Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

'ครูมานิตย์' ลั่น!! 'ปานปรีย์' ไม่ใช่คีย์แมนเพื่อไทย ลาออกไปไม่กระทบ ซัด!! ไม่มีคุณสมบัติเป็นนักการเมือง ที่เป็นรมต.ได้ ก็เพราะผู้แทนฯ

(30 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังถูกปรับพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย หรือไม่? ว่า... 

"ไม่กระทบ นายปานปรีย์ อาจจะเก่งเรื่องวิชาการ แต่ไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักการเมือง ความอดทนอดกลั้นไม่มี บางฤดูเข้าไปอยู่ในพรรคก็หายไป ตอนที่มีพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไปเดินอยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ พอจะมีการจัดตั้งทีมให้ออกไปช่วยงานการเมือง ก็หายไปอีก ตนมองว่านายเศรษฐา ให้เกียรติมาก ที่ให้เป็น รมว.ต่างประเทศและเป็นรองนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยแล้วให้รับหน้าที่อยู่ที่กระทรวงเดียว เพราะอยากให้คนอื่นมาทำบ้าง หลายเรื่องต้องมีความผูกพันกับพื้นที่ ซึ่งนายปานปรีย์ ไม่เคยรู้จักพื้นที่อยู่แล้ว และการที่ได้มารับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เวลาไปเมืองนอกก็เทียบเท่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย ส่วนการส่งหนังสือลาออกให้สื่อมวลชนก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรี มองว่าไม่แฟร์ทางการเมือง และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนแบบนี้ขาดน้ำอดน้ำทน อยู่กับการเมืองลำบากอยู่ไม่ได้ และในที่สุดก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมา"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตนายปานปรีย์ จะยังทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เขาเกิดมาไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักบริหาร ซีอีโอ เป็นได้ แต่ทางการเมืองนอกจากเป็นนักบริหารแล้ว ต้องมีความเป็นนักการเมืองด้วย เพราะเป็นงานที่หนัก ต้องมีการบริหารพื้นที่บริหาร สส. บริหารราชการแผ่นดิน เรื่องทุกข์สุขปากท้องชาวบ้านมีเยอะ และเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะนายปานปรีย์ ไม่ใช่คีย์แมนคนสำคัญของพรรค คนที่เก่งสามารถบริหารกระทรวงการต่างประเทศได้มีอีกเยอะ"

เมื่อถามว่าพูดแบบนี้เป็นการตัดบัวไม่ให้เหลือใย หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ไม่ได้บอกว่าตัดบัวไม่เหลือใจ ตนอยู่การเมืองมานานแทบจะไม่มีโอกาสคุยกับนายปานปรีย์ ทั้งที่คนที่เป็นผู้บริหารต้องมีความผูกพันกับนักการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ที่วันนี้มีนักการเมืองมาหาจำนวนมาก ดังนั้นที่สื่อมาถามว่านายปานปรีย์ ลาออกจะกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ นายปานปรีย์ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย หลายคนบอกว่าเสียดายนายปานปรีย์ แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยเสียดายหรือไม่ตนไม่รู้ แต่ส่วนตัวตนไม่เสียดาย และคิดว่าผู้แทนคนอื่นคิดเหมือนตน"

"อย่าลืมว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะพวกผมมาจากผู้แทน จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ การไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นเสนาบดี แต่ไม่มาสัมผัสกับผู้แทนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ และ การที่ปรับตำแหน่งนายปานปรีย์ นายกฯพิจารณา หลายมิติแล้ว" ครูมานิตย์ ทิ้งท้าย

'ธนาธร' ไม่สนเสียงเตือน กกต. เดินหน้าจูงใจเลือกสว. ด้าน กกต.ฮึ่ม!! พบฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมาย ฟันทันที

(30 เม.ย.67) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"วันอาทิตย์และจันทร์นี้ผมอยู่อีสาน แต่วันอังคารกลับมาเจอพี่น้องประชาชนที่มหาชัย ล้อมวงคุยเรื่อง #สวประชาชน กันครับ

"พบกันช่วงเย็น แดดร่มลมตก ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ที่ลานริมเขื่อน หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สมุทรสาคร"

ทั้งนี้ กกต.ได้เตือนว่า ตามที่มีกลุ่มบุคคลและตัวแทนองค์กรจัดแคมเปญ ให้มีการจูงใจ / ชี้ชวน รวบรวมบุคคลจากหลากหลายอาชีพ รวม 20 กลุ่ม ให้เป็นผู้เสนอตัวสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับประเทศ ที่ปรากฏในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ นั้น

