Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

'ตลาดน้ำอัมพวา' ยังแน่น!! หลังคลิปว่อนอ้างตลาดน้ำร้าง ไร้คนเที่ยว  ด้านแม่ค้าประสานเสียง ภาพถ่ายหงอยเป็นโฮมสเตย์ ไม่ใช่ตลาด

(15 ก.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีโซเชียลมีการเผยแพร่ข้อมูลว่าแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม สถานการณ์ตอนนี้เงียบเหงา ว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ส่งคนลงไปเช็กในพื้นที่แล้วชะอำและอัมพวา ไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่มีคนปล่อยเฟคนิวส์ นักท่องเที่ยวยังคงคึกคักพอสมควรตามฤดูกาล แถมยังจะหนาแน่นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้

และจากการสอบถามนายกสมาคมโรงแรมและผู้ประกอบการโรงแรมในพื้นที่ชะอำพบว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วงนี้ทั้ง Weekday และ Weekend ประมาณ 50-60% โดยช่วงวันหยุดยาวสัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้มีการจองการเข้าพักล่วงหน้าเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 70-75% ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่ชะอำ อาทิ หาดชะอำ วัดถ้ำแจง ฯลฯ ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวตามปกติ

ทั้งนี้ ททท.จะร่วมกับหอการค้าจังหวัดเพชรบุรี สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพชรบุรี และกลุ่ม YEC จัดกิจกรรม Food Festival ระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณชายหาดชะอำ เพื่อนำเสนอ Soft Power โดยใช้อาหารถิ่นเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงต่อยอดสู่การเดินทางท่องเที่ยวมายังจังหวัดเพชรบุรีและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในพื้นที่ให้มากขึ้น เกิดการกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการให้ทั่วถึงต่อไป

‘DIPROM’ ดัน ‘Soft Power’ ผ่านบทละครเชิงสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว มอบรางวัลนักเขียนบทไทย พร้อมผลักดัน-ต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ

เมื่อวานนี้ (14 ก.ค.67) นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนทั่วโลกให้เข้ามาท่องเที่ยว ทำงาน และใช้ชีวิตในประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นปลายทางของคนทั่วโลก 

ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สนับสนุนนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยได้มอบหมายให้ ‘กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม’ หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในทุกด้านเพื่อเพิ่มพลังซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สำคัญ คือ ด้านภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดซอฟต์พาวเวอร์ไทย และโปรโมตภาพลักษณ์ที่ดีสู่สายตาชาวโลก โดยจะเห็นได้จากการที่ภาพยนตร์และละครไทยหลายเรื่อง ได้รับการตอบรับที่ดี มีดาราและศิลปินไทยหลายคนสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ ส่งผลให้วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้รับความสนใจในระดับสากล

นางดวงดาว กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบายดังกล่าว ผ่านนโยบาย ‘RESHAPE THE FUTURE: โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับ อนาคต’ ของ นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายใต้กลยุทธ์ในด้านการปรับตัวให้ก้าวทันอุตสาหกรรมยุคใหม่ (RESHAPE THE INDUSTRY) โดยการมุ่งเน้นการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย (Creative Economy) ด้วยการจัดกิจกรรม ‘ส่งเสริม Soft Power ผ่านบทละครเชิงสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว’ เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเขียนบทละครให้มีความรู้ มีศักยภาพในการเขียนบทละครเชิงสร้างสรรค์ที่สามารถส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทย กระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศได้ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไปสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก

สำหรับการจัดกิจกรรม ‘ส่งเสริม Soft Power ผ่านบทละครเชิงสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว’ เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมไปเมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ผ่านเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 23 คน ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับโอกาสในการพัฒนาฝีมือเป็นนักเขียนบทละครรุ่นใหม่ โดยได้รับองค์ความรู้ด้านการเขียนบทแบบครบวงจร ทั้งในด้านการเขียนบทภาพยนตร์ ซิทคอม ละคร หรือ ซีรีส์ รวมไปถึงด้านการผลิตด้วยการปรับกระบวนการคิด ให้หยิบยกความเป็นไทยใส่ไปในบทละครได้อย่างกลมกลืนผ่านความคิดสร้างสรรค์ กลวิธีการสอดแทรกซอฟต์พาวเวอร์ไทยไว้ในบทละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ

พร้อมให้ความรู้ในด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงาน โดยได้รับคำปรึกษาแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเขียนบทละครชื่อดังอย่าง คุณอ่อน เอื้องอรุณ, คุณส้วม สุขพัฒน์, คุณบอลรูม วรลักษณ์ และผู้กำกับมากฝีมือ คุณนท พูนไชยศรี ที่จะเข้ามาช่วยฝึกฝนผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้อย่างเข้มข้น เพื่อให้ได้บทละครที่แฝงด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สอดแทรกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการท่องเที่ยวได้มากกว่า 25 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่งผลงานการเขียนบทละครเข้าประกวด เพื่อคัดเลือกสุดยอดผลงาน โดยบทละครที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เรื่อง รักเขา เรา และเหล่าวิญญาณ ซึ่งจะถูกนำมาถ่ายทอดเป็นละครสั้นให้ได้รับชมภายในงาน 

สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัลรองลงมา ได้แก่ บทละครเรื่อง รับซื้อของ (ไม่เคย) เก่า บทละครเรื่อง กุหลาบลั่นถัน และรางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ บทละครเรื่อง 1% นี้ฉันขอนะ และบทละครเรื่อง ค่าตัวตาย 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรม Pitching กับผู้จัดมากฝีมือ ทั้ง 4 ท่าน คือ คุณเอิน ณิธิภัทร์ เอื้อวัฒนสกุล จาก บริษัทมาสเตอร์วัน วิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด, คุณวี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ จากบริษัท มากกว่าฝัน จำกัด, คุณเขตต์ ฐานทัพ และคุณทักษญา ธีญานาถธนันชา จากบริษัท กองทัพ โปรดักชั่น จำกัด ซึ่งถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ สร้างโอกาสและต่อยอดความสำเร็จให้กับนักเขียนบทละครที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนบทละครได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักเขียนบทมืออาชีพ และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และซีรีส์ไทยต่อไปในอนาคต

'อาร์เจนตินา' ต่อเวลาเฉือนชนะ 'โคลอมเบีย' 1-0 คว้าแชมป์โคปา 2024 แม้ 'เมสซี่' เล่นไม่จบเกม

(15 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ฟุตบอลโคปา อเมริกา 2024 รอบชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินา แชมป์เก่า จะพบกับ โคลอมเบีย ซึ่งเกมนี้เตะกันที่ สังเวียน ฮาร์ดร็อค สเตเดี้ยม รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา โดยคู่นี้เคยพบกันล่าสุดในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก และหนนี้เป็นทีม 'ฟ้าขาว' เปิดบ้านชนะ 1-0 จากประตูชัยของ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ

สำหรับเกมนี้ ได้มีการเลื่อนแข่งขันออกไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากเหตุความวุ่นวายเมื่อแฟนบอลบางส่วนไม่มีตั๋วเข้าสนามไม่ได้ จนเกิดความโกลาหลฝ่าประตูกันเข้ามา จากนั้นเกมกลับมาแข่งขันตามเดิม

ฟากทัพฟ้าขาว ลิโอเนล สกาโลนี่ กุนซือแชมป์โลก 2022 ไม่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บส่งผู้เล่นชุดเดิมลงสนาม นำทัพโดย ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ผู้รักษาประตู, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ, อังเคล ดิ มาเรีย และ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ 

ส่วน โคลอมเบีย ของ เนสตอร์ ลอเรนโซ่ บอสใหญ่ ไม่มี ดาเนียล มูนญอซ ที่โดนใบแดงนัดที่แล้ว จัดทัพส่ง ฮาเมส โรดริเกซ กัปตันทีมทัพ พร้อมด้วย ดาวินซอน ซานเชซ, เจฟเฟอร์สัน เลร์ม่า, หลุยส์ ดิอาซ และ จอน กอร์โดบา

เริ่มครึ่งแรก โคลอมเบีย สร้างโอกาสได้ดีกว่า แต่แนวรับของอาร์เจนตินายังคงเหนียวแน่น ส่งผลให้เกมยังคงไม่มีสกอร์จนถึงครึ่งแรก 0-0 

กลับมาครึ่งหลังนาที 58 อาร์เจนตินา มีลุ้นจาก ดิ มาเรีย ได้บอลด้านซ้ายของกรอบเขตโทษ แล้วตัดบอลเข้ามาก่อนยิงไปที่มุมไกล คามิโล วาร์กัส เซฟไว้ได้ 

นาที 64 เมสซี่ ปะทะกับนักเตะโคลอมเบีย ได้บาดเจ็บแต่กลับมาลงสนามเพื่อเล่นต่อ แต่ว่าผ่านมาแค่ 2 นาที กัปตันทีมชาวอาร์เจนตินา เล่นต่อไม่ไหวเดินกะเผลกออกจากสนามด้วยน้ำตา โดยส่ง นิโก้ กอนซาเลซ ลงมาแทน 

จากนั้นทั้งสองทีมไม่มีฝั่งไหนทำสกอร์ได้จบ 90 นาที เสมอ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษ จากนั้นนาที 112 เลาตาโร่ มาร์ติเนซ จบสกอร์อย่างเฉียบขาดที่มุมไกล กลายเป็นประตูชัยให้ อาร์เจนตินา เฉือนชนะ โคลอมเบีย 1-0 คว้าแชมป์โคปา อเมริกา 2024 มาครองได้สำเร็จ และเป็นแชมป์สมัยที่ 16

