Thursday, 29 May 2025
NewsFeed

2 นักศึกษาฟีโบ้ มจธ. โชว์นวัตกรรมสร้างอาชีพ “ปิ้ง ปิ้ง หุ่นยนต์ปิ้งหมู” ช่วยแม่ค้าไม่ต้องเปลืองแรง

“ปิ้ง ปิ้ง หุ่นยนต์ปิ้งหมู” เป็นผลงานการออกแบบและพัฒนาโดย นายวริทธิ์ธร คงหนู หรือ เด่น และ นายชวภณ วชิรานิรมิตหรือ ไออุ่น นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ได้แรงบันดาลใจจากร้านขายหมูปิ้ง 

“พวกเราเดินผ่านร้านหมูปิ้งแถวมหาวิทยาลัยทุกวัน ก็เห็นแม่ค้าต้องยืนปิ้ง ยืนพลิกหมูอยู่ตลอดเวลา บางวันมีออเดอร์เยอะก็ต้องคอยพลิกไม้หลายรอบกว่าจะสุก ลูกค้าต้องยืนรอ เลยคิดว่า ถ้ามีหุ่นยนต์มาช่วยปิ้งแทนได้ ก็น่าจะช่วยให้แม่ค้าไม่ต้องเสียแรงมาก แถมยังมีเวลาทำอย่างอื่น เช่น รับลูกค้า เตรียมของ หรือพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น” วริทธิ์ธร หรือ เด่น กล่าวถึงแรงบันดาลใจ

วริทธิ์ธร กล่าวว่า เริ่มต้นก็มาดูขั้นตอนการปิ้งหมูเป็นอย่างไร ถ้าเราทำเป็นระบบออโตเมชันเราต้องทำอะไรบ้าง ปกติการปิ้งทำกันอย่างไร มีการหยิบ จับ เคลื่อนย้าย หรือการพลิกหมู การตรวจดูว่าหมูสุกหรือยัง แล้วเราก็มาแบ่งส่วนที่จะพัฒนาว่า จะพัฒนาอะไรก่อน ซึ่งตัวหุ่นยนต์ Demo 1 เราเริ่มจากการพัฒนาในส่วนของการพลิกหมูให้ได้บนเตา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตัวระบบควบคุม การออกแบบตัวจับและโครงสร้างของเตา ตลอดจนการคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ

กลไกการทำงานของหุ่นยนต์ 'ปิ้ง ปิ้ง' คือการนำแขนกลที่สามารถทำงานร่วมกับคน (Co-operation Robot) มาพัฒนาให้ช่วยพลิกหมูปิ้ง โดยหุ่นยนต์จะค่อย ๆ พลิกหมูทีละไม้ ส่วนคนจะเป็นผู้ตรวจดูว่าหมูไม้ไหนสุกแล้วจึงหยิบออก ส่วนไม้ที่ยังไม่สุก หุ่นจะทำหน้าที่พลิกต่อไปโดย Demo 1 หุ่นยนต์สามารถพลิกหมูได้ครั้งละ 8 ไม้ และพลิกได้แค่ด้านเดียว เพราะเตายังมีขนาดเล็ก ขณะเดียวกัน หมูแต่ละไม้มีขนาดและวิธีเสียบที่ต่างกัน จึงสุกไม่พร้อมกันทั้งหมด ทีมจึงออกแบบให้หุ่นพลิกหมูอย่างเป็นจังหวะไม้ต่อไม้ และเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับหุ่นยนต์ เพื่อแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

สำหรับแนวทางการพัฒนาในอนาคต ชวภณ หรือ ไออุ่น กล่าวว่า หากพัฒนาต่อ Demo 2 ก็อยากจะพัฒนาให้หุ่นรู้ว่าจะต้องพลิกหมูไม้ไหน และสามารถดูความสุกของหมูได้ รู้ว่าหมูไม้ไหนสุก ไม้ไหนยังไม่สุก โดยตอนนี้กำลังศึกษาว่าจะให้หุ่นดูความสุกของหมูได้อย่างไร เพราะการทําหมูปิ้ง จุดที่สุกก่อนจะอยู่ด้านล่างด้านที่โดนความร้อน ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้จากด้านบน รวมถึงเพิ่มระบบที่ให้หุ่นยนต์นำหมูที่สุกแล้วออกไปวางบนถาด และหยิบหมูสดไม้ใหม่ออกมาปิ้งบนเตาได้ รวมทั้งจะเพิ่มความเร็วในการพลิกหมู และระบบควบคุมความร้อนของเตาให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

