Friday, 30 May 2025
NewsFeed

'TikTok' ยืนหนึ่ง แอปฯ ที่มีคนดาวน์โหลดมากที่สุด แซงหน้า Facebook ได้เป็นครั้งแรก

เอเจนซีส์ - ผลการสำรวจทั่วโลกของการดาวน์โหลดประจำปี 2020 พบว่า TikTok แอปแชร์คลิปจากจีนสามารถโค่นเฟซบุ๊กจากโลกตะวันตกได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้ให้บริการโลกโซเชียลมีเดียระดับท็อปของโลกได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการศึกษามาตั้งแต่ปี 2018

หนังสือพิมพ์นิเคอิเอเชีย สื่อธุรกิจญี่ปุ่นรายงานวันนี้ (9 ส.ค.) ว่า จากการที่มีความวิตกเพิ่มขึ้นถึงการรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคลทำให้ เทเลแกรม (Telegram) แอปส่งข้อความที่สามารถลบโพสต์ได้นั้นสามารถทำอันดับได้ในลำดับสูงระหว่างปีหลังแอปโซเชียลมีเดียได้อานิสงส์จากวิกฤตโควิด-19 ทำให้มีจำนวนผู้ใช้เป็นจำนวนมาก

บริษัทไบต์แดนซ์ที่มีฐานอยู่ในจีน และเป็นผู้พัฒนาแอป TikTok ได้เริ่มส่งเวอร์ชันนานาชาติออกมานับตั้งแต่ปี 2017 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพบว่า TikTok สามารถโค่นโซเชียลมีเดียเจ้าดังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ว็อตแอป (WhatApp) อินสตาแกรม และรวมไปถึงเฟซบุ๊ก เมสเซนเจอร์ ในแง่การดาวน์โหลดที่แม้แต่ในสหรัฐฯ เอง

ซึ่งรายชื่อแอปโซเชียลที่ว่ามาทั้งหมดนั้นมีเจ้าของเดียวคือ เฟซบุ๊ก เว้นแต่ TikTok ที่มาจากจีน นิเคอิเอเชียชี้

แม้สถานการณ์ของ TikTok ในสหรัฐฯ ยังคงไม่แน่นอนต่อไปแม้ว่ารัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะสั่งถอนคำสั่งทางบริหารออกไปหลังอดีตผู้นำ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงจากตำแหน่ง ขณะที่หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) ว่า บริษัทไบต์แดนซ์ได้เดินหน้าปัดฝุ่นแผนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ทว่าโฆษกบริษัทไบต์แดนซ์เปิดเผยกับนิเคอิเอเชียในวันจันทร์ (9 ส.ค.) ว่า ข่าวที่ออกไปนั้นไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีแผนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อการซื้อขายแต่อย่างใด

การสำรวจการจัดอันดับแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดประจำปี 2020 โดยนิเคอิและได้อ้างอิงข้อมูลทั้งหมดจากบริษัทข้อมูลการวิจัยทางการตลาด แอนนี (Annie) ที่มีฐานอยู่ในสหรัฐฯ อ้างอิงจากตารางการรายงานสำหรับข้อมูลที่เป็นการดาวน์โหลดในสหรัฐฯ พบว่า แอปที่มีคนดาวน์โหลดมากที่สุดประจำปี 2020 คือ TikTok ที่เคยเป็นอันดับ 2 ประจำปี 2019 และสามารถโค่นเฟซบุ๊ก เมสเซนเจอร์ที่แต่เดิมเป็นอันดับ 1 ของปีที่แล้วได้สำเร็จ ส่วนอันดับ 3 ตกเป็นของเฟซบุ๊ก ที่แต่เดิมอยู่ในอันดับ 5 ของปี 2019

แอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ประจำปี 2020 คือ อินสตาแกรม ที่ตกมาจากอันดับ 3 ในปี 2019 และอันดับ 5 คือ สแนปแชต (Snapchat) แอปจากสหรัฐฯ เคยอยู่ในอันดับ 4 ของปี 2019

ส่วนอันดับ 1 ของแอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในจีนประจำปี 2020 คือแอป Douyin ซึ่งเป็นแอป TikTok เวอร์ชันจีนจากไบต์แดนซ์ และอันดับ 2 คือแอป WeChat จากจีนเช่นกัน

สำหรับในญี่ปุ่น พบว่า แอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดประจำปี 2020 คือ ไลน์ (Line) จากญี่ปุ่น อันดับ 2 อินสตาแกรมของสหรัฐฯ อันดับ 3 แอป TikTok ของจีน อันดับ 4 ทวิตเตอร์จากสหรัฐฯ และอันดับ 5 คือ Pinterest จากสหรัฐฯ