สำหรับการคว้าแชมป์ในหนนี้ของ อาร์เจนตินา ส่งผลให้ทัพฟ้าขาวสามารถ ซิวแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ 3 รายการติดต่อกัน ได้แก่ Copa America 2021 / World Cup 2022 และ 2024 กับ Copa America

‘นายกฯ’ เคาะ!! 'ดิจิทัลวอลเล็ต' เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค.นี้ ยัน!! กรอบเวลาโอนเงินให้ประชาชน 45 ล้านคน สิ้นปี 67

(15 ก.ค.67) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 4/2567 พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง, นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ภายหลังการประชุม นายเศรษฐา แถลงว่า “ผลการประชุมวันนี้ยาว มีเรื่องของรายละเอียดที่เรามาชี้แจงทำให้กระจ่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินค้าหรือหลายๆ อย่าง ซึ่งนายจุลพันธ์ จะเป็นผู้แถลง”

เมื่อถามว่าจากการประชุมวันเดียวกันนี้นายกฯ ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มี เป็นการตอกย้ำเรื่องความชัดเจนและเรื่องการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งสื่อก็เห็นว่า พล.ต.ท. สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาด้วย”

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เริ่มมีการออกมาแอบอ้างเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยอ้างว่าเป็นลิงก์ของรัฐบาล ตรงนี้ได้สั่งให้มีการดำเนินการอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ ซึ่งทางภาครัฐคงต้องมีการแจ้งว่าเป็นเรื่องของการแอบอ้าง คอยฟังประกาศจากรัฐบาลอย่างเดียวดีกว่า” 

เมื่อถามว่าแหล่งเงินของดิจิทัลวอลเล็ตได้ซักกระทรวงการคลังหรือไม่ว่าทำไมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเกี่ยวกับแหล่งเงิน ทำไมถึงไม่เอาเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วกลับไปใช้งบฯปี 67-68? นายกฯ กล่าวว่า “เดี๋ยวจะมีการชี้แจง ซึ่งตนได้เรียนไปแล้ว”

เมื่อถามอีกว่าอยากให้นายกฯ พูดในฐานะที่เป็นผู้นำ? นายกฯ นิ่งสักครู่พร้อมหันหน้าไปอีกทาง ก่อนกล่าวว่า “เรียนไปแล้ว แจ้งไปเรียบร้อยแล้วครับ” 

เมื่อถามความคืบหน้าซุปเปอร์แอป เป็นอย่างไรบ้าง? นายกฯ กล่าวว่า “เดี๋ยว รมช.คลังจะเป็นคนชี้แจง 

เมื่อถามอีกว่าสามารถที่จะเปิดใช้ทันไตรมาส 4 หรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ” และทำท่าเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สรุปแล้วแหล่งที่มาของเงินได้ข้อสรุปเรียบร้อยใช่หรือไม่? นายกฯ ไม่ตอบ พร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”

ล่าสุดนายเศรษฐา ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ดิจิทัลวอลเล็ตพร้อม เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค. นี้ครับ การประชุมวันนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดลงทะเบียน และการดำเนินการในภาพรวมที่จะรองรับการใช้งานของประชาชนและร้านค้า โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมไปถึงการลงรายละเอียดเงื่อนไขของการรับสิทธิ์ และมาตรการป้องกันการทุจริต การเรียกเงินคืนให้ชัดเจนขึ้นครับ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต คือ โครงการใหญ่ของภาครัฐที่จะเติมเงินกระเป๋าพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อความละเอียดรอบคอบทั้งทางกฎหมาย และทางเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทำให้ใช้เวลาดำเนินการมากหน่อย แต่พี่น้องไม่ต้องคอยเก้อแน่นอนครับ” 

ขณะที่ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงรายละเอียดของผลการประชุมบอร์ดดิจิทัลวอลเล็ตว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งใหม่ โดยจะตัดแหล่งเงินจากมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และใช้เงินจากงบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 รวม 4.5 แสนล้านบาท เพื่อแจกให้กับ 45 ล้านคน

สำหรับสาเหตุของการปรับที่มาของแหล่งวงเงินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งนี้ นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า รัฐบาลได้ดำเนินการตามข้อห่วงใยของหน่วยงานต่างๆ ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งในอดีตการดำเนินโครงการของรัฐไม่มีโครงการใดที่มีคนลงทะเบียนร่วมโครงการเกิน 90% กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ จึงได้หารือร่วมกันและเห็นชอบกับการตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกัน โดยปรับลดลงมาจากเดิม 5 แสนล้าน เหลือ 4.5 แสนล้าน

