Sunday, 15 June 2025
NewsFeed

'เรือด่วนเจ้าพระยา' แจงเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวเฉี่ยวชนเรือด่วนเจ้าพระยา 'นักท่องเที่ยว-ประชาชน' ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย ส่ง รพ. ปลอดภัยแล้ว

(15 ส.ค. 67) บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด เผยถึงกรณีเรือท่องเที่ยวเฉี่ยวชนกับเรือด่วนเจ้าพระยา บริเวณใกล้ท่าเรือพระปิ่นเกล้า (ปากคลองบางกอกน้อย) ในวันที่ 15 สิงหาคม 2567 เวลา 11.50 น. โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์ทั้งหมดทันที ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 คนจากการกระแทกกันของเรือ ทางกรมเจ้าท่าพร้อมหน่วยกู้ภัยและบริษัทฯ ได้ดำเนินการนำส่งผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลเพื่อดูแลรักษา และปัจจุบันผู้บาดเจ็บทุกคนได้รับการดูแลโดยคณะแพทย์และอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยแล้ว และผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บ 3 รายได้เดินทางกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย 

อนึ่ง บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการหารือกับทางกรมเจ้าท่าและบริษัทเรือท่องเที่ยว (คู่กรณี) โดยทางกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการสอบสวนและลงบันทึกรายงานเบื้องต้น โดยจะมีการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก

บริษัทฯ มีนโยบายและมาตรการที่ต้องปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ ซึ่งพนักงานได้ปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน และบริษัทฯ ได้มีมาตรการที่เข้มงวดด้านความปลอดภัยในการเดินเรือ และดำเนินการวางแผนงานการป้องกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอีก หากท่านใดพบเห็นเหตุการณ์หรือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ โปรดแจ้งมายัง Line Official Account: @cpxcare (มี @) หรือเฟซบุ๊ก Chao Phraya Express Boat - เรือด่วนเจ้าพระยา

'กรมอุทยานฯ' สานต่อความสำเร็จจับมือเครือข่ายภาคปชช. มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า ย้ายลิงเมืองเพชรรอบที่ 3 ดร.ยุทธพล ติ้งพ่อเมืองเพชรควรออกมาช่วยกันแก้ปัญหา

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.67) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช  มอบหมายให้ นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับ ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะประธานเครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดเพชรบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนำร่องย้ายลิงสู่ที่พักพิงใหม่ ครั้งที่ 3 ภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาลิงล้นเมืองเพชรบุรี โดยมี นายสมเจตน์ จันทนา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี 

พร้อมด้วย อำนวยการส่วน หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าหน่วยงานภาคสนาม และเจ้าหน้าที่ น.ส.จันทร์แสง สร้างนานอก ประธานมูลนิธิเพื่อสัตว์ป่า นายเอ็ดวิน เจ วิค เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า หัวหน้าส่วนราชการ และพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยรอบเขาวังเพชรบุรีเข้าร่วมในพิธีกว่า 300 คน ครั้งนี้ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายลิงแสมบริเวณโดยรอบเขาวังเพชรบุรี (พระนครคีรี) เป็นครั้งที่ 3 เพิ่มอีกจำนวน 156 ตัว เคลื่อนย้ายทั้ง 3 ครั้งร่วม 565 ตัว ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าฯได้จัดเตรียมกรงพักพิงลิงที่ได้รับการสนับสนุนและจัดสร้างโดยมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า บนพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร ภายในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยทราย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ไว้เป็นสถานที่สำหรับพักพิงลิงแสม โดยได้นำลิงแสมที่เคลื่อนย้ายในวันนี้ นำไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดความก้าวร้าว รุนแรง พร้อมได้จัดทีมสัตวแพทย์จากกรมอุทยานแห่งชาติฯ มาทำการตรวจสุขภาพและดำเนินการทำหมันลิงแสม เพื่อเป็นการควบคุมประชากรลิง ไปพร้อมกันด้วย 

