Wednesday, 9 July 2025
NewsFeed

ไทย–Interpol ผนึกกำลังไล่ล่าเครือข่ายโกง ล้างบางแก๊งคอลเซ็นเตอร์–ค้ามนุษย์ในกัมพูชา

(9 ก.ค. 68) รัฐบาลไทยเดินหน้ายุทธการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ล่าสุด พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผอ.ศปอส.ตร. ได้เข้าพบผู้บริหารตำรวจสากล (Interpol) ที่ฝรั่งเศส เพื่อหารือและยกระดับความร่วมมือ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานปฏิบัติการในกัมพูชา

Interpol ยืนยันสนับสนุนไทยเต็มที่ ทั้งเครื่องมือ ข้อมูล วิเคราะห์ และการวางแผนปฏิบัติการ รวมถึงส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมทำงานใน “ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์” ที่ไทยจัดตั้งขึ้น หวังผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการปราบปรามในระดับภูมิภาค

สำหรับทาง Interpol ซึ่งมีสมาชิก 196 ประเทศ จะทำหน้าที่ประสานข้อมูลผู้กระทำผิดข้ามชาติ สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายในประเทศต่างๆ โดยไทยจะเป็นแกนกลางเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับกัมพูชา และประเทศที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้

ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าลดอาชญากรรมลงอย่างน้อย 50% ภายใน 3 เดือน และไม่ให้ไทยถูกใช้เป็นทางผ่านอีกต่อไป ถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ และสร้างความมั่นคงด้านความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งในประเทศและภูมิภาค

'มทภ.2' ลั่นไทยมีกระสุนเต็มแม็ก ป้องอธิปไตย ฝากบอก 'ฮุนเซน-ฮุนมาเนต' รักษาสุขภาพด้วย

มทภ.2 ยืนยัน ไทยมีกระสุนเต็มแม็ก พร้อมรักษาอธิปไตย ขอฮุนเซน-ฮุนมาเนต รักษาสุขภาพ พร้อมฝากรัฐบาล 2 ประเทศ เร่งสางปมชายแดนไทย-กัมพูชา

(9 ก.ค. 68) ที่ฐานอนุพงศ์ อ.น้ำยืน จ. อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่จังหวัดสุรินทร์ศรีสะเกษ - อุบลราชธานี นำสิ่งของพระราชทานมามอบให้ ทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน พร้อมฝากให้กำลังพลปฏิบัติหน้าที่ด้วยความปลอดภัยดูแลสุขภาพตามที่ผู้บัญชาการทหารบก ย้ำ เนื่องจากอยู่ในช่วงหน้าฝนขอให้ผู้บังคับบัญชาดูแลความเป็นอยู่ของกำลังพล 

แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็นการสร้างรั้วแนวปราสาทตาเมือนธมว่า ต้องทำความเข้าใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายในเรื่องของเขตแดนให้ตรงกัน เพราะถ้าสร้างอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ถ้ายังไม่ได้ทำความเข้าใจกัน จึงต้องให้ระดับสูงพูดคุยกันก่อน จนเกิดความเข้าใจกันหากจะสร้างโดยทันทีนั้นอาจเกิดความขัดแย้งได้ 

ขณะนี้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้พูดคุยกันมาตลอด โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดความไม่เข้าใจกันก็ต้องพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งบางครั้งเกิดความไม่เข้าใจกันเรื่องเส้นทางลาดตระเวน หรือทหารเปลี่ยนผลัดใหม่ก็ต้องทำความเข้าใจจนทุกวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

ทั้งนี้ผู้บังคับหน่วยระดับกองพันกองร้อย ของทั้งสองฝ่ายก็ประสานพูดคุยกันจนทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วขณะนี้รอสัญญาณความพร้อมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาคหรือ RBC ไทย-กัมพูชา จากผู้นำทางฝ่ายกัมพูชา เพราะในส่วนของไทยโดยเฉพาะ โดยส่วนตัวในฐานะ ประธาน RBC มีความพร้อมทุกวัน หากจะประชุมวันพรุ่งนี้ก็พร้อมเสมอ

