Monday, 2 June 2025
NewsFeed

อาสาสมัครฉีดวัคซีน ChulaCOV-19 เผย รอดจากการติดเชื้อได้ หลังจากใกล้ชิดผู้ติดเชื้อหลายครั้ง

จากเฟซบุ๊ก​ 'Sukrit Terapanyarat'​ โดย​ สุกฤษฏิ์ ธีระปัญญารัตน์​ นักเขียนอิสระ และเจ้าของร้านหนังสือเปเปอร์ ยาร์ด ได้นำเสนอประสิทธิภาพวัคซีน​ ChulaCOV-19 ที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยผ่านมุมมองของเขาที่ได้เป็นอาสาสมัครจริงในการทดสอบผลลัพธ์ของวัคซีนว่า..

ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า ทางโครงการวิจัยไม่ได้มีการเปิดเผยเลขภูมิคุ้มกันของวัคซีนแก่ อสม. เพียงแต่บอกได้ว่ามันดีมาก

ดังนั้น นี่จะเป็นการรีวิวและอธิบายจากประสบการณ์จริง เมื่อที่บ้านและออฟฟิศของผม ติดโควิดเกือบยกครัว แต่ "ผม" เป็นคนเดียวที่ไม่ติด

1.) วัคซีน ChulaCOV ถูกพัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โดย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม

2.) วัคซีน ChulaCOV เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่มีพัฒนาและวิจัยต่อยอดจาก Moderna ดังนั้นประสิทธิภาพที่ออกมาจึงมั่นใจได้ว่าเทียบเท่า Pfizer และ Moderna หรืออาจจะดีกว่าสำหรับการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตา เพราะกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อไปหลังจากทดสอบกับ อสม. กลุ่มแรก

3.) ผมได้รับวัคซีนขนาด 25 ไมโครกรัม (ใช้น้อยกว่า Pfizer) จำนวน 2 โดส ฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์

4.) อาการและผลข้างเคียง :

[โดสแรก] วันที่ 24 มิ.ย. 64 - มีอาการปวดหัวและอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดต่อเนื่องราว ๆ 2-3 วัน ไม่มีไข้ และยังทำงานได้ปกติ

[โดสสอง] วันที่ 15 ก.ค. 64 - ปวดหัวหนักกว่าโดสแรก หลังจากฉีด 2 ชั่วโมง และถึงขั้นซมหลังฉีด 6 ชั่วโมง มีไข้หรือตัวรุม ๆ แต่ไข้ไม่สูง ปวดหัวตลอดทั้งคืน กว่าจะทุเลาลงก็คือวันที่สอง ซึ่งนอนซม รบกวนการทำงานแน่นอน หลังจากนั้นไข้หายในสองวัน ส่วนอาการปวดหัวจะต่อเนื่องไปร่วม 3-4 วันเลยทีเดียว

5.) หลังจากฉีดวัคซีนครบสองโดสได้ราวหนึ่งสัปดาห์ พ่อของผมเริ่มมีอาการป่วย ปวดหัว ไอ ส่วนพนักงานที่ออฟฟิศไปตรวจโควิด Rapid Antigen Test ผลปรากฏว่าติดโควิด จึงมีการตรวจกันทั้งบ้าน

ผลลัพธ์ : พนักงานออฟฟิศติด 2 คน ไม่ติด 1 (ซึ่งคนที่บ้านของพนักงานติดเกือบยกครอบครัว), และพ่อของผม

6.) เพื่อความแน่ใจ ทางโครงการวิจัยได้นัดให้ผมไปตรวจ RT-PCR อีกรอบ เพราะผมกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดผู้ป่วย ซึ่งผลออกมาว่า ผมไม่มีเชื้อโควิดจริง ๆ

7.) คุณพ่อมีอาการหนักสุด ส่วนพนักงานแทบไม่มีอาการ ได้ทำการรักษาตามอาการแบบ Home Isolation แยกบ้านกันอยู่

8.) เหตุการณ์เหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ อยู่ ๆ อาการคุณพ่อก็ทรุดหนัก ไข้ขึ้นสูง SpO2 ลดลงต่อเนื่องจาก 95 เหลือ 92 ในตอนเย็น และเหลือ 89 ในตอนกลางคืน ไม่ค่อยมีสติและลำบากในการสื่อสาร

9.) ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาโรงพยาบาลด่วน ซึ่งอย่างที่ทุกคนทราบคือ ทุกที่เตียงเต็ม แต่โชคดีที่ติดต่อโรงพยายาลสมุทรสาครได้ ถึงกระนั้น โรงพยาบาลก็ไม่มีรถฉุกเฉิน จำเป็นที่เราจะต้องขับรถไปเอง

