Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

‘ดวงฤทธิ์’ นำทีมรวมไทยสร้างชาติ เสนอกฎหมาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ การศึกษาไทย

(31 ต.ค. 67) ที่ห้องแถลงข่าวสภาผู้แทนราษฎร รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองประธานและโฆษกกรรมาธิการการศึกษา พร้อมคณะ ได้ยื่นร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับรวมไทยสร้างชาติ ให้แก่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร

รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ฉบับรวมไทยสร้างชาติ ฉบับนี้ มุ่งพัฒนาส่งเสริม ยกระดับคุณภาพการศึกษา และที่สำคัญคือ การสร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์ ทั้งในระดับพื้นที่ ผู้ประกอบการและผู้เรียน เนื้อหาสาระสำคัญในร่างพรบ.ฉบับนี้ ที่เพิ่มเติมเข้าไป คือการ 'รื้อ ลด ปลด สร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์' ซึ่งเป็นนโยบาย จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และมอบหมายให้ทำการยื่นร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ 

ซึ่งสาระสำคัญคือ 'รื้อ' คือ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมาย 'ลด' คือ ลดภาระครูในการทำวิทยฐานะ ดูจากผลการทำงานเป็นหลัก ไม่เน้นทำเอกสารส่ง 'ปลด' คือ ปลดล็อกให้สามารถเพิ่มสกิลความเก่ง ความสามารถ ผลงานนอกห้องเรียน มาเป็นแต้มต่อในการประเมินผลการเรียนได้ 'สร้าง' คือ สร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์เพื่อสนับสนุนตอบสนองความต้องการในพื้นที่ ในเขตจังหวัด และความต้องการจากภาคธุรกิจ การค้า การลงทุน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะความรู้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่เขตจังหวัดและความต้องการจากภาคธุรกิจ การค้า การลงทุน

"ตัวผมเอง ในฐานะ ครู อาจารย์ เล็งเห็นเรื่องการศึกษาถือเป็นเรื่องที่สำคัญของประเทศชาติ การศึกษาไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ควรมองให้ตรงไปตรงมา เน้นตอบโจทย์ความต้องการจริง ๆ อย่างเช่น การตอบโจทย์พื้นที่ ที่มีทั้งเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ เสน่ห์ของแต่ละพื้นที่ เพราะฉะนั้น หากเราจัดการศึกษาให้ตอบโจทย์ของพื้นที่ เช่นหากจัดการศึกษาให้ตอบโจทย์ จังหวัดท่องเที่ยว ทั้งรายด้านงานบริการ การเพิ่มความรู้ด้านภาษาที่ 2 ภาษาที่ 3 รวมทั้งความรู้เฉพาะทาง หากสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการ ตอบโจทย์ผู้เรียน นอกจากเรื่องการศึกษาแล้ว ยังสามารถช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยให้เข้มแข็งได้ด้วย" รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าว

รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าวอีกว่า แต่ละภูมิภาคไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หลักสูตรเดียวกัน แต่สามารถกระจายหลักสูตรได้ สามารถปรับหลักสูตรได้ทุก ๆ 3-5 ปี สร้างหลักสูตร ที่ทันสมัย ตอบโจทย์แต่ละจังหวัด ให้กับ นักเรียน นักศึกษา รุ่นใหม่ เพื่อเข้าถึงความเป็นเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดนั้น เชื่อว่าหากการศึกษาสามารถสร้างชุมชนเข้มแข็ง ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในพื้นที่ ลดปัญหาการย้ายถิ่นฐานเข้าเมืองหลวง จนสร้างความแออัดของเมืองในหลวงได้ จะช่วยสามารถพัฒนาประเทศชาติ เริ่มตั้งแต่ เศรษฐกิจฐานราก สู่ความยั่งยืนของประเทศ 

ทำความรู้จักแลนด์บริดจ์โครงการเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลไทย ใช้ประโยชน์จากทำเล ลุ้น!! สร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้ภาคใต้

(31 ต.ค. 67) จากข่าววานนี้ที่ทาง นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง วิจารณ์การขึ้นป้ายสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์ นั้น

ในวันนี้ THE STATES TIMES จะพาทุกคนมารู้จักโครงการแลนด์บริดจ์(Land Bridge)กัน สำหรับโครงการนี้มีชื่อเต็มว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