วริทธิ์ธร กล่าวเสริมว่า“การได้ลงมือพัฒนา ปิ้ง ปิ้ง เป็นเหมือนโจทย์ที่ทำให้เราได้ทดลองทำโครงการหรือโปรเจกต์ร่วมกับอาจารย์ และทำให้เราได้ต่อยอดความรู้จากสิ่งที่เรียนมา ได้ทดลองกับอุปกรณ์หลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าเราจะต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ได้ประสบการณ์การทำงาน ได้คิด วิเคราะห์ และเพิ่มทักษะมากขึ้น”

“ปิ้ง ปิ้ง หุ่นยนต์ปิ้งหมู” คือหนึ่งในผลงานของนักศึกษาฟีโบ้ที่จัดแสดงในงานครบรอบ 30 ปีของสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) ภายใต้ธีม 'Robotics ไทยแทร่' ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา โดย ผศ. ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม อธิบายว่า ธีมไทยแทร่ต้องการสร้างบรรยากาศสนุกสนานแบบงานวัด เพื่อให้นักศึกษาได้ออกแบบหุ่นยนต์ที่สะท้อนวัฒนธรรมไทยอย่างมีชีวิตชีวา และอาหารปิ้งย่างซึ่งเป็นของคุ้นเคยบนถนนเมืองไทยจนกลายเป็นโจทย์หลักให้ทีมพัฒนาหุ่นยนต์ชุดนี้ โดยใช้พื้นฐานความรู้ด้านหุ่นยนต์และอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการของฟีโบ้นำไปพัฒนาต่อยอด จนเกิดเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่เพียงแต่โชว์ไอเดียสนุก ๆ ในงานนิทรรศการ แต่ยังเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่มีพลังให้นักศึกษาได้ฝึกตั้งแต่การออกแบบฟังก์ชัน เลือกเทคโนโลยี ประเมินต้นทุน ไปจนถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากการใช้งานจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินกว่าการเรียนในห้องหรือการทำโปรเจกต์บนกระดาษ 

ผศ. ดร.สุภชัย เน้นว่า “เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่ต้องตอบโจทย์การใช้งานจริง และคุ้มค่าในการลงทุน แม้หุ่นยนต์ปิ้งหมูเวอร์ชันต้นแบบจะยังไม่พร้อมสำหรับร้านค้าทั่วไป แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์และ AI ในธุรกิจอาหาร โดยอาจต่อยอดได้ทั้งในร้านอาหารระดับพรีเมียม หรือใช้สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในกิจกรรมการตลาด ซึ่งต่อเนื่องจากผลงานด้านเทคโนโลยีอาหารของฟีโบ้ที่ผ่านมา เช่น หุ่นยนต์ลวกก๋วยเตี๋ยว หุ่นยนต์ตักไอศกรีม และหุ่นยนต์ชงน้ำ ที่เคยสร้างการเปลี่ยนแปลงจากระบบแรงงานคนสู่ระบบอัตโนมัติในชีวิตประจำวัน”

นอกจาก ปิ้ง ปิ้ง ยังมีผลงานของนักศึกษาทุกชั้นปีทั้ง ป.ตรี โท เอก ที่นำมาจัดแสดงมากมาย และได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเข้ามาติดต่อเพื่อนำไปต่อยอดหรือร่วมกับนักศึกษาในการพัฒนาต่อไป อาทิ กรอบรูป ราชรถ หุ่นยนต์สายมู (เตลู) ลงยันต์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำบทบาทของฟีโบ้ ที่ไม่เพียงเป็นสถาบันผลิตวิศวกรหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และการลงมือทำจริง นักศึกษาไม่ได้เรียนแค่ทฤษฎีหรือวิธีสร้างหุ่นยนต์ แต่เรียนรู้จากโจทย์จริงของสังคม ผ่านการฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหา และพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมติดอาวุธทั้ง Upskill, Reskill และ Newskill ที่จำเป็นต่อโลกยุคใหม่

‘อาร์ต พศุตม์’ ปะทะ ‘หมออั้ม อิราวัต’ ทำโซเชียลลุกเป็นไฟ! หลังโดนแซะพระเอกเนรคุณ แต่ล่าสุดฝ่ายหลังโพสต์ขอโทษ

(27 พ.ค. 68) เกิดกระแสดราม่าร้อนแรงในวงการบันเทิง เมื่อหมออั้ม อิราวัต โพสต์พาดพิงถึง “พระเอกกล้ามโต” รายหนึ่งที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในวงการ ทั้งเรื่องงานและการเงิน แต่เมื่อถึงเวลาที่ผู้ใหญ่เดือดร้อนกลับไม่ช่วย แถมยังกล่าวร้ายลับหลัง โดยไม่ได้ระบุชื่อ แต่บอกเพียงว่าเป็น “นิทานลอยๆ”