ทั้งนี้เมื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลิงแสมแล้ว ก็จะได้หาแหล่งที่อยู่ที่เหมาะสมในการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งยึดถือเป้าหมายที่สำคัญคือการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่เกิดจากการรบกวนของลิงแสมของจังหวัดเพชรบุรี  ถือว่าเป็นโครงการนำร่องที่ประสบผลสำเร็จ นำไปใช้เป็นโมเดลให้กับจังหวัดอื่นๆในการแก้ปัญหาลิงล้นเมืองได้

ด้าน ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ในฐานะประธานเครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า 
รอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว รอบแรก 200 ตัว รอบที่สอง 200 ตัว รอบที่สามก็ยากได้ 200 ตัว แต่เนื่องจากกรงที่มีอยู่ค้อนข้างแออัด รอบที่สามนี้จึงได้แค่ 156 ตัว โดยละแวกตัวเมืองเพชรบุรีคงคลี่คลายปัญหาลิงล้นเมืองไปได้เยอะ สิ่งที่ชาวเพชรบุรีต้องการจริงๆคือท้องถิ่นต้องเข้ามาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่  ไม่ใช้ให้มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า และกรมอุทยานฯเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามลำพัง หากท้องถิ่นเข้ามาร่วมช่วยแก้ปัญหา จัดสรรงบประมาณในพื้นที่ก็จะรวดเร็วกว่าไปของบส่วนกลางมาดำเนินการ กฎหมายระเบียบต่างๆทางรัฐมนตรีได้มอบอำนาจให้ท้องถิ่นได้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาลิงร่วมกับกรมอุทยานไปแล้ว ปัญหาจะได้คลี่คล้ายลง หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือพื้นที่ อ.บ.ต.เทศบาลไหน ไม่มีงบประมาณเพียงพอ ก็สามารถจะได้รับงบประมาณสนับสนุนหรืออุดหนุน จากองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือทางจังหวัดเพชรบุรี ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญส่งผลกระทบต่อเศรฐกิจ กระทบต่อชีวิตพี่น้องประชาชนชาวเพชรบุรี จึงวอนท้องถิ่นให้เข้ามาแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป  

‘จีน’ เล็งแก้ กม.‘แต่งงาน’ ง่ายขึ้น ‘หย่า’ ต้องรอ 30 วัน เบรกการหย่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบ-แก้วิกฤติประชากรลด

(15 ส.ค. 67) จีนเตรียมแก้กฎหมายเอื้อให้การจดทะเบียนสมรสทำได้ง่ายขึ้น ขณะที่การหย่าร้างจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่าเดิม ในความเคลื่อนไหวที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นเทรนด์ฮอตในโซเชียลมีเดียวันนี้

ด้านกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนได้เผยแพร่ร่างแก้ไขกฎหมายที่ระบุว่ามุ่งสร้าง ‘สังคมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว’ เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน โดยจะเปิดให้พลเมืองจีนสามารถส่งความคิดเห็นเข้าไปยังกระทรวงได้จนถึงวันที่ 11 ก.ย.นี้

โดยการแก้กฎหมายครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความพยายามของผู้กำหนดนโยบายจีนที่ต้องการส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวหันมาแต่งงานสร้างครอบครัวและมีบุตร เพื่อแก้ไขวิกฤตประชากรจีนที่ลดลงต่อเนื่องมา 2 ปีติดแล้ว

ร่างกฎหมายนี้มีการลดทอนข้อจำกัดในแง่ของถิ่นที่อยู่อาศัยลง จากเดิมที่กฎหมายจีนกำหนดไว้ว่าการจดทะเบียนสมรสจะต้องกระทำในเขตพื้นที่ตามทะเบียนบ้านของคู่แต่งงานเท่านั้น

อย่างไรก็ดี คู่สมรสที่ประสงค์หย่าร้างจะมีช่วงเวลา ‘รอ’ 30 วันหลังจากที่ยื่นคำร้อง ซึ่งระหว่างนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการหย่า ก็สามารถถอนคำร้องได้ทันที และกระบวนการจดทะเบียนหย่าถือเป็นอันสิ้นสุด