“โครงสร้างกรอบแหล่งเงินโครงการครั้งใหม่ จะไม่มีเงินจากมาตรา 28 แต่จะใช้งบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 ซึ่งเพียงพอและสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบของงบประมาณ และถ้าคนลงทะเบียนน้อยกว่าหรือมากกว่า รัฐบาลจะใช้กลไกในการบริหารงบประมาณ เพื่อให้มีเงินทุกบาททุกสตางค์เพียงพอกับการใช้ในโครงการนี้ และรายละเอียดทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบในสัปดาห์หน้า” นายจุลพันธ์ ยืนยัน

ทั้งนี้ ในแหล่งเงินของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 รอบใหม่ วงเงิน 450,000 แสนล้านบาทนั้น มีที่มาจาก 2 แหล่ง คือ งบประมาณปี 2567 ทั้งการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 122,000 แสนล้านบาท และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 43,000 ล้านบาท โดยไม่ใช่แค่งบกลางอย่างเดียว ส่วนงบประมาณปี 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณางบประมาณ และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 132,300 ล้านบาท

ส่วนไทม์ไลน์โครงการนั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ไปพิจารณากรอบรายละเอียดวันเวลาของการเริ่มต้นโครงการ และวันเปิดลงทะเบียน ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นี้ อีกครั้ง เบื้องต้นกรอบของโครงการยังไม่เปลี่ยน คือ ลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 และ โอนเงินให้ประชาชนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567

'บีโอไอ' เผยผลสำเร็จไทยเยือนซาอุฯ ยอดเจรจาธุรกิจ 100 คู่ จ่อลงทุนไทย ขนเงินลุย 'แลนด์บริดจ์-เกษตร-อาหารแปรรูป-การแพทย์-พลังงานสะอาด'

(15 ก.ค.67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการจัดคณะหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทย นำโดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 13 – 15 กรกฎาคม 2567 พร้อมเป็นประธานเปิดสำนักงานบีโอไอ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย อย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 ว่า...

การจัดงานประชุมภาคธุรกิจ 'Thai – Saudi Investment Forumอ และการเจรจาจับคู่ธุรกิจ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดี ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจไทยและซาอุดีอาระเบีย รวมถึงนักธุรกิจจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 300 คน จากกว่า 200 บริษัท/หน่วยงาน และเกิดการเจรจาธุรกิจกว่า 100 คู่ 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือทางธุรกิจรวม 11 ฉบับ ในหลากหลายสาขา เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร, อาหาร, ชิ้นส่วนยานยนต์, วัสดุก่อสร้าง, การจัดอีเวนต์และเทศกาล, เกมและอีสปอร์ต, การผลิตน้ำหอม และธุรกิจที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

สำหรับบริษัทเอกชนของไทยที่เข้าร่วมกิจกรรม Investment Forum และการเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ (โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล้วยน้ำไท สมิติเวช และพระราม 9) อุตสาหกรรมพลังงาน (บริษัท ปตท. บ้านปู และกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (กลุ่มซีพี บริษัท เบทาโกร และสหฟาร์ม) อุตสาหกรรมบริการสนับสนุนการท่องเที่ยว (ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล) สถาบันการเงิน (ธนาคาร EXIM และธนาคารอิสลาม) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารจากหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมคณะด้วย 

โดยจากการเจรจาธุรกิจกว่า 100 คู่ พบว่า นักลงทุนซาอุดีฯ หลายรายให้ความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป สุขภาพและการแพทย์ พลังงานสะอาด ชิ้นส่วนยานยนต์ และธุรกิจบริการ 

คณะฯ ยังได้เข้าพบกับบริษัทชั้นนำของซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือแผนการลงทุนในประเทศไทยและการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น บริษัท Saudi Agricultural and Livestock Investment Company (SALIC) ผู้นำด้านการเกษตรและปศุสัตว์ ได้หารือแผนการลงทุนในไทยในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ การประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริษัท CEER Motors ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกองทุน Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีฯ Foxconn จากไต้หวัน และ BMW จากเยอรมนี โดยฝ่ายไทยได้เชิญชวนให้บริษัทพิจารณาการลงทุนในประเทศไทยและร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ รวมทั้งหารือถึงโอกาสที่ผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยจะไปลงทุนที่ซาอุดีอาระเบียเพื่อป้อนชิ้นส่วนยานยนต์ให้ตลาดตะวันออกกลางในอนาคต

นอกจากนี้ ในการประชุมทวิภาคีระหว่าง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ H.E. Mr. Khalid Abdulaziz Al-Falih รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนแห่งซาอุดีอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะผลักดันความร่วมมือไทย - ซาอุดีอาระเบียใน 4 ด้าน ได้แก่...