งานนี้ อาร์ต พศุตม์ ไม่ทน! ออกโรงตอบโต้ในคอมเมนต์ทันที พร้อมแท็กชื่อหมออั้มโดยตรง ท้าชนแบบตรงไปตรงมา พร้อมแจกแจง 6 ประเด็นโต้กลับ ยันไม่เคยพึ่งใครเข้าวงการ ไม่เคยยืมเงินใคร และรายได้ทั้งหมดหามาเองล้วนๆ พร้อมสวนแรง “ถ้าแน่ก็มาออกรายการโหนกระแสกันไปเลย”

ด้านหมออั้มตอบกลับว่าไม่ได้เจาะจงถึงอาร์ตแต่แรก แค่โพสต์เรื่องเวรกรรมทั่วไป แต่เห็นอาร์ตร้อนตัวก่อน จึงตอบกลับบ้าง ซึ่งล่าสุดหมออั้มโดนถล่มหนักจากแฟนคลับฝั่งตรงข้าม จึงเลือกจบดราม่า โพสต์ขอโทษอาร์ตชัดเจน พร้อมย้ำว่ายังคงสนับสนุนครอบครัวอาร์ตเหมือนเดิม

ทว่าอาร์ตกลับไม่จบง่ายๆ ตอกกลับแรงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมถล่มยับ “ไม่ต้องมาสนับสนุนครอบครัวกู” และแฉว่าหมออั้มเป็นฝ่ายได้ผลประโยชน์จากเรื่องประกัน ไม่ใช่บุญคุณใดๆ 

งานนี้เรียกได้ว่าดราม่าระอุไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งเลือกจบ แต่อีกฝ่ายยังเดินหน้าฟาดต่อ ทำเอาชาวโซเชียลจับตาตอนต่อไปว่าเรื่องนี้จะไปจบที่ศาล โหนกระแส หรือโพสต์เฟซบุ๊กโต้กันเดือดอีกระลอก!

จีนชูแผนใหม่ ‘Made in China’ ดันชิป-อุตสาหกรรมขั้นสูง ย้ำจุดยืนพึ่งพาการผลิต ไม่ยอมตามเกมสหรัฐอเมริกา

(27 พ.ค. 68) รัฐบาลประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อยู่ระหว่างพิจารณาแผนแม่บทใหม่เพื่อผลักดันการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงต่อยอดจากโครงการ 'Made in China 2025' ซึ่งเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ผลิตชิปและเทคโนโลยีสำคัญ โดยมีเป้าหมายรักษาความแข็งแกร่งในภาคการผลิต ท่ามกลางความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะย้ายโรงงานกลับประเทศ

ขณะเดียวกัน จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่จะเริ่มในปี 2026 โดยพยายามรักษาสัดส่วนภาคการผลิตในระบบเศรษฐกิจให้คงที่ในระยะยาว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บางส่วนยังไม่สนับสนุนการกำหนดเป้าหมายการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

การหารือล่าสุดสะท้อนว่า จีนอาจยังคงกลยุทธ์เดิม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ และยุโรปที่ต้องการให้จีนลดการพึ่งพาภาคการผลิต โดยสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีควบคุมการส่งออก และแยกตัวเชิงยุทธศาสตร์ในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ชิปและยา เพื่อผลักดันการพึ่งพาตนเอง

อย่างไรก็ตาม จีนยังยืนกรานรักษามาตรการควบคุมแร่หายาก และผลักดันการบริโภคภายในประเทศแทนการพึ่งพาการส่งออกที่อาจลดลงจากผลกระทบของนโยบายสหรัฐฯ โดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ได้ระบุว่า 'การกระตุ้นการบริโภค' เป็นภารกิจหลักของรัฐบาลในปีนี้

ชายอังกฤษวัย 53 ขับรถพุ่งใส่แฟนบอลลิเวอร์พูล บาดเจ็บกว่า 45 ราย กลางขบวนแห่ฉลองแชมป์

เมื่อวานนี้ (26 พ.ค.68) เกิดเหตุการณ์รถยนต์พุ่งชนฝูงชนที่กำลังเฉลิมฉลองการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 20 ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล บนถนนวอเตอร์สตรีท เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 47 ราย ในจำนวนนี้มีเด็ก 4 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย

เบื้องต้นผู้ขับขี่รถยนต์ดังกล่าว เป็นชายชาวอังกฤษ อายุ 53 ปี ถูกจับกุมในที่เกิดเหตุ โดยตำรวจเมอร์ซีย์ไซด์ระบุว่า เหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย และเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยลำพัง

หนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ฝูงชนกรูเข้าทุบกระจกเพื่อหยุดยั้ง แต่คนขับกลับเร่งเครื่องพุ่งชนต่ออีก ชาวเมืองและแฟนบอลต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ทำให้วันแห่งความสุขกลายเป็นฝันร้าย

ตำรวจขอความร่วมมือประชาชนงดเผยแพร่ภาพรุนแรงและหลีกเลี่ยงการคาดเดาสาเหตุของเหตุการณ์นี้ โดยระบุชัดเจนว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชายผิวขาว เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดในโซเชียลมีเดียที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยกย่องความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่ผู้เข้าช่วยเหลือ พร้อมกล่าวว่า “ทุกคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ควรได้เฉลิมฉลองฮีโร่ของพวกเขาโดยปลอดภัย” ขณะที่สโมสรลิเวอร์พูลและพรีเมียร์ลีกต่างออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงดังกล่าวเช่นกัน

‘ดร.ปิติ’ มัดรวมประเด็นหารือประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 เรื่องสำคัญมุ่งรับมือสงครามการค้า-ขัดแย้งในเมียนมา-ทะเลจีนใต้

รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ผู้นำอาเซียนเขาคุยอะไรกันบ้างในการประชุมสุดยอดอาเซียน ปี 2025 ทั้งในการประชุมทางการและการประชุมแบบ Retreat

ผู้นำอาเซียนได้รวมตัวกันในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือและเสนอแนะแนวทางในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่ภูมิภาคกำลังเผชิญ รวมถึงสงครามการค้า ความขัดแย้งในเมียนมา ทะเลจีนใต้ การขยายขอบเขตการบูรณาการภูมิภาค และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของอาเซียน

1. สงครามการค้า

ผู้นำอาเซียนได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้มีการดำเนินการร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากระบบพหุภาคีและหันไปใช้ข้อตกลงแบบทวิภาคีมากขึ้น ทำให้สถานการณ์มีความท้าทาย เขาเสนอแนวทาง 3 ประการ: 
- คงการมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ อย่างสร้างสรรค์ ทั้งในระดับประเทศและในนามอาเซียนโดยรวม
- เสริมสร้างความพยายามในการบูรณาการภายในอาเซียน โดยตั้งเป้าให้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปลอดภาษี 100% (ปัจจุบัน 98.6%) พร้อมแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เช่น ข้อกำหนดใบอนุญาตนำเข้าและขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อน และขยายขอบเขตการค้าจากสินค้าไปสู่บริการ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงข้อตกลงทางเศรษฐกิจ 24 ฉบับที่ยังไม่ได้รับการดำเนินการซึ่งบางส่วนตกลงกันตั้งแต่ปี 2015 และต้องเร่งดำเนินการ

- เร่งการบูรณาการในพื้นที่การเติบโตใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัลและการจัดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาค นอกจากนี้ ควรกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกโดยการปรับปรุงข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาคอื่นๆ เช่น ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป (EU) และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC)

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามัคคีและความยืดหยุ่นของอาเซียนในการรับมือกับภัยคุกคามจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าอาเซียนควรรักษาระบบพหุภาคีไว้ และให้แบบจำลองเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน-GCC-จีน มีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน เขายังเปิดเผยว่าได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อขอความเข้าใจในการหารือเรื่องภาษีในที่ประชุมสหรัฐฯ-อาเซียน

นายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ ชินห์ แห่งเวียดนาม เน้นย้ำว่าอาเซียนต้องปรับตัว 'อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ' ต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์โลก เขายังเรียกร้องให้ใช้เครือข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเร่งรัดการสรุปข้อตกลงการค้าเสรีกับพันธมิตรอย่างแคนาดา นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการยกระดับข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่กับจีนและอินเดียเพื่อช่วยกระจายตลาด ผลิตภัณฑ์ และห่วงโซ่อุปทาน

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แห่งไทย เตือนถึง 'ผลกระทบสำคัญ' ของภาษีสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนเร่งประเมินกลยุทธ์ใหม่และเสริมสร้างความสามัคคีในภูมิภาค โดยเรียกร้องให้มีเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการ การบูรณาการภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และความร่วมมือใหม่ ๆ

2. ความขัดแย้งในเมียนมา
ผู้นำอาเซียนได้หารือถึงความจำเป็นในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมียนมาอย่างสันติและมีมนุษยธรรม

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ แสดงความชื่นชมต่อความเป็นผู้นำของมาเลเซียในการรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา และสิงคโปร์พร้อมที่จะสนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอาเซียน เขายังเรียกร้องให้มีการหยุดยิงที่ขยายออกไป ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งสู่การแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในเมียนมาระยะยาว นอกจากนี้ อาเซียนควรยึดมั่นในฉันทามติ 5 ข้อและการตัดสินใจเพื่อรักษาสถานะที่ไม่ใช่การเมืองของเมียนมาในการประชุมสุดยอดของกลุ่ม เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของอาเซียนกับพันธมิตรภายนอก