“แต่งงานง่าย แต่เวลาจะหย่ากลับยาก นี่มันกฎหมายงี่เง่าอะไรเนี่ย” ผู้ใช้ weibo รายหนึ่งกล่าว ซึ่งปรากฏว่ามีชาวเน็ตเข้าไปกดถูกใจหลายหมื่นครั้ง

ขณะที่ทางด้าน เจียง เฉวียนเป่า (Jaing Quanbao) อาจารย์ประจำสถาบันเพื่อการศึกษาด้านประชากรและการพัฒนาในสังกัดมหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง ให้สัมภาษณ์กับสื่อโกลบอลไทม์สว่า กฎหมายนี้มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนเล็งเห็นความสำคัญของการแต่งงานและการสร้างครอบครัว ป้องกันการหย่าร้างด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สร้างความมั่นคงทางสังคม ตลอดจนปกป้องสิทธิตามกฎหมายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

จำนวนคู่รักชาวจีนที่จดทะเบียนสมรสในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 3.43 ล้านคน ลดลง 498,000 คนจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2013

ทั้งนี้ นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจีนทำให้การแต่งงานเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีบุตร รวมถึงการที่พ่อแม่ต้องนำทะเบียนสมรสไปแสดง เพื่อลงทะเบียนขอรับสวัสดิการอุดหนุนสำหรับลูกที่เกิดมา

อย่างไรก็ตาม คนจีนหนุ่มสาวจำนวนมากเลือกที่จะเป็นโสดหรือเลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน เนื่องจากกังวลเรื่องความมั่นคงด้านอาชีพการงาน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาในช่วงเวลานี้

'ไฮเออร์' ทุ่มงบหมื่นล้าน ผุด รง.ผลิตแอร์ ใน WHA เป้า 6 ล้านเครื่องต่อปี หนุนไทยฮับการผลิตใหญ่ในอาเซียน พร้อมจ้างงานเพิ่ม 3,000 ตำแหน่ง

(15 ส.ค. 67) มร.โจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญภายใต้วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการมุ่งขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของโลก การขยายการเติบโตในครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่แห่งใหม่และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน

ซึ่งไทยนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ประกอบกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งไฮเออร์ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโดยมีส่วนแบ่งกว่า 13% เป็นยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มเครื่องปรับอากาศแมส ในแง่ของจำนวนในช่องทางออฟไลน์

ไอเออร์มีฐานการผลิตที่ไทยก่อนหน้านี้คือโรงงาน ณ ปราจีนบุรี เป็นฐานการผลิตตู้เย็นและตู้แช่ และโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 324,000 ตร.ม. ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จ.ชลบุรี

โดยพื้นที่ดังกล่าวนับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังใน จ.ชลบุรี 49 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 131 กิโลเมตร

รวมถึงสามารถเชื่อมต่อด้านคมนาคมได้หลายเส้นทาง โดยโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งนี้ รองรับกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงสุดถึง 6 ล้านเครื่องต่อปี โรงงานดังกล่าวมีแผนการดำเนินการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 เฟส และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2570

-เฟสแรกจะเปิดในส่วนของการผลิต 3 ล้านเครื่องในเดือนกันยายน 2568
-เฟสที่สองและเฟสสามจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดดำเนินการในปี 2569 และ 2570 ตามลำดับ

ทั้งนี้หลังจากดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นโรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์

การเติบโตของตลาดแอร์ในไทยที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท โดยไฮเออร์กินมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 1 ที่ 13% ตลอดทั้งปี โฟกัสเจาะตลาดกลุ่ม Mid to High ตั้งเป้าสิ้นปี 67 กวาดรายได้ 11,000 ล้าน ซึ่งผ่านมาครึ่งปีแรกกวาดรายได้ทะลุ 6,600 ล้านบาท

โดยไอเออร์เป็นแบรนด์มีจุดแข็งเรื่องช่องทางจำหน่ายออฟไลน์ที่มีสัดส่วนกว่า 90% ช่องทางออนไลน์ 10% ทางแบรนด์มองเห็นโอกาสในการขยายช่องทางออนไลน์ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15-20% ภายในปีหน้า