1) ความมั่นคงทางอาหารและเกษตร 2) ความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงพลังงานสะอาด 3) ความมั่นคงทางมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และ 4) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิตของโลก (Global Supply Chain) 

ทั้งนี้ ทางรัฐบาลไทยและซาอุดีอาระเบียต่างเห็นพ้องที่จะช่วยอำนวยความสะดวกเพื่อให้ภาคเอกชนเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านธุรกิจและการลงทุน โดยซาอุดีอาระเบียนับเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในขณะที่ไทยเป็นประตูสู่ทวีปเอเชีย มีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์สามารถเชื่อมโยงตะวันออกกลางให้เข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในอาเซียน เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกที่มีประชากรรวมกว่า 4,000 ล้านคน โดยอาศัยจุดแข็งของทั้งสองประเทศ 

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยและซาอุดีอาระเบียอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (Bilateral Investment Treaty: BIT) เพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ด้านการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ไทยและซาอุดีอาระเบียยังมีกำหนดจัดการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 โดยการประชุมดังกล่าวจะเป็นเวทีหารือในประเด็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างกันในทุกมิติต่อไป

ความสำเร็จในการเยือนซาอุดีฯ ครั้งนี้ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสองประเทศ รวมถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจในการเร่งผลักดันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และถือเป็นโอกาสของไทยในการเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนส่งเสริมการลงทุนครั้งสำคัญของซาอุดีฯ เพื่อสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน รวมถึงการพัฒนาสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตามวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย 2030 (Saudi Vision 2030) ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของรัฐบาลไทย

การเปิดสำนักงานบีโอไอ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสำนักงานในต่างประเทศแห่งที่ 17 ของ  บีโอไอ และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคตะวันออกกลาง จะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น คูเวต กาตาร์ บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตุรกี ซึ่งซาอุดีฯ ให้ความสนใจในการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนและเป็นฮับแห่งใหม่ของซาอุดีฯ ในภูมิภาคนี้ โดยบีโอไอพร้อมใช้เครื่องมือสิทธิประโยชน์และบริการด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาตั้งฐานการผลิต การจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค หรือการร่วมกับธุรกิจไทย

‘รัฐบาล’ ตัดสิทธิ ‘ร้านค้า-ประชาชน’ อดรับเงินดิจิทัล หากเคยโกงโครงการรัฐมาก่อน หวั่นกระทำความผิดซ้ำ 

(15 ก.ค.67) ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยมติที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หรือ บอร์ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต วันนี้ ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการกำหนดเงื่อนไข และรายละเอียดของร้านค้า รวมถึงสินค้าที่จะเข้าร่วมในโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ยังมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ได้ให้กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาความยืดหยุ่นของการจัดทำรายการข้อห้าม/ข้อจำกัด (Negative List) ของสินค้าที่จะเข้าร่วมในโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความจำเป็น

รวมทั้งยังกำหนดเงื่อนไขของผู้เข้าร่วมในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งร้านค้า และประชาชน หากเป็นผู้ที่เคยกระทำความผิดในโครงการรัฐโครงการใดโครงการหนึ่งมาก่อน หรือถูกฟ้องร้องเรียกเงินคืนจะถูกตัดออกจากโครงการทันที เพราะถ้าให้สิทธิไปก็มีความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดซ้ำได้

“การกำหนด Negative List ของสินค้า กระทรวงพาณิชย์ต้องมาคุยในคณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ก่อน โดยให้นำเสนอเข้ามา เพราะวันนี้มีบางหน่วยงานนำเสนอรายการเข้ามา เช่น การห้ามสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาวุธและยุทโธปกรณ์ ที่ผ่านมาไม่ได้คิด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะนำมาไว้ในรายการ โดยให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณา” นายจุลพันธ์ ระบุ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในรายละเอียดทั้งหมดนั้น จะมีการนำเสนอให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า จากนั้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายกรัฐมนตรี จะแถลงรายละเอียดที่ชัดเจนของโครงการต่อไป

‘คลัง’ ผุด!! ‘แผนฟื้นตลาดอสังหาฯ’ เล็งขยายระยะเวลากู้ถึงอายุ 85 ปี  ดึงต่างชาติลงทุนระยะเช่า 99 ปี ร่วมกับกฎหมาย ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’

(15 ก.ค.67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานสัมมนา ‘พัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน’ ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) ถึงสถานการณ์ท้าทายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ไทยกำลังเผชิญขณะนี้ พร้อมนำเสนอแผนฟื้นฟูแบบรอบด้าน มุ่งแก้ปัญหาทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทาย โดย GDP ลดลงจาก 6% เมื่อ 20 ปีก่อน เหลือเพียง 1.9% ในปี 2566 และคาดการณ์ว่าในปีนี้จะอยู่ที่ 2.5% ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศและเชื่อมโยงไว้กับหลายภาคส่วน เช่น การก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และการออกแบบ ซึ่งใช้เงินลงทุนมาก

อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยังมองเห็นศักยภาพในการพัฒนาของประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญสองประการ ได้แก่ พื้นที่กว่า 300 ล้านไร่ที่ยังสามารถพัฒนาได้ในอนาคต และทำเลที่ตั้งของประเทศที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ซึ่งหากได้รับการจัดการที่ดี จะสามารถสร้างโอกาสในการพัฒนาด้านต่างๆ ได้

ทว่า ปัจจุบัน ภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยฝั่งผู้บริโภคพบปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง สะท้อนจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศที่มีมูลค่าสูงถึง 4.95 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หรือ Special Mention (SM) ที่ค้างชำระ 1-3 เดือนอยู่ที่ 5% และมีหนี้เสีย หรือ NPL 3.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนที่มี NPL เพียง 2.3% และ SM อยู่ที่ 1.5%

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็กำลังเผชิญปัญหายอดขายที่ลดลง 20-30% ต่อเดือน และสต๊อกคงเหลือกว่า 200,000 หน่วยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินธุรกิจ

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยฝั่งผู้บริโภค ได้ผลักดันให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขยายระยะเวลาการกู้ถึงอายุ 80-85 ปี เพื่อลดภาระการผ่อนชำระรายเดือน โดยหวังเป็นต้นแบบให้ธนาคารพาณิชย์เป็นแนวทางในการปล่อยสินเชื่อ

อีกทั้งจะมีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาผ่อนปรนมาตรการ LTV (Loan-to-Value) โดยมองว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีความแข็งแกร่งทางการเงิน และมีการตั้งสำรองหนี้เป็นศูนย์ ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ ในส่วนของการกระตุ้นตลาดและช่วยเหลือผู้ประกอบการ รัฐบาลมีแผนดึงชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยพิจารณาขยายระยะเวลาเช่าเป็น 99 ปี ร่วมกับการใช้กฎหมาย ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’ ให้สิทธิใช้ที่ดินแก่ชาวต่างชาติ โดยคนไทยยังคงมีกรรมสิทธิ์ ภายใต้เงื่อนไขการกำหนดราคาและโซน การเพิ่มภาษีค่าโอน และข้อห้ามในการทำเกษตรกรรม ทั้งนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาการจดทะเบียนของชาวต่างชาติในการซื้ออสังหา ริมทรัพย์ที่อยู่ใต้ดิน ให้ขึ้นมาบนดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน

'กสทช.' เผย!! ผลยืนยันตัวตนซิมมือถือ พบมีผู้ที่ถือครองซิมสูงสุดหลักหมื่นเบอร์ ส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายย่อยและผู้จำหน่ายปลายทางที่จะนำซิมไปขายต่อ

(15 ก.ค. 67) พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานอนุกรรมการบูรณาการแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีโทรคมนาคมและความมั่นคงของรัฐ พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้อง ประชุมติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ โดยมี 4 เรื่องหลัก 

ประเด็นแรก การดำเนินการตามประกาศ กสทช. เรื่อง การยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มผู้ถือครองซิมการ์ด 6-100 เลขหมาย ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 67 พบว่า มีผู้ที่ลงทะเบียนยืนยันตัวตนทั้งหมด

ข้อมูลล่าสุดสำหรับ ผู้ที่ถือครองซิม 6-100 เลขหมาย มีผู้มาลงทะเบียน 1,839,934 เลขหมาย โดยจะเริ่มทยอยระงับการใช้งานในกลุ่มนี้อีกจำนวน 2,141,317 เลขหมาย คือ ระงับการโทรออก / การส่งข้อความ และการใช้อินเทอร์เน็ต แต่ยังคงรับสายโทรเข้าได้อีกระยะหนึ่งก่อนถูกเพิกถอน คาดว่า 2-3 สัปดาห์หลังการระงับจะมีผู้ใช้บริการจำนวนมากมายืนยันเพิ่มเติม

ส่วนกลุ่มผู้ที่ถือครองซิมตั้งแต่ 101 หมายเลขขึ้นไป มีผู้มาลงทะเบียน 3,982,283 เลขหมาย โดยถูกระงับการใช้งานไป จำนวน 1,096,000 เลขหมาย ดังนั้น ซิมที่เปิดใช้โดยไม่มีการลงทะเบียน หรือ ลงทะเบียนด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน และคาดว่าอยู่ในความครอบครองของแก็งคอลเซ็นเตอร์ก็จะถูกกำจัดออกไป

“ผลการดำเนินการพบว่า มีผู้ที่ถือครองซิมสูงสุดอยู่ที่หลัก 10,000 เลขหมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายย่อยและผู้จำหน่ายปลายทางซึ่งจะนำซิมไปจำหน่ายต่อ” พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร กล่าว