"เรารอแค่ทางกัมพูชาเป็นหลัก หากแจ้งกลับมาพรุ่งนี้ก็พร้อม หรือวันนี้ก็พร้อม เพราะเป็นประธานเอง ไม่ยากอะไร"

แม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาลาดตระเวนและมีการประชาสัมพันธ์เรื่องกระแสรักชาติของกัมพูชา ว่า ถือเป็นเรื่องปกติ และทางไทยเองก็เชิญชวนให้ประชาชน มาเที่ยวชมปราสาทตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา มีหลายปราสาทตั้งแต่ผามออีแดงจังหวัดศรีสะเกษ โดยยืนยันว่า 3 ปราสาท 1 พื้นที่ที่เป็นประเด็นคนไทยสามารถมาได้ทั้งหมด เพราะเป็นเขตของไทยอยู่แล้ว

ขณะเดียวกันขอขอบคุณประชาชนที่ได้ร่วมกันมาท่องเที่ยวปราสาท ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้นานแล้ว โดยเฉพาะปราสาทตาเมือนธม รวมถึงปราสาทที่อยู่ใกล้เคียง ก็สามารถมาเที่ยวชมกันได้

แม่ทัพภาคที่ 2 ยังย้ำถึงกรณีที่จะครบวาระเกษียณในเดือนตุลาคมนี้ว่า ไม่มีปัญหา เพราะเชื่อมั่นผู้บังคับบัญชาที่จะคัดเลือกผู้มีความรู้ ความสามารถ มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนต่อไป จึงไม่เป็นห่วง

สำหรับนโยบายปราบปรามคอลเซนเตอร์-สแกมเมอร์ จะส่งผลเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายรัฐบาล และความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แต่ปัจจุบันปัญหานี้ลดไปได้มาก หมายเลขโทรศัพท์ แปลกปลอมลดลง มีความเข้มงวด ในมาตรการเข้า-ออกด่าน และขอย้ำว่า กำลังตามแนวชายแดนก็ตอบสนองนโยบายรัฐบาล โดย ผบ.ทบ.รับนโยบายจากกระทรวงกลาโหม และหน่วยในพื้นที่พร้อมปฏิบัติตาม หากเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย 

พร้อมย้ำว่า ไม่กังวลประเด็นเสถียรของภาพรัฐบาล เพราะทหารทำหน้าที่อยู่แล้ว  และต้องดูแลความมั่นคงของประเทศ ส่วนการเมืองก็เป็นระบบต้องแก้ไขตามระบอบประชาธิปไตย และในส่วนของทหารพร้อมทำงานแม้ว่าจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเป็นใคร และขอให้เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายชัดเจนและทำเพื่อประเทศชาติ ซึ่งทหารก็พร้อมจะตอบสนองอยู่แล้ว 

แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำว่า จากสถานการณ์ช่องบก 28 พฤษภาคม 2568 จนถึงวันนี้ สถานการณ์ดีขึ้นโดยมีการปรับกำลังที่ช่องบก รวมถึงมีมาตรการด่าน เป็นการเสริมการทำงาน ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ 

พร้อมยอมรับว่า สถานการณ์จะดีขึ้นอีกหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้นำกัมพูชาได้ว่า จะทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นได้หรือไม่ เพราะฝ่ายไทยไม่มีปัญหาใดๆ โดยเฉพาะในประเด็น 3 ปราสาทกับหนึ่งพื้นที่ ที่ทางกัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทหารก็จะควบคุมพื้นที่อยู่เช่นเดิม  

ส่วนจะมีประเด็นอะไรฝากถึงสมเด็จฮุนเซนและฮุนมาเนต หรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำว่า อยากให้ดูแลสุขภาพ และยังต้องการให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ แก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของพี่น้องประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา 

ส่วนกรณีที่กองทัพไทยขอการสนับสนุนกระสุนจาก 'จัสแมก' จนมีการวิเคราะห์กันว่า ไทยมีกระสุนไม่เพียงพอ พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ไม่น่าจะใช่เรื่องจริง แต่มีการให้ข่าวที่ค่อนข้างคลาดเคลื่อน โดยยืนยันว่า ทุกวันนี้มีเพียงพออยู่แล้ว พร้อมที่จะปกป้องประเทศชาติ พร้อมย้ำว่า ไทยมีกระสุนเต็มแม็ก