พร้อมกันนี้ ไฮเออร์ยังมุ่งส่งเสริมการกระจายความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอันโดดเด่นเฉพาะตัวของแบรนด์ทั้งด้านการวิจัย การผลิต และการขาย แก่บุคลากรเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพ ผ่านความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนท้องถิ่น โดยในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า

เมื่อโรงงานดำเนินการสร้างเสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะกระตุ้นตลาดแรงงาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมสามารถสร้างงานให้ผู้คนในจังหวัดชลบุรีได้กว่า 3,000 ตำแหน่ง นับเป็นการส่งเสริมการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกหนึ่งช่องทาง

‘หนุ่มไทยใจดี’ ช่วยแกะสติกเกอร์บนเสาเหล็กภูเขาฟูจิให้แล้ว หลังเพจท่องเที่ยวนำไปแปะจนทัวร์ลงสนั่น เหตุ!! ไม่เหมาะสม

(15 ส.ค. 67) จากกรณีเฟซบุ๊กเพจท่องเที่ยวที่มีผู้ติดตามกว่า 30,000 คน ได้โพสต์ภาพแฟนหนุ่มคุกเข่าขอแต่งงานบนยอดเขาฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งได้โพสต์ภาพที่แฟนเพจทักอินบ็อกซ์มาชื่นชมด้วยที่เจ้าของเพจนำสติกเกอร์ข้อความเดียวกับชื่อเพจไปติดบนเสาที่ใช้กั้นเขตทางเดินบนภูเขาฟูจิ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ มากมาย อาทิ ไม่ควรทำเพราะเป็นสถานที่ที่คนญี่ปุ่นเคารพและศักดิ์สิทธิ์

ด้านเจ้าของเพจชี้แจงว่า ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่แล้ว และเป็นสถานที่ที่สามารถติดสติกเกอร์ได้ ไม่ได้มีเธอติดคนเดียว อย่างไรก็ตามทางเพจได้ปิดเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวไปแล้ว

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘ลองวิเคราะห์ดู’ ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 3.5 แสนคน เปิดเผยว่า “มีลูกเพจท่านหนึ่งแกเห็นโพสต์พอดีตอนปีนขึ้นเขามา แกเลยแกะออกโดยไม่ได้คิดไรเยอะแกว่า ถ่ายไว้ด้วย แอดเลยขอภาพขอคลิปเขามา”

“ขอขอบคุณความมือบอนของคุณ สำหรับแอดมันดีมากเลยนะ บางครั้งการทำลายมันก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งการทำลายสติกเกอร์ที่ไปติดตามสถานที่ท่องเที่ยวนี่ยิ่งดีเลย ไม่รู้จะพูดยังไง นอกจากขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ”

“ปล. แอดอาจพิมพ์อะไรตกหล่นไปนะ เรื่องสติกเกอร์ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวมันก็มีประเทศอื่นด้วยแหละ แต่มันไม่ได้แปลว่าต้องทำตาม และก็ขึ้นอยู่ว่าสถานที่นั้นให้ติดได้หรือไม่ (พูดเผื่อว่าบางที่มีไว้สำหรับติด)”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปได้มีผู้เข้าไปขอบคุณ และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่นว่า อยากบอกว่า กราบขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ, พล วิก มาเก็บงาน, ขอบพระคุณจากใจจริง ๆ, เอาจริง ๆ เที่ยวธรรมชาติก็อย่าไปหาทำอะไรที่ทำลายธรรมชาติเลย ไม่ว่าทิ้งขยะหรือสลักชื่ออะไรลงไป

'Mission To The Moon' เผย!! แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มเลี่ยงเอี่ยว 'การเมือง' หวั่น!! พาแบรนด์ไปพัง พร้อมเลือกใช้ 'เหล่าอินฟลูฯ' ที่ไม่คลั่งการเมืองมากขึ้น

ไม่นานมานี้ Mission To The Moon ได้นำเสนอบทความที่สืบเนื่องจากแบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มปรับทิศทาง ไม่นิยมจ้างอินฟลูฯ ที่ตื่นรู้ทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า...

