NewsFeed

Foxconn ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ยืนยันว่าจะเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ผ่านความร่วมมือกับ ปตท.

กลายเป็นอีกข่าวใหญ่​ เม​ื่อ​ Foxconn ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ยืนยันว่าจะเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ผ่านความร่วมมือกับ ปตท.​ โดย​เฟซบุ๊กเพจ​ 'Billionway'​ ได้ฉายภาพวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า...

กลายเป็นอีกข่าวใหญ่​ เม​ื่อ​ Foxconn ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ยืนยันว่าจะเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ผ่านความร่วมมือกับ ปตท.

Foxconn เป็นใคร?

Foxconn​ บริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับสองของไต้หวัน​ โดยชิ้นส่วนที่เอ่ยปุ๊บจะรู้จักทันที​ ก็คือ​ การผลิตชิ้นส่วนให้กับ iPhone และสมาร์ทโฟนอีกหลาย ๆ เจ้า

แต่ปัจจุบันตลาดสมาร์ทโฟนเริ่มชะลอตัว โตปีละประมาณ 10% ขณะที่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยปีละ 40% ทำให้ Foxconn หันมาขยายธุรกิจทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

ตัดกลับมาที่ ปตท. หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่านี่คือบริษัทมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท เป็นทั้งบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุด และบริษัทจดทะเบียนใหญ่ที่สุดของไทย

ปตท. มีบริษัทลูกที่ทำธุรกิจครอบคลุมด้านพลังงานแทบทุกอย่าง ทั้งสำรวจปิโตรเลียม โรงกลั่น ปิโตรเคมี บริหารปั๊มน้ำมัน ผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงประกันภัย​ ซึ่งพอธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเริ่มเติบโต จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บริษัทพลังงานรายใหญ่ จะให้ความสนใจในเรื่องนี้ด้วย

ล่าสุดทาง Foxconn ประกาศแผนงานของบริษัท ว่าจะมีการเปิดโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าใน 'สหรัฐอเมริกา'​ เพื่อใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Fisker และ 'ประเทศไทย'​ ภายในปี 2022 นี้

สำหรับในสหรัฐอเมริกา คงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นของคนท้องถิ่นมากนัก แต่สำหรับไทย เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจพอสมควร

ทั้งนี้ทางบริษัทฯ​ ก็ยืนยันอย่างชัดเจนว่า โรงงานในไทย จะเป็นการร่วมมือกันกับ ปตท. เพื่อผลิตใช้งานในประเทศ ก่อนที่จะขยายสู่การขายในตลาดอาเซียนต่อไป

โดยโรงงานแห่งนี้ จะมีกำลังการผลิตแรกเริ่ม 150,000 - 200,000 คันต่อปี และน่าจะเริ่มผลิตจริงได้ภายในปี 2023

ข่าวดังกล่าว ตรงกับข่าวที่ ปตท. เคยออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้​ โดยย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีการเซ็นข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง ปตท. และ Foxconn เรียบร้อยแล้ว

ข้อตกลงดังกล่าว เป็นการศึกษาโอกาสในสร้างฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย เพื่อผลักดันไทยให้เปลี่ยนจากอุตสาหกรรมยานยนต์แบบเก่า สู่เทคโนโลยียานยนต์ใหม่

เบื้องต้น คาดว่าจะเป็นการลงทุนร่วมกันราว ๆ 30,000 - 60,000 ล้านบาท ก่อนที่จะขยายต่อไปในอนาคต

ย้อนกลับไปในปี 2019 เคยมีข่าวว่าทาง ปตท. จับมือกับ WM Motors ค่ายสตาร์ทอัปรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ศึกษาเรื่องการทำรถยนต์ไฟฟ้าขายในแบรนด์ตัวเอง หรืออาจจะเป็นตัวแทนเพื่อผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย​ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าภาพของความพยายามเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ ปตท. นั้น จะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของโรงงานผลิตที่ระบุว่าจะเปิดในปีหน้า และเริ่มผลิตได้จริงในปี 2023 นั้น ทาง ปตท. ยังไม่มีการเปิดเผยอะไรออกมา

เพราะฉะนั้น จนกว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม เราก็ยังไม่มีสามารถยืนยันได้แน่นอน 100% ว่าโรงงานดังกล่าวจะเป็นการทำรถยนต์ไฟฟ้าในแบรนด์ของ ปตท. เอง หรือจะเป็นแบรนด์ที่รับผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงรถทั้งคันให้กับเจ้าใหญ่รายอื่น ๆ ในตลาดหรือไม่

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือการลงทุนของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ใน 2 ประเทศนี้ เป็นอีกก้าวหนึ่งที่น่าจับตามอง และอาจจะเป็นสัญญาณถึงจุดเปลี่ยนแปลงในวงการยานยนต์ของไทยด้วย ก็เป็นได้เช่นกัน