ปรากฏว่า มีบุคคลที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาเป็นจำนวนมาก กรอกข้อมูลส่วนตัว จุดยืน วิสัยทัศน์ และข้อมูลอื่น ๆ ลงในเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ผู้จัดแคมเปญทำการรวบรวมรายชื่อผู้สมัคร เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของตนเอง อันเป็นการจัดตั้งบุคคลให้มาเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น

การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมาย จึงขอแจ้งให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา อย่าได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งจุดยืนของตนเองให้เผยแพร่และปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ใด ๆ

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อมูล และพยานหลักฐานตามที่ปรากฏในเว็บไซต์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือมีผู้ร้องเรียนว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย สำนักงาน ฯ จะดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายในทันที จึงขอให้ยกเลิกและยุติการกระทำดังกล่าว 

‘หนุ่มอพยพจากลาว’ ในสหรัฐฯ ถูกหวยพาวเวอร์บอล 48,000 ลบ. ตั้งใจ!! จะนำไปเลี้ยงดูครอบครัว - รักษาตัวหลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง

(30 เม.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โฆษกสำนักงานสลาก ‘โอเรกอน ลอตเตอรี่’ เปิดเผยว่า หนึ่งในผู้โชคดีถูกรางวัลใหญ่แจ็กพอต ‘พาวเวอร์บอล’ งวดเดือนที่แล้ว ที่มีเงินรางวัลสมทบสูงถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 48,165 ล้านบาท เป็นชายวัย 46 ปี ผู้อพยพจากประเทศลาว ชื่อว่านายเชง หรือ ชาร์ลี แสพาน จากเมืองพอร์ตแลนด์ ซึ่งเขาเป็นผู้ป่วยมะเร็งมา 8 ปีแล้ว และได้รับการรักษาด้วยคีโมบำบัดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

โดยนายเชง กล่าวว่า หลังหักภาษีแล้วเขาจะได้รับเงินสดจำนวน 422 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.56 หมื่นล้านบาท โดยเขาและนางเดือนเพ็น ภรรยา จะแบ่งรางวัลเท่า ๆ กันให้กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่หุ้นกันซื้อลอตเตอรี่ฉบับนี้ ที่มีมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ เขากล่าวว่าเงินก้อนนี้จะทำให้เขาสามารถเลี้ยงดูครอบครัวและรักษาตัวเองได้ โดยเขาจะหาหมอที่ดีสำหรับตัวเอง แต่ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง เขาสงสัยว่า จะมีเวลาใช้เงินทั้งหมดนี้ได้อย่างไร และเขาจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน

ผนึกกำลัง 'ไทย-ยูนนาน' หนุนด่านท่าเรือกวนเหล่ย เพิ่มมูลค่าการค้า อำนวยความสะดวก 'รถ-ราง-เรือ' ส่ง 'ผลไม้-โค' ไทยเข้าจีน

(30 เม.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับนายหวัง หยู่โป (H.E.Mr.Wang Yubo) รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลยูนนาน ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำรัฐบาลมณฑลยูนนาน ที่ Haigeng Garden ห้องประชุม 1 เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงเย็นวานนี้ (29 เม.ย. 67)

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนมาครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์การค้าระหว่างกันในระดับมณฑลให้รวดเร็วและเข้าถึงปัญหาได้อย่างเต็มที่ รัฐบาลฯ มุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือทางการค้ากับมณฑลยูนนาน ผ่าน เส้นที่ 1 หนองคายต่อรถไฟเวียงจันทน์สู่มณฑลยูนนาน และเส้นที่ 2 จังหวัดเชียงราย (เชียงของ - บ่อเต็น - โม่ฮาน) ผ่านถนน R3A สู่ด่านบ่อเต็นเข้าด่านโม่ฮาน และอีกเส้นทางที่มาเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางการเดินเรือผ่านท่าเรือเชียงแสนมาท่าเรือกวนเหล่ย ซึ่งจะเป็นเส้นทางการค้าใหม่ ที่ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร อยากเปิดเส้นทางนี้ให้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถเชื่อมโยงการค้าจากเชียงรายสู่คุนหมิงได้โดยตรง ซึ่งฝ่ายจีนรับจะร่วมมือกำกับดูแลให้สะดวกทั้ง 3 เส้นทาง

