Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

“อัครเดช” ร้อง “บิ๊กตู่”ตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนใน จ.ราชบุรี ไม่เป็นธรรม แฉมีเล่นพรรค เล่นพวก จี้หากพบให้ย้ายออกจากจังหวัด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการจัดหาวัคซีน ว่า ขอเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลงไปตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรมในจังหวัดราชบุรี ที่ผ่านมามีการฉีดวัคซีนให้กับทุกอำเภอแต่สิ่งที่เกิดปัญหาคือการจัดสสรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรม จึงขอให้พิจารณาจัดสรรวัคซีนตามสัดส่วนประชากรและตามพื้นที่ระบาด โดยเฉพาะในอำเภอใหญ่ในจังหวัด เช่น ที่อำเภอบ้านโปร่งที่ได้รับการจัดสรรน้อยที่สุด เพียง 5.63% เมื่อเทียบกับอำเภอเมือง อำเภอดำเนินสะดวก บางแพ และโพธาราม ทั้งที่มีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้น 
         
“สิ่งที่ต้องเรียกร้องความเท่าเทียมและเป็นธรรม เพราะทราบว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกในการจัดสรรวัคซีนเกิดขึ้นในจังหวัดราชบุรี จึงขอให้นายกรัฐมนตรีได้ฟังเสียงของประชาชนบ้าง ขอให้ส่งคนลงไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วนไม่ใช่จัดสรรวัคซีนแบบนี้ หากพบใครที่ทำผิด เล่นพรรคเล่นพวก ขอให้ดำเนินการย้ายออกจากจังหวัดไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับจังหวัดอื่น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกระทบความเชื่อมั่นจากประชาชน เขาไม่ได้ด่าจังหวัด เขาด่ารัฐบาล จึงขอให้ทำจังหวัดราชบุรีเป็นตัวอย่างในการจัดสรรวัคซีนที่เป็นธรรม”นายอัครเดช กล่าว

“องอาจ” ขานรับ ครม. ส่งต่อผู้ป่วยโควิดกลับภูมิลำเนา พร้อมเสนอ 4 แนวทางเคลื่อนย้ายให้สำเร็จ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ครม. มีแนวคิดให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดกลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนาว่า นับเป็นแนวคิดที่ดีที่จะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องเตียงรับผู้ป่วยใน กทม. ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดที่สูงต่อเนื่องขึ้นทุกวัน ถึงแม้จะมีองค์กรภาคเอกชน สื่อมวลชน รวมถึง ส.ส. ของแต่ละพื้นที่จะจัดทำโครงการรับผู้ป่วยกลับไปรักษาที่บ้านเกิดกันหลายจังหวัด แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับความต้องการของผู้ป่วยที่หาเตียงไม่ได้ใน กทม. ดังนั้นการดำเนินงานโดยรัฐบาลและภาครัฐโดยตรงน่าจะช่วยทำให้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดได้มากขึ้น

นายองอาจ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดกลับภูมิลำเนาทำได้อย่างราบรื่น เป็นไปตามความประสงค์ของ ครม. จึงขอเสนอแนวทางการดำเนินการดังนี้ 1.ควรดูความพร้อมของโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่จะรองรับผู้ป่วยว่ามีขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร 2.ควรสร้างความเข้าใจในชุมชนให้ความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจและเห็นใจผู้ป่วยที่จำเป็นต้องกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด 3.การบริหารจัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจาก กทม. ไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างจังหวัดต้องบูรณาการประสานงานกันให้เกิดประสิทธิภาพ และ 4.ครม. ควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการทำงาน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย จึงขอฝากแนวทางทั้ ง4 ข้อต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศบค. กำกับดูแลการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างจริงจังต่อไป

พท.แชร์คลิปภารกิจว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ลงพื้นที่ช่วยปชช. พร้อมสะท้อนวิกฤตโควิดในกทม. 

เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทยโพสต์คลิปวิดีโอการทำงานของว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนตลอดการระบาดของโควิด-19 สะท้อนเสียงและภาพความเดือดร้องของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนแออัดอย่างชัดเจน โดยคลิปวิดีโอดังกล่าว เป็นการสัมภาษณ์ตัวแทนจากทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคเพื่อไทย 3 ท่าน ได้แก่ นายพงศกร รัตนเรืองวัฒนา เขตบางกะปิ น.ส.ทิพจุฑา บุนนาค เขตบางพลัด และ น.ส.ทัดดาว ตั้งตรงเจริญ เขตราชเทวี ซึ่งเป็นหนึ่งในว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ที่ติดเชื้อโควิดจากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน โดยทั้ง 3 คนระบุว่าพรรคเพื่อไทยได้ช่วยเหลือประชาชนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดใหญ่ในปี 2563 กระทั่งเกิดการระบาดในระลอก 3 และ 4 ที่รุนแรงมากขึ้น โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ทีมงานได้รับแจ้งให้เข้าไปช่วยเหลือมากที่สุด คือ บริเวณชุมชนแออัด ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของกลุ่มผู้ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ ประกอบกับมาตรการควบคุมโรคระบาดและการจัดการวิกฤตที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทยจึงเข้าไปประสานงานและช่วยเหลือแก้ไขปัญหาในทุกด้าน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน ตั้งแต่ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัส ประสานเตียงผู้ป่วย ประสานโรงพยาบาลและขนส่งผู้ป่วยไปรับการรักษา ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งทีมได้ร่วมกันช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไปแล้วนับ 1,000 เคส

ที่มา : https://fb.watch/v/17kwkcXV_/ https://youtu.be/j61XXfhhBCY

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ เผยข่าวดี ไอโอซี ลงมติโหวตรับ "มวยไทย" และ สหพันธ์กีฬามวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ หรือ "อิฟม่า" อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ปูทางลุ้นบรรจุเข้าชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์ ในอนาคต

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 มร.โธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) เป็นประธานในการประชุมสมัชชาใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมโอกุระ กรุงโตเกียว โดยงานนี้ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์หญิงไทย ซึ่งเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมประชุมพร้อม ๆ กับคณะกรรมการบริหารคนอื่น ๆ ด้วย

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ กล่าวว่า สำหรับวาระสำคัญของงานประชุมสมัชชาใหญ่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 อยู่ที่การโหวตลงมติอย่างเป็นทางการให้ สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ได้รับรองอย่างเป็นทางการ ให้เป็นสหพันธ์กีฬานานาชาติอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งก็ถือเป็นการปูทางไปสู่การบรรจุแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ในอนาคตข้างหน้า ร่วมกับสหพันธ์เชียร์นานาชาติ, สหพันธ์แซมโบ้นานาชาติ, สหพันธ์ไอซ์สต็อคสปอร์ต, สมาคมองค์กรบ็อกซิ่งโลก และเวิลด์ ลาครอส

สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ หรือ "อิฟม่า" ก่อตั้งขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ก้าวไกลของสุภาพบุรุษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอีกไม่นานก็จะมีกลุ่มสุภาพสตรีเข้าร่วมด้วย โดยมีเป้าหมายรวมมวยไทย ที่มีอยู่ทั่วโลกนั้นให้มาอยู่ภายใต้กฏกติกาอันเดียวกัน โดยปี 2549 มวยไทยกลายเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ หลังได้รับการเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น โดยขยับอยู่ในฐานะเดียวเทียบเท่ากับฟีฟ่า (FIFA) ของวงการฟุตบอล, ฟีบ้า (FIBA) ของบาสเกตบอล และ ฟีน่า (FINA) ของกีฬาว่ายน้ำ โดยการรับรองจากสมาคมสหพันธ์กีฬานานาชาติ (General Association of International Sports Federations : GAISF) ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "มวยไทย" และอยู่ภายใต้การดูแลของ "อิฟม่า"