วันนั้น (29 ก.ค.) หลังจากเพิ่งตรวจ RT-PCR ในวันเดียวกัน ผมต้องใกล้ชิดคุณพ่อที่เป็นผู้ป่วยอีกครั้ง ครั้งนี้มีการสัมผัสและใกล้ชิดมาก แต่ด้วยความจำเป็นต้องพาไปโรงพยาบาล จึงไม่มีทางเลือก (อุปกรณ์ป้องกันมีเพียง หน้ากากอนามัยสองชั้น face shield และถุงมือยาง)

10.) พ่อของผมโชคดีที่ห้อง ER มีเตียงว่าง ได้รับการรักษาและรับยาฟาวิฯ ทันที แม้จะยังไม่เคยตรวจ PCR มาก่อน ก่อนจะได้แอดมิทที่โรงพยายาลสมุทรสาคร แม้จะเป็นผู้ป่วยนอก ซึ่งปัจจุบันอาการดีขึ้นมากแล้ว ย้ายไปโรงพยาบาลสนาม และใกล้จะได้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน

11.) ส่วนตัวผมเองยังมีนัดต้องไปเจาะเลือดเก็บตัวอย่างกับทางโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อวัดภูมิวัคซีนหลังฉีด 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากผมสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงประมาณ 12 วัน ไม่ได้มีอาการอะไร จึงได้ทำการ Rapid Antigen Test อีกครั้ง และผลก็ออกมาบอกว่า ผมไม่มีเชื้อ

อย่างที่เห็นก็คือว่า ผมผ่านการเสี่ยงติดเชื้อมาแล้วถึงสามครั้ง และตรวจสามรอบ

ครั้งที่ 1 - คือการทำงานในออฟฟิศ อยู่กับผู้ที่ติดเชื้อโควิด ในช่วงที่เชื้อกำลังฟักตัวและไม่มีอาการ

ครั้งที่ 2 - หลังจากคนรอบข้างอาการเริ่มออก ผลจรวจออกมา เริ่มมีการให้พนักงาน WFH แต่ก่อนหน้านั้น ผมเองยังคงต้องขับรถ ร่วมโดยสารกับผู้ที่ติดเชื้อทุกวัน

ครั้งที่ 3 - กลับมาสัมผัสผู้ป่วยโควิดโดยตรงอีกครั้ง หลังจาก distancing กันมานานสัปดาห์นึง

ด้วยผลทดสอบนี้ น่าจะบ่งบอกได้ดีถึงประสิทธิภาพของวัคซีน mRNA ได้ดีในระดับนึง และเป็นเหตุผลว่า ทำไมวัคซีน ChulaCOV น่าจะเป็นวัคซีนตัวความหวังของคนไทย สำหรับคำถามว่า "คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนตัวนี้เมื่อใด"

คำตอบก็คือ กว่าจะวิจัยพัฒนาและทดสอบกลับ อสม. กลุ่มสอง กลุ่มสามเสร็จ น่าจะช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2565 เลยครับ ถึงกระนั้น ถ้ามันฉุกเฉินจริง ๆ ไม่แน่ว่า อาจจะมีการใช้วัคซีนตัวนี้เป็น เข็มสาม ในช่วงปลายปี

และที่สำคัญที่สุด ถึงแม้จะได้วัคซีนที่ดีแล้วยังไง การ social distancing ก็ยังสำคัญ เพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับสหรัฐฯ ตอนนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค


ที่มา : https://www.facebook.com/peecee131


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี จับกุมตรวจยึดยาเสพติดประเภท 1 ยาบ้า จำนวน 102,000 เม็ด ที่ลักลอบข้ามฝั่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ได้จัดกำลัง ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว กองร้อยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 2105 ซึ่งมี พันตรี ยงยุทธ ดวงสุริยา ผู้บังคับกองร้อยกองร้อยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 2105 บูรณาการร่วมกับ สภ.โพนพิสัย, ฝ่ายปกครองอำเภอโพนพิสัย โดยได้รับแจ้งจากสายลับแจ้งว่าจะมีการลักลอบส่งมอบยาเสพติดตามเส้นทางการเกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณหมู่บ้านหนองกุ้งใต้ หมู่ที่ 2 ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

จึงได้วางกำลังเข้าดักซุ่มจนกระทั้งถึงเวลา 07.15 น. พบเรือกรีบเพลาลอยลำมายังริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมกับได้โยนสิ่งของ เป็นกระสอบสีดำ จำนวน 1 กระสอบ ขึ้นมายังริมฝั่งแม่น้ำโขงแล้วกลับออกไปทันที เจ้าหน้าที่จึ่งซุ่มรออยู่จนกระทั้ง เวลา 08.30 น. ได้มีบุคคลขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา 2 คน โดยรถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาจอดยัง จุดที่โยนกระสอบดังกล่าวพร้อมกับได้ลงมาแบกกระสอบเพื่อกลับขึ้นรถจักรยานยนต์

