Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

‘ตั๋วช้าง’ พ่นพิษ อำนาจมืดคุกคาม ‘โรม’ เปิดหลักฐาน ‘บุคคลปริศนา’ สะกดรอยภรรยา เชื่อเบื้องหลังเป็น ‘นายตำรวจยศใหญ่’ ยืนยัน อภิปรายด้วยเจตนาบริสุทธิ์ในฐานะผู้แทนฯ และจะทำหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจต่อไป ย้อนถาม บ้านเมืองนี้จะอยู่กันอย่างนี้หรือ?

ที่อาคารรัฐสภา รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เเถลงต่อสื่อมวลชนกรณีที่มีบุคคลไม่ทราบชื่อติดตามคุกคามตนและภรรยาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจมีมูลเหตุมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

“เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ได้รับแจ้งจากพนักงานประจำอาคารที่พักที่เช่าอยู่อาศัยว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.25 น. มีชายไม่ทราบชื่อจำนวน 2 คน ขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฌป3978 กรุงเทพมหานคร เข้ามาและพยายามขอให้พนักงานเปิดประตูอาคารให้เข้าไปยังห้องพัก โดยบุคคลดังกล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นเพื่อนของภรรยา พร้อมกับแสดงรูปถ่ายซึ่งเป็นรูปที่ปกติแล้วใช้ในการติดต่อกับราชการ แต่พนักงานประจำอาคารก็ไม่ได้อนุญาตให้เข้าไปได้ เหตุการณ์ที่ได้กล่าวมา มีภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนที่บุคคลดังกล่าวขับรถยนต์เข้ามา ไปจนถึงตอนที่เข้ามาติดต่อกับพนักงานเพื่อขอให้เปิดประตู ยืนยันว่าผมและภรรยาไม่ได้รู้จักอะไรกับบุคคลทั้งสองคนดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย และไม่มีทางที่จะยินยอมให้เข้าไปยังห้องพักได้”

รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 12.56 น. มีผู้ติดต่อเข้ามายังโทรศัพท์ของภรรยาด้วยหมายเลข 094-9413723 แล้วถามว่าปลายสายคือภรรยาของนายรังสิมันต์ใช่หรือไม่ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อแล้ววางสายไป หลังจากนั้นตนได้พยายามติดต่อกลับอีกหลายครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อกลับได้ ซึ่งจากการสืบหาข้อมูลพบว่าผู้ใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวผ่านทางแอพลิเคชันที่เอาไว้ใช้ตรวจสอบว่าหมายเลขดังกล่าวเคยถูกบันทึกไว้อย่างไรก็พบว่าเคยมีผู้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวว่า “พี่แม้ว ส น”

รังสิมันต์ ระบุว่า ในเบื้องต้นได้เข้าร้องทุกข์ต่อเหตุที่อาจจะนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยไปยังสถานีตำรวจภูธรรัตนาธิเบศร์ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในท้องที่ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางพนักงานสอบสวนจะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ นอกจากนี้ ยังได้เปิดถึงข้อมูลเชิงลึกอีกว่าจากที่ทราบมา หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวถูกจดทะเบียนโดยคนต่างชาติ ซึ่งถูกใช้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งของราชการตำรวจ ส่วนทะเบียนรถมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นทะเบียนปลอมยิ่งไปกว่านั้นยังทราบมาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มียศระดับสูงมาก ซึ่งมีส่วนได้เสียกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องตั๋วช้างในวงการตำรวจเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา

“ความพยายามดังกล่าวไม่ใช่การสืบราชการลับ ไม่ใช่การทำหน้าที่ตามปกติวิสัยของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นความพยายามที่ตั้งใจมุ่งหมายไปที่ภรรยาของตน เพื่อให้ผมและภรรยาเกิดความหวาดกลัวในการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงไม่ได้กระทบต่อผมเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลได้ทุกคน แล้วถ้าขนาดผู้แทนราษฎรยังถูกข่มขู่คุกคามแบบนี้ ประชาชนในประเทศนี้จะเหลืออะไร สุดท้ายนี้ ขอยืนยันว่าจะยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และขอให้รู้ว่าผู้ก่อเหตุจะไม่ได้ความหวาดกลัวจากผม แต่จะได้การทำหน้าที่ที่มีการตรวจสอบที่มากกว่าเดิม เข้มข้นกว่าเดิม จนกว่าจะสร้างประเทศที่ปราศจากความหวาดกลัว มีผู้นำที่ไม่ใช้เงินภาษีประชาชนไปอย่างฟุ่มเฟือยและไร้ประสิทธิภาพได้”