ในรายงานยังระบุว่า แอปไลน์จากญี่ปุ่นได้รับความนิยมอย่างมากในไทย และในญี่ปุ่นเองช่วงระหว่างเกิดวิกฤตโควิด-19 พบว่าจังหวัดโอซากาได้ใช้แอปไลน์สำหรับการประกาศการจองวัคซีนโควิด-19 และรัฐบาลท้องถิ่นอื่น ๆ ในญี่ปุ่นใช้แอปไลน์ในการเผยแพร่ข้อมูลและทำให้ไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานในชีวิตประจำวันไป แต่ทว่าพบว่ามีการวิตกมากขึ้นถึงความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนบุคคลจากการที่พาร์ทเนอร์ในจีนสามารถแอบเห็นข้อมูลผู้ใช้ในญี่ปุ่นได้

บริษัทแอนนีซึ่งเป็นผู้รวบรวมข้อมูลสำหรับการสำรวจในสหรัฐฯ ให้นิเคอิเอเชียกล่าวว่า ช่วงเวลาของการดูทั้งหมดสำหรับแอป TikTok ในสหรัฐฯ และอังกฤษมีระยะเวลาที่นานกว่าของยูทูป และคลิปสั้นจะยังคงเป็นที่ได้รับความสนใจจากผู้ดูต่อไป

และระบุว่า เมื่อพิจารณาในแง่ของคอนเทนต์พบว่า เพลงและตลกบันเทิงนั้นมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ส่วน Vocal แอปโซเชียลมีเดียนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่คลับเฮาส์ (Clubhouse) พบว่าได้ออกไปจากญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มาตั้งแต่ต้นปีนี้แล้ว


ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000078190


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทบ.ชื่นชม พร้อม ส่งทหารช่างช่วยซ่อมแซมบ้านพัก นายธนากร ทองหนูนุ้ย ผู้สอบได้อันดับ1 นตท. 3 เหล่าทัพ ระบุเป็นเพราะความสามารถและการเลี้ยงดูของครอบครัว เชื่อจะเป็นทหารที่ดีในอนาคต 

ที่กองบัญชาการทหารบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผนว่า จากการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก ประจําปี 2564 ซึ่ง นาย ธนากร ทองหนูนุ้ย นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี สอบได้อันดับที่ 1 ของ 3 เหล่าทัพ คือเหล่าทหารบก ,ทหารเรือและทหาร อากาศ และยังสอบได้ท่ี 8 ในส่วนของสํานักงานตํารวจแห่งชาติด้วย โดยเจ้าตัวได้ตัดสินใจ เลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก และวันนี้ได้เขา้ รายงานตัวตามระบบ ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเรียบร้อยแล้ว

กองทัพบกขอช่ืนชมในความรู้ ความสามารถ ของ นาย ธนากรฯ ทั้งด้าน วิชาการและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน และเตรียมตนเอง เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบคัดเลือก จนประสบผลสําเร็จ และจากประวัติครอบครัว พบว่ามีพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่น บิดามารดาอบรมเลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นคนดี ส่วนเจ้าตัวมีความมุ่งมั่นต้ังใจจะเป็นทหาร  ซึ่งเกิดจากแรงบันดาลใจ ที่ผ่านประสบการณ์ด้านการทหารมาเมื่อปี 2553 ที่เกิดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งตนเองและครอบครัวต้องออกนอกพื้นที่ ชายแดน จ.ศรีสะเกษ ชั่วคราวตามแผนอพยพประชาชน ได้มีโอกาสเห็นการนํากําลังทหาร เข้าดูแลพื้นที่ชายแดน เพื่อปกป้องประเทศดูแลประชาชน จึงเกิดความประทับใจ และตั้งใจว่าจะหน้าท่ีดูแลชาติบ้านเมืองด้วยการเป็นทหาร

ท้ังนี้จากนโยบายของกองทัพบกในการส่งเสริมและให้โอกาสกับผู้ที่มีใจรักใน อาชีพทหาร ที่มีคุณสมบัติ และมีอุดมการณ์เพื่อประเทศชาติ เข้ามารับราชการในกองทัพบก ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบให้กองทัพภาคที่ 2 เข้าดูแลและมอบทุนสนับสนุนการรายงานตัว และกองทัพบกยังได้มอบทุนการศึกษาเป็นรายเดือนให้ตลอดการศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร  อีกทั้งเตรียมเข้าช่วยปรับปรุงบ้านพักของบิดามารดา นายธนากรฯ ที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีษะเกษ

กรณีดังกล่าว นับเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความอุตสาหะ พากเพียร มีความต้ังใจ โดยเฉพาะการมีใจรักในอาชีพทหาร ซึ่งตรงกับนโยบายของกองทัพบกที่ส่งเสริมและได้เพิ่มโอกาสในการรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เด็กเรียนดี ฐานะยากจน มีใจรักทหาร มีอุดมการณ์ เพื่อชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ สามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกองทัพบก ได้ ความสําเร็จในเบื้องต้นครั้งน้ี นํามาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ ตนเอง ครอบครัว และจะเป็นจุดเริ่มต้นในเส้นทางทหารอาชีพต่อไป