เจ้าหน้าที่จึงแสดงตนจะเข้าทำการตรวจสอบ แต่เมื่อบุคคลดังกล่าวพบเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ จึงแสดงอาการกำลังจะวิ่งหลบหนี ชุดเจ้าหน้าที่จึงเข้าควบคุมตัว หลังจากนั้นชุดจับกุมจึงตรวจสอบภายในกระสอบพบเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 จำนวน 17 แพ็ค ประมาณ 102,000 เม็ด จึงได้นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งต่อไปยัง สถานีตำรวจภูธรโพนพิสัย เพื่อดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว  เดวิท โชคชัย รายงาน

สมเด็จธงชัย มอบชื่อไทยใหม่ 'ชัชชัย ชเว' ให้โค้ชเช หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564 ณ วัดไตรมิตร ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย “โค้ชเช” ชเว ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย และ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2020 เข้าพบ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ “สมเด็จธงชัย”

โดยโอกาสนี้ “สมเด็จธงชัย” ได้มอบชื่อไทย ชัชชัย ชเว ให้กับ โค้ชเช หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย

ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยด้วยว่า ก่อนเดินทางไป “โตเกียวเกมส์” ทีมเทควันโดของไทย ได้เข้าพบ “สมเด็จธงชัย” โดยได้รับมอบยันต์มาทั้งทีม ซึ่งตัว “โค้ชเช” เผยว่า ตนได้พกติดตัวไปด้วย และนำไปใช้ระหว่างการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย

สำหรับชื่อ ชัชชัย ของ “โค้ชเช” แปลว่า “มีชัยชนะที่มั่นคง” โดยวันนี้ (13 ส.ค.) จะยื่นเอกสารใช้ชื่อ "ชัชชัย" อย่างเป็นทางการ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พระครูแจ้” ภิกษุ พระผู้มีแต่ให้ ได้เมตตาช่วยเหลือประชาชนให้ฉีดวัคซีน พร้อมแจกปัจจัยบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา

วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ที่ภายในวัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มีความเมตตาต่อประชาชนผู้ประกอบอาชีพ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่  จึงได้ประสานความร่วมมือกับทาง  นายแพทย์พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางพลี สมุทรปราการ จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้ประชาชนทั่วไปและผู้ที่ขับขี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างรวมถึงคนขับรถแท็กซี่  ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนให้ได้รับการฉีดวัคซีน ฟรี จำนวน 2,000 คน เพื่อเป็นการร่วมเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนวัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้เห็นถึงความสำคัญของประชาชนที่ประกอบอาชีพ 2 อาชีพนี้ เนื่องจากเป็นงานบริการที่มีความเสี่ยงในการรับเชื้อโควิด-19 ประกอบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเช้าทางวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้มีพิธีเปิดกรวยถวายราชสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์  โดยนายแพทย์ พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางพลี เป็นผู้เปิดกรวยดอกไม้

จากนั้น ในช่วงบ่ายของวันที่ 12 สิงหาคม 64 ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วย นายแพทย์พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางพลี ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจบุคคลากรทางการแพทย์ยังโรงพยาบาลสนาม โดยท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้เมตตามอบเงินสดให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลสนาม คนละ 500 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ อีกทั้ง ยังเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์ และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา อีกด้วย


ภ่พ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

ถึงเวลา ‘ปฏิรูปตำรวจ’ ขนานใหญ่ ‘สุพิศาล’ จี้ คฝ. ถามตัวเอง ปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมและหลักสากลที่นานาอารยประเทศทำกันแล้วหรือยัง

พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และอดีตผู้บังคับการกองปราบปรามแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวต่อการบริหารจัดการผู้ชุมนุมช่วงที่ผ่านมาว่า หลังได้เห็นคลิปวีดีโอตำรวจกองกำลังควบคุมฝูงชน (คฝ.) กรูกันเข้ารุมกระทืบประชาชนมือเปล่าแล้วรับไม่ได้จริงๆ และอีกคลิปที่ตะโกนสั่งด้วยอารมณ์เดือดดาลให้นักข่าวมาเก็บภาพตำรวจที่โดนยิงอ้างว่าประชาชนทำนั้นแย่มาก สื่อมวลชนทำหน้าที่ของเขาตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ ต้องไม่ก้าวก่ายกัน ถามตัวเองก่อน เราตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมตำรวจ ตามหลักสากลที่นานาอารยประเทศเขาทำกันแล้วหรือยัง
นอกจากนี้ อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ยังระบุว่า การชุมนุม ถือเป็นสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ และการชุมนุมที่กระทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ยิ่งย่อมเป็นสิทธิอันพึงมีของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ไม่มีกฎหมายใดที่จะมาห้ามการชุมนุมดังกล่าว ถึงแม้รัฐเองจะอ้าง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.ใดๆ ก็ตาม แต่รัฐจะต้องใช้ในการควบคุมเท่านั้นมิใช่ใช้ในการปราบปราม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบ จะต้องอำนวยความสะดวก และจัดให้มีพื้นที่การชุมนุม ตามที่ผู้ชุมนุมร้องขอ จากเหตุการณ์หรือคำร้องต่างๆ ซึ่งความผิดถ้าจะมี ก็คือต้องเกิดจากการที่การชุมนุมนั้นไม่เป็นอย่างที่ขอ

“แต่ในการชุมนุม 2 ครั้งล่าสุด เรากลับพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้มาตรการหนัก ห้ามไม่ให้เกิดการชุมนุมโดยเด็ดขาด กองกำลังควบคุมฝูงชนของรัฐได้ใช้ยุทธวิธีตำรวจเปิดฉากปิดและยึดคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสารพัด ยิ่งในการสลายผู้ชุมนุม ก็มีอาวุธปืนลูกยาง ปืนยิงแก๊สน้ำตา ซึ่งใช้อย่างผิดหลักสากล มิหนำซ้ำยังเปิดฝ่ายเปิดฉากยั่วยุให้มวลชนปะทะ นี่คือความผิดพลาดอย่างยิ่งของการทำหน้าที่ตำรวจ

“เท่าที่ติดตามการชุมนุม ผมได้พบว่า ตำรวจจะทำเพียงการประกาศเตือนว่าผู้ชุมนุมได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและจะมีการปราบปรามจับกุม จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการทันที โดยที่มิได้มีการเข้าเจรจาพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมในรูปแบบอื่น กรณีดังกล่าวนี้ ในฐานะที่เคยเป็นทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ควบคุมฝูงชนมาก่อน ตลอดจนเคยเป็นผู้ฝึกสอนในวิชาดังกล่าวด้วย เห็นว่าเป็นการลัดขั้นตอนการปฏิบัติของชุดควบคุมฝูงชน มิได้ดำเนินการจากเบาไปสู่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อันน่าจะขัดต่อหลักการสากล ตลอดจนในเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย” 

พล.ต.ต.สุพิศาล  ระบุอีกว่า การชุมนุมโดยปราศจากอาวุธคือหลักการพื้นฐานที่ทั่วทั้งโลกมีให้การรับรอง และประชาชนผู้มาชุมนุมนั้นบริสุทธิ์ เป็นผู้ทรงสิทธิ นี่คือหลักแรกที่รัฐจะต้องเข้าใจและบริการอำนวยการจัดการ หากรัฐบาลจะยังใช้อำนาจในการจัดการกับการชุมนุมที่เห็นต่างและทุกข์ร้อนจากการบริหารจัดการของรัฐ ตำรวจควรจะต้องดูแลผู้ชุมนุมเพื่อตอบสนองความต้องการในข้อเรียกร้องและมีการเจรจาเท่านั้น แต่ที่ผ่านมามิได้กระทำตามตามนั้น เช่นที่ปรากฏ ทั้ง 2 ครั้ง กลับใช้ความรุนแรงด้วยการมีอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าเข้าปราบปรามโดยอ้างว่าชอบธรรม และเหตุเช่นนี้เองที่จะทำให้ผู้ชุมนุมซึ่งมาด้วยความบริสุทธิ์ระบายอารมณ์ และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ดังที่ปรากฏ เช่น ป้ายสีชื่อองค์กร การเผาตู้ยาม และอาจจะถึงการเผาสถานีตำรวจอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา และอันนี้ถือได้ว่า เป็นการทำลายประเทศชาติด้วยน้ำมือของรัฐบาลเองใช่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เผาทรัพย์สินของทางราชการที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลเองโดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล ควรจะดำเนินการสืบสวนให้ได้ความแน่ชัด ว่ากลุ่มผู้กระทำผิดดังกล่าวเป็นใครกันแน่ เพราะการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ มิใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญอย่างแน่นอน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สามารถเรียนรู้ได้ว่า ผู้กระทำการที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างไรเกิดขึ้น นี่ยังไม่นับการตอบโต้กลับของผู้ชุมนุมจากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ดังที่กล่าวมาแล้ว และในการหากลุ่มผู้กระทำผิดก็ต้องแยกให้ชัดในสองเหตุนี้ด้วย
“ในฐานะอดีตข้าราชการตำรวจผู้เคยปฏิบัติงาน เห็นว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ควรที่จะทบทวนการทำงานให้เป็นไปด้วยหลักการสากล การใช้ข้อกฏหมายระเบียบที่ชอบด้วยกฏหมาย หลักสิทธิมนุษยชนรวมถึงมนุษยธรรม โดยต้องเจรจาก่อนเป็นสำคัญ จะได้รู้ความต้องการของประชาชน อันเป็นผู้ทรงสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องบริการ