นอกจากนั้นนายภูมิธรรมได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีน ที่ช่วยแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าอย่างเต็มที่ ทั้งการขยายเวลาเปิด-ปิดด่าน แก้ปัญหาความแออัดรถบรรทุกที่ขนส่งผลไม้ ซึ่งผลผลิตกำลังจะออกมาก บางครั้งต้องใช้เวลาถึง 5 วัน สำหรับรอตู้ผ่านเข้าจีนแล้วกลับออกมาบ่อเต็นให้เหลือเพียง 3 วัน และทางจีนกำลังปรับปรุงขยายถนนจากเดิม 2 ช่อง เป็น 12 ช่อง ที่จะแล้วเสร็จในอีก 2 ปี จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ไทยสามารถส่งสินค้าที่สดคุณภาพดีให้กับจีน และลดต้นทุนสินค้าลง และทางด่านบ่อเต็น (สปป.ลาว) ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ ความร่วมมือ 3 ประเทศทั้ง ไทย สปป.ลาว และจีน จะเป็นประโยชน์ต่อการค้าร่วมกัน และขอให้ทางการจีนสนับสนุนเรื่องการนำเข้าโคมีชีวิตและโคแช่แข็งจากไทยให้มาที่จีน รวมไปถึงผลไม้ตามฤดูกาลอื่น โดยยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบของจีน ซึ่งทางผู้ว่าการฯ ตอบรับที่จะไปช่วยผลักดันต่อไป

“ขอขอบคุณทางการจีน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตนจะกลับไปรายงานท่านนายกฯ ถึงการต้อนรับและความเอาใจใส่ในการแก้ปัญหาร่วมกัน หวังว่าเราจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนี้ตลอดไป” นายภูมิธรรม กล่าว

ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า มณฑลยูนนาน มีพรมแดนติดกับเมียนมา, เวียดนาม และลาว เป็นมณฑลของจีนที่อยู่ใกล้กับไทยมากที่สุด มีความโดดเด่นด้านการค้าชายแดน โดยใช้เส้นทางถนน R3A (คุนหมิง-สปป.ลาว-กรุงเทพฯ) ซึ่งมีความสำคัญในการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีน ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกผลไม้สดไปจีนทางบกได้ 6 ด่าน คือ ด่านนครพนม, ด่านมุกดาหาร, ด่านเชียงของ, ด่านหนองคาย, ด่านบ้านผักกาด (จันทบุรี) และด่านบึงกาฬ ซึ่งการส่งออกผลไม้สู่มณฑลยูนนานจะขนส่งผ่าน 2 ด่านหลัก คือ ด่านเชียงของ (จ.เชียงราย) ตามเส้นทาง R3A เข้าสู่จีนที่ด่านโม่ฮาน และด่านหนองคาย ขึ้นรถไฟลาว-จีน เข้าสู่จีนที่ด่านรถไฟโม่ฮาน โดยในปี 2566 ไทยมีการส่งออกสินค้าผลไม้และลูกนัทที่บริโภคได้ (HS 08) ไปมณฑลยูนนานผ่านเส้นทางทั้งสอง มูลค่ารวม 1,680 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนร้อยละ 50 ของการส่งออกสินค้าดังกล่าวทางบก และมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 27 ของการส่งออกสินค้าผลไม้และลูกนัทฯ ไปจีนทั้งหมด

‘เกาะล้าน’ อ่วม!! เข้าสู่สภาวะ ‘ขาดแคลนน้ำ’ พีก!! ปชช.เคยซื้อน้ำใช้แพงสุดคันละ 1 พันบาท

(30 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ชลบุรี ว่า จากสถานการณ์ช่วงหน้าแล้งปีนี้ เกิดปัญหาน้ำขาดแคลนขยายไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเกาะล้าน เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยปัญหาหลัก ๆ คือ น้ำเริ่มขาดแคลน ส่งผลให้น้ำอุปโภคบริโภคมีราคาค่อนข้างสูงขึ้น ประชาชนบนเกาะล้าน ต้องซื้อน้ำในราคาที่แพงขึ้น

ด้าน นายกาญจนพ สุขขี ชาวบ้านเกาะล้าน กล่าวว่า ช่วงนี้เข้าสู่หน้าแล้ง ทำให้เกาะล้านเข้าสู่สภาวะขาดแคลนน้ำ ซึ่งปกติน้ำประปาบนเกาะล้านที่ผลิตอยู่นั้นไม่เพียงพอต่อการใช้บริโภค ส่วนราคาน้ำขายในช่วงปกติอยู่ที่ 1 ตัน ราคา 150 บาท รถขนน้ำจะบรรจุได้รอบละ 2 ตัน คิดเป็นเงิน 300 บาท หากอยู่ในช่วงที่ต้องการน้ำมาก ราคาน้ำจะพุ่งขึ้นเป็นรอบละ 350-400 บาท แต่ถ้าช่วงแล้งจริง ๆ ราคาน้ำเคยพุ่งสูงเป็นรอบละ 1,000-1,200 บาท

ขณะที่โครงการผลิตน้ำที่เกาะล้าน มีกำลังผลิตไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชน ส่งผลให้บนเกาะล้านขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และทำให้ราคาน้ำแพงขึ้น ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเพิ่มการผลิตน้ำและขยายเขตการปล่อยน้ำประปาบนเกาะล้าน เพื่อให้เพียงพอกับประชาชนบนเกาะล้านด้วย