ที่มา : https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1274010556374015/

https://techcrunch.com/2021/08/12/foxconn-plans-to-build-ev-factories-in-the-us-and-thailand-in-2022/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สภาฯยกระดับคุมเข้มการแพร่ระบาโควิด เตรียมพร้อมถกงบ 18-20 ส.ค.ตรวจ ATK ผู้เกี่ยวข้องทุกคน 16-17 ส.ค.ส่วน ส.ส.ไม่บังคับหากคิดว่าเสี่ยงก็ตรวจเลย กักบริเวณคนติดตามส.ส.-คนขับรถ ให้อยู่เฉพาะที่  

นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงการประชุมสภาฯในวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประะจำปีงบประมาณ 2565  ว่า เนื่องจากติดเรื่องเคอร์ฟิว นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จึงได้มอบหมายให้ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 หารือร่วมกับวิปทั้ง 2 ฝ่าย ในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 10.30 น. ซึ่งจะทราบว่าการพิจารณางบฯในแต่ละวันต้องเลิกกี่โมง นอกจากนั้นในขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 อย่างมาก ทางสภาฯจึงต้องมีมาตราเข้ม และเหมาะสม  โดยในวันที่ 16 -17 ส.ค.นี้ จะมีการตรวจ Antigen Test Kit  (ATK)ให้กับเจ้าหน้าที่สภาฯที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการประชุม รวมทั้งพนักงานทำความสะอาด  ผู้ประกอบการร้านอาหาร และสื่อมวลชน ทุกคนที่จะเข้ามายังสภาฯในช่วงการพิจารณางบฯ
  
นพ.สุกิจ กล่าวต่อว่า ส่วน ส.ส.จะจัดให้มีการตรวจ ATK ในวันทั้ 18 ส.ค. ซึ่งแล้วแต่ความสมัครใจ จะไม่มีการบังคับ เป็นการให้เกียรติกับส.ส. แต่เชื่ออว่าส.ส.ต้องระวังดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่หากใครสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อหรือไม่ เนื่องจากส.ส.ลงพื้นที่พบปะประชาชน ก็สามารถขอรับการตรวจหาเชื้อได้ นอกจากนี้ทางสภาฯจะประสานขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆที่จะเข้าร่วมประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่าขอความร่วมมือจำกัดจำนวนให้เข้ามาน้อยที่สุด โดยให้หน่วยงานนั้นๆ เป็นผู้รับผิดชอบตรวจคัดกรองเจ้าหน้าที่ และขอให้ส่งรายชื่อผู้ที่จะเข้ามาร่วมชี้แจงมาล่วงหน้า ซึ่งสภาฯจะจำกัดพื้นที่ให้อยู่เฉพาะ รวมทั้งทางเข้าทางออกด้วย 

นพ.สุกิจ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ติดตามส.ส. ขอให้ต้องไม่เกิน 1 คน และจำกัดบริเวณให้อยู่เฉพาะในห้องทำงานส่วนตัวส.ส.ของแต่ละคน ซึ่งส.ส.ต้องรับผิดชอบในการคัดกรองคนของตัวเองว่าต้องปลอดเชื้อโควิด เช่นเดียวกับกรณีของคนขับรถ ทางสภาฯก็จะมีการจำกัดบริเวณให้อยู่เช่นเดียวกัน ส่วนมาตรการป้องกันพื้นฐานเรายังทำเข้มงวดแบบเดิม เช่น วัดอุณหภูมิ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดแบบ และการกรอกแบบคัดกรองทุกวัน จึงต้องขอความร่วมมือทุกคนกรองแบบคัดกรองตามความเป็นจริง

"เพื่อไทย" ปัดตีเช็คเปล่าให้ กกต. กำหนดการเลือกตั้ง แจง หากยุบสภาใน 120 วันที่แก้กม.ลูกไม่แล้วเสร็จ จะเกิดปัญหา ยัน ไม่มีกระหนุงกระหนิงกมธ.ซีกรัฐบาล

ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ…. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยพยายามนำร่างที่ถูกตีตกไปในวาระที่ 1 ของพรรคพลังประชารัฐกลับเข้ามาสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 อีก ว่า ในชั้นนี้เป็นการพิจารณาในชั้นกมธ.ของร่างรัฐสภาที่ผ่านขั้นตอนการรับหลักการมาแล้ว ขณะนี้จะไม่เรียกว่าร่างพรรคประชาธิปัตย์และต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นร่างของรัฐสภา โดยมีหลักในการแก้ไข 2 มาตราที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้ง ซึ่งคำว่าระบบไม่ได้มีเพียงแค่ 2 มาตราแน่นอน ยอมรับว่ากมธ.มีความหนักใจมากโดยเฉพาะการแก้มาตรา 83 เรื่องระบบบัตรเลือกตั้งจาก 1 ใบมาเป็น 2 ใบ 