“ถึงเวลาแล้วที่ต้อง ‘ปฏิรูปตำรวจ’ ขนานใหญ่ ให้เป็นตำรวจที่มีหัวใจประชาธิปไตย อำนวยความสะดวกให้ประชาชน มิใช่ขัดขวางสิทธิที่ประชาชนมี อย่างการปราบปราม จับกุม ใช้กฎหมายสารพัดจัดการเหมือนเห็นประชาชนเป็นศัตรูแบบที่ทำอยู่ในเวลานี้ เกียรติยศศักดิ์ศรีของตำรวจควรได้รับการฟื้นฟู ออกมาเดินดู มารับฟังประชาชนบ้างว่า วันนี้ ประชาชนเขามอง เขารู้สึกอย่างไรกับตำรวจ” พล.ต.ต.สุพิศาล ระบุ

‘ราเมศ’ ย้ำ แก้ รธน.ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ ปชป ตรงไปตรงมา ยึด รธน. และข้อบังคับ 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวถึงเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า การพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่… พ.ศ. … (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) เป็นเรื่องปกติที่จะมีการถกเถียงกัน มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ทั้งหมดก็ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา

การที่รัฐสภารับหลักการมาในร่างดังกล่าวซึ่งเป็นร่างที่มีหลักการและเหตุผลคือการแก้มาตรา 83 และมาตรา 91 มีหลักการและเหตุผลเป็นเรื่องการแก้เรื่องระบบการเลือกตั้ง เมื่อร่างดังกล่าวสมาชิกรัฐสภามีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง 
เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สองคือในชั้นคณะกรรมาธิการ ก็ต้องมีการพิจารณาให้มีความละเอียดรอบคอบ หากมีมาตราใดที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้งหากต้องการปรับแก้ในมาตราใดข้อความใดเพื่อให้สอดคล้องต้องกันกับหลักการและเหตุผลคือในส่วนของระบบเลือกตั้งก็สามารถทำได้ ทั้งในส่วนของกรรมาธิการและในส่วนของสมาชิกรัฐสภาที่ยื่นแปรญัตติไว้

ซึ่งข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 124 ได้ระบุไว้ชัดว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นคณะกรรมาธิการสมาชิกรัฐสภาสามารถที่จะแปรญัตติได้และในวรรคที่สามได้ระบุไว้ชัดอีกว่าการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีเจตนารมณ์ชัดว่าสมาชิกสามารถดำเนินการได้ และข้อบังคับก็ไม่ได้ห้ามสมาชิกรัฐสภาผู้เสนอร่างไม่ให้ยื่นคำแปรญัตติ ทั้งหมดคือหลักการที่สำคัญในการให้สมาชิกรัฐสภาได้ตรวจตราในมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับหลักการได้ด้วย เพื่อให้รัฐธรรมนูญเมื่อแก้ไขแล้วสามารถบังคับใช้ได้โดยไม่ขัดหรือแย้งกัน 

แต่จะไปแก้ในมาตราอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักการและเหตุผลก็ไม่สามารถทำได้ เช่นจะไปแก้เรื่องที่มา สว อำนาจ สว อำนาจองค์กรอิสระหรือเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ประเด็นดังกล่าวนี้มีแนวทางของกฤษฎีกาและฝ่ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานนิติบัญญัติ รวมถึงกรรมาธิการที่ยกร่างข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ก็ได้ให้ความเห็นไว้ชัดเจนถึงเจตนารมณ์ว่าสามารถดำเนินการได้

