Sunday, 1 June 2025
NewsFeed

'รมว.สุดาวรรณ' แถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

 

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) เวลา 13.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมี นายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ นางสาวพลอย ธนิกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม) นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะศิลปินพื้นบ้าน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ดำเนินโครงการเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงวิริยะอุตสาหะ บำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยการดำเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรม ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ จำนวนหลายรายการ ในวาระสำคัญต่าง ๆ จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน อาทิ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน เครือข่ายทางวัฒนธรรม ในการขับเคลื่อน ถ่ายทอด และสร้างสรรค์งานวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ตลอดจนองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม สอดรับกับแนวทางการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ตามนโยบายรัฐบาล

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในฐานะทรงเป็น “วิศิษฏศิลปิน” และ “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” ที่ทรงมีคุณูปการต่อเหล่าศิลปิน และศิลปวัฒนธรรมของชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดำเนินการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้น เพื่อเผยแพร่พระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพ รวมถึงเปิดโอกาสให้หน่วยงานทุกภาคส่วนและประชาชนทุกหมู่เหล่า มีส่วนร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมหามงคลนี้ รวมถึงเพื่อเป็นการเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ให้เป็นที่รับรู้แก่ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ

ด้าน นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวเสริมว่า การจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จะรวบรวมพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระอัจฉริยภาพ และการทรงงานด้านวรรณศิลป์ ด้านทัศนศิลป์ และด้านศิลปะการแสดง โดยนำเสนอในรูปแบบนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การเสวนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม โดยบูรณาการความร่วมมือจากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นการเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ให้เป็นที่รับรู้แก่ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) พิธีเปิดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษาฯ ในวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยนางสาวสุดาวรรณ  หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

2) การจัดกิจกรรม อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การเสวนา การแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ในวันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ และอาคารอเนกประสงค์ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และในวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. ณ Avenue A ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ขอเชิญชวนประชาชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับการแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม สามารถสำรองที่นั่งได้ ตามรายละเอียดเฟสบุ๊ค กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เฟสบุ๊ค ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หรือสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 247 0013 ต่อ 4113 หรือ 4115

ทั้งนี้ ภายในงานแถลงข่าว ได้รับเกียรติจากศิลปินแห่งชาติและศิลปินต่าง ๆ ร่วมแถลงข่าว อาทิ นายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) พุทธศักราช 2540 กล่าวถึง ศิลปินแห่งชาติสร้างสรรค์งานศิลป์เทิดพระเกียรติวิศิษฏศิลปิน รองศาสตราจารย์บัวผัน สุพรรณยศ อุปนายกสมาคมศิลปินเพลงพื้นบ้านภาคกลางประเทศไทย กล่าวถึงการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเทิดพระเกียรติวิศิษฏศิลปิน คุณสุนารี ราชสีมา ศิลปิน กล่าวถึงการแสดงเพลงพระราชนิพนธ์ “ส้มตำ” ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นายเอกพันธุ์ มาบรรดิษฐ จาก คณะคชมุข สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กล่าวถึงการแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน 4 ภาค ที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

‘อนุชา’ แนะรัฐบาลหยุดใช้งบแบบหว่านแห โฟกัสอุตสาหกรรม New S-Curve ให้ชัดเจน

เมื่อวันที่ (29 พ.ค.68) นายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า 

การอภิปรายของตนในครั้งนี้จะเน้นไปที่การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น ในช่วงก่อนการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง และในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งมีการเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเติบโตแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ เรื่อยมาจนถึงช่วงวิกฤติโควิดที่เศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง และในปีนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเติบโตประมาณร้อยละ 2.1 จากการคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง แต่สำหรับ World Bank มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 1.6 เท่านั้น เนื่องจากข้อห่วงใยในเรื่องของหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า 