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย กล่าวถึงความก้าวหน้า 'อย่างมีนัยสำคัญ' ในการมีส่วนร่วมกับฝ่ายที่ขัดแย้งในเมียนมา และขอบคุณผู้นำอาเซียนที่อนุมัติการจัดตั้งกลุ่มที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการ เขากล่าวว่า "การมีส่วนร่วมอย่างเงียบๆ มีความสำคัญ" และ "แม้แต่สะพานที่เปราะบางก็ยังดีกว่าช่องว่างที่กว้างขึ้น" มาเลเซียยังเสนอให้มีการตั้งผู้แทนอาเซียนในกิจการเมียนมาให้เป็นตำแหน่งถาวร 3 ปี ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เป็นวาระหมุนเวียนคราวละ 1 ปีตามประธานอาเซียน ทั้งนี้เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง

3. ทะเลจีนใต้
ผู้นำอาเซียนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและการรักษาสันติภาพในทะเลจีนใต้

ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ เรียกร้องให้อาเซียนเร่งรัดการรับรองประมวลการปฏิบัติที่ผูกมัดทางกฎหมายในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดการความตึงเครียด เขายังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและความร่วมมือทางทะเลเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค และเรียกร้องให้มีความร่วมมือในภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในประเด็นท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่และข้ามพรมแดน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอาชญากรรมข้ามชาติ

4. การขยายขอบเขตการบูรณาการภูมิภาค
ผู้นำอาเซียนได้หารือถึงแนวทางในการขยายและกระชับความร่วมมือทั้งในด้านสมาชิกภาพและเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ กล่าวว่าอาเซียนสามารถสำรวจความร่วมมือใหม่ๆ ในรูปแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้นได้ โดยอาจมีการมีส่วนร่วมในพื้นที่เฉพาะที่มีผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับประเทศที่ยังไม่พร้อมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงคุณค่าของแพลตฟอร์มอาเซียนที่มีอยู่ และเสนอให้ดำเนินการตามแนวคิดอาเซียนว่าด้วยอินโด-แปซิฟิก (AOIP) ในทางปฏิบัติและเป็นรูปธรรม เขายังยินดีต้อนรับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มเติมให้เข้าร่วม CPTPP ซึ่งปัจจุบันมี 6 ประเทศอาเซียนยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียร์โต แห่งอินโดนีเซีย สนับสนุนการที่ติมอร์-เลสเตจะเป็นสมาชิกอาเซียนเต็มตัว 'โดยเร็วที่สุด' และเสนอให้ปาปัวนิวกินี 'เข้าร่วม' กลุ่มด้วย โดยชี้ว่ายิ่งอาเซียนแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับความเคารพในการเจรจาของมหาอำนาจ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย และผู้นำอาเซียนคนอื่นๆ ได้ลงนามใน ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นเอกสารที่ชี้นำการพัฒนาและความร่วมมือของภูมิภาคในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเสริมสร้างความสามัคคีในภูมิภาค ส่งเสริมการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน และเสริมสร้างขีดความสามารถของสถาบันเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มขนาดใหญ่ที่มีอยู่และในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ยังได้หารือถึงประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออนาคตของภูมิภาค

บริบทและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์: การประชุมจัดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีหว่องกล่าวว่าพหุภาคีและโลกาภิวัตน์กำลัง 'ถดถอย' พร้อมกับคำถามเกี่ยวกับ 'ระเบียบโลกใหม่จะเป็นอย่างไร' นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวว่าอาเซียนมี 'ความเข้มแข็งและยืนหยัด' ที่จะ 'ผ่านพ้นพายุ' แห่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และเน้นย้ำถึง 'จิตวิญญาณแห่งความเป็นศูนย์กลางและความเป็นพี่น้อง' ในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน และอาเซียนจะมีการจัดตั้งคณะทำงานด้านภูมิเศรษฐศาสตร์

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน: นายกรัฐมนตรีหว่องได้เป็นสักขีพยานในการลงนามในข้อตกลงการพัฒนาร่วมเพื่อสำรวจการส่งออกไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเวียดนามไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างสายเคเบิลใต้น้ำใหม่

ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก: อาเซียนจะจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีครั้งแรกกับจีนและคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) เพื่อพยายามลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษี

การปฏิรูปองค์กร: นายกรัฐมนตรีอันวาร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูปองค์กรและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน เพื่อให้กลุ่มสามารถเผชิญกับความท้าทายจาก 'การปฏิวัติเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์' รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ นวัตกรรมดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียวและสีน้ำเงิน

‘ชาวแม่สาย’ อดีตสมาชิกพรรคส้มสุดทน สส. ในพื้นที่หายหัว ซัดน้ำท่วม 2 ปี ดีแต่ใช้ปากทำงาน เชื่อสมัยหน้า 'สูญพันธุ์'

ผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ ‘นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง’ ของนายธนพงษ์ หมื่นแสน โพสต์ข้อความว่า กรณีน้ำท่วมแม่สายและผู้แทนราษฎรของพวกเขา (ขอโทษที่ต้องสื่อสารแบบนี้ตรงๆ)

อดีตพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในปัจจุบันสามารถชนะการเลือกตั้งในพื้นที่อำเภอแม่สายอย่างถล่มทลายจนได้ผู้แทนราษฎรเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภา จะด้วยกระสุนแพ้กระแสหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ทว่าคนแม่สายส่วนใหญ่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพลังเงียบได้เลือกให้ท่านเข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้แทนเพื่อส่งเสียงให้กับพวกเขาแล้ว 

แน่นอนว่าผู้แทนราษฎรที่ผูกพันกับวัฒนธรรมแบบไทยๆและการเมืองแบบบ้านๆไปทุกศพพบทุกงานและหรือการเยี่ยมยามถามข่าวเพื่อสร้างความรู้จักมาคุณกับชาวบ้าน ตลอดจนการหนุนเสริมและช่วยเหลือชาวบ้านยามสถานการณ์ภัยพิบัติอาจเป็นสิ่งจำเป็นบ้างไม่มากก็น้อย

จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 2 ปีติดต่อกันมาแล้วคนในพื้นที่ที่ออกหน้าเชียร์หรือเชียร์การเมืองค่อนมาทางอดีตพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนต่างรับรู้ดีถึงเสียงสรรเสริญ (อันนี้ประชดมากๆ นะ) ของชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งทั้งบ่นและกร่นด่ามาตั้งแต่กันยายนปี 2567 เรื่องป้ายติดรถบริจาคน้ำท่วมและประเด็นนักบุญทุนคนอื่น (เรื่องนี้มองว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับประเด็น io แต่อาจจะเป็นความผิดพลาดหรือไม่ก็แล้วแต่ที่จะให้เป็นช่องให้ io นำเอาไปเล่นให้เป็นประเด็นได้) ประเด็นถัดมาล่าสุดก็คือการแถลงผ่านไลฟ์สดบริเวณหัวสะพานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (ส่วนตัวมองเฉยๆ ต่อประเด็นนี้) 

ท่ามกลางการถามหาและถามได้ถึงบทบาทผู้แทนราษฎรของพวกเขาที่มีต่อสถานการณ์น้ำท่วมแม่สายในปัจจุบันดังเช่นจะเป็นอยู่ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนี้ แล้วที่ผู้แทนราษฎรใช้ปากทำงานอย่างเดียวหรือชาวบ้านไม่เห็นหน้าค่าตาบ้าง 

ผมรับรองว่าสมัยหน้า 'สูญพันธุ์' โดยสมบูรณ์แบบแน่ ๆ ผมเชื่อมั่นด้วยซ้ำไปว่าพรรคประชาชนถึงแม้ไม่มีกำลังทุนทรัพย์ดั่งเช่นพรรคการเมืองบ้านใหญ่อื่นๆ แต่พวกคุณมีต้นทุนความรู้ ต้นทุนเครือข่ายและเทคโนโลยี ตลอดจนต้นทุนความสัมพันธ์ฉันมิตรกับองค์กรภาคประชาสังคมหลายกลุ่มก้อนทั้งในและนอกพื้นที่ที่มีวาระการทำงานซึ่งพร้อมจะหนุนเสริมประเด็นหรือวาระทางการเมืองของพวกคุณด้วยซ้ำ (ยังไม่รวมถึงว่าคนทำงานในองค์กรเหล่านี้มีจุดยืนทางการเมืองที่สนับสนุนพรรคของคุณในทางส่วนตัวอีกด้วย) 

แต่ภาพที่ปรากฏบนกลับใช้เครือข่ายและต้นทุนทางสังคมเหล่านี้เป็นประโยชน์น้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยให้รถแม็คโครหรือรถบรรทุกขนดินหรือรถแจกของช่วยชาวบ้านที่ติดป้ายมูลนิธิบ้านใหญ่ในพะเยาวิ่งเพ่นพ่านไปวิ่งเพ่นพ่านมาทั่วแม่สาย 