เมื่อให้โจทย์มาแบบนี้ทางเสียงข้างมากใน กมธ. มีมติชัดเจนว่าเป็นการแก้ไขจากบัตรเลือกตั้ง 1 ใบเป็น 2 ใบ โดยมีการเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งรัฐธรรมนูญเดิมเขียนไว้ว่ามาตรา 84 , 85 , 86 ,87 , 88 , 89 , 90 , 91 , 92 ,93 และ 94 เขียนรองรับเรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียว แต่ที่รัฐสภารับหลักการมา คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยเรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถือว่าเป็นโจทย์ยากที่เรารับมา ทั้งนี้ ต้องมาดูรัฐธรรมนูญที่เหลืออยู่ และแก้ไขให้สอดรับกับมาตรา 83 และมาตรา 91 โดยเฉพาะมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รองรับและสอดรับกัน จึงจำเป็นต้องแก้มาตราอื่นด้วย และยืนยันว่ารัฐสภามีข้อบังคับอนุญาตให้สามารถดำเนินการได้ แต่ห้ามแก้ไขหลักการ เว้นแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับหลักการ 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นปัญหาและเป็นประเด็นในสังคมกล่าวหาว่ากมธ.พรรคเพื่อไทยเขียนเช็คเปล่าให้กกต.ในเรื่องบทเฉพาะกาล และบอกว่าเป็นการพิจารณาเกินหลักการด้วยนั้น ยืนยันว่าบทเฉพาะกาลเขียนไป 2 มาตรา เพราะหากเราแก้รัฐธรรมนูญได้และมีการประการใช้ เกิดมีการเลือกตั้งซ่อมขึ้นมา ก็มีคำถามว่าเราใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่แก้แล้วในการเลือกตั้งหรือจะใช้รัฐธรรมนูญเดิม ซึ่งตนเห็นว่าถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมีการประกาศใช้แล้ว ก็ยังไม่ควรนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปใช้ เพราะจะมีผลใช้กับการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น หากมีการเลือกตั้งซ่อมในช่วงนี้ห้ามนำมาใช้ เพราะจะมีปัญหาในสภาว่า ส.ส.สภาเดียวกันจะมาจาก 2 ระบบ และเกิดการตีความทำให้สภาทำงานไม่ได้ และอาจทำให้สภาล่มได้ จึงเป็นที่มาของการเขียนบทเฉพาะกาลเพื่อป้องกันการตีความว่ายังไม่ควรนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้ และหลังจากฉบับรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขประกาศใช้แล้ว รัฐสภาต้องไปทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการประกอบการเลือกตั้งให้เสร็จภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ 

เพื่อนำมาใช้ในการเลือกตั้ง และเราเป็นห่วงว่าหากภายใน 120 วันนี้เกิดการประกาศยุบสภาโดยที่กฎหมายลูกยังไม่เสร็จแต่รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว กกต.ก็จะต้องจัดการเลือกตั้งภายใต้การออกประกาศข้อกำหนดของ กกต. ได้ โดยยึดสิ่งที่รัฐธรรมนูญแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปประกาศเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานได้ แต่พรรคเพื่อไทยกลับถูกหาว่ายัดไส้และทำเกินหลักการ ไปมอบอำนาจให้ กกต. ตนถามว่าหากไม่มอบอำนาจให้ กกต. จะเกิดการเลือกตั้งได้หรือ หรือจะให้ฝ่ายบริหารออกพระราชกำหนดประกาศให้มีการเลือกตั้ง ถามว่าจะเอาแบบนั้นหรือ ซึ่งเราก็ไม่เอา ระหว่างเลือกกกต.กับฝ่ายบริหาร เราเลือกกกต.มากกว่า

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเขียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ใช้โอกาสยุบสภาเร็วขึ้นนั้น คนพูดไล่พล.อ.ประยุทธ์ทุกวันให้ออกไป แต่พอมาสู้กันในมุมกฎหมายกลับย้อนแย้งเสียเอง ซึ่งตนก็อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาโดยเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่คนต้องการมากที่สุดคือให้พล.อ.ประยุทธ์ออกไป อย่างไรก็ตามยืนยันว่าในกมธ.ไม่มีความขัดแย้งและไม่มีการกระหนุงกระหนิง เพราะทุกความคิดเห็นที่เสนอโดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ใช่ความคิดเห็นของตนเพียงคนเดียว แต่เราผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากพรรคมาเพื่อเสนอให้เป็นไปในด้านที่ดีที่สุด ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะให้รัฐสภาตีความเรื่องข้อบังคับที่เราใช้นั้นใช้ไม่ได้ ก็สามารถทำได้ หรือจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาหลักผ่านวาระที่ 3 ก็ทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็ต้องรอจังหวะเวลา ยืนยันว่าทุกอย่างไม่ได้พิจารณาอย่างร้อนรน เพราะมีเพียงแค่ 2 มาตรา
 