โดยทั่ว ๆ ไป พัฒนาการของเศรษฐกิจจะมีวัฏจักรคือทุก ๆ 12 ปี จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานนี้ น่าจะประมาณ 2575 เราจะพบกับวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง ดังนั้นในวันนี้เราต้องพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรองรับวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น และพร้อมที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และโจทย์ที่สำคัญคือการผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นออกจากประเทศรายได้ปานกลางที่ประเทศไทยอยู่จุดนี้มาไม่น้อยกว่า 30 ปี 

วันนี้ประเทศไทยโดยรัฐบาลจะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ผ่านการสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจของประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics), การเกษตรขั้นสูงและเทคโนโลยีชีวภาพ (Advanced Agriculture and Biotechnology), เศรษฐกิจดิจิทัล, AI และหุ่นยนต์ (Digital Economy, AI, and Robotics) รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) นี่คือสิ่งต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องสร้างระบบนิเวศเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง 

สำหรับงบประมาณที่รัฐบาลได้เสนอมา โดยเฉพาะในส่วนของแผนงานบูรณาการการพัฒนาอุตสาหกรรมและการบริการแห่งอนาคตกลับมีการปรับลดงบประมาณลง จาก 8 พันล้านเหลือเพียงเกือบ 6 พันล้านเท่านั้นเอง รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ตอนนี้ชะลอการตัดสินใจ เพื่อรอจังหวะที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร 

รัฐบาลจะต้องหยุดสะเปะสะปะ หยุดทำทุกอย่าง แต่ต้องโฟกัสว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำ อะไรคือ New S-Curve ที่รัฐบาลจะนำเสนอ เพื่อเป็นคำตอบที่ชัดเจนให้กับนักลงทุน และพร้อมจะขับเคลื่อนทุก ๆ องคาพยพทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายด้วย 

สำหรับการปรับปรุงกฎหมายรัฐบาลจะต้องเร่งนำกฎหมายที่สามารถกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างข้อพิพาทในสังคมน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็น กฎหมาย SEC ที่ตนได้เสนอ หรือกฎหมายสนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติได้รวมกันเสนอ ซึ่งหากมีการผลักดันอย่างต่อเนื่องจะสามารถเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และประเทศไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ 

และหากประเทศไทยเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่วันนี้และต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

WFP เผย 'ฝูงชนอดอยาก' ล้อมคลังอาหารในกาซา ดับแล้ว 2 ราย บาดเจ็บอีกเพียบในการแย่งเสบียง

(30 พ.ค. 68) สถานการณ์ความอดอยากในฉนวนกาซาทวีความรุนแรง ขณะที่โครงการอาหารโลก (WFP) เปิดเผยว่า กลุ่มชาวปาเลสไตน์จำนวนมากซึ่งหิวโหย ได้บุกเข้าโกดังเก็บเสบียงในเมืองเดียร์ เอล-บาลาห์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกหลายคน เหตุเกิดท่ามกลางภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก 

ในขณะเดียวกัน การโจมตีจากอิสราเอลยังคงดำเนินต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขในกาซาระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 รายทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะในค่ายผู้ลี้ภัยบูเรจในกาซากลาง มีผู้เสียชีวิต 23 ราย จากการโจมตีอาคารที่พักอาศัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินต้องใช้เวลานานกว่า 30 นาทีในการกู้ร่างผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานการโจมตีบ้านเรือนและโรงเรียนอนุบาลในเขตจาบาเลีย ทางเหนือของกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกอย่างน้อย 7 ราย ขณะที่จุดแจกจ่ายความช่วยเหลือที่ก่อตั้งโดยมูลนิธิ Gaza Humanitarian Foundation (GHF) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ก็เกิดระเบิดต่อเนื่อง โดยยังไม่มีความชัดเจนถึงสาเหตุ

องค์กรสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติแสดงความกังวลต่อบทบาทของ GHF โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวขาดความเป็นกลางและละเมิดหลักการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ทั้งยังอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางทหารหรือการควบคุมพลเรือนของอิสราเอล