"สภาสังคมสงเคราะห์ แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์" รับมอบน้ำดื่ม 3,600 ขวด อาหาร 150 กล่อง ช่วยเหลือประชาชน ในช่วงสถานการณ์โควิด-19

ณ สภาสังคมสงเคราะห์แห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  เลขที่ 257 ตึกมหิดล ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ "แพทย์หญิงสุวณี  รักธรรม" รองประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คุณศิริพร  คัมภีรยส ผู้ช่วยเลขาธิการ สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คุณนงลักษณ์  รอมไธสง ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เกียรติเป็นประธานรับมอบน้ำดื่ม จำนวน 3,600 ขวด อาหาร จำนวน 150 กล่อง จาก "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย น.ส.ภัสวรินทร์ กิตติโชคกุลพัทธ์ นายกสมาคมส่งเสริมและพัฒนาคนพิการไทย นายโกสินธ์ จินาอ่อน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์ ที่ปรึกษาสมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคมเป็น "สะพานบุญ" ของ "บริษัทดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด" และ "น.ส.ชาลินี ลอยนุ้ย" เจ้าของร้านทุเรียน นุช-นนท์ (ตลาดสี่มุมเมือง) เพื่อนำสิ่งของดังกล่าวมามอบ และเป็นขอร่วมเป็นกำลังใจในการดำเนินงานของทาง "สภาสังคมสงเคราะห์" ที่มีบทบาทสำคัญให้การช่วยเหลือดูแล คนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนไร้ที่พึ่ง ในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้

ในการนี้ "แพทย์หญิงสุวณี  รักธรรม" รองประธานสมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กล่าวขอบคุณ ทุกท่านที่ได้นำสิ่งของเหล่านี้มาร่วมด้วยช่วยกันดูแลคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทย บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ จิตอาสา และ หลายๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19  ร่วมกันต่อสู้ภัยร้ายนี้เพื่อการอยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกัน

๑๒ สิงหาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ทรงเป็นพระธิดาองค์ที่ ๓ ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) กับ หม่อมหลวงบัว กิติยากร (สกุลเดิม สนิทวงศ์) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่บ้านพลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ ๑๘๐๘ ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร โดย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” มีความหมายว่า “ผู้เป็นศรีแห่งกิติยากร”

ทางด้านการศึกษา หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เริ่มศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ และสอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และได้ย้ายไปศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ถนนสามเสน และได้ศึกษาที่นี่เป็นเวลา ๘ ปี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓

ในการศึกษาที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ นอกจากศึกษาวิชาสามัญทั่วไปแล้ว ยังเน้นศึกษาด้านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และยังศึกษาเปียโนเป็นพิเศษด้วย โดยได้สมัครเข้าเรียนเปียโนตั้งแต่ปีแรกที่เข้าศึกษาที่นี่ พระองค์สามารถเรียนได้ดี เนื่องจากมีพรสวรรค์และความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังได้รับการอบรมด้านวิชาการเรือนจึงสามารถประกอบอาหารได้ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง

ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง หม่อมเจ้านักขัตรมงคลต้องเสด็จไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ ทำให้ทั้งครอบครัวรวมไปถึงหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ 
ขณะที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้ศึกษาต่อทั้งวิชาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และวิชาเปียโนกับครูพิเศษหลังจากนั้นไม่นาน บิดาย้ายไปประเทศเดนมาร์กและฝรั่งเศสตามลำดับ ขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็ยังคงเรียนเปียโนและตั้งใจจะศึกษาต่อในวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีสจนจบ 

หลังจากนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) และได้ทรงสถาปนาเฉลิมพระยศสมเด็จพระราชินีเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี”

พระราชกรณียกิจ

ศิลปาชีพ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงริเริ่มโครงการให้ราษฎรโดยเฉพาะชาวนาในท้องถิ่นชนบททำอาชีพเสริมโดยใช้เวลาว่างจากการทำนาทำไร่มาทำงานศิลปาชีพ จนราษฎรเหล่านั้นมีความรู้ความสามารถในงานผลิต งานศิลปหัตถกรรม จนเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยและระดับสากล


 
ความมั่นคงของชาติ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินินาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจ ราษฎรอาสาสมัคร จนถึงฐานปฏิบัติการ ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่อันตรายเพียงใดก็ตามได้พระราชทานถุงของขวัญประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของชาติตลอดมา


 
การสาธารณสุข

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยจัด “หน่วยแพทย์พระราชทาน” ตามเสด็จไปรักษาพยาบาลราษฎรในถิ่นทุรกันดารแล้ว ยังทรงช่วยเหลือกลุ่มผู้ประสบภัยธรรมชาติ ทรงช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และราษฎรอาสาสมัครตามชายแดน ทรงริเริ่มจัดตั้ง “มูลนิธิสายใจไทย”  ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

การส่งเสริมอนุรักษ์ธรรมชาติ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “โครงการป่ารักน้ำ” ทั้งนี้เพื่อให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการร่วมกันปลูกป่า หลังจากนั้นยังมีโครงการตามพระราชดำริที่ปรากฏขึ้นเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ อาทิ โครงการสวนสัตว์ป่าเปิดภูเขียวตามพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์และขยายพันธุ์เต่าทะเล โครงการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่า โครงการปลูกป่าเสริมธรรมชาติ โครงการพระราชดำริสวนหาดทรายใหญ่ เป็นต้น

นอกจากนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงมีพระราชกรณียกิจอีกมากมาย องค์กรระหว่างประเทศต่างยกย่องและทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมาก อาทิ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญซีเรส เทิดพระเกียรติในฐานะที่ทรงยกฐานะของสตรีให้มีระดับสูงขึ้นและทรงเป็นผู้ “ให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง” 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงได้แสดงถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ เพื่อทํานุบํารุงราชอาณาจักรและมรดกวัฒนธรรมไทย ที่บรรพบุรุษได้สร้างสมไว้จนตกทอดมาถึงอนุชนไทยรุ่นหลัง และให้พสกนิกรประชาชนไทยได้มีชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตัวเองได้ 


แหล่งที่มา
https://campus.campus-star.com/variety/52926.html
https://www.thebangkokinsight.com/news/the-bangkok-insight-th/33964/
https://www.matichon.co.th/court-news/news_1481039

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดน่าน 'จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติมอริเชียส' ตามหมายจับศาล ข้อหา “ร่วมกันปลอม และ ใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการเดินทางระหว่างประเทศ และร่วมกันฉ้อโกง”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ปกกิจ คล้ายเพชร ผกก.ตม.จว.น่าน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.5 และ ตม.จว.น่าน ได้ร่วมกับ ตม.จว.เชียงราย, กก.สส.ภ.จว.น่าน, กก.สส.ปป.บก.ตม.2 และ สภ.เมืองเชียงราย ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายโจเซฟ อายุ 35 ปี สัญชาติมอริเชียส หรือ นายแพทริก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 536/2563 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2563  ความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศปลอม” (ปลอม VISA ของประเทศสหรัฐอเมริกา) และหมายจับศาลแขวงเชียงราย ที่ 53/2564 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” สถานที่จับกุม ลานจอดรถ โรงแรมแห่งหนึ่ง ถนนมหายศ ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน จ.น่าน 

พฤติการณ์ นายโจเชฟ ได้ร่วมกับ น.ส.ธนัสินี ภรรยาชาวไทย เปิดโรงเรียนฝึกหัดฟุตบอล ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยใช้ชื่อ “เจ.พี พรีเมียร์” เพื่อสอนเด็กชนเผ่าที่ด้อยโอกาส โดยอ้างว่า จะให้โอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น ต่อมานายโจเชฟ ได้ชักชวนให้ผู้ปกครองเด็กที่มาเรียนฟุตบอลเดินทางไปสหรัฐอเมริกา โดยเรียกค่าใช้จ่าย  หัวละ 700,000-900,000 บาท ซึ่งมีเด็กหลายคนเดินทางไปแล้ว ต่อมาช่วงปลายปี 2563  ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ได้จับกุมผู้ต้องหาคนไทยจำนวน 2 คน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางที่มีแผ่นวีซ่าปลอมของประเทศสหรัฐอเมริกา นำส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดำเนินคดี โดยผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวได้ให้การซัดทอดนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ว่าเป็นผู้รับทำวีซ่าให้ และ พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ยื่นคำร้อง และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้ออกหมายจับนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ในเวลาต่อมา  นอกจากนั้นยังมีผู้ปกครองบางราย ไม่เชื่อมั่น และขอเงินคืน แต่นายโจเชฟ และ น.ส.ธนัสินี ไม่คืนให้ จึงได้ไปร้องทุกข์ ที่ สภ.เมืองเชียงราย และศาลจังหวัดเชียงรายออกหมายจับนายโจเซฟ และ น.ส.ธนัสินี ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” อีกคดีหนึ่ง ในส่วนของน.ส.ธนัสินี เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม5  และ ตม.จว.เชียงราย  ได้ทำการจับกุมตัวแล้วเมื่อวันที่ 17 ก.ย.63 ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 535/2563  ความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมและใช้แผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศปลอม”