ในปี 2555 อิฟม่า ประกาศตัวให้สังคมโลกและโอลิมปิกได้รับทราบถึงความตั้งใจ ก่อนจะยื่นขอการรับรองชั่วคราวจากไอโอซี และได้รับการรับรองในปี 2559 หลังผ่านเกณฑ์สำคัญทั้งหมด 54 ข้อใน 8 หมวด ก่อนที่ล่าสุดจะได้รับการรับรองอย่างเต็มรูปแบบในที่ประชุมสมัชชาใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 138 ซึ่งถือเป็นการปูทางไปสู่การผลักดันให้กีฬามวยไทยให้ยิ่งเป็นที่รู้จัก ให้บรรจุเป้าหมายมีจัดชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมอำนวยการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิกและคณะอนุกรรมการดำเนินการการขับเคลื่อนกีฬามวยไทยสู่โอลิมปิก เปิดเผยว่า ในฐานะที่ไอโอซีได้รับรองมวยไทยและอิฟม่าให้เข้าเป็นสมาชิกถาวร ตน ในฐานะประธานคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการ คณะรัฐบาล และประชาชนชาวไทย รู้สึกภาคภูมิใจ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“ผมต้องขอขอบคุณท่านประธานไอโอซี โธมัส บาค รวมถึงคณะกรรมการทุกท่าน ที่ได้ให้การยอมรับกีฬามวยไทยในครั้งนี้ ผมอยากจะขอชื่นชมอิฟม่า และสมาชิกทั้ง 146 ประเทศ ที่ได้ร่วมมือกัน ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของโอลิมปิก จนได้รับความไว้วางใจอย่างดีจากไอโอซี ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะส่งเสริมมวยไทย และสนับสนุนการดำเนินงานของอิฟม่าอย่างเต็มที่ เพราะพวกเรามีเป้าหมายร่วมกัน คือ การผลักดันให้กีฬามวยไทยได้บรรจุเข้าร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ภายในอนาคตอันใกล้” พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ ประธานอิฟม่า เปิดเผยว่า ตนต้องขอขอบคุณ สำนักงานระหว่างประเทศของอิฟม่าเป็นพิเศษ ซึ่งนำโดยผู้อำนวยการ ชาริสซ่า ไทนัน ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เราสามารถบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ได้จริงและมีการจัดทำเอกสารในแอปพลิเคชันที่มีความหนากว่า 1,000 หน้า เพื่อแสดงให้ไอโอซีได้เห็นถึงความสอดคล้องของเรากับวาระโอลิมปิก 2020+5


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.เพิ่มงบประมาณปี 65 อีก 1.24 แสนล. สู้โควิด-จ่ายหนี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 65 แยกเป็น การขอเพิ่มงบประมาณ ตามแนวทางและขั้นตอนที่ครม.เห็นชอบเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จำนวน 124,291 ล้านบาท และ การเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ตามที่ได้มีพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2564 จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติภายในสำนักนายกรัฐมนตรี  เพื่อเพิ่มงบประมาณให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ 38 ล้านบาท 

ทั้งนี้ในรายละเอียดของการขอเพิ่มงบประมาณ จำนวน 124,291 ล้านบาท จะนำไปใช้เป็นรายจ่ายที่ต้องดำเนินการตามข้อผูกพันที่เกิดจากกฎหมาย สัญญา ข้อตกลงระหว่างประเทศ และค่าใช้จ่ายเพื่อการชำระหนี้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายตามสิทธิจำนวน 36,771 ล้านบาท และรายจ่ายเพื่อการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รายจ่ายเพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน หรือค่าบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือเป็นรายจ่ายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังโควิดหรือรายจ่ายที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง และรายจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานของหน่วยรับงบประมาณ 87,520 ล้านบาท 