เช็กด่วน‼️ ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยานักเรียนเอกชน 2,000 บาท ทางออนไลน์

ตรวจสอบสิทธิ์นักเรียนโรงเรียนเอกชน ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ให้แก่ผู้ปกครองในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( สำหรับโรงเรียนเอกชนเท่านั้น )

✅นักเรียนไทยใช้เลขประจำตัวประชาชน
✅ส่วนนักเรียนต่างชาติหรือนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน สามารถตรวจสอบได้โดยใช้รหัส G-Code ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด โดยสามารถขอทราบรหัส G-Code ได้ที่โรงเรียนที่ตนศึกษาอยู่

????ตรวจสอบสิทธิ์ คลิก
https://regis.opec.go.th/regis/Login.htm?mode=initHelp

ทั้งนี้ สช. ได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปกครองโดยเพิ่มช่องทางให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์การได้รับความช่วยเหลือเยียวยานักเรียนดังกล่าว ผ่าน Application สช. On mobile 

สามารถดาวน์โหลด Application สช. On mobile ได้ที่ Play Store และ App Store 

‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ กลับสู่วงการท้าความอึด เตรียมโชว์แกร่ง วิ่งระยะ 300 กิโลเมตร พิชิตเทือกเขามงต์บลังค์ของฝรั่งเศส ปลายเดือนนี้

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เตรียมโชว์พลังอึด ร่วมแข่งขันวิ่งเทรลรายการโหด รายการดังของโลก ‘อัลตร้า เทรล ดู มงต์บลังค์’ ที่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 23-29 ส.ค.นี้

เฟซบุ๊ก แฟนเพจ ‘Thailand by UTMB’ ระบุว่า ธนาธร จะไปแข่งแบบทีม ชื่อทีม ทรูเซาธ์ไทยแลนด์ (True South Thailand) ลงระยะทางรวม 300 กิโลเมตร ความสูงสะสม 25,000 เมตร เส้นทางทรหด ผ่าน 3 ประเทศ ฝรั่งเศส, อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ ของเทือกเขามงต์บลังค์ ซึ่งแต่ละปีเส้นทางจะเปลี่ยนไป ซึ่งในการคัดเลือกนั้น คัดจากประสบการณ์ของผู้สมัครในแต่ละทีม ตัวแทนนักกีฬาไทยที่ไปเข้าร่วมแข่งขันมีเพียง 1 ทีม นอกจาก ธนาธร แล้ว ยังมี ‘ซึง’ สว่างจิต แซ่โง้ว หญิงแกร่งหนึ่งเดียวในทีม และ ‘แอล’ สุภัทร บุญเจือ นักวิ่งเทรลคนดัง

ทั้งนี้ทีม True South Thailand เป็นโครงการที่รวบรวมผู้คนที่มีใจรักในการผจญภัยเพื่อเดินทางด้วยเท้ามากกว่า 1,000 กิโลเมตร เป้าหมายของการเดินทางคือ เป็นคนไทยกลุ่มแรกที่พิชิตขั้วโลกใต้ด้วยการเดินเท้า ซึ่ง นายธนาธร เองก็เคยลุยโครงการนี้ ก่อนหยุดไปเพราะหันเข้ามาสู่การเมืองเสียก่อน

สำหรับ นายธนาธร นั้นก่อนเข้ามาสู่แวดวงการเมือง ลุยแข่งขันวิ่งระดับอัลตร้า และไตรกีฬาอย่างต่อเนื่อง แม้มาสู่การเมืองแล้ว ก็ยังหาเวลาซ้อม และลงสนาม เมื่อ 2 ปีก่อน เคยวิ่งระห่ำข้ามคืน 300 รอบสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมระยะ 120 กิโลเมตร


ที่มา : https://www.facebook.com/THbyUTMB/photos/a.124275428966387/665535238173734/

https://www.dailynews.co.th/news/153557/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เตรียมเรียก ‘ผู้บัญชาการ คฝ.’ แจงเหตุสลายม็อบรุนแรง เตือน มีแต่รัฐเผด็จการเท่านั้นที่กระทำกับประชาชนเยี่ยงศัตรู ย้ำ การละเมิดสิทธิและก่ออาชญากรรมโดยรัฐ คือสิ่งไม่ปกติในสังคมประชาธิปไตย 