นายราเมศ กล่าวต่อว่า เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และเชื่อว่านายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ ท่านเป็นคนละเอียดและได้ดูเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว สิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับท่านไม่ทำแน่นอน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ได้ดำเนินการตามข้อบังคับในการยื่นคำแปรญัตติโดยอาศัยสิทธิอันชอบตามข้อบังคับ หากจะกล่าวหาว่าไม่สามารถยื่นคำแปรญัตติได้แสดงว่าสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันลงชื่อรวมถึงสมาชิกที่รับหลักการไม่มีใครสามารถยื่นคำแปรญัตติได้แม้แต่คนเดียว ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องพื้นฐานในเรื่องหลักการในการร่างกฎหมาย ผู้เสนอร่างอาจจะลงมติในวาระแรกอย่างไรก็ได้ เมื่อเข้าสู่วาระที่สองในชั้นคณะกรรมาธิการสมาชิกผู้เสนอร่างและสมาชิกผู้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง สามารถยื่นคำแปรญัตติได้ เพื่อให้กฎหมายเกิดความสมบูรณ์

นายราเมศกล่าวตอนท้ายว่า ทุกกระบวนการเดินตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ เคารพในความเห็นต่างแต่ไม่อยากให้มองว่าเป็นความแตกแยกเพราะถ้าแตกแยกแสดงว่าเจตนาตั้งต้นไม่ได้เกิดจากความตรงไปตรงมาในความเห็นแต่อย่างใด

"เติมกำลังใจ อันดามัน" นิพนธ์ ลุย 5 จังหวัดฝั่งอันดามัน เยี่ยมขอบคุณ ด่านหน้าป้องกันโควิด ย้ำ รัฐบาลพร้อมบริหารจัดการทุกมิติเพื่อดูแลทุกชีวิตให้ผ่านพ้นโควิดอย่างดีที่สุด  

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานประจำจุดคัดกรองป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตลอดจนบำรุงขวัญกำลังใจในการทำหน้าที่เฝ้าระวังประจำด่านฯ ตั้งแต่ จังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ตรัง และจังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ 10 ส.ค - 12 ส.ค 2564 นั้น

โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ได้เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่จังหวัดระนอง ที่ด่านกรองบุคคลเข้า - ออก ศิลาสลัก จปร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง โดยมีนายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผวจ.ระนอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข  อสม. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ให้รับทราบ ซึ่งระหว่างลงพื้นที่ นายนิพนธ์  ได้กำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และมาตรการของทางรัฐบาล ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทางสัญจร ให้คำแนะนำข้อควรรู้ควรปฏิบัติ เน้นย้ำใช้กลไกท้องที่ ท้องถิ่น ในการดำเนินงาน พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อส่วนรวมภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ และหวังว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว

จากนั้นในช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ค.ที่ด่านตรวจคัดกรอง อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นด่านตรวจคัดกรองบุคคลที่เดินทางมาจากพื้นที่จังหวัดพังงา เข้ามายังจังหวัดระนอง รมช.มท.และคณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และรับรับฟังการรายงานการปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมกันนี้นายนิพนธ์ได้กล่าวให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งสอบถามปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ตลอดจนให้คำแนะนำ และกำชับให้ดำเนินการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น บันทึกข้อมูลผู้ที่ผ่านเข้าพื้นที่โดยละเอียด เพื่อให้การป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมโรคได้โดยเร็ว 

จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดพังงา เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านตรวจบริเวณหน้ารพ.สต.เตรียม ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดระนอง  โดยมีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นางกัณตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส.ส.พังงา หัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับพร้อมรายงานสรุปข้อมูลดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่ โดยนายนิพนธ์ได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ และของใช้จำเป็นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจฯ เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย พร้อมกำชับให้ปฏิบัติตามแนวทาง ข้อกำหนด ข้อบังคับตามประกาศของ ศบค. และประกาศของจังหวัดพังงา อย่างเคร่งครัด

ต่อมาในภาคบ่าย ที่จังหวัดกระบี่ ณ ด่านเขาคราม ตำบลเขาคราม อำเภอเมืองกระบี่ ได่เยี่ยมขอบคุณเจ้าหน้าที่ ซึ่งด่านตรวจคัดกรองดังกล่าว นั้น มีการบูรณาการทำงานหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง โดยมีพ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ให้ทราบ พร้อมกันนี้ นายนิพนธ์ได้กล่าวพบปะเพื่อให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และขอขอบคุณทุกท่านช่วยกันซึ่งเป็นผู้เสียสละปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเทอย่างเต็มกำลังความสามารถ  และในช่วงเย็น นายนิพนธ์ รมช.มท. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านจุดตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกจังหวัดตรัง ณ จุดตรวจคลองปาง ตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง โดยมีนายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ โดยรมช.มท.ได้ขอบคุณรวมทั้งให้กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจ สำรวจปัญหาข้อจำกัดมาปรับแก้และขอความร่วมมือ แนะนำแนวทางการปฎิบัติต่อประชาชนผู้เดินทางผ่าน ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกด้วย