ประเด็นที่สอง การตรวจสอบข้อมูลการลงทะเบียนซิมการ์ด Mobile Banking กับบัญชีธนาคารว่าเป็นของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ ขณะนี้ กสทช. ได้รับข้อมูลจากธนาคารทั้ง 21 แห่งผ่านทาง ปปง. แล้ว จำนวน 113,568,836 บัญชี คิดเป็น 79 ล้านเลขหมาย ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบแยกเครือข่าย

ก่อนส่งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละราย ตรวจเปรียบเทียบ ว่าเจ้าของซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ กับเจ้าของบัญชีธนาคารนั้น ๆ เป็นของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ จากนั้น กสทช. จะรวบรวมส่งกลับให้ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งผ่านทางระบบของ ปปง. เพื่อดำเนินการต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในกำหนด

ประเด็นที่สาม มาตรการกำจัด เสา สาย กระจายสัญญาณโทรคมนาคมเถื่อน กสทช. ร่วมกับ สตช. กวาดล้างจับกุมผู้ลักลอบติดตั้งเสาส่งสัญญาณเถื่อน ตามแนวชายแดน เอื้อกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย 29 ราย และตรวจสอบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่และเสาสัญญาณของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ตรวจสอบทิศทางการกระจายสัญญาณบริเวณชายแดน ออกมาตรการตรวจสอบเข้มข้น

โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย ผลการดำเนินการในพื้นที่ 5 จังหวัด 7 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สอด จ.ตาก, อ.แม่สาย อ.เชียงของ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว, อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี และ อ.เมือง จ.ระนอง มีสถานีวิทยุคมนาคมที่ให้บริการโทรคมนาคมเข้าข่ายและมีการดำเนินการแล้ว ดังนี้ ระงับสัญญาณ 465 จุด, ปรับทิศทางสายอากาศ 470 จุด และรื้อถอนสายอากาศ จำนวน 179 จุด นอกจากนี้ กสทช. ได้มีหนังสือแจ้งเพิ่มเติมพื้นที่บริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยงใน อ.แม่ระมาด อ.พบพระ จ.ตาก อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ และ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์

ประเด็นสุดท้าย แถลงผลตรวจค้นจับกุมอุปกรณ์โทรคมนาคมเถื่อนที่ไม่ได้อนุญาตจาก กสทช. จับกุมผู้ต้องหา และยึดของกลางได้เป็นจำนวนมากในพื้นที่เขตสวนหลวง และเขตวัฒนา เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยตรวจยึดของกลางได้ 18 ประเภทรายการ มากกว่า 6,000 ชิ้น รวมมูลค่าของกลางมากกว่า 12 ล้านบาท เป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคม ในข้อหา มี ใช้ นำเข้า และค้า 

ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหา พร้อมด้วยตรวจยึดของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ มาตรการกำจัดซิมผีบัญชีม้า โค่นเสาสัญญาณเถื่อน และตรวจค้นจับกุมอุปกรณ์โทรคมนาคมผิดกฎหมายดังกล่าว เป็นการทำลายปัจจัยสำคัญ ในการก่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างเป็นรูปธรรม จะเห็นได้จากการไหลทะลักเข้ามาของอุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียม Starlink ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง คาดว่าคนร้ายเริ่มปรับตัว

‘Alphabet’ เจรจาซื้อกิจการ ‘Wiz’ สตาร์ตอัปด้านความปลอดภัยไซเบอร์ หลังทุ่ม 8.3 แสนล้านบาท นับเป็นดีลใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา

(15 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

Alphabet บริษัทแม่ของ Google กำลังเจรจาซื้อกิจการ Wiz บริษัทสตาร์ตอัปด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยมูลค่าสูงสุดถึง 8.3 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นดีลซื้อที่ใหญ่ที่สุดของ Alphabet นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเปิดเผยว่า Alphabet บริษัทแม่ของ Google ใกล้ปิดดีลเจรจาซื้อกิจการ Wiz สตาร์ตอัปด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 8.3 แสนล้านบาท โดยแผนซื้อกิจการน่าจะประกาศเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ หากดีลไม่เกิดปัญหาขึ้นมาก่อน
ดีลนี้สำคัญเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ Joe Biden ประธานาธิบดีกำลังตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาชิงส่วนแบ่งที่เกินไปจากการเข้าซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม Alphabet ยังคงเดินหน้าตามแผนไปอย่างไม่ลดละ

Wiz เริ่มต้นในอิสราเอลและปัจจุบันตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก เป็นบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ให้บริการความปลอดภัยบน Cloud โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ในปี 2023 ทั้งนี้บริษัทมีผู้ลงทุนรายสำคัญได้แก่ Sequoia Capital, Andreessen Horowitz และ Index Ventures Wiz อีกทั้งยังร่วมมือกับผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ เช่น Microsoft และ Amazon อีกด้วย