ส่วนการเปลี่ยนแปลงงบประมาณเป็นการปรับลดงบประมาณรายจ่ายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับภารกิจที่จะต้องโอนจากสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 14 ล้านบาท และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 23 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 38 ล้านบาท อีกทั้ง ครม. ยังรับทราบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณของหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรอิสระและองค์กรอัยการ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายฯ 1,484 ล้านบาทด้วย

อาชีวะเกษตรและประมง เร่งช่วยเหลือชุมชน แจกจ่ายฟ้าทะลายโจรและกระชาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด-19

ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) และประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์อาชีวะเกษตรและประมง เปิดเผยว่า ดร. คุณหญิงกัลยา ได้มอบนโยบายเร่งด่วนให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในทุกชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อน

โดยนอกจากให้การช่วยเหลือด้านสถานที่และอาหารแล้ว ยังให้สถานศึกษาอาชีวะเกษตรฯ ทั้ง 47 แห่งเพาะพันธุ์ปลานิล ซึ่งแพร่ขยายพันธุ์ง่าย มีรสชาติดี และดีต่อสุขภาพ รวมถึงพืชสมุนไพรไทยอย่างกระชาย และฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีสรรพคุณทางการแพทย์ในการเสริมภูมิคุ้มกัน เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

“สืบเนื่องจากนโยบายของคุณหญิงกัลยา ให้เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จึงได้จัดการประชุมหารือผ่าน ระบบ Zoom เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายโดยมี ดร. ชาติชาย เกตุพรหม ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรและประมง นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษาผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรทั้ง 4 ภาค และผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมงทั่วประเทศ โดยวิทยาลัยเกษตรและประมงทั้ง 47 แห่ง เตรียมดำเนินการ แจก-ปล่อย ปลานิลจำนวน 999,999 ตัว และเพาะ-แจกต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวนกว่า 2 แสนต้นภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19” ดร.ศุภชัย กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/110537


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เสกสกล” จวก “หญิงหน่อย” โพสต์รูปผู้ป่วยโชว์โซเชียล เหน็บ อยากช่วยให้ทำเลย อย่าเอาหน้า ป้อง “นายกฯ”ทุกหน่วยไม่เคยนอนหลับ เร่งแก้ปัญหาปชช.

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ภาพผู้ป่วยโควิด-19 รอโรงพยาบาล ในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุว่านายกฯเห็นภาพนี้นอนหลับหรือไม่ ว่า ขอบคุณคุณหญิงสุดารัตน์ ที่มีน้ำใจจะช่วยผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังรอการรักษา เป็นการช่วยบุคลากรทางการแพทย์ แต่สิ่งที่ไม่สมควรทำคือนำภาพผู้ป่วยมาเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก เพราะจะทำให้เห็นว่าที่ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือประชาชนนั้นไม่จริงใจ แต่อยากให้คนเห็นการทำงานแบบสร้างภาพของตัวเอง หรือเพื่อหาคะแนนเสียงให้ตัวเองดูดี

นายเสกสกล กล่าวว่า ภาพผู้ป่วยไม่ใช่แค่นายกฯ รัฐมนตรี บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีใครนอนหลับลง และทุกคนทำงานแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนตลอดแทบไม่มีเวลาพักผ่อน และถามว่าในสถานการณ์วิกฤต คุณหญิงสุดารัตน์ คงนอนหลับฝันดีอย่างใช่หรือไม่ และหากจะทำตัวเป็นประโยชน์ เป็นผู้ใหญ่ที่คิดเป็น ไม่มีอคติ ให้พาทีมงานลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนทันที ไม่ต้องรอใครสั่ง ลงมือเสียสละช่วยกันได้เลย