ปัจจุบันนี้อาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นสายงานที่มาแรงและสร้างกำไรให้กับตัวคนทำ รวมถึงบริษัท และแบรนด์ผู้จ้างได้อย่างมากมายมหาศาล

ด้วยพลังของโซเชียลมีเดียที่ผนวกกับพลังของความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพก็สามารถสร้างคอนเทนต์ พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและตัดต่อ รวมถึงค่อยๆ เก็บเกี่ยวความนิยมจนกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นความนิยมในตัวของอินฟลูเอนเซอร์เองก็ยังสามารถต่อยอดมูลค่าได้อีกมากมาย เช่น ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าคนที่มาสายอาชีพนี้จะประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้าทุกคน

เพราะความผันผวนรอบทิศทางทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในตลาดแรงงาน ยิ่งในอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ที่มีทั้งระดับเล็กไปจนถึงระดับใหญ่ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรงของแบรนด์ได้ และอินฟลูเอนเซอร์ที่อาจเพิ่มโอกาสใหม่ๆ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับแบรนด์

แต่ก็ใช่ว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และมียอดผู้ติดตามสูงๆ จะได้รับโอกาสจากทุกแบรนด์ เพราะผู้จ้างเองก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ ลักษณะของกลุ่มผู้ติดตาม รวมไปถึงประเด็นความอ่อนไหวอื่นๆ ที่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย และหนึ่งในประเด็นที่อาจเรียกได้ว่าอ่อนไหวจนถึงขั้นทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนกลายเป็น ‘โปรไฟล์ที่มีความเสี่ยงสูง’ ต่อแบรนด์ก็คือเรื่องการเมืองนั่นเอง

>> เพราะ ‘การเมือง’ คือเรื่องอ่อนไหวในโลก Marketing
การทำการตลาดให้กับสินค้าและแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) มีอิทธิพลกับสร้างการรับรู้และกำไรให้กับแบรนด์สูงมากจริงๆ และแบรนด์ต่างๆ เองก็พร้อมที่จะลงทุนเม็ดเงินมหาศาลเพื่อทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น Walmart, Kraft Heinz หรือ Coca-Cola

โดยจากการรายงานของ CNBC มีการคาดการณ์ว่า Creator Economy หรือเศรษฐกิจจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเหล่าครีเอเตอร์จะมีมูลค่าถึง 528 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจรูปแบบนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างคอนเทนต์กับแบรนด์ หรือบริษัทที่ลงโฆษณา

โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ความเห็นทางการเมืองมักประกอบสร้างขึ้นมาจากทฤษฎีสมคบคิด และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องของคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากมีการคว่ำบาตรอินฟลูเอนเซอร์เกิดขึ้น คนที่จะโดนผลกระทบหนักที่สุดก็คือแบรนด์ที่เป็นผู้จ้างนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นการที่คอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้างไปอยู่ใกล้กับคอนเทนต์อื่นๆ ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ก็จะทำให้ส่งผลต่ออัลกอริทึม ยอดการเข้าถึง และอาจส่งผลกระทบไปถึงทัศนคติที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้แบรนด์จึงต้องมีการศึกษาภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ในตลาดเป็นอย่างดี เพื่อพิจารณาถึงกำไร ผลประโยชน์ รวมไปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คริชนา สุบรามาเนียน (Krishna Subramanian) ผู้ก่อตั้ง Captiv8 บริษัทการตลาดกล่าวว่า แบรนด์ต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าพวกเขาจะจ้างอินฟลูเอนเซอร์สักคนเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้า

โดยเครื่องมือ AI ของ Captiv8 จะแบ่งเกรดของอินฟลูเอนเซอร์หรือเน็ตไอดอลในสหรัฐฯ ออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของแบรนด์ เช่น...