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ด่านตรวจคนเข้าเมืองเชียงแสน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 25 คน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน ผกก.ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

 1. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบพบว่ามีเรือหางยางขับจากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามาจอดบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขง จึงตรวจสอบพบนายปั้น ไม่มีนามสกุล สัญชาติลาว เป็นคนขับ จึงตรวจสอบเอกสารประจำตัวและนายปั้น ได้แสดงเอกสารเป็นคนประจำพาหนะ (ลูกเรือ) เรือสัญชาติไทย ซึ่งผ่านการเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อ 10 ก.ค.64  แต่หลังจากนั้นนายปั้น ได้ขับเรือกาบของกลางไปยัง สปป.ลาว และกลับเข้ามา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมตัวนายปั้น พร้อมยึดของกลางเรือกาบเหล็กสีฟ้า พร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 1 ลำ เป็นของกลางส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า “เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรไม่ยื่นแบบรายการที่กำหนดในกฎกระทรวงและไม่ผ่านการอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และฝ่าฝืนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฯ เหตุเกิด ริมตลิ่งแม่น้ำโขง บ้านป่าสัก หางเวียง ต.เวียง อ.เชียงแสน จว.เชียงราย

 2. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายทึน พร้อมกับพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 8 ราย จึงได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่นายทึน กับพวกไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัวคนต่างด้าวทั้ง 8 ราย โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

3. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายพง พร้อมกับพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 4 ราย จึงได้ตรวจสอบเอกสารประจำตัวแต่คนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับ ด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

4. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบ คนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม 4 ราย คือ น.ส.สุริยาวงสา, 2.น.ส.ออละวัน, น.ส.คัดสะพอน และ น.ส.วงแสง จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวคนต่างด้าวทั้ง 4 ราย ทราบว่า รายที่ 1 – 3 อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จึงได้ทำการจับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ม.35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 "  และกล่าวหา น.ส.วงแสง ว่า “ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ม.35 (1) พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558" นำส่ง สภ.เชียงของ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 5. เจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เชียงแสน ได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบเมื่อมาถึงบริเวณบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงของ จว.เชียงราย พบนายคำเล็ก พร้อมพวกซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว รวม

8 ราย จึงได้ทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่คนต่างด้าวดังกล่าว ไม่สามารถแสดงเอกสารได้ จึงได้จับกุมตัว โดยกล่าวหาว่า "เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต" นำส่งงานต้องห้ามส่งกลับ ด่าน ตม.เชียงแสน ดำเนินการต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า  สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบคนต่างด้าว กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และกฎหมายอื่น ๆ ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำ ตม.จว.แนวชายแดน ให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและประเทศเพื่อนบ้าน ดำรงการสื่อสาร แก้ปัญหาร่วมกันโดยคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนในห้วงสถานการณ์โควิด รวมทั้ง หากพบการกระทำผิดกฎหมาย การก่อเหตุอันตรายใด ๆ อันกระทบต่อความสงบสุข ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ  กรุณาแจ้งเบาะแสมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120  หรือหมายเลขโทรศัพท์ สายด่วน 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ครม. เคาะ อนุมัติวงเงิน 3.3 หมื่นล้านบาท ชดเชย ม.39-40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้ม

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้เห็นชอบกรอบวงเงิน 33,471.0050 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐตามข้อกำหนดฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,694,201 คน โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1.) พื้นที่ดำเนินการ 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

2.) กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 6,694,201 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และมาตรา 40 จำนวน 5,258,030 คน

3.) คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย สถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด)

กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

4.) วิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (Prompt Pay) เฉพาะที่ผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน

โฆษกรัฐบาลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ครม.ยังให้กระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งขอให้โอนเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม ม. 39 และ ม. 40 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงและได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ก่อนพื้นที่อื่น ๆ

อีกทั้ง กำหนดให้ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพิ่มเติมในพื้นที่ 10 จังหวัด ต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนและจ่ายเงินสมทบงวดแรกภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 และในพื้นที่ 19 จังหวัดต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนและจ่ายเงินสมทบงวดแรกภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564