"ประชาชนมองออกว่าไม่ได้เกิดจากความจริงใจ ที่อยากจะช่วยคนป่วย ทั้งที่ในภาวะเกิดการระบาดแพร่กระจายของเชื้อโควิด แทนที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือประชาชนจับมือกัน แต่นี่กลับสร้างภาพ เพื่อให้ฝ่ายตัวเองด่าทอนายกฯและรัฐบาลในโซเชียล เสมือนปลุกระดมทำลายกัน ขอให้คุณหญิงช่วยลุยลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านในยามทุกข์เช่นนี้ดีกว่าไหม ทำไมต้องมาโพสต์เพื่อประจาน หวังทำลายด้อยค่าคนอื่น สุดท้ายประจานตัวเองหรือว่าคุณหญิงหน่อย คิดว่าประเทศชาติประชาชนเป็นของนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ มีปัญหาอะไรก็โยนใส่นายกฯต้องรับผิดชอบคนเดียว ถ้าคิดเช่นนั้นคงต้องคืนบัตรประชาชนจะดีกว่า เพราะคงไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไทย จึงไม่มีจิตสำนึก ไม่เห็นใจประชาชนยามทุกข์ และเอาภาพประชาชนที่เจ็บป่วยมาโพสต์ หวังผลทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน"นายเสกสกล กล่าว

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ 8 แนวทาง และ 5 วิธีปฎิบัติ สำหรับ 'หญิงตั้งครรภ์' ในการเข้ารับวัคซีนโควิด-19

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่า ‘หญิงตั้งครรภ์’ ที่มีความเสี่ยงป่วยเป็นโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป และเพิ่มความเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษ

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้แนะ 8 แนวทางให้แก่ โรงพยาบาลและคลินิกฝากครรภ์ ให้ความรู้ คำแนะนำ เรื่อง ‘ฉีดวัคซีนโควิด-19’ ลดอาการป่วยหนัก ลดเสี่ยง เสียชีวิตทั้งแม่และเด็ก รวมถึง 5 วิธีปฏิบัติของ ‘หญิงตั้งครรภ์’ ในการดูแลตนเองเป็นพิเศษ มีอะไรบ้าง ? ไปติดตามกันเลย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมช.แรงงาน เปิดสัมมนาออนไลน์ “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” เปิดมุมมองใหม่ เร่งช่วยเหลือคนพิการทุกกลุ่ม ให้มีอาชีพ มีรายได้ สู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงานสัมมนา “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “เปิดมุมมอง ปรับแนวคิด เข้าใจคุณค่าของผู้พิการ” ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Microsoft Team และถ่ายทอดสดทาง Facebook Live เพจสำนักงาน ก.ล.ต.  กระทรวงแรงงาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยกล่าวว่า งานสัมมนาในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้เพิ่มการจ้างงานคนพิการ  เพิ่มการจัดสัมปทาน และเพิ่มกิจกรรมทางสังคม เพื่อให้คนพิการสามารถได้รับความช่วยเหลือในหลายๆ เรื่อง มีโอกาสที่จะพัฒนา หารายได้เลี้ยงดูตนเอง และได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเครือข่ายภาคเอกชนและภาครัฐ และสร้างกลไกตลาดทุนเพื่อเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ โดยกระทรวงแรงงาน และคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ มีความพร้อมที่จะร่วมดำเนินการเพื่อให้เรื่องดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม 

รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการจัดสัมปทานตามมาตรา 35 และกิจกรรมด้าน CSR เพื่อพี่น้องคนพิการ เป็นความช่วยเหลือที่ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการเพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการมีอาชีพ มีรายได้ และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และในวันนี้ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมเสวนาผ่านระบบออนไลน์ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะช่วยให้พี่น้องคนพิการได้รับโอกาสทั้งในการทำงาน การพัฒนาตนเอง และการหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ขอขอบคุณ สำนักงาน ก.ล.ต. และทุกหน่วยงานที่ร่วมจัดงานเป็นอย่างสูง และขอให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จลุล่วงและเกิดประโยชน์แก่พี่น้องคนพิการอย่างแท้จริง