ในวันที่12 ส.ค. นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่จังหวัดสตูลโดยมีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานข้อมูลใน 3 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 ด่านความมั่นคงคีรีวง หมู่ที่ 7 บ้านคีรีวง ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดตรัง-สตูล จุดที่ 2 โรงพยาบาลสตูล อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล โดยมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 2,000 ชิ้น และชุด PPE จำนวน 20 ชุด ให้แก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสตูล เพื่อนำไปบริหารจัดการดูแลประชาชนในสถานการณ์โควิด-19  พร้อมกับเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย และประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน ณ จุดฉีดวัคซีนโควิด-19 บริเวณใต้ตึก 100 ปี โรงพยาบาลสตูล โดยกล่าวพบปะประชาชนด้วยว่า "รัฐบาลพยายามที่จะจัดหาวัคซีนมาให้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งการบริหารจัดการทุกมิติเพื่อดูแลรักษาทุกชีวิตคนไทยให้ผ่านพ้นจากโควิดอย่างดีที่สุด ตลอดจนการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพราะเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่รัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีทุกคน ยังคงทำงานเพื่อดูแลจัดการควบคู่กันไป และขอส่งกำลังใจให้เราทุกคนผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน"

จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังจุดที่ 3 ที่ด่านคัดกรองโควิด19 ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง รอยต่อจังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ใช้สำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ก่อนจะเดินทางไปยังจังหวัดสงขลาต่อไป

พาณิชย์ปรับฐานข้อมูลจดทะเบียนหวั่นเจอมิจฉาชีพแอบอ้าง

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ระหว่างการปรับปรุงฐานข้อมูลนิติบุคคลให้เป็นปัจจุบัน สร้างความน่าเชื่อถือความมั่นใจให้ภาคธุรกิจที่เข้ามาตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคล รวมถึงป้องกันความเสียหายจากกลุ่มมิจฉาชีพต่าง ๆ ที่แอบอ้างความน่าเชื่อถือจากการจดทะเบียนนิติบุคคลไปหลอกลวงและแสวงหาประโยชน์โดยนิติบุคคลนั้นไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายจริง 

ล่าสุดกรมฯ ได้ออกประกาศสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เรื่อง จะขีดชื่อห้างหุ้นส่วนบริษัทออกจากทะเบียนจำนวน 10,810 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร สำหรับนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด กรมฯ ได้ประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดให้ดำเนินการตรวจสอบเช่นกันเพื่อจะได้มีแนวทางปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

“การปรับปรุงฐานข้อมูลสถานะของนิติบุคคลถือเป็นภารกิจสำคัญที่กรมฯ ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลนิติบุคคลอันจะส่งผลต่อการวิเคราะห์การเจริญเติบโตในภาคธุรกิจและตัดโอกาสการถูกหลอกลวงของประชาชน ดังนั้น ขอฝากไปยังนิติบุคคลจะต้องดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย  ซึ่งการจัดทำงบการเงินประจำปีและยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าถือเป็นหน้าที่สำคัญของนิติบุคคล รวมไปถึง กรณีที่ธุรกิจมีความจำเป็นจะต้องยุติลง แต่ก็ยังคงมีหน้าที่ในการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีให้ เสร็จสิ้นเช่นกัน”

ผู้ประกันตน ม.33 เฮ!! สปส. เปิดฉีดวัคซีนเข็ม 2 ทั่วกรุง 26 จุด เริ่ม 16 ส.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ไปแล้วกว่า 1.3 ล้านราย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา และขณะนี้คณะทำงานบริหารจัดการและกระจายวัคซีนฯ ได้เตรียมจัดศูนย์ฉีดวัคซีนฯ เพื่อให้บริการผู้ประกันตนมาตรา 33 ในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 โดยจะเริ่มฉีดในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมด

นายสุชาติ กล่าวต่อไปว่า วัคซีนเข็มที่ 2 นี้จะเริ่มฉีดในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป โดยแบ่งผู้ประกันตน ตามสูตรการฉีด ดังนี้ สูตรแรก (AZ+AZ) คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็น AstraZeneca และจะครบกำหนดฉีดเข็ม 2 ภายใน 12-16 สัปดาห์ ก็จะฉีดเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนยี่ห้อ AstraZeneca เหมือนเดิม โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม ถึง 28 กันยายน 2564 