นายณัฐชา​  บุญไชยอินสวัสดิ์​ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล​ ในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและ​การมีส่วนร่วมของประชาชน​ แสดงความเห็นต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการชุมนุมช่วงที่ผ่านมาว่า ด้วยหลายปัจจัยสะสมตั้งแต่หลังการรัฐประหารจนถึงสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่ล้มเหลวและผิดพลาดร้ายแรง ปัญหาปากท้องข้าวยากหมากแพง คนตกงาน การบริหารราชการแผ่นดินด้วยความไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม รวมถึงการบังคับใช้อำนาจกฎหมายอย่างล้นเกิน ล้วนเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นในสังคม ซึ่งการชุมนุมเพื่อแสดงออกและการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาถือเป็นสิทธิโดยชอบของประชาชนและเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย หากมีการกระทำใดที่ผิดกฎหมายก็ต้องมีมาตรการดำเนินการอย่างได้สัดส่วน แต่ที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากถึงการใช้ความรุนแรงอย่างไร้เหตุผลและไม่ได้สัดส่วนในการจัดการการชุมนุม จึงอยากเรียกร้องให้ตระหนักถึงสิทธิของประชาชนและใช้อำนาจอย่างพึงระวังและไม่ขัดต่อหลักการของกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่   

“นอกจากนี้ ผมอยากขอชวนพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันจับตาการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเย็นวันนี้ ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลไม่ใช่เพื่อปกป้องการใช้อำนาจด้วยคำสั่งอันไม่ชอบธรรม จะเห็นว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและหลังจากนี้ไป การชุมนุมของพี่น้องประชาชนเกิดขึ้นติดต่อกันเกือบทุกวันและทุกครั้งจะได้ยินข่าวจากสื่อมวลชนถึงความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกินกว่าเหตุ​ หรือในสื่อโซเชียลมีเดียที่ปรากฏภาพความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำต่อพี่น้องประชาชนหรือสื่อมวลชน​จำนวนมาก ปัญหาของสังคมไทย ณ ขณะนี้คือ เมื่อพี่น้องประชาชนมีปัญหา เขาไม่รู้จะเรียกร้องความเป็นธรรมได้จากใคร​ เพราะรัฐบาลเองก็บริหารประเทศแบบไม่เห็นหัวประชาชนในทุกเรื่องแล้วยังปิดกั้นการแสดงออกด้วยความรุนแรงเช่นนี้อีก”

นายณัฐชา กล่าวต่อไปว่า สิทธิการชุมนุมเป็นหลักการสำคัญในสังคมประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องให้การรับรองและคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเป็นภาครัฐเองที่พยายามจะทำลายหลักการนี้ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยกันปกป้อง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือขอให้พี่น้องประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา รายงานข้อเท็จจริงออกมาให้มากที่สุด​ เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องชำระต่อไปในอนาคตและทำให้ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมโลก​ เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ประชาคมโลกต่างตั้งคำถามต่อรัฐไทยว่ายังเป็น​รัฐที่ทำหน้าที่ภายใต้ระบอบประชาธิไตยหรือไม่ และเหตุใดจึงปฏิบัติต่อประชานเยี่ยงอริราชศัตรู​ เพราะคงมีแต่รัฐเผด็จการเท่านั้นที่จะทำกระทำเยี่ยงประชาชนเป็นศัตรูเช่นนี้

“ในครั้งนี้ ผมขอสื่อสารไปยังเจ้าหน้าที่ประดับปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชุมนุมวันนี้เช่นกันว่า ​ก่อนกระทำการใด​ โปรดระลึกไว้ว่า คุณและผู้ชุมนุมก็คือประชาชนเหมือนกัน​ มีพ่อแม่ครอบครัวอยู่ข้างหลัง​ การออกมาเรียกร้องของผู้ชุมนุมเพราะเขาต้องการเห็นประเทศไทยที่พวกเราทุกคนรวมถึงคุณด้วยจะสามารถมีชีวิตได้อย่างมีความหวังและมีอนาคต​ พวกคุณสามารถเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งได้ด้วยความสามารถ ไม่ใช่ด้วยการเข้าหานายหรือมีเส้นสายเป็นเด็กฝากของใคร ผมเชื่อในตัวพวกคุณทุกคนว่าจะยังรักในเกียรติ ในศักดิ์ศรี และมีความรักต่อประชาชน ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่จะยินยอมกระทำตามในสิ่งที่ผิดอย่างปราศจากมโนสำนึกอย่างไรก็ตาม ผมในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ​ ได้แต่งตั้ง​ ส.ส.อมรัตน์​ โชคปมิตต์กุล​ กรรมาธิการฯเป็นประธานติดตามการชุมนุมเพื่อสังเกตการณ์และรวบรวมเหตุความรุนแรงและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งต่อพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน​ เพื่อรายงานต่อที่ประชุมกรรมาธิการใหญ่ และจะเรียก​ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการต่อไป​ และผมในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการ ยืนยันว่าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ยอมให้มีการละเมิดสิทธิหรือการก่ออาชญากรรมโดยรัฐกลายเป็นสิ่งปกติในสังคมประชาธิปไตยอย่างแน่นอน”