นอกจากนี้ ได้ให้กระทรวงแรงงานจัดทำข้อเสนอขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายที่รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ 13 จังหวัดเพิ่มเติมอีกจำนวน 1 เดือน ซึ่งจะช่วยให้การให้ความช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ทิพานัน' ย้ำไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์เคลมประกันโควิด เจอจ่ายจบ ใช้แค่ผล RT-PCR เท่านั้น เผยนายกฯ กำชับทุกภาคส่วนอำนวยความสะดวก-ป้องกันการเอาเปรียบประชาชนในยามวิกฤต กระตุกนักการเมืองช่วยกันกระจายข่าวสารมีประโยชน์ให้ชุมชน ดีกว่ามุ่งทำร้ายกันทางการเมือง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนชุมชนวัดมงคลวราราม ชุมชนศิลปเดช และชุมชนวุฒากาศ 46 เขตจอมทอง พบว่าพี่น้องประชาชนผู้เอาประกันภัยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความวิตกกังวลกรณีไม่สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลมายืนยันว่าตนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้อาจไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามกรมธรรม์ เนื่องจากก่อนหน้านี้หากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะต้องใช้ทั้งเอกสารรายงานผลการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งใบรับรองแพทย์

แต่เมื่อติดเชื้อไวรัส-19 แล้วทำให้การเดินทางไปเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงไม่สามารถขอใบรับรองแพทย์ได้ ตนจึงได้ชี้แจงทำความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า ขณะนี้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.ได้ผ่อนปรนสำหรับผู้เอาประกันแบบ เจอ จ่าย จบ สามารถใช้เพียงเอกสารการรายงานผลตรวจจากห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยวิธี RT-PCR แทนใบรายงานหรือรับรองจากแพทย์ เพื่อยื่นเคลมประกันกับบริษัทประกันภัยผู้รับทำประกัน

น.ส.ทิพานัน กล่าวย้ำว่า วันนี้ใช้เพียงผลตรวจ แบบ RT-PCR เพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการเคลมประกัน เจอ จ่าย จบ ซึ่งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน สอดคล้องกับมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของรัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนกำกับดูแลอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในยามวิกฤตและไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบพี่น้องประชาชนได้

“ในยามวิกฤตแบบนี้ มีอะไรช่วยได้ ตนพร้อมจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน แม้วันนี้ ทางคปภ. จะออกคำสั่งมาแล้ว แต่พี่น้องประชาชนในหลาย ๆ พื้นที่ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว กังวลจะเสียสิทธิในการเคลมประกันไป จึงขอเชิญชวนให้ฝ่ายการเมืองที่มีเครือข่ายอยู่ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยร่วมกันสื่อสารกระจายข้อมูล สร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อคลายความทุกข์ และความกังวลใจในเรื่องดังกล่าว ดีกว่าหมกมุ่นกับการทำร้ายกันทางการเมือง” น.ส.ทิพานัน กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

แถลงจับกุม 2 คดี!! ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง จับกุมเครือข่ายลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าไทย และ ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม., พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง, พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร, พ.ต.ท.เอกลักษณ์ นุ่นปาน สว.ตม.จว.ระนอง และ พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

1. ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง จับกุมเครือข่ายลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าไทย

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ ตม.จว.ชุมพร สนธิกำลังฝ่ายความมั่นคง ร่วมกันจับกุม นายมงคล อายุ 30 ปี สัญชาติไทย และนายสุขสันต์ อายุ 25 ปี สัญชาติไทย ทำหน้าที่ขับรถนำคอยดูต้นทาง เพื่อนำพาชาวเมียนมาที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม โดยสามารถจับกุมได้ที่ จุดตรวจ จุดสกัด ป้องกันคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บริเวณหน้าที่พักสายตรวจบางมาศ ม.12 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ความผิดฐาน “ร่วมกันให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” และต่อมาได้จับกุมชาวเมียนมา ทั้งหมด 22 คน ที่ถูกนำไปทิ้งไว้อยู่ภายในบริเวณสวนยาง ม.17 ต.รับร่อ อ.ท่าแซะจว.ชุมพร ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้ง 22 คน ทราบว่า ทั้งหมดเดินทางมาจากภูมิลำเนาต่าง ๆ ของประเทศเมียนมา มาพักรออยู่ที่บ้านใน จ.เกาะสอง เป็นเวลา 15 วัน และมาพักหมู่บ้านหมาราง (ตรงข้าม อ.กระบุรี) อีกเวลา 2 วัน จึงได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยโดยเรือหางยาวมาตามแม่น้ำกระบุรี ขึ้นฝั่งบริเวณ ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง จากนั้นได้มีรถยนต์มารับ กระทั่งเมื่อพบจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ คนขับได้กลับรถและนำพวกตนมาทิ้งไว้ภายในสวนยางที่เกิดเหตุ ซึ่งทั้งหมดต้องการไปทำงานที่จังหวัดตรัง และจังหวัดปัตตานี โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางคนละประมาณ 18,000 บาท