แม้อิสราเอลจะยืนยันว่าอนุญาตให้นำส่งความช่วยเหลือทั้งผ่าน UN และ GHF แต่เจ้าหน้าที่ UN ระบุว่าจำนวนความช่วยเหลือที่เข้าสู่กาซายัง 'น้อยเกินไป' เมื่อเทียบกับความต้องการระดับวิกฤต พร้อมเตือนว่า การแจกจ่ายแบบ 'จับตา-จำกัด' นี้ อาจยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ขาดแคลนอาหารและบั่นทอนหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

กกท. ยัน F1 ต้องการจัดสตรีทเซอร์กิตกลางกรุงเทพฯ ปักหมุดบริเวณ ‘จตุจักร’ รัฐบาลชงแผนเข้า ครม. 4 มิ.ย.นี้

(30 พ.ค. 68) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่าหลังจากเดินทางพร้อมนายกรัฐมนตรีไปศึกษาการจัดแข่ง F1 ที่โมนาโก ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของ F1 และได้รับสัญญาณเชิงบวก โดยคาดว่าจะมีข่าวดีต่อวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย แต่ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ เนื่องจากเป็นความลับของผู้จัด F1

แนวทางจัดการแข่งขันเน้นไปที่ 'สตรีทเซอร์กิต' หรือการใช้ถนนจริงในเมืองเป็นสนามแข่ง ซึ่งตรงกับแผนธุรกิจของ F1 ที่มุ่งดึงดูดกลุ่มเป้าหมายระดับบน ไม่ต้องสร้างสนามถาวรใหม่ให้เปลืองงบ หากไทยได้จัดจริง จะกลายเป็นสนามสตรีทเซอร์กิตลำดับที่ 7 ของโลก ถัดจากเมืองระดับโลกอย่างโมนาโก, สิงคโปร์, ไมอามี, ลาสเวกัส, เจดดาห์ และบาคู

พื้นที่ที่มีการพิจารณาเบื้องต้น คือย่านจตุจักร ครอบคลุมสวนสาธารณะใหญ่ 3 แห่ง รวมระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร โดยยืนยันว่า F1 ปีแรกสามารถคืนทุนได้แน่นอน ทั้งทางตรงและทางอ้อม และจะเสนอแผนเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 มิถุนายนนี้

สำหรับสนามโมนาโกที่ใช้ศึกษา เป็นหนึ่งในสนามแข่งที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุดในโลก จัดมาตั้งแต่ปี 1950 และถือเป็นต้นแบบของสนามแข่ง F1 แบบสตรีทเซอร์กิตที่ผสานความหรูหรา เมืองเก่า และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นโมเดลที่ไทยต้องการนำมาปรับใช้กับกรุงเทพฯ

‘ทักษิณ’ เลิกกั๊กจ้องฮุบ 'มหาดไทย' ยังทำงานไม่เต็มที่ ควรให้ 'เพื่อไทย' เข้าไปทำบ้าง เชื่อ 'ภูมิใจไทย' ไม่ถอนตัวรัฐบาล

(30 พ.ค.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทาง 3 บก.เครือเนชั่น โดยนายทักษิณ สวมบทบาทเป็น บก.คนที่ 4 เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะความเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่มักต้องคุมกระทรวงสำคัญๆ ไว้ในมือ ทางพรรคเพื่อไทยควรมีคนของตัวเองไปเป็น รมว.มหาดไทย หรือไม่

นายทักษิณ ระบุว่า การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือกระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่

เมื่อถามว่านายทักษิณ ผ่านการเมืองมาเยอะ และรู้จักพรรคเพื่อไทยดี วิเคราะห์ในฐานะ บก.คนที่4 รอบนี้ พรรคเพื่อไทยจะกล้ายึดหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่าให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว

เมื่อถามว่า แล้วพรรคร่วมรัฐบาลที่มี 69 เสียง เขาจะยอมหรือไม่ ในเมื่อกระทรวงนั้นคือหัวใจหลักคุมอำนาจบริหารและเอาชนะทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า คือมันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ

เมื่อถามว่านอกจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังต้องมีกระทรวงไหนอีกที่สามารถทำให้รัฐบาลทำงานกระฉับกระเฉง และสามารถชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป นายทักษิณ กล่าวว่า ก็กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ก็เป็นหัวใจ คมนาคมก็เรื่องของรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีเหตุผลบอกกับประชาชน มันเสียนิสัย เพราะมันเคยเป็นพรรคใหญ่มาก่อน

เมื่อถามว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเอากระทรวงมหาดไทยมาได้ คิดในฐานะนักวิเคราะห์ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยเขาจะกล้าถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง เราไม่อยากให้เขาถอนอ่ะ ก็อยู่ด้วยกันมา”

เมื่อถามว่า แต่ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ นายทักษิณ กล่าวว่า อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของแต่ละพรรคได้

เชียงใหม่-เปิดเส้นทางท่องเที่ยว 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' แสงเทียนแสงธรรม : จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) ที่ บริเวณหน้าหอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดเส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' แสงเทียนแสงธรรม : จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจท่องเที่ยว ผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคัก

นายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในนามของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ และท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา กิจกรรมในวันนี้เป็นกิจกรรมสร้างประสบการณ์เส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าและ กิจกรรมสาธิต/กิจกรรมตามประเพณีพื้นถิ่น 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' (เชียงราย พะเยา ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่) ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองเก่าอารยธรรมล้านนา 'มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา' 

โดยการสนับสนุนงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แผนงาน : บูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มีแนวคิดในการบูรณาการจัดกิจกรรมร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าของเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา โดยการนำเอาต้นทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ย่านเมืองเก่า กิจกรรมท่องเที่ยวตามประเพณี วิถีชีวิตชุมชน และอาหารพื้นถิ่น มาร้อยเรียงเรื่องราวและสร้างสรรค์เป็นเส้นทางท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ เน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและแสดงให้เห็นถึงความสวยงามของโบราณสถานวัด สถานที่ ในยามค่ำคืน ในพื้นที่เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา โดยมีวัตถุประสงค์ของกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เปิดมุมมองและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว 

โดยหวังว่าจะสามารถเพิ่มกิจกรรมในยามค่ำคืน (ยามแลง) เพื่อให้เกิดการพักค้าง เกิดการ บอกต่อกิจกรรม และเกิดการเดินทางซ้ำของนักท่องเที่ยว โดยการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว ให้น่าจดจำ มีการกระจายรายได้ด้านการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น และบูรณาการการทำงาน ด้านการท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา                             

จัดขึ้นภายใต้กิจกรรมสร้างประสบการณ์เส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า จำนวนทั้งหมด 6 เส้นทาง ภายใต้แนวคิด 6 แสง มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา ดังนี้ เส้นทางที่ 1 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงเทียน แสงธรรม”(จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งดำเนินในวันนี้ โดยกิจกรรมเริ่มต้น ณ ลานกิจกรรมหน้าหอพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่น นั่งรถรางใส่ขันดอกอินทขิล การจุดเทียนเสริมสิริมงคล ณ วันศรีสุพรรณ ลอดซุ้มประตูโขงตะแหลว 7 ชั้นกราบพระประธาน วันโลกโมฬี และนั่งรถชมเมืองเชียงใหม่ยามเย็น โดยมีเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 100 คน 

สำหรับเส้นทางที่ 2 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงเวียงเขลางค์”(จังหวัดลำปาง) เส้นทางที่ 3 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงสี...ปายยามเย็น” (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) เส้นทางที่ 4 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงเวียง” (จังหวัดเชียงราย)เส้นทางที่ 5 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงศรัทธา” (จังหวัดพะเยา)และ เส้นทางที่ 6 : มนต์เสน่ห์ยามแลง “แสงแห่งวิถี” (จังหวัดลำพูน) กิจกรรมสร้างประสบการณ์เส้นทางท่องเที่ยวย่านเมืองเก่าและ  กิจกรรมสาธิต กิจกรรมตามประเพณีพื้นถิ่น “มนต์เสน่ห์ยามแลง แสงล้านนา” ในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา เส้นทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่เปิดมุมมองและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว กระจายรายได้ด้านการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