อธิบายอย่างเข้าใจง่ายโครงการนี้จะประกอบไปด้วย 
1.ท่าเรือน้ำลึก 2 ท่าเรือ ตั้งอยู่ฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามันอย่างละหนึ่งท่าเรือ เพื่อรับส่งของจากเรือต่าง ๆ
2.ทางรถไฟ มอเตอร์เวย์ เชื่อมระหว่าง 2 ท่าเรือ เพื่อให้การขนส่งสินค้าจากท่าเรือทั้งสองดำเนินการได้โดยง่ายไร้รอยต่อ หรือ Seamless 

โดยเป้าหมายของโครงการนี้คือชิงส่วนแบ่งการตลาดจากท่าเรือแถว ๆ ช่องแคบมะละกาที่มีปริมาณเรือเป็นจำนวนมาก และต้องใช้ระยะเวลาจำนวนหนึ่งในการเดินทางอ้อมช่องแคบมะละกา 

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานแล้วสิ่งที่จะเป็นอาวุธสำคัญของโครงการแลนด์บริดจ์ คือ กฎหมาย SEC ที่ใช้โมเดลเดียวกับ EEC เพื่อกระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมหลังอ่าว 

ด้วยอาวุธชิ้นนี้ผู้ที่ดำเนินการโครงการจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้เอกชนผู้ที่จะร่วมลงทุนในโครงการนี้จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ เป็นบริษัทเรือเดินทะเล 

ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด ลูกค้าที่จะมาจะมาจากบริษัทผู้ร่วมทุนนั้นเอง 

ทุก ๆ ครั้งที่พูดถึงโครงการนี้ จะนึกถึงตัวอย่างหนึ่งตลอดมา คือ เราเป็นคนจนคนหนึ่งแต่โชคดีมีที่ดินติดรถไฟฟ้า บางคนอาจจะอยากขายที่ดินหาเงินใช้ บางคนอาจจะปล่อยเช่า หรือบางคนอาจจะร่วมลงทุนกับผู้ที่สนใจใช้ที่ดินทำประโยชน์ 

โครงการแลนด์บริดจ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก คือ การใช้ประโยชน์จากทำเลเพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งหากย้อนไปในประวัติศาสตร์บริเวณปลายด้ามขวานแห่งนี้เคยทรงอิทธิพลในภูมิภาคด้วยความที่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้า วัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก

และครั้งนี้โครงการแลนด์บริดจ์จะนำสถานะนั้นกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป

'เอกนัฏ' ย้ำเจตนารมณ์ไทย บนเวที COP13/MOP36 เดินหน้าเชิงรุกลดใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน

(1 พ.ย. 67) รมว.เอกนัฏ ประกาศบนเวทีสหประชาชาติ COP13/MOP36 ดันไทยลดใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน เดินหน้าเชิงรุก ปฏิรูปอุตสาหกรรม ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเปิดการประชุมระดับสูงภาคีอนุสัญญาเวียนนา ครั้งที่ 13 (COP13) และรัฐภาคีพิธีสารมอนทรีออล ครั้งที่ 36 (MOP36) (วันที่ 31 ตุลาคม 2567) ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมระหว่างประเทศภาคีสมาชิก ซึ่งมีผู้แทนจากรัฐภาคีกว่า 148 ประเทศเข้าร่วมการประชุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น เช่น รายงานการศึกษาทั้งด้านเทคนิคและวิชาการ การนำเสนอเทคโนโลยีสารทดแทนที่มีค่าศักยภาพทำให้โลกร้อนต่ำและประหยัดพลังงาน รายงานการเงินและงบประมาณกองทุนพหุภาคีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า ประเทศไทยให้ความสําคัญในเรื่องสภาพภูมิอากาศ และการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน โดยประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของพิธีสารมอนทรีออล เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2532 เพื่อแสดงความรับผิดชอบและให้ความร่วมมือกับนานาประเทศในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมโลก โดยได้ดำเนินแนวทางเชิงรุกในการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนได้เร็วกว่าที่พิธีสารมอนทรีออลกำหนดไว้ ด้วยการปฏิรูปภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น ซึ่งประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับความต้องการภายในประเทศและประเทศคู่ค้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเครื่องปรับอากาศเป็นอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าการส่งออกกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นเทคโนโลยีขั้นสูง ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและสารทดแทนที่มีค่าศักยภาพทำให้โลกร้อนต่ำและประหยัดพลังงานภายในประเทศ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ก้าวทันบริบทโลก ผ่านกลไกกองทุนพหุภาคีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล ซึ่งมีกรอบเงินทุนการดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สารเอชซีเอฟซี ระยะที่ 2 (ปี พ.ศ. 2563 – 2568) กว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับประเทศไทยยังได้มีการใช้มาตรการทางกฎหมายโดยการประกาศห้ามใช้สารซี เอฟ ซี (Chlorofluorocarbons (CFCs)) ในการผลิตอุปกรณ์ทำความเย็น และห้ามนำเข้าอุปกรณ์ทำความเย็นที่ใช้สาร CFCs เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการควบคุมและกำกับดูแล 

นอกจากนี้ ยังได้ให้สัตยาบันต่อพิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี เพื่อลดการใช้สารเอช เอฟ ซี Hydrofluorocarbons (HFCs) โดยส่วนใหญ่ใช้เป็นสารทําความเย็นในอุปกรณ์ทําความเย็น ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ถือเป็นความท้าทายของประเทศไทย 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนให้เร็วกว่าข้อกำหนดตามพิธีสารมอนทรีออล ฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี ที่กำหนดให้ปี 2572 ต้องลดปริมาณการใช้ HFCs ลง 10%  ปี 2578 ลดปริมาณการใช้ HFCs ลง 30%  ปี 2583 ลดปริมาณการใช้ HFCs ลง 50% และในปี 2588 ลดปริมาณการใช้ HFCs ลง 80% เพื่อการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่ร้อยละ 30 - 40 ภายในปี 2573 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608

“ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะร่วมมือดำเนินงานกับภาคีต่าง ๆ และประชาคมโลก เพื่อแสวงหาแนวทางที่สร้างสรรค์และยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป” รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

‘นักวิทย์โปแลนด์’ พบโครงกระดูกถูกโซ่คล้องเท้า-คอตรึงวิญญาณ ตำนานท้องถิ่นชี้อาจเป็น 1 ใน 10 คนที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น 'แวมไพร์'

(1 พ.ย. 67) ทีมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศโปแลนด์พบโครงกระดูกไร้ชื่อที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ ถูกฝังไว้ในสุสานแห่งหนึ่งในเมือง Pien ทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ โดยข้ออิงจากหลักฐานตำนานท้องถิ่นเชื่อว่า อาจเป็น 1 ใน 10 คนที่ชาวบ้านยุคนั้นเชื่อว่าอาจจะเป็น 'แวมไพร์'

รายงานระบุว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้ใช้วิธีการสแกนโครงการดูกเพื่อสร้างรูปแบบจำลอง 3 มิติ  เผยให้เห็นสภาพโครงกระดูกอายุ 400 ปีที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่บริเวณคอและข้อเท้า 

ออสการ์ นิลส์สัน หัวหน้านักโบราณคดีชาวสวีเดนกล่าวว่า "เป็นเรื่องน่าตลกที่จากสภาพศพของเธอเชื่อว่า มีผู้คนพยายามฝังเธอพร้อมสะกดวิญญาณไม่ให้ฟื้นจากความตาย ... แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเราพยายามสร้างภาพจำลองของเธอเหมือนกับปลุกให้เธอคืนชีพอีกครั้ง"

ทีมนักโบราณคดีตั้งชื่อโครงกระดูกนี้ว่า Zosia เธอถูกขุดค้นเมื่อปี 2022 โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Nicolaus Copernicus ในเมือง Torun 

จากการสันนิษฐานคาดว่าเธออาจเสียชีวิตช่วงวัย 18-20 ปี โดยจากการวิเคราะห์กะโหลกศีรษะชี้ให้เห็นเธอมีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้เป็นลมและปวดศีรษะรุนแรง รวมถึงอาจมีปัญหาสุขภาพจิตด้วย นิลส์สันกล่าว 

Zosia ถูกฝังพร้อมกับ เคียว, กุญแจล็อค และไม้บางชนิดที่พบในหลุมศพในสมัยนั้นที่มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันแวมไพร์ ตามที่ทีมวิจัยของนิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัสกล่าว ซึ่งในบริเวณสุสานเดียวกันยังพบศพเด็กที่ถูกฝังคว่ำหน้าพร้อมใส่กุญแจที่ข้อมือและเท้าไว้เช่นกัน 

ทั้งนี้ ในช่วงยุคกลางของยุโรปมักมีความเชื่อว่าสตรีบางคนอาจเป็นแม่มด จากรูปลักษณะของใบหน้าที่มีจมูกแหลม หรือใบหน้าที่เรียวเล็กผิดปกติ ขณะเดียวกันสตรีที่มีพฤติกรรมผิดปกติทางจิตก็อาจถูกมองว่าเป็นแวมไพร์เช่นกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 ผีร้ายฮาโลวีน!! ที่จะมาหลอกหลอนคุณจนหมดตัว