ส่วนกลุ่มฉีดสูตร 2 (SV+AZ) แบบฉีดสลับวัคซีน ตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 คือผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นยี่ห้อ Sinovac จะได้รับเข็ม 2 ภายใน 3 - 4 สัปดาห์ เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ทั้งหมดเช่นกัน โดยผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้รับเข็ม 1 ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม ถึง 6 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม ถึง 27 สิงหาคม 2564 และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกลุ่มจังหวัดภาคผลิตสำคัญ 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร และนครปฐม ที่ได้รับวัคซีนตามสูตร 2 (SV+AZ) ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม ถึง 13 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม ถึง 27 สิงหาคม 2564 และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกลุ่มจังหวัดภาคผลิตสำคัญ EEC และสมุทรปราการ ที่ได้รับวัคซีนตามสูตร 2 (SV+AZ) ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม – 20 สิงหาคม 2564 จะได้รับเข็ม 2 เป็นยี่ห้อ AstraZeneca ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม – 10 กันยายน 2564

โดยสำนักงานประกันสังคม ได้เตรียมพร้อมศูนย์ฉีดวัคซีนกระจายทั่วพื้นที่ กทม.ทั้ง 12 เขตความรับผิดชอบ รวม 26 จุดฉีด และทั้ง 5 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว จะส่งแจ้งนัดหมายให้ผู้ประกันตนทราบล่วงหน้าผ่าน SMS เข้าโทรศัพท์มือถือให้ผู้ประกันตนทราบตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา

นายสุชาติ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า ขอให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกท่าน เมื่อทราบกำหนดนัดหมายแล้ว โปรดเตรียมตัวให้พร้อม เหมือนกันกับการฉีดเข็มแรก คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดการออกกำลังกายหนัก สวมเสื้อที่สะดวกในการฉีด เช่น เสื้อแขนสั้น และที่สำคัญคือ เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) ติดตัวมาด้วยในวันที่ ฉีดวัคซีน และมาให้ทันตามกำหนดนัดหมาย เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไปด้วยกัน หากท่านอยู่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 ตามกำหนดข้างต้น แต่ไม่ได้รับ SMS นัดหมาย สามารถตรวจสอบวันนัดหมายฉีดวัคซีน เข็มที่ 2 ได้ที่หน้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th อีกช่องทางหนึ่ง หากไม่พบข้อมูล ขอให้รีบแจ้งนายจ้าง หรือ HR บริษัท ด่วน หรือหากมีข้อสงสัย ติดต่อสายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

“บิ๊กป้อม” ถก “กอนช.” เร่งขับเคลื่อน 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน -น้ำป่าไหลหลาก-ดินโคลนถล่ม-กักเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้งหน้า 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564  ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยพล.อ.ประวิตร  รับทราบสถานการณ์ฝนและการคาดการณ์ ช่วงสิงหาคม-กันยายน 64 ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก หนาแน่นที่สุด และมีโอกาสสูงที่จะเกิดพายุหมุนเขตร้อน เคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน จำนวน 2-3 ลูก และอาจทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุก และปริมาณน้ำมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอุทกภัยได้ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ สำหรับพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมจากการประเมิน พบว่า ช่วงสิงหาคม64-มกราคม65 มีพื้นที่เสี่ยงจำนวน 2,988 ตำบล  630 อำเภอ 71 จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้ สทนช.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก ได้แก่ กรมชลประทาน,กรมเจ้าท่า,กทม.,กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ได้บูรณาการทำงานร่วมกันแก้ปัญหา มาอย่างต่อเนื่อง และมีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ อาทิ การเตรียมความพร้อมอาคารควบคุมน้ำ คันกั้นน้ำ เครื่องสูบน้ำ และอุโมงค์ระบายน้ำ เป็นต้น รวมถึงการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ การจัดเก็บผักตบชวา และการกำจัดขยะในคลอง ซึ่งในห้วงปี63-64 ภาพรวมการเก็บผักตบชวาได้มากถึง 4,944,363 ตัน คิดเป็นร้อยละ 96.09 ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนข้อมูล ปริมาณผักตบชวา จากภาพถ่ายดาวเทียม GISTDA ในการเตรียมรับมือกับฤดูฝนปี64 ปี ซึ่งได้ดำเนินการเก็บผักตบชวาไปแล้ว จำนวน 680,288 ตัน 

พล.อ.ประวิตร  กล่าวกำชับสทนช.,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กทม.,ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเร่งดำเนินการ ตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี64 ให้ทันตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้งหน้า ได้อีกด้วย รวมทั้ง ต้องมีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วม และสามารถแจ้งเตือนประชาชนให้ทันเวลา ตลอดจน เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ให้มีความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ไว้ตลอดเวลา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ให้รวดเร็วที่สุด และให้ระมัดระวังการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top