(สุรินทร์) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยัน การเจรจาไทย-กัมพูชา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ย้ำขอให้ประชาชนมั่นใจ จะไม่มีการใช้กำลังซึ่งกันและกัน

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยัน การเจรจาไทย-กัมพูชา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ย้ำขอให้ประชาชนมั่นใจ จะไม่มีการใช้กำลังซึ่งกันและกัน อันทำให้เดือดร้อนและส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างแน่นอน พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับทหารฝ่ายกัมพูชา ณ หน่วยประสานงานประจำพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่สอง จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ช่วงค่ำวันนี้ว่า 

จากการเจรจาระหว่างทหารฝ่ายไทย นำโดย พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก กับ พลเอก เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ได้ข้อสรุปร่วมกัน คือ ให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมอย่างน้อยฝ่ายละ 200 เมตร เพื่อรอคณะกรรมการปักปันเขตแดนโดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีการประชุม JBC ร่วมกัน ภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ เร่งแก้ปัญหาการถือแผนที่ไม่ตรงกัน สรุปว่าในปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย มีความเข้าใจกันดี และทั้ง 2 ประเทศจะต้องหาเวลาพูดคุยกัน เพื่อยุติข้อขัดแย้งที่จะนำมาซึ่งการใช้อาวุธต่อกัน ขอให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศมั่นใจว่าจะไม่มีการนำไปสู่การใช้กำลังที่จะทำให้เดือดร้อนและส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างแน่นอน

 

นครพนม-นบ.ยส.24 ต้อนรับที่ปรึกษาสำนักงาน ปปส. (อดีต เลขาธิการ ปปส.) พร้อมคณะ ในการศึกษาดูงานโครงการสัมมนาด้านการข่าว 

ที่ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24) มอบหมายให้ พลตรี ฉัฐชัย มีชั้นช่วง รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การต้อนรับ นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (อดีต เลขาธิการ ปปส.) พร้อมคณะ ในการศึกษาดูงานโครงการสัมมนาด้านการข่าว การลักลอบลำเลียงยาเสพติดที่มีความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกฉียงเหนือตอนบนและในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 1 (ปปส.ภาค 1) ในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดนครพนม และตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องในการป้องกันยาเสพติด การสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด การแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ สรุปสถิติและการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ในพื้นที่ 25 อำเภอชายแดน ของ 7 จังหวัดรับผิดชอบ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย แนวโน้มสถานการณ์ยาเสพติด กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตาม 6 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการสกัดกั้น มาตรการปราบปราม มาตรการป้องกัน มาตรการบำบัดรักษา มาตรการบูรณาการ มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน  

เพื่อร่วมประชุมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ตามนโยบายของทางรัฐบาลที่กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระที่ให้ความสำคัญเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น ชื่นชมในความทุ่มเท เสียสละ และความมุ่งมั่นของทุกหน่วยงานในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยเฉพาะในภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคมไทยในปัจจุบันซึ่งมี ผลการตรวจยึดจับกุมตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุม จำนวน 785 ครั้ง, ผู้ต้องหา 1,078 ราย ของกลาง ยาบ้า 116,960,665 เม็ด,ไอซ์ 5,793 กิโลกรัม เฮโรอีน 142 กก.,เคตามีน 796 กิโลกรัมและอื่นๆ รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นมากถึง แปดพันล้านบาทเศษ (8,271,696,850 บาท)

กองทัพน้อยที่ 3 ร่วม MOU โครงการผลิตปุ๋ยหมักจากเศษหญ้า ใบไม้ และกิ่งไม้

กองทัพน้อยที่ 3 ร่วมกับ บริษัท โสรยา โมเดิร์น ไลฟ์ จำกัด อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือการจัดทำโครงการทางการเกษตรร่วมกัน ที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการเศษหญ้า ใบไม้ และกิ่งไม้ ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถแบบครบวงจร อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการเผาที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) อันส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม กองบัญชาการกองทัพน้อยที่ 3 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3 และ ดร. พิศลยา บัวแก้ว CEO บริษัท โสรยา โมเดิร์น ไลฟ์ จำกัด เป็นผู้ลงนามข้อตกลง         

ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ 1) เพื่อนำใบไม้ กิ่งไม้ และเศษหญ้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาทำปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมักชีวภาพ) 2) เพื่อให้ได้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมักชีวภาพ) นำมาใส่พืชผักและดอกไม้ภายในหน่วย ส่วนที่เหลือจำหน่ายเพื่อเป็นสวัสดิการของกำลังพลภายในหน่วย 3) เพื่อเป็นการลดการสะสมของใบไม้ กิ่งไม้ และเศษหญ้า เพื่อให้ภูมิทัศน์ของหน่วยเป็นระเบียบ สวยงาม และ 4) เพื่อลดการเผาใบไม้ กิ่งไม้ และเศษหญ้า อันเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)      

จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 3 มีความพร้อมที่จะสนับสนุนกำลังพล และยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมทั้งบูรณาการศักยภาพทางการทหารในทุกๆ ด้านของกองทัพบก เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เกิดความมั่นคง และยั่งยืน ตลอดไป ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

ศ.หญิงรายได้สูง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ถูกไล่ออกจากฮาร์วาร์ด ฐานบิดเบือนข้อมูลวิจัย

(30 พ.ค. 68) ฟรานเชสกา จิโน (Francesca Gino) อดีตศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์แห่ง Harvard Business School ซึ่งเคยมีรายได้สูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 36 ล้านบาท) ระหว่างปี 2018-2019 ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเพิกถอนตำแหน่งถาวร หลังผลสอบชี้ชัดว่าเธอมีการบิดเบือนข้อมูลในงานวิจัยถึง 4 ชิ้น เพื่อให้ผลลัพธ์สนับสนุนสมมติฐานของตนเอง

การสืบสวนเริ่มขึ้นในปี 2021 หลังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับงานวิจัยชื่อดังของจิโน ว่าด้วยการลงนามคำมั่นสัญญาความซื่อสัตย์ ซึ่งภายหลังถูกเพิกถอนเพราะพบหลักฐานปลอมแปลงข้อมูล การตรวจสอบเชิงลึกโดยมหาวิทยาลัย และบริษัทนิติวิทยาศาสตร์จากภายนอก พบการปรับแต่งข้อมูลในอีก 3 งานวิจัยที่เธอร่วมเขียนระหว่างปี 2012-2020

แม้จิโนจะออกมาปฏิเสธผ่านเว็บไซต์ส่วนตัวว่าไม่ได้กระทำการฉ้อโกงทางวิชาการ และอ้างว่าอาจเป็นความผิดของผู้ช่วยวิจัยหรือมีผู้เจตนาร้ายแทรกแซงข้อมูล แต่ผลสอบของมหาวิทยาลัยไม่ยอมรับคำชี้แจงดังกล่าว พร้อมเดินหน้าปลดเธอออกจากตำแหน่งโดยทันที และเสนอให้เพิกถอนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

จิโนถือเป็นศาสตราจารย์คนแรกของฮาร์วาร์ดที่ถูกเพิกถอนตำแหน่งในรอบกว่า 80 ปี เธอยังได้ยื่นฟ้องมหาวิทยาลัย อดีตคณบดี และบล็อกเกอร์กลุ่ม Data Colada เรียกค่าเสียหาย 25 ล้านดอลลาร์ แต่คำร้องถูกศาลกลางในบอสตันปฏิเสธ โดยระบุว่างานวิจัยของเธอเป็นเรื่องที่เปิดให้สาธารณะวิจารณ์ได้ภายใต้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

กรณีนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงวิชาการสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งจิโนเคยเป็นนักวิจัยแนวหน้า ได้รับการตีพิมพ์บทความมากกว่า 140 ชิ้น และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top