- เกรด A หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ปลอดภัย’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่นำเสนอคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางสังคม
- เกรด C ที่หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ต้องระวัง’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึงเรื่องการเมือง และประเด็นอ่อนไหวทางสังคมบ่อย ๆ
- รวบรวมและวิเคราะห์เนื้อหาที่เป็นประเด็น เช่น ประเด็นทางสังคมที่ละเอียดอ่อน ความตายและสงคราม คำพูดที่สร้างความเกลียดชังจากตัวครีเอเตอร์จากการรายงานข่าว

นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัท Viral Nation ผู้ให้บริการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียที่สร้างบริการ Advanced Brand Safety ในการช่วยวิเคราะห์คำสำคัญและตรวจจับคอนเทนต์ที่อาจเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในภายหลังได้

>> ตระหนักรู้ทางการเมืองอย่างไรไม่ให้กระทบกับ ‘ภาพลักษณ์’ ของเรา?
แม้ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ในโลกธุรกิจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความคิดเห็นที่ของคนที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกันอาจทำให้เกิดอคติขึ้น ส่วนแบรนด์เองก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้หลายแบรนด์ไม่สามารถลอยตัวเหนือดรามาที่เกิดขึ้นได้

แต่การจะทิ้งอุดมการณ์ไปเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนของแบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้าง ถ้าเช่นนั้นแล้วเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งหลายควรจะรับมือกับความต้องการของแบรนด์ และสถานการณ์การเมืองที่เพิกเฉยไม่ได้นี้อย่างไร?

>> แสดงออกอย่างมีมารยาท
ภาพลักษณ์และวิธีการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์สำคัญอย่างมากในยุคนี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้โซเชียลมีเดียทำมาหากินก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการโพสต์จะถูกเผยแพร่ และแชร์ต่ออยู่บนโลกออนไลน์ ดังนั้นความคิดและการแสดงออกของเราจะสร้างผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน แต่จะเป็นผลดีหรือผลร้ายนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารของเรา

>> เคารพในความเห็นที่ต่างกัน
อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เราได้พบเจอกับความคิดเห็นมากมาย ทั้งความเห็นที่คล้ายกับเราและความเห็นที่ต่างจากเรา ดังนั้นต้องเข้าใจว่าคนทุกคนสามารถมีมุมมอง ความคิดเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเคารพในเหตุผลของทุกฝ่าย และไม่สร้างความขัดแย้งด้วยคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

>> คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
ในกรณีที่ประเด็นความอ่อนไหวนั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะกลุ่มมาก ๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง คนที่ทำอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์อาจจะต้องไตร่ตรองถึงความคุ้มค่าอย่างถี่ถ้วน ว่าการแสดงความคิดเห็นออกไปนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับภาพลักษณ์และอาชีพของเรา แล้วจะได้อะไรกลับมาคุ้มกับที่เสียไปหรือไม่?

สุดท้ายนี้ แม้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจกำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างน่าติดตาม แต่ในฐานะของผู้ประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้สร้างคอนเทนต์ออนไลน์จำเป็นจะต้องคำนึงถึงทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผู้จ้าง ภาพลักษณ์ของตัวเราเอง และทัศนคติของโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบกับประเด็นอ่อนไหวที่เกิดขึ้นด้วย

การคำนึงถึงทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบอย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้เราระมัดระวังในการผลิตและเผยแพร่คอนเทนต์มากขึ้น มีการตรวจสอบที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ให้ดูน่าเชื่อถือได้ และถ้าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ก็มีส่วนผิด และจำเป็นที่จะต้องแสดงการรับผิดชอบต่อแบรนด์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน

พิพัฒน์ หนุนจ้างงานอุตสาหกรรมการบิน หารือไทยเวียตเจ็ทนำเครื่องพร้อมนักบินเข้า ลดค่าตั๋วบิน เสริมท่องเที่ยวในประเทศ

เมื่อวันที่ (14 ส.ค.67) เวลา 13.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด ในโอกาสเข้าพบเพื่อเยี่ยมคารวะและหารือการส่งเสริมการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมการบินเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมี นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เข้าร่วม ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน 