สุดท้าย นายณัฐชา ยังกล่าวต่อไปว่า อยากฝากไปยังรัฐบาลว่า​ การกระทำที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานที่ล้มเหลว​ในการจัดการโรคระบาดแล้วมองหาช่องทางนิรโทษกรรม​ รวมไปถึงการไล่ล่าจับกุมคุมขังและปิดปากประชาชน เพื่อยืดเวลาต่ออำนาจในการบริหารประเทศท่ามกลางความป่นปี้เช่นนี้​ ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอกที่ตะเกียกตะกายและกัดไปทั่วขอแค่มีชีวิตรอดโดยไม่สนใจว่าประเทศจะพังพินาศไปขนาดไหน การกระทำเช่นนี้ต่างหากที่สมควรต้องถูกจัดการเพราะถือเป็นศัตรูอันเป็นภัยสูงสุดต่อประเทศอย่างแท้จริง

'ศรีสุวรรณ' เข้าร้องเรียนกล่าวโทษนายปิติ ภิรมย์ภักดี หรือต๊อด ทายาทเครื่องดื่มตราสิงห์ ฐานนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ

เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ศูนย์ราชการฯ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้าร้องเรียนกล่าวโทษนายปิติ ภิรมย์ภักดี หรือต๊อด ทายาทเครื่องดื่มตราสิงห์ ฐานนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ กรณีโพสต์เฟซบุ๊กตำหนิการจัดสรรวัคซีนของรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้นั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การโพสต์ข้อความที่เป็นประเด็นปัญหาก็คือคำว่า “ด่านหน้าต้องจับฉลากเพื่อจะได้ฉีด บางโรงบาลใช้วิธีผสมน้ำเพื่อให้ครบคน ผมขอสละตัวเองเป็นกระบอกเสียงให้พวกเค้าครับ และเมื่อผมเอาจริงคือเอาจริง” การโพสต์ข้อความดังกล่าวมีสื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ได้นำไปเผยแพร่อย่างมากมาย ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และเป็นที่สงสัยกันมากว่า วัคซีนที่แพทย์พยาบาลกำลังฉีดให้กับประชาชน เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 อยู่ในขณะนี้มีการ “ผสมน้ำ” ในบางโรงพยาบาลเพื่อฉีดให้กับประชาชนได้ด้วยหรือ

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หรือหากจะแก้ตัวว่าผิดหลงเขียนไม่ครบตกคำว่า “เกลือ” ไปก็ไม่อาจฟังขึ้น เพราะใช้คำว่า “บางโรงบาลใช้วิธีผสมน้ำเพื่อให้ครบคน” อยู่ด้วย เป็นการกล่าวหาแพทย์ พยาบาลว่ามีการใช้วัคซีนผสมน้ำ ซึ่งไม่มีหลักวิชาการทางการแพทย์ที่ไหนในโลกเขาทำกัน และก่อนหน้านี้กรมควบคุมโรคก็ออกมาชี้แจงอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า “วัคซีนบางชนิดมีความเข้มข้น ต้องผสมกับน้ำเกลือ (Normal Saline) ซึ่งในโรงพยาบาลก็มีการใช้น้ำเกลือที่ได้มาตรฐานอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นการผสมน้ำอย่างแน่นอน” การโพสต์ข้อความดังกล่าว เชื่อว่ามีเจตนาตาม ปอ.มาตรา 59 ที่ไม่เป็นไปตามปกติวิสัยที่ปุถุชนพึงกระทำได้ แต่ถ้าคุณต๊อดยืนยันว่ามีหลักฐานความจริง ขอให้เปิดเผยออกมาว่ามีโรงพยาบาลแห่งใด ใช้วิธีการผสมวัคซีนดังกล่าว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แต่ถ้าไม่มี ก็พึงระลึกไว้เถิดว่า การโพสต์หรือเขียนข้อความในลักษณะดังกล่าว โดยการนำเข้าข้อความสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นความผิด เพราะมีลักษณะที่เป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และอาจเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศฯ มีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขปี 2560 ม.14(2) ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความมาร้องต่อ ปอท. เพื่อแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายด้งกล่าวต่อนายต๊อด ปิติ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในสังคมต่อไป แม้จะเขียนว่า “เมื่อผมเอาจริงคือเอาจริง” เพราะเป็นคนดัง คนรวยและใหญ่แค่ไหน ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศบค.ใหญ่ จ่อถก คลายล็อกธนาคาร-ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้าง จันทร์ 16 ส.ค.นี้