ตู่ ไล่ ตู่ ซ้ำ! กลุ่มไทยไม่ทน บุกทำเนียบ ยื่น จี้ ให้รบ.ลาออก เหตุ เอื้อกลุ่มทุนใหญ่ ฮุบประเทศ จ่อ บุกสภา ยื่น ไล่ฝ่ายค้าน หลัง ตรวจสอบรัฐบาลล้มเหลว

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล  กลุ่มไทยไม่ทน "คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย" นำโดย นายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธาน นปช., นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535, นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน, นางพะเยาว์ อัคฮาด, นายจอมพล รุ่งเรืองชูเลิศ คณะปราบโกงชาติ, นายไทกร พลสุวรรณ เลขาธิการแนวร่วมอีสานกู้ชาติ  เดินทางมายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม  และ ครม. เพื่อขอให้ลาออก

นายจตุพร กล่าวว่า ประเด็นที่มียื่นในวันนี้เพื่อชี้ให้เห็นขอผิดพลาดการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งมีการผูกขาด เศรษฐกิจ และ การเมือง ฉ้อฉลอำนาจเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ภายหลังสนับสนุนให้กลุ่มทุนต่างๆ อาทิ กลุ่มทุนพลังงาน กลุ่มทุนค้าปลีก กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ ยึดครองประเทศปล่อยให้มีอำนาจเหนือรัฐบาล และ รัฐสภา และ กำลังจะมีอำนาจเหลือระบอบการปกครอง อย่างไรก็ตามวันนี้ระบอบประยุทธ์เลวร้ายอยู่แล้ว กลับปล่อยให้กลุ่มทุนผูกขาดมีอำนาจเหนือการปกครองอีก อยากถามพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำประเทศจะไม่ทราบเลยหรือ "วันนี้ยิ่งกว่าคำว่าทุนสามานย์เสียอีก ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศก็ควรลาออกไป ผมจะไม่ให้อภัยเพียงเพราะท่านออกมาขอโทษ"

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ ระบุว่าที่ตนออกมาเรียกร้องในวันนี้ เพราะต้องการผลักดันเรื่องการปรองดองและนิรโทษกรรม ตนอยากเรียนว่าตนมาครั้งไหน นายเสกสกล ก็ไม่เคยออกมารับหนังสือสักครั้งเดียว ทั้งนี้ เมื่อมีการพูดคุยเรื่องปรองดองและนิรโทษกรรมครั้งใด จุดจบคือเก็บใส่ลิ้นชัก ดังนั้น ไม่มีเวลาและ โอกาสแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออก ไม่ต้องมาพูดเรื่องปรองดองและ นิรโทษกรรมอะไรทั้งนั้น เพราะการคุยก่อนหน้านี้เป็นการหลอกไปคุย ที่ตนมาวันนี้ไม่ได้มาเรื่องปรองดองและนิรโทษกรรมแล้วแต่มาเรื่องประเทศชาติ 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ในวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา  พวกตนจะไปยื่นหนังสือผ่านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ปธ.วิปฝ่ายค้าน) เพื่อขอให้ส.ส. ฝ่ายค้านทั้งหมด ลาออกจากเป็น ส.ส.เพราะไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลและปกครองผลประโยชน์ประเทศชาติได้ 

“ชวน” อบรมตร.สภา ทำหน้าที่อย่างเข้มงวด-ยึดความสุภาพ อย่าเกรงใจใคร ชี้นักการเมืองระวังตัวกลัวเป็นข่าวเสียหายชาวบ้านไม่เลือก แต่ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากคนติดตาม “อวดเบ่งอ้างลูกพี่”