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การสัมมนาในวันนี้ ภายใต้ชื่อ “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดกิจกรรมด้านสังคมเพื่อคนพิการให้มากขึ้น ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจจากตัวอย่างของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนที่มีการจ้างงานคนพิการ ซึ่งมีหลากหลายกิจกรรมที่สามารถสนับสนุนและช่วยเหลือคนพิการและครอบครัวได้ ก.ล.ต. จึงคาดหวังว่า การร่วมกันจัดกิจกรรมในลักษณะนี้จะช่วยให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ทำหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล และกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ เพื่อรองรับการประกอบอาชีพ โดยบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงนโยบายของรัฐบาล การจัดงานวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนงานช่วยเหลือคนพิการตามกลไกดังกล่าว ซึ่ง กพร. ดำเนินกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือคนพิการมาโดยตลอด ทั้งการฝึกอบรมทักษะอาชีพเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ รวมถึงการพัฒนาและรับรองหลักสูตรการฝึกเพื่อคนพิการ ตาม ม.35  นอกจากนี้ กพร.ยังมีภารกิจ และกิจกรรมที่สถานประกอบกิจการสามารถมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม CSR ได้ เช่น การฝึกอบรม การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน และการจัดการแข่งขันฝีมือคนพิการ เป็นต้น

การสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ในวันนี้ ยังมีผู้ร่วมเสวนาอีกหลายหน่วยงาน ได้แก่ คุณสมชาย มรกตศรีวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ในประเด็น ข้อกฎหมาย แนวทางการให้ความช่วยเหลือ และสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องสำหรับสถานประกอบการ  และคุณสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในประเด็น การให้ความช่วยเหลือคนพิการตาม พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน ได้แก่ คุณชูศักดิ์ จันทนานนท์ ประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย คุณอภิชาต การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม คุณดวงพร เที่ยงวัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในนามบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณกรณิศ ธนสุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และคุณอาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายสื่อสารองค์กรและเครือข่ายตลาดทุน สำนักงาน ก.ล.ต.

โรงพยาบาลสนาม ท่าอากาศยานสุวรณภูมิคืบ ผ่านการอนุมัติแบบเหลือขั้นตอนติดตั้ง เริ่มรับผู้ป่วย 4,500 เตียงได้ ส.ค. นี้  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐ เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขเร่งบริหารจัดการและจัดหาเตียงผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มเติมในขณะนี้นั้น ล่าสุดที่ประชุมการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) กรณี โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ได้เห็นชอบแบบโรงพยาบาลสนาม ระดับสูง (สนามบินสุวรรณภูมิ) ณ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลักที่1(SAT1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตามที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพออกแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะดำเนินการตามขั้นตอนการเสนอของบประมาณสนับสนุนต่อไป  

ทั้งนี้  โรงพยาบาลสนาม ระดับสูง(สนามบินสุวรรณภูมิ) จะรองรับผู้ป่วย 4,500 เตียง โดยชั้นที่ 2 ของอาคาร SAT1 จะเป็นที่ทำการแพทย์และเตียงผู้ป่วย ICU รวม 940 เตียง  ส่วนชั้นที่ 3 และ 4  เป็นเตียงผู้ป่วยอาการน้อยหรือไม่มีอาการ หรือผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีเขียว 3,560 เตียง ซึ่งเมื่อกรมสนับสนุนบริการสุขภาพดำเนินการจัดตั้งแล้วจะมีสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแลดำเนินการ โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน ส.ค. เป็นต้นไป

“รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้บูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมในการจัดหาพื้นที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งนอกจากพื้นที่อาคาร SAT1ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว ขณะนี้บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. ยังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมพื้นที่อาคารคลังสินค้า4 ของทาอากาศยานดอนเมืองเพื่อจัดตั้งโรงพยาบาลสนามอีก ซึ่งจะรองรับผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงได้อีกประมาณ2,000 เตียง รวมทั้ง 2 พื้นที่ของ ทอท.จะรองรับผู้ป่วยได้เกือบ7,000 เตียง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top