กลัวเหลือเกินว่าการเลือกตั้งในสมัยหน้า (ถ้ารัฐบาลอยู่ครบวาระและไม่มีอันเป็นไปด้วยเหตุอื่นเหตุใดเสียก่อน) ทั้งเมล็ดพันธุ์ที่มูลนิธิบ้านใหญ่ในพะเยาได้หวานทิ้งไว้พร้อมทั้งกระสุนยิงปืนอีกมหาศาลอาจมีผลต่อการเปลี่ยนหน้าค่าตาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ได้เลย

นี่อาจเป็นเหตุผลอย่างง่ายที่ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมในระยะหลังมานี้พรรคประชาชนถึงได้แพ้การเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นหรือเลือกตั้งซ่อมในระดับประเทศบางพื้นที่ไม่ใช่การทะเยอทะยานที่ไม่มากพอของประชาชนที่จะอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับบ้านในเมืองนี้ ไม่ใช่เพราะพวกคุณไม่เห็นหัวประชาชน เพียงแต่คุณเห็นหัวประชาชนเพียงแต่ปากหรือคำพูดเท่านั้นซึ่งความจริงแล้วคุณต้องเห็นหัวประชาชนผ่านการกระทำและมีปฏิบัติการตามมาเฉกเช่นนักการเมืองบ้านใหญ่อื่นๆ ที่ผู้คนโจมตีในบางเรื่องด้วยซ้ำ

ด้วยยังคงเชื่อมั่นและศรัทธา (แต่อย่าให้ความเชื่อมั่นและศรัทธาทลายลงด้วยเหตุผลที่ว่าคุณไม่ลงมือทำอะไรเลย)

ผบ.ตร.เปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ 

(27 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รุ่นที่ 1 และ 2 โดยมี พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 , พล.ต.ต.กันตพัฒน์ ศรีอมรรัตน์ ผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรม , พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน , พล.ต.ต.วรวิทย์ ญาณจินดา ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ , คณะวิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการตำรวจระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 รวมจำนวน 104 นาย ร่วมพิธี ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ตร. กล่าวว่า จากสภาพปัญหาการก่ออาชญากรรมที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปในหลายรูปแบบ เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ อันเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจ โดยเฉพาะสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในฐานะผู้เผชิญเหตุคนแรก ต้องมีทักษะที่ถูกต้องในการรับแจ้งเหตุ ประเมินสถานการณ์ และผู้บังคับบัญชาในฐานะผู้ควบคุมเหตุการณ์พื้นที่ที่จะต้องเข้าไประงับยับยั้งเหตุ บริหารเหตุการณ์ ตามหลักกฎหมาย ยุทธวิธีตำรวจ หลักสิทธิมนุษยชน และหลักการใช้กำลังตามความจำเป็น เหมาะสม ได้สัดส่วนตามแต่ละสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดแผนการปฏิบัติในการรักษาความสงบไว้แล้ว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ จึงได้จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ขึ้น เพื่อให้ข้าราชการตำรวจทุกนายเกิดความเข้าใจ ดำเนินการในขั้นเตรียมการรองรับสถานการณ์ในแต่ละสภาพพื้นที่ เพื่อนำไปกำหนดแผน ซักซ้อมการปฏิบัติ จัดเตรียมกำลังพล เครื่องมือ อุปกรณ์ และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนไปในระดับพื้นที่ และการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย หลักยุทธวิธี และหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อลดปัญหาและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติ

ทั้งนี้ โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 และรุ่นที่ 2 ฝึกอบรมวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2568

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงผลการจับกุมคดีชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวจีน โดยใช้อาวุธมีด

ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวจีนโดยใช้อาวุธมีดหน้าคอนโดฯ กลางเมืองเชียงใหม่ ยึดของกลาง เงินสด 135,000 บาท พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนี"ในพื้นที่ สภ.เมืองเชียงใหม่

(27 พ.ค.68) เวลา 11.00 น. ณ.สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่  พลตำรวจโท กฤตราพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เป็นประธานการแถลงข่าว ผลการจับกุมผู้ต้องหาชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวจีนโดยใช้อาวุธมีดหน้าคอนโดฯ กลางเมืองเชียงใหม่ ยึดของกลาง เงินสด 135,000 บาท พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนี"ในพื้นที่ สภ.เมืองเชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่

เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 13.19 น. สภ.เมืองเชียงใหม่ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุนครพิงค์ว่ามีเหตุชิงทรัพย์ บริเวณลานจอดรถชั้น 1 อาคาร ซิตี้ทาวน์เวอร์ คอนโด ถ.ท่าแพ ต.ช้างม่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ และชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุดังกล่าว เมื่อเดินทางมาถึงได้พบ Mr.Tan (ตัน ) ผู้เสียหาย อายุ 28 ปี สัญชาติ จีน ได้ให้รายละเอียดผ่านล่ามภาษาจีนว่า ได้มีชายไม่ทราบชื่อ ลักษณะเหมือนคนเอเชีย การแต่งกายสวมใส่เสื้อแขนยาวลายสลับขาวดำ กางเกงขายาวสีดำและสวมใส่ผ้าอนามัยปิดบังใบหน้า ได้ใช้อาวุธมีดข่มขู่ตน เพื่อให้ตนได้ส่งทรัพย์สินเงินสด จำนวน 135,000 บาท เมื่อคนร้ายได้เงิดสดแล้วจึงขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปในทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฯ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดและพยานในบริเวณที่เกิดเหตุและเส้นทางหลบหนีโดยรอบ

หลังเกิดเหตุ พบว่า คนร้ายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ซูเมอร์ เอ็กซ์ สีส้ม ทะเบียน 2 กณ 3598เชียงใหม่ ซึ่งจากการติดตามกล้องวงจรปิดพบว่าเส้นทางหลบหนีของคนร้ายได้วิ่งไปตามถนนหลัก และมองเห็นได้อย่างชัดเจน

โดยระหว่างหลบหนีคนร้ายได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ บริเวณ ถ.เจริญประเทศ โดยเปลี่ยนจากชุดเสื้อแขนยาวลายสลับขาวดำ กางเกงขายาวสีดำ มาเป็นสวมเสื้อแขนสั้นคอกลมสีดำ และกางเกงขาสั้นสีดำ สวมใส่หมวกกัน น็อคสีขาว ขับขี่หลบหนีไปทาง ถ.เจริญราษฎร์ ไปยัง อ.สันทราย เข้าสู่คอนโด คานาเล่ (The Canale condo ) ในเวลาประมาณ 16.07 น. ซึ่งเป็นที่พักของคนร้ายและต่อมาเวลาประมาณ 16.30 น. คนร้ายได้ออกจากคอนโด ไปยังบริเวณคูเมืองเชียงใหม่เพื่อหลบการจับกุม จึงได้ไปเช่าหอพักไม่ทราบชื่อ แถวบริเวณ ถ.ราชดำเนิน

ขณะจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ติดตามคนร้ายมาโดยตลอด จนกระทั่งเวลา 12.00 น.ของวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 พบว่าคนร้ายได้กลับเข้ามายังคอนโดที่พักเขต อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ชุดสืบสวนจึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทำการเข้าจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ ทราบชื่อภายหลังว่า คือ Mr.Eng Chee Hon (อิง ซี ฮอน)
สัญชาติ มาเลเซีย จึงได้ตรวจสอบกระเป๋าแบบคาด สีน้ำตาล พบของกลางเงินสดจำนวน 101,160 บาท รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ซูเมอร์ เอ็กซ์ สีส้ม ทะเบียน 2กณ 3598 เชียงใหม่ เสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ หมวกกันน็อคสีขาวที่ใช้ก่อเหตุ

โดย Mr.Eng Chee Hon ให้การรับสารภาพว่าได้ใช้มีดที่เตรียมมาด้วยก่อเหตุชิงทรัพย์ Mr.Tan Liaing (ต้น เหลียง)จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจฯ จึงได้รวบรวมตรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ควบคุมตัว Mr.Eng Chee Hon มายัง สภ.เมืองเชียงใหม่ และตรวจสอบข้อมูลการเข้ามาในราชอาณาจักรแล้วพบว่า Mr.Eng Chee Hon (อิง ซี ฮอน) วีซ่าสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2568

แจ้งข้อกล่าวหาว่า "ชิงทรัพย์และเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด" นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป

เหตุจูงใจในการกระทำความผิด เนื่องจาก Mr.Eng Chee Hon (อิง ซี ฮอน) เคยแลกสกุลเงิน ดิจิตอล(USDT) กับผู้เสียหายมาแล้วหลายครั้ง ทำให้ปัจจุบัน ไม่มีเงินดิจิตอลและเงินสดเหลืออยู่เลย จึงวางแผนก่อเหตุชิงทรัพย์โดยอ้างกับผู้เสียหายว่าจะขอทำการแลกเงินดิจิตอลจำนวน 4,200 USDT ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 135,000 บาท เมื่อมาถึงคอนโดผู้เสียหายจึงได้ใช้มีดที่เตรียมมาด้วยก่อเหตุชิงทรัพย์ได้เงินจำนวน 135,000 บาทแล้วหลบหนีไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top