(31 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพที่ก่ออาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนระวังภัย 5 ผี มิจฉาชีพ ที่พี่น้องประชาชนต้องระวัง อย่าให้มาหลอกหลอน สร้างความเสียหายในสังคม

1. ผีขายของ - โฆษณาขายสินค้าราคาถูก หากหลงเชื่อจะถูกหลอก ได้แค่วิญญาณของสินค้า (ไม่รับสินค้าจริง) หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงปก

2. ผีดูดทรัพย์ - ชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ใช้ระยะเวลาสั้น สุดท้ายเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือหลอกเอาเงิน

3. ผีหลอกรัก - แอบอ้างเป็นชาวต่างชาติหน้าตาดี มีฐานะ ทักมาสร้างสัมพันธ์ จากนั้นจะอ้างเหตุสารพัด หลอกให้โอนเงินไปให้

4. ผีทักแชต - ส่งข้อความหลอกลวงแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการ หรือเอกชน แนบลิงก์ให้กด ติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล

5. ผีชวนเปิด - ชักชวนให้เปิดซิมผี บัญชีม้า ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ แลกกับค่าตอบแทน จากนั้นจะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้เจ้าของซิมผี บัญชีม้า ถูกดำเนินคดี

นอกจากนี้ พี่น้องประชาชนยังต้องระมัดระวังในการเดินทางและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลฮาโลวีน โดยควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และสังเกตทางออกฉุกเฉินอยู่เสมอ เพื่อจะได้หนีออกจากสถานที่ดังกล่าวได้หากเกิดเหตุไม่คาดคิด รวมไปถึงการดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการผลัดหลง หรือถูกผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสล่อลวงบุตรหลานของท่านไป

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นการหลอกลวง หรือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 และหากท่านตกเป็นเหยื่อ หรือได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ทร. มอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย กำลังพล ประกอบคุณงามความดี

(31 ต.ค. 67) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานในพิธี มอบประกาศเกียรติคุณชมเชยกำลังพลกองทัพเรือ ที่ประกอบคุณงามความดี เสียสละช่วยเหลือสังคม และสร้างชื่อเสียงให้กับกองทัพเรือ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังพลของกองทัพเรือ มีความเสียสละช่วยเหลือสังคม ณ ห้องประชุมสุพรรณหงส์ อาคารส่วนบัญชาการ กองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน กรุงเทพมหานคร

กำลังพล ที่เข้ารับมอบประกาศเกียรติคุณยกย่องชมเชย จากผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนอันแสดงถึงความกล้าหาญและความเสียสละ ในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในทันที ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมและได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือ ให้ปรากฏต่อสาธารณชน โดยเป็น  กำลังพลจากหน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง จำนวน 3 นาย ได้แก่
1.พันจ่าเอก คมสันต์ เสาทอง สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง
2.จ่าเอก พัทธดนย์ จงใจรักษ์ สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง
3.จ่าเอก สิฐิชัย รุ่งเรือง  สังกัด กรมสนับสนุน หน่วยบัญชาการต่อสู้กาศยานและรักษาฝั่ง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

ปธ.คณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา พร้อมคณะเดินทางไปติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ (31 ต.ค.67) ที่อาคารเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกัมพล สุภาแพ่ง ปธ.คณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา พร้อมคณะ ได้เดินทางมาศึกษาดูงาน และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ระยอง มีนายกัฬชัย เทพวรชัย รอง ผวจ.ระยอง น.ส.สายฝน โชชัย คลังจังหวัดระยอง นายวิจิตร พาพลงาม นอภ.วังจันทร์ พร้อมเจ้าหน้าที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุป แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบ โดยเฉพาะในเรื่องของ การส่งเสริมการลงทุน และมูลค่าการลงทุนในปัจจุบัน รวมทั้งประเด็นแนวทางการเจรียมความพร้อมและมาจนการรองรับการปฏิรูประบบภาษีอากรที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC และติดตามความก้าวหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยการเดินทางมาศึกษาดูงานรับทราบข้อมูลของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และติดตามโครงการดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการลงทุนในการพัฒนาประเทศต่อไป

นอกจากนี้คณะกรรมาธิการ การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ยังได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ในประเด็นการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างที่สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อีสเทิร์นซีบอร์ดด้วย