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้โอวาทกับเจ้าหน้าตำรวจรัฐสภา ตอนหนึ่งว่า การปกครองของประเทศไทยมี3ฝ่าย คืออำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งพวกเรา อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ต้องออกฎหมายให้คนทั้งประเทศปฏิบัติตาม ดังนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างในการเคารพกฎหมาย กฎเกณฑ์ของบ้านเมือง และทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่เท่าเทียมกัน ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่ว่าเราปกครองด้วยคนดีหรือด้วยกฎหมาย ความจริงเป็นเรื่องที่ต้องการทั้งคนดี และกฎหมาย ลำพังคนดีไม่พอ เพราะคนอาจจะเปลี่ยนได้ พอมีผลประโยชน์เข้ามาก็เปลี่ยน รักประชาธิปไตยแต่โกงเลือกตั้งซื้อเสียง ก็ไม่ใช่นัก ประชาธิปไตยเหมือนทุกวันนี้ 

นายชวนกล่าวต่อว่าดังนั้นฝ่ายนิติบัญญัติเป็นฝ่ายที่พวกเราทำหน้าที่อยู่ ตนขอให้พวกเราได้ศึกษาเรียนรู้ แม้จะไม่ใช่ส.ส. แต่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันนี้ก็ต้องรู้ว่ากระบวนการทำงานเป็นอย่างไร และขอให้ทุกคนรู้ว่าทุกองค์กรมีคนดี และไม่ดีเสมอ คนดีปกครองบ้านเมืองก็เคารพกติกา คนไม่ดีปกครองบ้านเมืองก็ทุจริตโกงกินก็มีให้เห็นอยู่ เราต้องไม่เหมาว่าไม่ดีทั้งหมด ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสภาก็จะเจอกับคนหลายกลุ่มโดยเฉพาะส.ส. ซึ่งทั่วไปคนที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่มาได้ง่ายๆ และคนที่ได้รับเลือกจากประชาชนก็มาจากที่ต่างๆ กัน จึงยากแนะนำว่าโดยทั่วไปส.ส.ก็ระมัดระวัง ตนรู้ดีเพราะหากเขามีอะไรที่เป็นข่าวขึ้นมาเขาก็เสียหาย ชาวบ้านรู้ก็จะไม่เลือกเขา ดังนั้นนักการเมืองก็จะระวังไม่ทำอะไรที่ผิด หรืออื้อฉาวไม่ดี

นายชวนกล่าวอีกว่า ที่เราเจอบ่อยคือผู้ติดตามบางทีทำบัตรอนุญาตหาย บางที่เป็นคนนอกเอาบัตรมาใช้ ดังนั้นเราต้องเข้มกันมากไม่เช่นนั้นจะมีปัญหา ถ้ามีการแลกบัตรก็ต้องให้เอาบัตรมาเปลี่ยน เพราะการที่เราอนุญาตบางคนให้เข้ามาในนี้ก็ต้องใช้ที่จอดรถ มาปะปนกับคนในสภาฯ และตอนนี้เป็นช่วงของสถานการณ์โควิด-19 ก็ต้องคุมเข้มมากๆเพื่อลดความหนาแน่นของคนในสภาฯ และเพื่อช่วยให้ความเสี่ยงของการติดเชื้อลดน้อยลง เราจึงต้องมีมาตรการพิเศษ ดังนั้นพวกเราที่เจอปัญหา นักการเมืองบางคนอาจจะไม่รู้ เพราะเดิมเคยพาผู้ติดตามมาเยอะแต่ตอนนี้พามาได้คนเดียว