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ผมขอขอบคุณคณะผู้บริหารบริษัท ไทยเวียตเจ็ทฯ ที่มาเยี่ยมเยียนกระทรวงแรงงานในวันนี้ รวมถึงหารือกันในประเด็นการขอเพิ่มจำนวนนักบินและเครื่องบินนำเข้ามาในประเทศเพื่อให้แรงงานมีงานทำ มีรายได้มากขึ้นในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งในเรื่องนี้ผมได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการจัดหางานไปหารือในรายละเอียดข้อกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการออกประกาศ เพื่อให้นักบินต่างชาติเข้ามาบินได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นระยะ 6 เดือน เพื่อทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาสายการบินขาดแคลนนักบิน ขณะเดียวกันจะเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่สำคัญจะทำให้ค่าตั๋วโดยสารมีราคาถูกลงจากปัจจุบันลงได้

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการออกมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผมขอขอบคุณและชื่นชมผู้บริหารบริษัทไทยเวียตเจ็ท ที่บริษัทมีแนวทางการพัฒนานักบิน ส่งเสริมการจ้างงานในอุตสาหกรรมการบินอย่างต่อเนื่อง เป็นผลทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโตและฟื้นตัวโดยเร็ว สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในปัจจุบัน 

ด้าน นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด กล่าวว่า ในนามบริษัท ไทยเวียตเจ็ทฯ ขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะที่เปิดโอกาสให้เข้าพบและหารือเรื่องการจ้างงานในอุตสาหกรรมการบินในวันนี้ ซึ่งที่ผ่านมาไทยเวียตเจ็ทเราเป็นบริษัทสายการบินที่ไม่เคยปลดพนักงานมาก่อน และเราดูแลพนักงานอย่างดีที่สุด แม้ตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาหลายบริษัทลดกำลังการผลิตลง แม้กระทั่งธุรกิจสายการบินเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่บริษัทขอชื่นชมนโยบายรัฐบาลที่มีมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน เช่น ฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อช่วยกระตุ้นและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้กลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนนักบินให้ได้ 300 คน เพิ่มจำนวนพนักงานเป็น 2,500 - 3,000 อัตรา ภายใน 5 ปี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว การจ้างงาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

'ไทยออยล์' แจ้งข่าวดี!! ผู้รับเหมาช่วง จ่ายค่าจ้างกลุ่มผู้ใช้แรงงานแล้ว พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วยผลักดันลุล่วง

(16 ส.ค.67) จากกรณีกลุ่มผู้ใช้แรงงานรวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd., Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem) นั้น

ในวันที่ 9 สิงหาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทน UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ได้ร่วมประชุมหารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับชำระค่าจ้าง โดยมี ไทยออยล์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ ณ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ข้อสรุปว่า...

UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ตกลงจะนำเงินไปจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้กับลูกจ้างในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานฯ 2 ฉบับ (ที่ 20/2567 และ 21/2567) โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้าไปกำกับดูแลกลไกและเงื่อนไขการจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้ครบถ้วน

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ไทยออยล์ ได้รับรายงานว่า บริษัท เอสทีพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (STP) และ บริษัท เอสซีไอ สยาม โคเรีย อินดัสเตรียล จำกัด (SCI) ได้ชำระเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างแล้ว ส่งผลให้กลุ่มลูกจ้างได้ยุติการรวมตัวชุมนุมบริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์เมื่อเวลา 18.15 น.

ทั้งนี้ ทาง ไทยออยล์ ได้แสดงความขอบคุณหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี ที่ช่วยประสานและผลักดันให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่รวมตัวชุมนุมดังกล่าวได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย บรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ

'รมว.ปุ้ย' สั่ง 'สนอ.' เกาะติดราคาน้ำตาลตลาดโลก ห่วง!! อาจกระทบราคาอ้อยในไทยปี 67/68

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ห่วงอาจกระทบกับราคาอ้อยในประเทศ ฤดูการผลิตปี 2567/68 ซึ่งสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ราคาน้ำตาลตลาดโลกเฉลี่ยที่ระดับ 20 เซนต์ต่อปอนด์ ลดลง 16.67% จากปี 2566 ที่ราคาอยู่ในระดับ 24 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากมีสต็อกน้ำตาลในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก และบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกมีผลผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตน้ำตาล ประกอบกับในฤดูการผลิตปี 2566/67 ไทยมีผลผลิตน้ำตาล 8.81 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12.80% จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมี 7.81 ล้านตัน 

สำหรับสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 แนวโน้มราคาน้ำตาลตลาดโลกจะอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 21 เซนต์ต่อปอนด์ โดยมีปัจจัยมาจากบราซิลสามารถผลิตน้ำตาลได้มากขึ้น และหากอินเดียได้เปลี่ยนนโยบายอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลได้ตามปกติ จะส่งผลให้สต็อกน้ำตาลในตลาดโลกสะสมเพิ่มขึ้น ส่วนไทยคาดว่าในฤดูการผลิตปี 2567/68 จะมีผลผลิตอ้อย 92 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11.96% เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่มีปริมาณอ้อย 82.17 ล้านตัน

ด้าน นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า เบื้องต้น สอน. ได้นำตัวเลขมาคิดคำนวณราคาอ้อยในประเทศสำหรับฤดูการผลิตปี 2567/68 หากราคาน้ำตาลตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับที่ 21 เซนต์ต่อปอนด์ จะส่งผลให้ราคาอ้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 บาทต่อตันอ้อย ลดลง 15.49% เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่มีราคาอ้อยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,420 บาทต่อตันอ้อย 

อย่างไรก็ดี องค์ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยในประเทศยังคงมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ในฤดูการผลิตปี 2567/68 สอน. จะมีแนวทางในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ชาวไร่อ้อยมีผลผลิตที่ดี และโรงงานได้น้ำตาลทรายที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาอ้อยในประเทศให้สูงขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะให้ชาวไร่อ้อยจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทาง

‘จีน’ ทดสอบ ‘เครื่องบินไฟฟ้าไร้คนขับ’ รองรับผู้โดยสารได้ 5 คน สำเร็จ พร้อมให้บริการรูปแบบแท็กซี่ หวังช่วยหนุน ‘การเดินทาง-เลี่ยงรถติด’

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.67) การให้บริการ ’Air Taxi‘ ใกล้ความจริงมากขึ้น เมื่อเครื่องบินไฟฟ้าไร้คนขับ (eVTOL) ประสบความสำเร็จในการบินข้ามแม่น้ำแยงซี ในเมืองหนานจิง โดยการบินทดสอบครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ระยะทาง 25 กิโลเมตร ถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องบิน eVTOL ที่มีหนักกว่า 1 ตัน บินข้ามแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของจีน

สำหรับเครื่องบิน eVTOL รุ่นนี้มีปีกกว้าง 15 เมตร ลําตัวยาว 11 เมตร และสูงประมาณ 3.5 เมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5 คน มีความจุสูงสุดเกือบ 500 กิโลกรัม พัฒนาโดยบริษัท AutoFlight บริษัทสตาร์ตอัปในเซี่ยงไฮ้ Xie Jia รองประธานอาวุโสของ AutoFlight กล่าวว่า เครื่องบินรุ่นนี้จะเป็นตัวเลือกในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ต้องการเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในเมือง ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 ของการเดินทางภาคพื้นดิน

ทั้งนี้ จีนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจการบินในความสูงระดับต่ำ โดยเมืองหนานจิงถือเป็นเมืองแนวหน้าของการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 2020 เมืองหนานจิงได้มีการเปิดเขตทดสอบอากาศยานไร้คนขับพลเรือน (UAV) มีเที่ยวบินทดสอบมากกว่า 24,000 เที่ยว 

ทางด้าน Shi Shan เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำ Pukou Hi-Tech Zone ในหนานจิงกล่าวว่า การขับเคลื่อนการบินในความสูงระดับต่ำมีความก้าวหน้าอย่างมาก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งด้านการท่องเที่ยว การเดินทางในเมือง การกู้ภัยฉุกเฉิน การขนส่ง และสถานการณ์อื่น ๆ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม CCID Consulting บริษัทด้านการวิจัยระบุว่า ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรม eVTOL ของจีนเติบโตขึ้นร้อยละ 77.3 มีมูลค่ากว่า 980 ล้านหยวน หรือประมาณ 4,900 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 อุตสาหกรรม eVTOL น่าจะมีมูลค่ากว่า 9,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 47,500 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top