โดยปีล่าสุดสามารถทำรายได้ประมาณ 12,666 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบัน Wiz มีพนักงาน 900 คนในสหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย และอิสราเอล และมีแผนที่จะจ้างพนักงานเพิ่มอีก 400 คนในปี 2024
อย่างไรก็ตามหากดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นดีลซื้อกิจการมูลค่ามากที่สุดที่ Google เคยซื้อ โดยดีลใหญ่สุดก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปตั้งแต่การซื้อ Motorola Mobility เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 4.5 แสนล้านบาท

แฉประวัติ!! มือปืนวัย 20 ปี ลอบยิง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เฉียดตาย เป็นเด็กเรียนดี เคยสมัครเข้าทีมไรเฟิล แต่ไม่ผ่าน เพราะยิงไม่แม่น

(15 ก.ค.67) สำนักข่าวเอพีและบีบีซีรายงานว่า มีการเปิดเผยประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับนายโทมัส แมทธิว ครุกส์ วัย 20 ปี มือปืนผู้ก่อเหตุลอบสังหารนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จนได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา และครุกส์ถูกตำรวจวิสามัญ พบว่ามือก่อเหตุเป็นเด็กเรียนเก่งแต่ถูกบูลลี่ในขณะที่เรียนมัธยมศึกษา

นายโทมัส แมทธิว ครุกส์ เป็นชาวเมืองเบเธล พาร์ค รัฐเพนซิลเวเนีย ห่างจากจุดเกิดเหตุลอบสังหารเพียง 70 กิโลเมตร และจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาเบเธล พาร์ค ในปี 2022 และเคยได้รับรางวัลในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นเงินรางวัล 500 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเคยทำงานในห้องครัวของบ้านพักคนชราที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา

ด้าน นายเฟรเดริก มัค กัปตันของทีมไรเฟิลของโรงเรียนที่อายุน้อยกว่าครุกส์ไม่กี่ปีเล่าว่า ครุกส์เคยไปสมัครคัดตัวเข้าทีมไรเฟิล แต่ไม่ผ่านการคัดเลือกเพราะยิงไม่แม่น อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจริง ๆ แล้วครุกส์มีนิสัยเป็นอย่างไร

ด้าน นายเจสัน โคห์เลอร์ ที่ศึกษาในโรงเรียนมัธยมเดียวกับของครุกส์แต่ไม่ได้เรียนด้วยกันเล่าว่า ครุกส์ถูกบูลลี่ในโรงเรียนและนั่งกินข้าวเที่ยงคนเดียว ส่วนเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันคนอื่น ๆ ก็เล่าเช่นกันว่า ครุกส์เป็นคนสันโดษและบางครั้งก็สวมชุดล่าสัตว์มาเรียน แต่ทาง ซัมเมอร์ บาร์คลีย์ อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนเล่าว่า ครุกส์เป็นเด็กเรียนเก่งได้คะแนนดีในการสอบเป็นประจำ มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์มาก และเป็นคนดี รวมถึงเป็นที่รักของครูในโรงเรียน

ด้าน เจมสัน เมเยอร์ อดีตสมาชิกทีมไรเฟิลของโรงเรียนเล่าว่า ครุกส์ดูเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในโรงเรียนแต่ไม่เคยโดนเพื่อนแกล้งอะไร ครุกส์เป็นเด็กดีที่ไม่เคยพูดให้ร้ายใครและเขาไม่คิดว่าครุกส์จะเป็นคนก่อเหตุลอบสังหารได้

สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) ระบุว่า ครุกส์มีอุปกรณ์ผลิตวัตถุระเบิดอยู่ในรถยนต์ที่เขาขับไปก่อเหตุ และเชื่อว่าครุกส์ลงมือก่อเหตุดังกล่าวเพียงคนเดียว

นอกจากนี้ สื่อสหรัฐรายงานอีกว่า ครุกส์ลงทะเบียนว่าเป็นรีพับลิกัน แต่ในปี 2021 ครุกส์เคยบริจาคเงิน 15 ดอลลาร์สหรัฐให้แก่ ActBlue หน่วยงานดำเนินการทางการเมือง ที่คอยระดมเงินให้แก่นักการเมืองฝ่ายซ้ายและพรรคเดโมแครต ซึ่งเงินบริจาคดังกล่าวจะถูกส่งไปให้แก่กลุ่ม Progressive Turnout Project ที่คอยหาเสียงให้แก่พรรคเดโมแครต รวมถึงเป็นสมาชิกของ Clairton Sportsmen’s Club ชมรมยิงปืนแถวบ้านมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเชื่อว่าปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ AR-15 ที่ใช้ก่อเหตุลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์เป็นปืนของพ่อครุกส์ที่ซื้อมาอย่างน้อย 6 เดือนก่อน ครุกส์ใส่เสื้อยืดของ Demolition Ranch ในการก่อเหตุลอบสังหาร โดยช่องยูทูบดังกล่าวผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน และมีผู้ติดตาม 11.6 ล้านคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top