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่สมาคมศูนย์การค้าไทย หรือ TSCA เสนอภาครัฐให้มีการทบทวนมาตรการ ขอผ่อนปรนให้ 4 ธุรกิจหลักที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของประชาชน สามารถเปิดให้บริการได้ในศูนย์การค้า ได้แก่ 1.ธนาคาร สถาบันการเงิน 2.ธุรกิจสื่อสาร ไอที 3.ร้านเบ็ดเตล็ด 4.ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น ว่า ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. ได้รับทราบเรื่องราวต่างๆที่มีการยื่นร้องเรียนเข้ามาทางอีโอซี กระทรวงสาธารณสุขแล้ว และจะต้องมีการพิจารณาว่ามีผลในเรื่องการป้องกันควบคุมโรค โควิด-19 อย่างไรในกลุ่มเฉพาะต่างๆที่จะขอผ่อนคลาย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มาตรการขณะนี้เข้มที่สุดแล้วแต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็ได้รับทราบความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ในแต่ละกลุ่มในแต่ละสถานที่อยู่เสมอและจะต้องนำมามองในภาพรวม และภาพย่อย แล้วจึงตัดสินใจ ซึ่งในวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคมนี้จะมีการประชุมศบค. ชุดใหญ่ ในช่วงบ่ายดังนั้น จะได้ข้อสรุปกันในวันนั้นและหากมีผลการประชุมเป็นอย่างไร ตนจะแถลงข่าวให้ทราบ อย่างไรก็ตาม จากนี้จะมีการนำเสนอชุดข้อมูลที่น่าสนใจทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เพื่อนำเสนอและวิเคราะห์ นำไปสู่ ทิศทางการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน

ศปก.ศบค. แจงยิบ ไฟเซอร์ ไม่หาย ไม่มีฉีดวีไอพี ทำบันทึกทุกขั้นตอน ยันโปร่งใส ระบุ ปม บุคลากรการแพทย์ เสียชีวิตหลังฉีดไฟเซอร์เข็ม3 นำผลชันสูตร เข้าคกก.ผู้เชี่ยวชาญอาการไม่พึงประสงค์

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรค และภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน ร่วมแถลงข่าวประจำวันของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กรณีการเฝ้าระวัง และเหตุการณ์อาการไม่พึงประสงค์ภายหลังจากการฉีดวัคซีน โควิด-19 ว่า สำหรับการบริหารวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาค 1.5 ล้านโดส ขอย้ำว่านโยบายในการบริหารให้มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีล็อตไหนที่มีการสูญหาย ได้มีการแบ่งชัดเจนว่าจะไปในกลุ่มใดบ้าง และย้ำว่าไม่มีประเด็นของการฉีดวีไอพี หากประชาชน พบเห็นและมีข้อสงสัย สามารถแจ้งเข้ามาได้เพื่อที่จะได้มีการตรวจสอบ ยืนยันเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า วัคซีนดังกล่าวสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเสี่ยงที่จะสัมผัสผู้ป่วย จำนวน 700,000 โดส จัดสรรลงพื้นที่ที่มีการระบาด จำนวน 645,000 โดส ใช้สำหรับเพื่อการศึกษาวิจัยจำนวน 5,000 โดส ให้กลุ่มประชากรที่กระทรวงการต่างประเทศดูแล จำนวน 150,000 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การกระจายวัคซีนไปยัง 77 จังหวัด ส่งเป็นสองรอบโดยรอบแรกส่งไปแล้ว 442,800 โดส เริ่ม 4-5 ส.ค. ส่งรอบที่สอง เริ่มทยอยส่งมาตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. และมีการติดตามข้อมูลอยู่โดยตลอด เพื่อดูฐานข้อมูลและปริมาณการฉีดของแต่ละที่ที่ได้ไป พื้นที่ก็จะได้ใช้ตรวจสอบ ดังนั้นถ้าใครเข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคลากรมีความเสี่ยง แต่ยังไม่มีรายชื่อได้รับจัดสรรก็สามารถแจ้งต่อผู้บริหารเพื่อที่จะดูหลักเกณฑ์และส่งชื่อเข้ามาได้ หากตรงตามหลักเกณฑ์แล้วก็จะได้รับการฉีดครบถ้วนทุกคน ซึ่งคาดว่าการส่งในรอบที่สองนี้จะถึงพื้นที่ไม่เกินวันที่ 14 ส.ค. การทะยอยส่งวัคซีนเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ เรื่องการจัดเก็บ ดูแล การรักษาอุณหภูมิ 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในส่วนกลุ่ม608 คือกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 7กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป มีการจัดส่งไปแล้ว 320,880 โดส ใน 13 จังหวัด ซึ่งในส่วนที่เหลือก็จะจัดส่งในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งการแยกส่งอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการเพราะวัคซีนที่ส่งไปในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้นั้น เมื่อฉีดเข็มที่หนึ่ง 3 สัปดาห์ถัดไป จะต้องนัดฉีดเข็มที่สอง ซึ่งถ้าหากส่งไปล็อตเดียวกัน วัคซีนไปจัดเก็บในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ เป็นตู้เย็นปกติจะสามารถเก็บอยู่ได้เพียง 1 เดือน ดังนั้นอาจทำให้วัคซีนเสื่อมสภาพได้ การทยอยส่งจะได้ให้เกิดการบริหารการนัดหมายฉีด และอยู่ในระยะเวลาที่วัคซีนมีคุณภาพดี