ภปค. เตือนกฎหมายใหม่อนุญาตให้ขายเหล้าเบียร์วันพระใหญ่ได้แค่ในสนามบินนานาชาติ  สถานบริการและโรงแรมที่จดทะเบียนเท่านั้น

รวมทั้งประเทศ 17,015 แห่ง นอกนั้นยังคงห้ามขายทั้งหมด ส่วนสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการในพื้นที่ท่องเที่ยง และกิจกรรมพิเศษระดับนานาชาติ ต้องรอกฎหมายลูกกำหนดพื้นที่ก่อน หวั่นอาสาหบูชา – เข้าพรรษา คนสับสน เสี่ยงผิดกฎหมาย  
 
​ด้วยเมื่อวันที่ (9 พ.ค. 68) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กําหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2568 “ห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายในกรณี ดังต่อไปนี้ (1) การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ (2) การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ (3) การขายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ใน พื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด โดยคําแนะนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (4) การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม (5) การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจํานวนมาก ไปทํากิจกรรมร่วมกันตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด โดยคําแนะนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ภปค.) กล่าวว่า ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องการกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับล่าสุด ยังไม่ได้เปิดให้ขายเหล้า-เบียร์ ได้เป็นการทั่วไปในวันพระใหญ่ โดยอนุญาตให้ขายได้เพียงในอาคารผู้โดยสารของสนามบินระหว่างประเทศ ขายในสถานบริการที่จดทะเบียนถูกต้องตาม พ.ร.บ.สถานบริการ ขายในสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องออกประกาศเพิ่มเติมในภายหลัง ขายในโรงแรมที่จดทะเบียนตามกฎหมายโรงแรม และขายในกิจกรรมพิเศษระดับชาติที่มีคนจำนวนมากซึ่งจะต้องมีการออกประกาศเพิ่มเติม หากไม่เป็นไปตามข้อยกเว้นดังกล่าวและมีการฝ่าฝืนยังคงต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในประกาศฉบับนี้ยังกำหนดให้ผู้ขายตามข้อ 3 ต้องจัดให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จําเป็น เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจํากัดการเข้าถึง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชนไว้ด้วย  

“ปัจจุบันมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ทำให้ผู้ประกอบการหรือประชาชนทั่วไปเข้าใจไปว่ามีการปลอดล็อคให้ขายเหล้าเบียร์ในวันพระใหญ่ทั้งหมดได้แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง ในจำนวนจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีใบอนุญาตขาย กว่า 580,000 แห่ง นั้น จะถูกอนุญาตให้ขายได้เพียงบางจุดเท่านั้น อาทิ ในสนามบินนานาชาติ ซึ่งรวมทั้งประเทศมี 15 แห่ง  สถานบริการที่จดทะเบียนทั้งประเทศมีไม่ถึง 2,000 แห่ง  และโรงแรมที่จดทะเบียนอีกประมาณ 15,000 แห่ง 

ดังนั้นจุดผ่อนปรนที่อนุญาต ขายในตอนนี้มีเพียงแค่ 3% จากจำนวนใบอนุญาตขายทั้งหมด  สรุปคือโดยรวม 97% ยังคงห้ามขาย  ทั้งสิ้น ณ ปัจจุบัน  สำหรับร้านเหล้าผับบาร์หรือสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ในพื้นที่ท่องเที่ยวตามข้อ 3 และสถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ ตามข้อ 5 ต้องรอกฎหมายลูกออกมาก่อน  ตอนนี้ยังไม่สามารถขายได้จนกว่าจะมีอนุบัญญัติออกมาว่ามีพื้นที่ใดบ้าง หวั่นเกิดความสับสนในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา  10-11 กรกฎาคมที่ถึงนี้ จึงอยากให้น่วยงานที่รับผิดชอบชี้แจงให้ชัดเจน” นายธีรภัทร์ กล่าว