“ดังนั้นสิ่งที่จะแนะนำส่วนตัวคือพวกเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองไม่ต้องเกรงใจใคร ขอให้รักษาระเบียบวินัยให้ดี และขอให้ทำหน้าที่อย่างจริงจัง แต่สุภาพ พูดจากับเขาดีๆ ใครทำอะไรไม่ถูกต้องก็พูดแนะนำเขาดีๆ ผมเคยแนะนำพวกเราไปว่าคนที่เข้ามาแล้วไม่มีหน้ากากอนามัยก็ไม่ให้เข้า ต้องกลับไปเอาที่บ้านเพราะเขาต้องรับผิดชอบตัวเอง เพราะสิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือความรับผิดชอบของแต่ละคน เพราะขณะนี้บ้านเมืองของเรามีปัญหาในเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเราซึ่งทำงานในเรื่องระเบียบวินัย จำเป็นที่จะต้องเข้มงวด ผมขอให้กำลังใจพวกเราอย่าไปทำหน้าที่ผิดมารยาท หรือเกินหน้าที่ แต่อย่าไปดูดาย หากเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้องก็เตือน ใช้วัฒนธรรมของเราให้สุภาพเรียบร้อย บางคนอาจไม่เจตนาซึ่งเราก็ต้องเข้าใจเขา แต่ถ้าใครที่เบ่งอ้างลูกพี่ ซึ่งคนที่เป็นส.ส.เขาไม่ทำเพราะเขากลัวคะแนนเสียง แต่ผู้ติดตามนี่ได้ยินบ่อย เช่นตอนฉีดวัคซีนที่สภาฯ ผู้ติดตามนักการเมืองคนหนึ่งพูดจาไม่ดีกับเจ้าหน้าที่พยาบาล ซึ่งก็เป็นเรื่องของตัวบุคคล แต่เราอย่าไปเหมาว่าผู้ติดตามนักการเมืองทุกคนจะเป็นอย่างนั้นเพราะเป็นเรื่องพฤติกรรมเฉพาะบุคคลนั้น”นายชวนกล่าว

นายชวนกล่าวต่อว่าดังนั้นขอให้ตำรวจสภาทุกคนศึกษากฎระเบียบการรักษาความปลอดภัยในรัฐสภาให้เข้าใจ แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าสภาฯก็คือสมบัติของประชาชน และในการปกครองระบอบประชาธิปไตยสภาฯเป็นที่เปิดให้ประชาชนมาร้องทุกข์ได้ เราจึงต้องให้อำนวยความสะดวกและดูความเรียบร้อยเพื่อป้องกันเหตุร้าย ซึ่งก็ต้องเข้มงวดเช่นเดียวกัน

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่หลักเกณฑ์เปรียบเทียบความผิด ผู้ไม่สวมแมสก์ ปรับ 3 ระดับ ตั้งแต่ไม่เกิน 1 พัน ถึงสูงสุด 2 หมื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (7 มิถุนายน) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบความผิดกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 34 (6) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 พ.ศ.2564

โดยระบุถึงมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ที่สำคัญคือ การให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และป้องกันมิให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และจำกัดวงในการระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ ในกรณีที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อได้ออกคำสั่งห้ามผู้ใดกระทำการซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยการไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคโควิด-19 แพร่ออกไป แล้วผู้นั้นฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558

ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร จึงเห็นสมควรกำหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบความผิดกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อที่สั่งห้ามผู้ใดกระทำการซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยการไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคโควิด-19 แพร่ออกไปไว้เป็นการเฉพาะ

โดยบัญชีอัตราการเปรียบเทียบแนบท้ายระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบความผิด กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 34 (6) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 พ.ศ.2564

ข้อหาความผิดมาตรา 51 ฐานความผิด ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 34 (6) แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่สั่งห้ามผู้ใดกระทำการซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะโดยการไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคโควิด-19 แพร่ออกไป ระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ทั้งนี้ อัตราค่าปรับที่กำหนดให้เปรียบเทียบ (บาท) ครั้งที่ 1 ไม่เกิน 1,000 บาท ครั้งที่ 2 มากกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ครั้งที่ 3 เป็นต้นไป มากกว่า 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 20,000 บาท

มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด ทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงานให้ต่างด้าว ตามมติครม. 29 ธ.ค. 63

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายเวลาดำเนินการ ให้ต่างด้าวกลุ่มมติ 29 ธ.ค. 63 ตรวจโควิด-19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาติทำงาน (บต.48) ออกไปถึง 13 ก.ย. 64 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยระลอกใหม่ยังคงมีความรุนแรง และพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 70 ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญ อันเป็นพื้นที่ที่มีคนต่างด้าวทำงานหนาแน่น ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคนั้น ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องระดมทรัพยากรบุคคล สถานที่ อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ในการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อระบบสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนโดยรวม จึงจำเป็นต้องชะลอหรือยับยั้งการการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้กับคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

“คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอให้ขยายระยะเวลาการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงาน (บต. 48) กับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ของคนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 ประกอบกับมติครม.เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 64 และมติครม. เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 64 ที่จากเดิมจะสิ้นสุดภายในวันที่ 16 มิ.ย. 64 เป็นวันที่ 13 ก.ย. 64  สำหรับการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ให้ดำเนินการถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 และผลการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 18 ต.ค. 64 ตามแนวทางที่กำหนดเดิม ในส่วนคนต่างด้าวที่ลงทะเบียนแบบไม่มีนายจ้าง ให้ขยายระยะเวลาการจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร. 38/1) ไปถึงวันที่ 31 มี.ค. 65 เพื่อให้การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลุล่วง สามารถขจัดปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพไปพร้อมกัน ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากผลการดำเนินการตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 (ระหว่างวันที่ 15 ม.ค. 64-31 พ.ค. 64) มีคนต่างด้าวลงทะเบียนออนไลน์ทั้งสิ้น จำนวน 654,864 คน แบ่งเป็น คนต่างด้าวที่ได้รับอนุมัติบัญชีรายชื่อ (มีนายจ้าง) 601,027 คน และยังไม่ดำเนินการ 53,837 คน ซึ่งจากคนต่างด้าวที่ได้รับอนุมัติบัญชีรายชื่อจำนวน 601,027 คน กรมการจัดหางานได้สำรวจและคัดแยกข้อมูลเบื้องต้น พบว่ามีการลงข้อมูลซ้ำซ้อนถึง 50,972 คน เป็นคนที่อยู่บริเวณแนวชายแดนและเดินทางกลับไปแล้ว 29,000 คน เป็นผู้ติดตาม 25,000 คน รวม 104,972 คน ทำให้คงเหลือคนต่างด้าวที่ต้องดำเนินการทั้งสิ้น จำนวน 496,055 คน ซึ่งล่าสุดจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 485,263 คน ผ่านการตรวจโควิด-19 แล้ว 339,331 คน ยื่นขอรับใบอนุญาตทำงาน (บต.48) แล้ว 239,654 คน และจัดทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติ แล้ว 52,326 คน

“สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสารและแนะนำวิธีการดำเนินการ” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว

‘ปิยบุตร’ ชวนประชาชนช่วยดัน ‘ร่างแก้ รธน. ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์’ เข้าสภา อัด ‘ร่างแก้ รธน. ฉบับพลังประชารัฐ’ รวบหัวรวบหางเอื้อประโยชน์ตนเอง เตรียมเลือกตั้งใหม่

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะแกนนำกลุ่ม Re-solution กล่าวถึงกรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐให้สัมภาษณ์ว่าในวันที่ 15 มิ.ย. 2564 นี้ประธานรัฐสภาจะมีการนัดหารือกับทั้ง ส.ว. พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อเตรียมประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยคาดว่าในวันที่ 22-23 มิถุนายน 2564 จะมีการประชุมรัฐสภาพิจารณาญัติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 

โดยนายปิยบุตรขอให้ประชาชนช่วยกันเร่งเข้าชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพื่อไม่ให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐที่ยื่นโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน กลายเป็นร่างหลักในรัฐสภา เพราะร่างของพรรคพลังประชารัฐกำลังพยายามรวบหัวรวบหางแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องระบบเลือกตั้งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคใหญ่

นายปิยบุตร กล่าวว่า จากกระแสทางการเมืองในขณะนี้มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลอาจเตรียมพร้อมยุบสภาหลังจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2565 ผ่าน แต่ก่อนที่จะมีการยุบสภาเกิดขึ้น สิ่งที่รัฐบาลจะทำก่อนคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้พวกพ้องของตนเองได้ประโยชน์ เช่น การแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของตัวเอง ครองเสียง ส.ส. ในสภาได้จำนวนมากและได้เกินกว่าสัดส่วนที่ควรจะเป็น 

นายปิยบุตร กล่าวต่อไปว่า การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรครัฐบาล มีข้อเสนอเป็นที่แน่ชัดว่าพยายามรวบหัวรวบหางแก้ไขเรื่องระบบเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ปล่อยให้พรรครัฐบาลสามารถยื่นแก้ไขได้อย่างสะดวก ทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะได้รัฐธรรมนูญตามที่ฝ่ายรัฐบาลสืบทอดอำนาจต้องการ ทำไปเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และด้วยเสียงในสภาของทั้ง ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ส. ฝากเลี้ยงตามพรรคการเมืองต่างๆ รวมเข้ากับเสียงของ ส.ว. 250 คนที่ไม่เคยแตกแถว แม้จะปัดตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกร่าง แต่ถ้าเป็นร่างจากพรรคพลังประชารัฐก็จะต้องยกมือให้ผ่านหมดแน่นอน จนได้ผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการ

“หากปล่อยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการสำเร็จ ในอนาคตเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ด้วยการถือครองอำนาจรัฐ อำนาจสถาบันทางการเมือง มีกลไกองค์กรอิสระต่างๆ และระบบเลือกตั้งที่เอื้อให้พรรคสืบทอดอำนาจได้เปรียบ รวมเข้ากับเสียงของ ส.ว. 250 ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งมาเองกับมือและมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 กลายเป็นว่าเราก็จะได้รัฐบาลแบบเดิม ระบอบประยุทธ์จะยิ่งมั่นคงขึ้น เจตจำนงและเสียงของประชาชนจะถอยหลังลงคลองลงเรื่อยๆ จะถือเป็นการผนึกกำลังกินรวบประเทศอย่างแท้จริง พวกเขาเคยสืบทอดอำนาจสำเร็จผ่านรัฐธรรมนูญ 60 มาแล้ว อย่าปล่อยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เห็นหัวประชาชนเกิดขึ้นอีกครั้ง หากในอนาคตที่ทุกอย่างเข้าทางพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะยิ่งไม่เห็นหัวประชาชนมากขนาดไหน” ปิยบุตร กล่าว

นอกจากนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เปิดทางให้ ส.ส. และ ส.ว. มีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้ความเห็นชอบโครงการของหน่วยงานของรัฐได้ ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ ส.ส. เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีหน้าที่ตรากฎหมายและตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่ใช้งบประมาณ 

“การเปิดโอกาสให้ ส.ส. วิ่งหางบประมาณมาลงในพื้นที่ตนเอง อาจมาในนามของการช่วยเหลือประชาชน แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่าง ส.ส.รัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน รัฐมนตรีอาจแบ่งสรรงบประมาณไปลงให้เฉพาะแต่พื้นที่ของ ส.ส. พรรคพวกตนเอง ส่วน ส.ส. ฝ่ายค้าน หากอยากได้บ้างก็ต้องสยบยอมกับรัฐบาลหรือย้ายข้างไปอยู่กับรัฐบาล กลายเป็น ส.ส. งูเห่า ทั้งๆ ที่การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ คืองานการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” นายปิยบุตร กล่าว

“ดังนั้นต้องมาช่วยกันยืนยันว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เราต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐบาล รัฐสภาที่เห็นหัวประชาชน ที่เราทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน อย่าปล่อยให้ ส.ว. 250 คนมาขี่คอประชาชนต่อไป ประชาชนจะสามารถทำให้หลักการนั้นเป็นจริงได้ คือการมาร่วมกันแสดงพลัง มาร่วมกันเข้าชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพื่อดันให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์เข้าสภาเป็นร่างหลักให้ได้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการถอนหมุดที่คณะรัฐประหารและรัฐบาลสืบทอดอำนาจปักไว้ในสังคมไทย” นายปิยบุตร กล่าวทิ้งท้าย

โดยประชาชนสามารถไปลงชื่อที่จุดตั้งโต๊ะใกล้บ้านหรือส่งเอกสารทางไปรษณีย์ ดูรายละเอียดที่นี่ www.resolutioncon.com/ ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่นี่ https://bit.ly/3t04VTR
 

'นายกฯ' สั่ง 'รมว.คลัง' แจงพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมายให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจงพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 

ประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่

1.) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ โควิด-19 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ

2.) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 วงเงิน 3 แสนล้านบาท เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยผู้ประกอบอาชีพและผู้ประกอบการ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง และ

3.) แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 วงเงิน 170,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงาน โครงการ เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค 

"ทั้ง 3 แผนงานนี้ สามารถโยกเงินผ่านแผนงานต่างๆ มาใช้ได้ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท แต่ไม่สามารถที่จะนำไปใช้ในแผนงานอื่นนอกเหนือจาก 3 กรอบนี้ได้" นายอนุชา กล่าว