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การฉีดวัคซีนในคนต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ในคนไทย หรือนักเรียนที่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็มีความก้าวหน้าในการฉีด โดยฉีดไปแล้ว 280,075 คน คิดเป็น 5.72% ของจำนวนประชากรต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย และมีที่ได้รับวัคซีนสองเข็มไปแล้ว 74,587 คน ผู้สูงอายุ 20,903 คนคิดเป็น 7.5 % ของกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยในประเทศไทย 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในส่วนของสัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ส่วนหนึ่งได้รับการฉีดในพื้นที่ระบาด เพื่อควบคุมการระบาด จำนวน 140,000 กว่าราย จีน โดยมีวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากประเทศจีน ที่ฉีดให้ทั้งคนจีนและคนไทยด้วย 37,000 ราย กัมพูชา ลาว ญี่ปุ่น ลดหลั่นลงไป ในส่วนของนักเรียนไทยที่จะต้องเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ฉีดไปแล้ว 2,878 ราย 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การฉีดวัคซีนสะสมถึงเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมเวลา 18.00 น. ยอดฉีดสะสมทั้งสิ้น 22 ล้าน โดสแล้ว จำนวนผู้ได้รับบักซีนเข็มหนึ่ง 17 ล้านราย(23.9%) เข็มสอง 4.8 ล้านราย เข็มสาม ซึ่งเป็นการกระตุ้นในบุคลากรการแพทย์ 414,066 ราย ถ้าแยกเป็นยี่ห้อวัคซีนไม่ว่าจะเป็นเข็มใดก็ตาม ซิโนแวก 10.7 ล้านโดส แอสตร้าเซเนกา 9.6 ล้านโดส ซิโนฟาร์ม 1.7 ล้านโดส ไฟเซอร์ 286,000 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในช่วงนี้มีกรณีที่เป็นข่าวบุคลากรการแพทย์หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่สาม เป็นบุคลากรที่อยู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางคลาน จังหวัดพิจิตร เพศชาย อายุ 44 ปี หลังจากฉีดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พบว่าเสียชีวิตในวันที่ 11 สิงหาคมซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติและครอบครัวกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ที่เสียสละทุ่มเทในการทำงานอาจจะด้วยความเสี่ยงด้านสุขภาพ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตขึ้นมา ทั้งนี้รายละเอียดการชันสูตร ได้รวบรวมข้อมูลนำเข้าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ต่อไป แล้วจะได้นำมารายงานให้ทราบ

'ตุรกี' เผย ฉีดวัคซีน Sinovac 3 เข็ม ระดับปกป้องสูงกว่าฉีด mRNA เป็นเข็มที่ 3

ฟาเรตติน โคชา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขตุรกี เผยว่า การศึกษาของตุรกีในประชากรที่ฉีดวัคซีนกว่า 30 ล้านคนบ่งชี้ว่าคนที่ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 3 เข็มมีระดับการปกป้องสูงกว่าคนที่ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มแล้วฉีดวัคซีนชนิด mRNA เป็นเข็มที่ 3

แม้ว่ารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขตุรกีจะเลี่ยงการระบุยี่ห้อของวัคซีน แต่เจ้าตัวหมายถึงวัคซีนเชื้อตายของ Sinovac จากจีน และวัคซีนชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech ที่ใช้ในตุรกี

ชาวตุรกีส่วนใหญ่มักเลือกฉีดวัคซีนของ Pfizer เป็นเข็มที่ 3 เนื่องจากเชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าวัคซีนของจีน แต่การวิจัยดังกล่าวชี้ว่าการฉีดวัคซีนยี่ห้อเดียวกันมีประสิทธิภาพมากกว่า

ขณะนี้นักวิจัยกำลังติดต่อกับวารสารวิทยาศาสตร์เพื่อตีพิมพ์ผลการวิจัยฉบับเต็ม

ทั้งนี้ ตุรกีได้รับวัคซีนของ Sinovac หลายสิบล้านโดสตั้งแต่ช่วงต้นปีและเริ่มฉีดเป็นวงกว้างในกลุ่มประชากรสูงอายุนับตั้งแต่นั้น ส่วนวัคซีนของ Pfizer-BioNTech ถึงมือตุรกีเมื่อเดือน มี.ค. โดยรัฐบาลเร่งจัดหาเพิ่มเติมตั้งแต่เดือน มิ.ย.


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/660392


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top