ทรัมป์ย้ำเส้นตาย!! ขึ้นภาษีนำเข้า 1 ส.ค. ส่งผลกระทบไทย โดนภาษีสหรัฐฯ 36%

(9 ก.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอังคารว่า จะไม่มีการขยายเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมนี้ สำหรับการบังคับใช้ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นกับหลายประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยแสดงท่าทีว่าจะมีความยืดหยุ่นในกำหนดการดังกล่าว

ตั้งแต่เดือนเมษายน สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 10% กับหลายประเทศ แต่มีบางประเทศที่ถูกกำหนดให้เสียภาษีเพิ่มเป็นพิเศษ ซึ่งถูกเลื่อนมาแล้วหลายรอบ แต่ล่าสุดทรัมป์ยืนยันว่าจะเริ่มเก็บจริงวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และจะไม่เลื่อนอีกแล้ว

ทรัมป์โพสต์ผ่าน Truth Social ว่า “จะไม่มีการต่อเวลาอีก” และระบุว่าประเทศต่าง ๆ จะเริ่มจ่ายภาษีตามหนังสือแจ้งเตือนที่รัฐบาลส่งออกไป โดยบางประเทศจะถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ เช่น อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ไทย และมาเลเซีย ส่วนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะถูกเก็บในอัตรา 25%

ในจดหมายถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ ทรัมป์เตือนว่า หากมีการตอบโต้ สหรัฐฯ อาจตอบกลับด้วยมาตรการภาษีที่รุนแรงขึ้น แต่ก็เปิดช่องให้ต่อรอง โดยระบุว่า หากประเทศใดพร้อมปรับนโยบายการค้า สหรัฐฯ “อาจพิจารณาปรับแก้จดหมายนี้”

จนถึงตอนนี้ สหรัฐฯ มีข้อตกลงเกิดขึ้นเพียงกับไม่กี่ประเทศ เช่น อังกฤษ เวียดนาม และการลดภาษีตอบโต้กับจีน โดยทรัมป์ย้ำว่า มาตรการขึ้นภาษีนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การค้าระหว่างประเทศเป็นธรรมกับสหรัฐฯ มากขึ้น

เปิดประวัติ ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ หรือ โฟม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คนใหม่ ที่ไม่ได้มีดีแค่เป็นหลานชาย ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ เท่านั้น

ภายหลังจากได้เห็นโฉมหน้า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ในรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือ นายกฯ อิ๊งค์ 1/2  ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีหน้าเก่าและหน้าใหม่ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหนึ่งในรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่ได้รับการจับตามองอย่างมาก นั่นก็คือ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 

ที่ผ่านมามีชาวเน็ตจำนวนมาก รวมถึงเพจดังอย่าง CSI LA ได้ตั้งคำถามว่า เหตุใด พงศ์กวิน จึงได้นั่งตำแหน่งนี้ นั่นอาจเป็นเพราะนอกจากจะเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ และอยู่ในตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญแล้ว การที่มีนามสกุล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นที่น่าจับตามองมากขึ้นไปอีก เพราะเป็นหลานชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม อีกทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ความรู้ความสามารถ ให้ลึกถึงรายละเอียดจะพบว่า พงศ์กวิน นั้นมีความรู้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ในระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จากวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต

ไม่เพียงเท่านั้นก่อนเข้าสู่ถนนสายการเมือง พงศ์กวิน ผ่านทั้งงานด้านการบริหารธุรกิจมาแล้ว ในตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการบริษัท อาทิ บริษัท จีเดค จำกัด บริษัท ไออีซี กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด บริษัท ไออีซี บิซิเนส พาร์ทเนอร์ส จำกัดและบริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากบทบาทนักธุรกิจ จึงได้ตัดสินใจเข้ามาทำงานด้านงานการเมืองของ ตามรอย ‘สุริยะ’ ผู้เป็นอา โดยเริ่มต้นด้วยการเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เมื่อ พ.ศ. 2561 ก่อนที่ในปีถัดมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังประชารัฐ และได้รับเลือกตั้ง 

ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในบทบาท สส. ต้องยอมรับว่า พงศ์กวิน เป็น สส.ที่มุ่งมั่นในบทบาทที่ตนเองดูแล มีความตั้งใจ ขยันทำงาน โดยเฉพาะงานฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นทั้งวิปรัฐบาล, รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกีฬา สภาผู้แทนราษฎร เรียกได้ว่าติดอันดับ ‘ตัวท็อป’ ที่มาประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไปทุกแมตช์ ยกมือแทบจะทุกรอบ ไม่เคยพลาด จนคำว่า ‘ดาวรุ่ง’ ในเชิงของ สส.ภาพลักษณ์ดี ติดอยู่ในสายตาบรรดาคนการเมือง

แม้ว่าในการเลือกตั้งปี 2566 ในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง เพราะอยู่ในลำดับที่ 93  แต่ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้กับสุริยะผู้เป็นอา และล่าสุด พงศ์กวิน ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในรัฐบาลนายกแพทองธาร ชินวัตร แทน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่ลาออกตามมติพรรคภูมิใจไทยไปก่อนหน้า

ถึงชั่วโมงนี้ หลายคนโดยเฉพาะชาวเน็ต ยังคงมีข้อกังขาว่า การได้นั่งในตำแหน่ง รมว.แรงงาน ของ พงศ์กวิน ในครั้งนี้ หลักๆ คงโฟกัสไปที่การมีนามสกุลดังอย่าง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ และก็คงห้ามความคิดใครไม่ได้ด้วย แต่หากมองด้วยใจเป็นกลาง โดยปราศจากอคติ ก็ควรเปิดโอกาสและให้เวลากับ รัฐมนตรีใหม่ป้ายแดง อย่าง พงศ์กวิน ได้พิสูจน์ฝีมือสร้างผลงาน ทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งอาจจะทำได้ดีกว่า คนที่เคยนั่งเก้าอี้ตัวนี้ก็ได้

‘ยูเครน’ คว่ำบาตรบริษัทจีน 5 แห่ง กล่าวหาส่งชิ้นส่วนโดรนให้ ‘รัสเซีย’ มาถล่ม

(9 ก.ค. 68) ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ลงนามในคำสั่งคว่ำบาตร 5 บริษัทจากจีน หลังพบว่าบริษัทเหล่านี้ส่งชิ้นส่วนที่ใช้ในโดรนรุ่น Shahed ซึ่งรัสเซียใช้โจมตียูเครน โดยคำสั่งนี้มีขึ้นหลังจากหน่วยความมั่นคงยูเครนตรวจพบชิ้นส่วนจากจีนในซากโดรนที่ถูกยิงตกในกรุงเคียฟเมื่อ 4 กรกฎาคม

บริษัทที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่ Central Asia Silk Road International Trade, Suzhou Ecod Precision Manufacturing, Shenzhen Royo Technology, Shenzhen Jinduobang Technology และ Ningbo BLIN Machinery โดยรายชื่อทั้งหมดถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของประธานาธิบดี

โดรนรุ่นชาเฮด (Shahed) เป็นอาวุธที่รัสเซียใช้โจมตียูเครน โดยสร้างขึ้นจากแบบของอิหร่าน และประกอบด้วยชิ้นส่วนจากหลายประเทศ ซึ่งยูเครนเตือนว่า ยังมีบางประเทศที่ไม่ได้ร่วมคว่ำบาตรรัสเซีย และปล่อยให้ชิ้นส่วนเหล่านี้ส่งไปถึงรัสเซีย

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ยูเครนระบุว่า รัสเซียยังผลิตอาวุธต่อไปได้ เพราะได้รับชิ้นส่วนและวัสดุจากจีน ซึ่งถือเป็นพันธมิตรสำคัญของรัสเซียในช่วงสงคราม โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกีเคยกล่าวหาว่า “จีนไม่ยอมขายโดรนให้ยูเครน แต่กลับส่งให้รัสเซียแทน”

ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับจีนยังคงแน่นแฟ้น ล่าสุดมีรายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เตรียมเดินทางเยือนจีนในเดือนกันยายนนี้ เพื่อพบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

‘เอกนัฏ’ ส่งทีมสุดซอย บุกจับโรงงานเถื่อนในที่ดินป่าไม้ ลอบนำเข้าเศษยางจากกัมพูชาแปรรูปส่งออกต่างประเทศ