จากการสอบปากคำ นายมงคล และนายสุขสันต์ ให้การยอมรับว่า ทำหน้าที่ขับรถยนต์เพื่อคอยดูต้นทาง อำนวยความสะดวกให้กับรถยนต์อีกคันที่ใช้ขนชาวเมียนมาที่หลบหนีเข้าเมืองมา โดยได้รับการว่าจ้างจากนายกุ้ง ไม่ทราบชื่อสกุลจริง เป็นเงิน 15,000 บาท โดยรถอีกคันจะมีนายแบงค์ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ทำหน้าที่ขับรถ ขนชาวเมียนมาหลบหนีมาจากพื้นที่ อ.กระบุรี จว.ระนอง ใช้เส้นทางบ้านรังแตน ต.จปร. อ.กระบุรี จว.ระนอง มาทาง ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร โดยนายมงคล ทำหน้าที่ขับรถนำ ส่วนนายสุขสันต์ เป็นคนนั่งข้าง หากเจอจุดตรวจจะใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับและสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้เพิ่มเติม 2 คน คือ นายเสรี (กุ้ง) อายุ 39 ปี สัญชาติไทย ผู้ว่าจ้าง และนายทวิช (แบงค์) อายุ 26 ปี สัญชาติไทย คนขับรถขนชาวเมียนมา จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำให้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีนี้ได้ครบทั้ง 4 คน แล้ว

2. ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.2521, ฉก.ร.25, ฝ่ายปกครองและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามทราบว่านายสุทัศน์ ที่อยู่ 15 ม.2 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง มีพฤติการณ์ลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย จึงได้เฝ้าสังเกตพฤติการณ์จนทราบว่า นายสุทัศน์จะทำการลักลอบขนส่งแรงงานต่างด้าวจาก อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร ต่อมา เจ้าหน้าที่พบเห็นรถยนต์กระบะสีดำ ทะเบียนระนอง (รถเป้าหมาย) ขับขี่มาจาก อ.กระบุรี-มุ่งหน้ามาทาง อ.ละอุ่น เลียวซ้ายแยกพรุตาโรย ถนนสายบ้านบางแก้ว - เข้าบ้านในโหน ม.1 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงติดตามสกัดจับจากบริเวณถนนบ้านในโหน - มุ่งหน้าบ้านในหุบ จว.ชุมพร ถึงบริเวณถนนลูกรังในสวนยางพาราก่อนถึงโรงเรียนบ้านในหุบ ม.4 ต.เขาค่าย อ.สวี จว.ชุมพร พบรถยนต์คันดังกล่าวจอดทิ้งไว้และผู้ขับขี่ได้หลบหนีไป

ตรวจสอบในรถยนต์คันดังกล่าวพบ นายจอนาย อายุ 25 ปี แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายสัญชาติเมียนมา และพวกรวม 33 คน จากการสอบถามทราบว่าชาวเมียนมาส่วนใหญ่เดินทางมาจาก จว.ย่างกุ้ง จว.มอละแมง และ จว.ทวาย จุดหมายปลายทางต้องการไปหาทำงานในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา จว.สุราษฎร์ธานี จว.ปัตตานี และที่ จว.นครศรีธรรมราช โดยคนต่างด้าวได้ติดต่อกับญาติ และเพื่อนที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย และนายหน้าขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทย โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 15,000 – 17,000 บาท/คน จากนั้นนายหน้าได้นำพาเดินทางมาพักรออยู่ที่บ้านพักใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่บ้านเพาสุข อ.เขม่าจี จว.เกาะสอง และได้ลักลอบนำพาเข้ามาในพื้นที่ จว.ระนอง 

จากการสืบสวนขยายผลการจับกุม มีพยานหลักฐานยืนยันชี้ชัดว่านายสุทัศน์ เป็นผู้ขับขี่ รถยนต์กระบะสีดำ ทะเบียนระนอง จึงติดตามจับกุมตัวนายสุทัศน์ ได้ที่บ้าน ม.2 ต.บางแก้ว อ.ละอุ่น จว.ระนอง และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และสืบสวนข้อมูลการใช้โทรศัพท์ พบว่านายเสรีหรือกุ้ง ได้รับการติดต่อว่าจ้างจาก นายบ่าวเกียจ/โกโซ่ นายหน้าชาวเมียนมา ให้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองจาก จว.ระนอง ไปส่งปลายทาง นายเสรีหรือกุ้ง จึงว่าจ้างให้ นายสุทัศน์ จัดหารถยนต์มารับตัวแรงงานต่างด้าว จำนวน 33 คน ซึ่งลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ ข้างปั้มน้ำมันร้าง บ้านปากสวะ ม.7 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง เพื่อไปส่งให้นายชัยญะ หรือม่อน รอรับช่วงต่ออยู่ที่ จว.ชุมพร และว่าจ้างให้นายวัฒชัย ขับขี่รถจักรยานยนต์ นำทางดูเส้นทางว่ามีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตามเส้นทางหรือไม่