‘รัฐบาล' ระบุ สธ.เตรียมแผน ฉีดวัคซีนให้ชาวต่างชาติ ครอบคลุมแรงงานต่างด้าว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีที่มีกระแสเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาติว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่าประเทศไทยจะฉีดวัคซีนให้กับทุกคนที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ทั้งแรงงานต่างชาติ หรือผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ในประเทศไทยในลักษณะของคณะทูต หรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการจัดทำรูปแบบการลงทะเบียนให้ชาวต่างชาติผ่านระบบต่างๆ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศว่าจะลงทะเบียนอย่างไร หากได้ข้อสรุปแล้วจะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบโดยอีกครั้ง

นายกฯ ขอบคุณ “จุรินทร์” ปลื้ม พาณิชย์จัดโครงการ “จับคู่กู้เงิน” ช่วยเหลือผู้ประกอบการ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้ขอบคุณนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้จัดโครงการ “จับคู่กู้เงิน” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศให้เข้าถึงสภาพคล่อง ถือเป็นการขับเคลื่อนสำคัญตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และไมโครเอสเอ็มอี ให้ได้เข้าถึงเงินกู้เพื่อประคับประคองธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้นายจุรินทร์ ได้รายงานว่า โครงการนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลัง ผ่านสถานบันการเงินของรัฐ 5 แห่ง คือ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารออมสิน ที่จะให้สินเชื่อแบบเงื่อนไขผ่อนปรนมากที่สุด เช่น ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ ปลอดหลักทรัพย์ค้ำประกันในบางกรณี และเงื่อนไขอื่นๆ ทั้งนี้ โครงการเริ่มให้บริการเมื่อวานนี้เป็นวันแรก ประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อสถาบันการเงินดังกล่าวทั้ง 5 แห่งได้ 

เพจ หลง อินเดีย โพสต์เรื่องราวประทับใจ ของหนุ่มใหญ่ชาวอินเดีย ที่หลงรักการปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ กว่า 30 ปีที่ผ่านมา ปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 3 แสนต้น โดยระบุว่า

#คนรักต้นไม้ ที่แท้ทรู พนักงานขับรถเมล์ในอินเดีย รักการปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ และวันนี้เขาปลูกต้นไม้ไปแล้วมากกว่า 300,000 ต้น

M. Yoganathan หรือ คุณพี่ โยคะนาธาน ชาวอินเดียจากรัฐทมิฬนาฑู หรือ รัฐทางตอนใต้ของประเทศ ในวัย 50 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่รักต้นไม้ และ รักการปลูกต้นไม้เป็นที่สุด และเขาได้ใช้เวลาในการปลูกต้นไม้มาทั้งสิ้นกว่า 30 ปี

“ผมทำงานเป็นข้าราชการขับรถประจำทางสาย 70 ครับ ในเวลา 30 ปีมานี้ ผมปลูกต้นไม้มามากกว่า 3 แสนต้น และการปลูกต้นไม้ทั้งหมดนี้ ก็เป็นการนำเงินส่วนตัวของผมมาใช้เองด้วยครับ"

“ผมจะแบ่งเงินทุกเดือน เดือนละ 40% เพื่อซื้อต้นไม้ เพาะต้นกล้า เพาะเมล็ด เพื่อนำไปปลูก นำไปแจกคนอื่นปลูก และนำไปสอนเด็กๆ ในโรงเรียนและวิทยาลัยกว่า 3,743 แห่งในรัฐ เพื่อให้ความรู้พวกเด็กๆ เกี่ยวกับเกษตรและพันธุ์พืช"

“ผมต้องการให้โลกได้รับสิ่งดีๆ ก็แค่นั้นเองครับ ผมขับรถเมล์มา 32 เมืองในรัฐ และทั้ง 32 เมืองนี้ ผมได้ลงมือปลูกต้นไม้ไว้ทั้งหมด จริงๆ แล้วผมปลูกต้นไม้มากว่า 4 แสนต้น เพียงแต่ 3 แสนต้นนั้นโตแล้ว และ อีก 1 แสน ยังไม่โตเป็นต้นที่แข็งแรงครับ”