นายปฏิมา จีระแพทย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ เปิดเผยว่า การเดินทางมาติดตามโครงการใน EEC ในวันนี้ เนื่องจากคณะกรรมาธิการฯ เห็นความสำคัญในเรื่องของการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย และโครงการ EEC เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างมากเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งมีความล่าช้ามาในระยะหนึ่ง ซึ่งการมาติดตามความคืบหน้าดังกล่าว เพื่อให้มาเห็นพื้นที่ว่ามีการพัฒนาไปอย่างไรบ้าง มีผู้สนใจเข้ามาขอรับสิทธิพิเศษเข้ามาประกอบกิจการอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC มากน้อยแค่ไหน ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมีความคืบหน้าเพียงใด ซึ่งก็ได้มารับฟังข้อเท็จจริงจากผู้บริหาร EEC ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ จะได้นำเอาข้อมูลในเรื่องของการศึกษาในพื้นที่นั้นไปวิเคราะห์ และจะจัดทำข้อเสนอแนะให้กับทางฝ่ายบริหารของประเทศต่อไป ในส่วนของท่าเรือมาบตาพุด ก็ได้มาเห็นหนึ่งในท่าเรือที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในส่วนของที่เป็นพื้นที่สำรองพลังงานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจากนี้ก็คงจะต้องเดินหน้าต้อนรับนักลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งพลังงานก็ต้องสำรองไว้ใช้ให้เพียงพอ ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้รับฟังปัญหาจากทางผู้บริหารท่าเรือฯ ซึ่งปัญหาล่าช้าที่พบเกิดจากมติ ครม. ในอดีตที่ต้องการหาผู้ร่วมทุน ซึ่งผ่านมานานพอสมควร ในเรื่องนี้ทางคณะกรรมาธิการฯ จะนำการสูญเสียโอกาสดังกล่าว นำไปทบทวนศึกษาแนวทางที่จะนำเสนอฝ่ายบริหารให้เสนอคณะรัฐมนตรีแก้มติ หรือทำมติใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการบริหารจัดการ เพื่อที่จะยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นต่อไป

เรือยาวมังกรทีมชาติไทย คว้าเหรียญทอง เรือมังกรชิงแชมป์โลก ICF 2024 ได้โควต้าชิงแชมป์โลก 2025 ประเทศจีน

นักกีฬาเรือยาวมังกรทีมชาติไทย 'ผงาดคว้าเหรียญทอง' การแข่งขันเรือยาวมังกรชิงแชมป์โลก ICF 2024 และคว้าโควต้า เข้าสู่การแข่งขันเรือมังกรชิงแชมป์โลก The World Games 2025 

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ขอแสดงความยินดีกับ กำลังพลของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ที่เข้าเป็นตัวแทน การแข่งขันกีฬาเรือยาวมังกร ในนามทีมชาติไทย ที่ได้คว้าโควต้า Qualifier ในมหกรรมกีฬาเวิลด์เกมส์ 2025 (The World Games) ที่จะจัดขึ้นในเมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 7 - 17 สิงหาคม 2568 ได้สำเร็จ

โดยคิดคะแนนรวมประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม (ระยะ 2000 /500/200) และในการแข่งขันครั้งนี้ มีทีมที่ได้รับโควต้าผ่านเข้าสู่การแข่งขันเรือมังกรชิงแชมป์โลก The World Games 2025 จำนวน 2 ทีม เท่านั้น ซึ่งทีมชาติไทยคะแนนรวมเท่ากับทีมชาติอินโดนีเซีย และคว้าโควต้า สู่มหกรรมกีฬาเวิลด์เกมส์ 2025 (The World Games) ในปีถัดไป โดยมีผลการแข่งขัน ดังนี้

คว้า 3 เหรียญทอง 
- ประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม ระยะ 2000 เมตร
- ประเภทเรือ 8 ฝีพายทั่วไป ระยะ 200 เมตร
- ประเภทเรือ 8 ฝีพายทั่วไป ระยะ 500 เมตร

คว้า 2 เหรียญเงิน 
- ประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม ระยะ 500 เมตร
- ประเภทเรือ 8 ฝีพายทั่วไป ระยะ 2000 เมตร