(9 ก.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง นำหมายค้นจากศาลจังหวัดระยอง เข้าตรวจสอบโรงงานร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตป่า ตรวจสอบภายในโรงงานพบเป็นที่ตั้งของ บริษัท ฟูด้า รับเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 71 หมู่ที่ 2 ต.ขำฆ้อ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง หลังได้รับรายงานว่ามีการลักลอบตั้งประกอบกิจการโรงงานรีไซเคิล บดย่อยยางรถยนต์ และมีการนำเข้า เศษยางรถยนต์จากกัมพูชามาลักลอบแปรรูปส่งออก

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าโรงงานดังกล่าวมีการประกอบกิจการรีไซเคิลยางรถยนต์เก่า พบกองวัตถุดิบประเภทยางรถที่ใช้แล้ว เศษยางรถบดย่อย เศษลวดจากยางรถเป็นจำนวนมาก เพื่อมารีดทำยางแผ่นส่งออกต่างประเทศ และยังพบเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการตั้งและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงทำการยึดอายัดของกลาง และจับกุม นายฉี เร่อเทียน สัญชาติจีน และนายรังสฤษดิ์ หวานฤดี ชาวไทย ในข้อหาร่วมกันประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และจับแรงงานชาวพม่าลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 2 ราย ส่งดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรเขาชะเมา 

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าที่ดินแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตป่าที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) สำหรับให้อยู่ทำกินเพื่อการเกษตร ซึ่งผู้ถือครองสิทธิ์คือ นางเบญจพร หอมขจรทรงวศิน ต่อมา นายฉี เร่อเทียน มีการทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวกับ นายกิตติ ทรงวศิน เพื่อประกอบธุรกิจ ทำให้ผิดวัตถุประสงค์ในการใช้ที่ดินในเขตป่าตามอนุญาต คทช. เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อทำกินและการเกษตร แต่กลับปล่อยให้ชาวต่างชาติมาเช่าช่วงต่อ และลักลอบตั้งโรงงานเถื่อนทำธุรกิจรีไซเคิล บดย่อยเศษยาง และพบว่ากิจการแห่งนี้มีความเชื่อมโยงขบวนการนำเข้าเศษยางรถยนต์มาจากกัมพูชา มาบดย่อยแปรรูปเป็นยางแผ่น เพื่อส่งออกไปจีนอีกด้วย

นอกจากที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมและตำรวจ บก.ปทส. ดำเนินคดีกับชาวจีนและหุ้นส่วนชาวไทย ข้อหาประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ชุดสุดซอยจะทำรายงานเพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อมอบหมายให้อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และกรมป่าไม้ พิจารณาทบทวนการให้สิทธิ์เช่าที่ดินทำกินในที่ดินป่าไม้ ว่ามีการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์ในการให้คนไทยเช่าใช้ที่ดินทำกินและการเกษตรหรือไม่ เพื่อบูรณาการความร่วมมือตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมาย และป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำความผิดของผู้ลักลอบใช้พื้นที่ป่าไม้ฝ่าฝืนทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ต่อไป

จีนทุบสถิติมูลค่าเศรษฐกิจทางทะเลปี 2024 ทะลุ 45 ล้านล้าน!! ขนส่ง-ต่อเรือ-ประมง เกินเป้าทุกด้าน

(9 ก.ค. 68) จีนประกาศมูลค่าเศรษฐกิจทางทะเลในปี 2024 สูงเกิน 10 ล้านล้านหยวน (ราว 45.5 ล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สะท้อนความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมทางทะเลอย่างต่อเนื่อง

เจิ้งซานเจี๋ย (Zheng Shanjie) หัวหน้าคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ เผยตัวเลขนี้ระหว่างแถลงความคืบหน้าของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 และจะสิ้นสุดในปี 2025

จีนยังคงเป็นผู้นำโลกด้านการขนส่งทางเรือ โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของทั่วโลก รวมถึงครองส่วนแบ่งตลาดเรือและอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเลมากกว่าร้อยละ 50

นอกจากนี้ จีนยังรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเล ด้วยปริมาณผลผลิตที่สูงสุดในโลกติดต่อกันหลายปี สะท้อนบทบาทสำคัญของเศรษฐกิจทางทะเลในการขับเคลื่อนประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top