“ทุกวันนี้ ผม ภรรยา และลูกสาว เราจะแบ่งหน้าที่กันก็คือ ผมทำงาน ภรรยาดูแลการเงิน โดยเฉพาะเงินในส่วนที่พวกเรานำมาปลูกต้นไม้ ลูกสาวคนโตจะดูแลเรื่องของสื่อโซเชียล ส่วนคนเล็กจะเป็นคนขับรถนำต้นกล้าไปดูแลที่เรือนเพาะชำ"

“ผมจะแจกต้นกล้าให้ผู้โดยสารและคนทั่วไปอย่างน้อยวันละ 10 ต้นครับ ทุกอย่างมันเริ่มมาจากที่มีผู้มีอิทธิพลมาลักลอบตัดต้นไม้กันเยอะมาก และผมต้องการเคลื่อนไหวให้มีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ผมจึงร่วมมือกับกลุ่มนักเคลื่อนไหว และผมก็ลงมือทำมันอย่างจริงจังมากๆ"

“เป้าหมายหลักของผมคือตั้งใจว่า อยากให้ทุกๆ บ้านในรัฐของเรา ทุกบ้านมีต้นไม้ปลูกอย่างน้อยๆ บ้านละ 5 ต้น ไม่ว่าจะเป็น มะพร้าว ขนุน มะขามป้อม มะม่วง และ ฝรั่ง เพราะไม้เหล่านี้ทน ดูแลง่าย ระบายน้ำดี มีผลผลิต และ ร่มรื่น"

“เพราะประเทศของเราบอบช้ำจากการถูกตัดต้นไม้ไปมากแล้ว เช่นการขยายถนน กลับกลายเป็นคนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้เงินแก่คนปลูกต้นไม้ #แต่กลับให้เงินแก่คนตัดต้นไม้ และเพื่อการจะพัฒนาชาติของเราได้ พวกเขาเองก็ไม่ควรมาทำลายป่าไม้เหมือนกัน"

คุณพี่โยคะนาธาน ได้รับรางวัลด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากมาย และได้ขึ้นพูดบนเวที TED Talk แต่เขา ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงและรางวัลใดๆ แต่ทำไปเพราะอยากให้มนุษย์ได้ตอบแทนสิ่งดีๆ คืนแก่โลกใบนี้บ้าง

หัวใจคุณพี่นั้นช่างยิ่งใหญ่ และ กว้างใหญ่มากๆ เลยนะคะ การทำอะไรบางอย่างเพื่ออยากตอบแทน เพียงเพราะรู้คุณของสิ่งๆ หนึ่งมาร่วม 30 ปีได้นั้น บอกได้คำเดียวเลยว่า #ถ้าไม่ใช่เพราะใจที่เต็มไปด้วยรัก ก็คงอยู่ทนอยู่ทำกับบางสิ่งมานานขนาดนี้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ นับถือมากๆ เลย

เมื่อวานก็คุณตาเก็บขยะ วันนี้ก็คุณพี่ปลูกต้นไม้....เห็นมั้ยคะ ว่าอินเดียเนี่ย เขาก็มีมุมดีๆ มุมน่ารักๆ มุมที่โลกใบนี้ยังไม่มีคนเห็นอีกมากมาย และบอสจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะนำสิ่งที่ดีๆ ของประเทศๆ นี้ มาบอกเล่าแก่เพื่อนๆ #สาวกหลงอินเดีย ให้ได้รู้ได้เห็นกันอีกเยอะๆ เลยนะคะ

ขอบคุณคุณพี่โยคะนาธานมากๆ เลยค่า ที่หล่อ น่ารัก ใจดี มีต้นกล้าให้ปลูกเยอะสุดๆ 555 กราบใจๆ ขอให้สิ่งดีๆ กลับคืนย้อนคืน สู่คุณพี่และครอบครัวต่อๆ ไปนะคะ

ปล. และส่วนนี้คุณพี่โยคะนาธานและครอบครัว ก็ได้ลองเพาะปลูกต้นไม้เพื่อนำไปขายดูด้วยค่ะ ซึ่งก็จะเป็นพวกพันธุ์พืชสวนครัว หรือ พืชที่ได้ผลผลิตใช้รับประทาน ก็นับว่าเป็นรายได้เสริมของครอบครัวอีกทางนึงค่า

 

ที่มา : เพจ หลง อินเดีย https://www.facebook.com/101560597967366/posts/360325522090871/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top