คว้า 1 เหรียญทองแดง
- ประเภทเรือ 10 ฝีพายผสม ระยะ 200 เมตร 
มีรายชื่อ เจ้าหน้าที่ทีมและนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 5 นาย ดังนี้
1. เรือโท พรชัย เทศดี สังกัด ศูนย์การฝึกต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (เจ้าหน้าที่ทีม)
2. เรือตรี เกษมสิทธิ์ บริบูรณ์วศิน สังกัด กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 (เจ้าหน้าที่ทีม)
3. จ่าเอก สมชาย สังข์เมือง สังกัด กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (นักกีฬา)
4. จ่าเอก ภัทร สังข์เดช  สังกัด ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (นักกีฬา)
5. จ่าโท ณัฐพล กลืบกำไร สังกัด กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 (นักกีฬา)

สำหรับนักกีฬาชุดนี้ จะเดินทางไปแข่งขันต่อที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน เรือยาวมังกร ชิงแชมป์โลก รายการ 2024 ICF Dragon Boat World Championships ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2567 ต่อไป

ชาวมาเลย์แห่แบนร้าน Starbucks อาจต้องปิดเกือบ 100 สาขาทั่วประเทศ เหตุบริษัทกาแฟหนุนยิวทำสงครามกาซา

(1 พ.ย.67) มาเลเซียรายงานว่า บริษัท Berjaya Group บริษัทเครือข่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่ ผู้ดูแลกิจการ Starbucks ในมาเลเซียได้รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกของ ปี 2024 พบว่าขาดทุนสุทธิอยู่ถึง 91.5 ล้านริงกิต และมีรายได้ลดลงจากปีก่อนถึง 35% จากเดิม 1.1 พันล้านริงกิต เหลือเพียง 730.3 ล้านริงกิตในปีนี้  

ผลประกอบการที่ลดลงเชื่อว่ามาจากสาเหตุที่แบรนด์ร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์สินค้าชาติตะวันตกที่ให้การสนับสนุนอิสราเอลในการโจมตีฉนวนกาซาและชาวปาเลสไตน์ ส่งผลให้ Starbucks กระทบยอดขายกาแฟกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าโดยจำนวนนี้มีความเป็นไปได้ที่อาจต้องปิดสาขาเป็นการถาวรเกือบ 100 สาขา

นอกเหนือจาก Starbucks แล้ว แบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง KFC, McDonald's และ Nestle ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันในตลาดมาเลเซีย ที่มีจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมกระแสการต่อต้านสงครามของอิสราเอล ที่ใช้กำลังทหารรุกรานพื้นที่พลเรือนในเขตฉนวนกาซา และ เลบานอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว มากกว่า 50,000 ราย

MalaysiaNow ยังได้สำรวจข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ของ Starbuck พบว่ามีร้านกาแฟอย่างน้อย 60 สาขา ที่จะต้องถูกปิดในระยะเวลาอันใกล้ แม้บางแห่งจะเป็นการปิดเพื่อปรับปรุง แต่บริษัทก็ยังต้องแบกรับค่าเช่าที่ราคาสูง 

อย่างไรก็ตาม Starbucks มาเลเซียได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องการปิดสาขาเกือบ 100 แห่งแล้ว ยืนยันว่าจะปิดปรับปรุงแค่บางสาขาเท่านั้น

โดยทางแบรนด์ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า 'Starbucks' ไม่เคยอยู่ในเป้าหมายของกระแสการบอยคอตโดยชาติมุสลิมในประเด็นเรื่องสงครามในกาซา นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า ผลประกอบการเริ่มกระเตื้องขึ้นแล้วเนื่องจากผู้บริโภคเริ่มตระหนักรู้ว่าข้อกล่าวหาที่ว่าธุรกิจของ Starbucks มีส่วนสนับสนุนกองทัพอิสราเอลนั้น 'ไม่เป็นความจริง'

ก่อนหน้านี้ วินเซนท์ ทาน เจ้าของกิจการ Berjaya Group ผู้ดูแล Starbucks ในมาเลเซีย ได้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกกระแสคว่ำบาตร Starbucks ที่มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการคว่ำบาตรกลุ่มนายทุนชาวยิว เพราะจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของ Starbucks ในมาเลเซียกว่า 5,000 คน

ทั้งนี้ นอกเหนือจากกระแสบอยคอตสินค้าที่สนับสนุนอิสราเอลแล้ว ธุรกิจ Starbucks ในมาเลเซียยังเผชิญแรงดันรูปแบบอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะการแข่งขันอย่างดุเดือดของตลาดร้านกาแฟในประเทศต่างหาก ที่ส่งผลต่อยอดขายของ Starbucks โดยตรง ซึ่งตอนนี้ ZUS Coffee ร้านกาแฟสัญชาติมาเลเซีย ได้โค่น Starbucks คว้าตำแหน่งร้านกาแฟยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไปแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top