จากนั้นนายเสรีหรือกุ้ง ขับรถยนต์กระบะ ทะเบียนชุมพร นำทางนายสุทัศน์ ที่บรรทุกแรงงานต่างด้าว มุ่งหน้าไปทาง อ.ละอุ่น จว.ระนอง ใช้เส้นทางหลักถนนเพชรเกษม และเลี้ยวซ้ายแยกพรุตาโรย ใช้เส้นทางรองถนนสายบ้านบางแก้ว – บ้านในโหน – ผ่านโรงเรียนบ้านปากแพรก มุ่งหน้าบ้าน ในหุบ จว.ชุมพร เมื่อถึงถนนลูกรังก่อนถึงโรงเรียนบ้านในหุบ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ไล่สกัดจับได้พร้อมแรงงาน ต่างด้าว จำนวน 33 คน

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว จว.ระนอง ขออนุมัติ ศาลจังหวัดระนองเพื่อออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. นายเสรีหรือกุ้ง ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 72/2564 ลง 8 ก.ค.64

2. นายวัฒชัย ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 73/2564 ลง 8 ก.ค.64

3. นายชัยญะหรือม่อน ตามหมายจับศาลจังหวัดระนองที่ 74/2564 ลง 8 ก.ค.64   

โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ในข้อหา “ร่วมช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวซึ่ง  ตนรู้อยู่แล้วว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการจับกุม, ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ” นำส่ง พงส.สภ.บางแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

องค์กรผู้ใช้น้ำ (สทนช.) ร่วมมือ แบ่งปันน้ำใจ  มอบน้ำดื่มให้ รพ.สนาม และศูนย์พักคอย รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 กทม.และชลบุรี

องค์กรผู้ใช้น้ำ (สทนช.)โดยคุณธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการบริหาร บ.อินดัสเตรียลวอเตอร์ รีซอร์สแมนเนจเม้นท์ จก. ผู้แทนกลุ่ม "ตนรักษ์น้ำ"และ คุณวิเชษฐ์ เกตุแก้ว ผู้แทน กลุ่ม"สภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราลุ่มน้ำบางปะกง" ร่วมแบ่งปันน้ำดื่ม ให้แก่ นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครฯ ณ.โรงพยาบาล เอราวัณ 2 บางกอก อารีน่า เขตหนองจอก กทม.จำนวน 12,000 ขวด เพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสนาม 13 แห่ง ในความรับผิดชอบของ กทม. เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 


ที่ผ่านมา คุณวิเชษฐ์ เกตุแก้ว องค์กรผู้ใช้น้ำ ( สทนช.)ผู้แทนกลุ่ม "สภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ลุ่มน้ำบางปะกง” และคุณศราวุฒิ​ เปลี่ยนอารมย์​  ผู้จัดการทั่วไป บ.อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเมนท์(IWRM) ผู้ผลิตน้ำประปาเพื่อบริโภคและเพื่ออุตสาหกรรม ในเขตพื้นที่EECร่วมสนับสนุน น้ำดื่มและน้ำยาฆ่าเชื้อ" มอบให้ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอื้อง ต.หนองบอนแดง อ.บ้านบึง  จ.ชลบุรี จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้ติดเชื้อโควิด19 ในพื้นที่จากจังหวัดกรุงเทพฯและจังหวัดชลบุรี จำนวน 80 เตียงโดยมีคุณศลิศา ศัลยกำธร ผู้อำนวยการศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องพร้อมทีม เจ้าหน้าที่ อสม.อบตหนองบอนแดง อ.บ้านบึง ร่วมรับมอบ

ทั้งนี้ ยังได้มอบน้ำดื่ม CHON Water ให้กับ  ศูนย์พักคอย เทศบาลตำบลพานทอง  จำนวน1,200 ขวด โดย นายศิริเกียรติ ไม้งาม  นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลพานทอง  อ.พานทอง รับมอบและสนับสนุนน้ำดื่มอีก จำนวน1,200 ขวดให้กับ อบต.หน้าประดู่ รับมอบโดย นายรัชกฤต เจริญสุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหน้าประดู่  ว่าที่ร้อยตรีศุภชัย สนธิรักษ์ปลัด อบต.หน้าประดู่และ นายนรภัทร แสงจันทร์ ผอ.กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อบต.หน้าประดู่  อ.พานทอง จากการระบาดของเชื้อโควิด-19  ขยายเป็นวงกว้างมีการพบเชื้อที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง อปท.จึงจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอยเพิ่ม มีความจำเป็นต้องการน้ำ อาหาร ของใช้ที่จำเป็น ให้กับผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ อาสา ประจำศูนย์ จึงขอเชิญชวนร่วมบริจาค ณ.ศูนย์พักคอยได้ทุกที่ ไกล้บ้านท่าน เราจะก้าวผ่าน โควิด-19ไปด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top