'จนท.อุทยานฯ น้ำหนาว' หวิดดับคาป่า หลังดับไฟป่าจนฮีตสโตรก เพื่อนร่วมทีมช่วยหามลงเขาส่ง รพ. ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว

(30 เม.ย. 67) นายสมเกียรติ กาติ๊บ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานดับไฟป่าว่ามีเจ้าหน้าที่เป็นลมหมดสติขณะเข้าดับไฟป่า ชื่อนายสุริยนต์ คันศรี พนักงานราชการ ตำแหน่งคนงาน อายุ 53 ปี ที่เข้าป่าเพื่อตรวจสอบพื้นที่จุดความร้อน (Hotspot) และดับไฟป่าบริเวณห้วยทับโคก ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2567 ร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าน้ำหนาว กำลังพลจำนวน 20 นาย

ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2567 คณะเจ้าหน้าที่ออกเดินทางต่อจนถึงพื้นที่เป้าหมายบริเวณห้วยทับโคกในเวลา 14.00 น.และเข้าทำการดับไฟป่าท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด ประกอบกับมีกลุ่มควันจำนวนมาก ทำให้นายสุริยนต์ คันศรี เกิดมีอาการหน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน และเป็นลมหมดสติ (อาการฮีตสโตรก) เพื่อนร่วมทีมจึงได้นำตัวออกจากพื้นที่ไฟไหม้เพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

หลังจากผู้ป่วยได้สติจึงได้แบ่งกำลังพลนำตัวออกจากพื้นที่เพื่อหาจุดที่มีสัญญาณวิทยุสื่อสารติดต่อขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยสภาพพื้นที่เป็นภูเขามีความลาดชัน ทำให้การเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เกิดความล่าช้า คณะเจ้าหน้าที่จึงได้พักแรมบริเวณลำห้วยหนองข้าวหลาม

จนเช้าวันที่ 29 เมษายน 2567 คณะเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยจนมาถึงบริเวณลานนกแต้ ผู้ป่วยมีอาการทรุดลง ร่างกายอ่อนเพลียมาก ซึ่งจุดดังกล่าวมีสัญญาณมือถือ จึงได้ประสานหัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวส่งรถกู้ชีพกู้ภัยประจำอุทยานฯ มารอรับตัวผู้ป่วย ณ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ นน.01 (ถ้ำห้วยประหลาด)

หัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวได้ประสานประชาชนประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่านำรถจักรยานยนต์เข้ารับตัวผู้ป่วยให้ออกจากพื้นที่โดยเร็ว พร้อมนำตัวผู้ป่วยมาส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจร่างกาย แพทย์ได้รักษาโดยการฉีดยา และเจาะเลือด และให้พักอยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อรอฟังผลเลือด

ล่าสุดเช้านี้ (30 เม.ย. 67) หัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวยืนยันว่าเจ้าหน้าที่อาการดีขึ้นตามลำดับ และอยู่ในความดูแลของแพทย์

ทำกันเยอะ!! หาคนจ่ายบิลค่าน้ำ-ไฟ-มือถือ แต่ให้เงินไม่เต็มจำนวน คนรับจ่ายบิลผ่านแอปฯ ช้อปออนไลน์ เพราะต้องการเงินสดไปหมุน

จากกระแสในโลกออนไลน์ที่หลายคนตั้งคำถามว่า ‘ทำไปทำไม’ และ ‘เพราะหตุใด’ หลังมีผู้นำโพสต์จากกลุ่ม ‘Shopee My SPayLater SEasyCash Thailand’ ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมาก โพสต์หาคนจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ แคปภาพไปตั้งคำถามในแพล็ตฟอร์ม X จนมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก 

โดยตัวอย่างของโพสต์จากกลุ่มดังกล่าว เช่น 

-หาคนจ่ายค่าไฟ 3631.12 ให้ 3200 ยอดตัดโอนทันที
-หาคนจ่ายบิลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2,651.43 บาทให้ 2,200 บาท
-บิลโทรศัพท์ยอด 2808.86 ให้ 2400 บาท ยอดตัดโอนทันที
-หาคนจ่ายค่าไฟให้ค่า 567฿ ให้ 470฿

อย่างไรก็ตาม การโพสต์หาคนจ่ายแทนเป็นการจ่ายเงินสดที่ให้แบบ ‘ไม่เต็มจำนวน’ เพื่อที่เจ้าของบิลจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลง ขณะที่ผู้จ่ายบิลแทนจะจ่ายให้ผ่านแอปพลิเคชันช้อปออนไลน์ที่มีแคมเปญ ‘ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง’ เพื่อนำเงินสดไปหมุนแทนก่อน 

หลังจากนั้นจะนำเงินที่ได้มาไปจ่ายทีหลัง ส่วนเงินที่หายไป 10% ก็เหมือนกับดอกเบี้ย เพื่อแลกเงินสดมาใช้ก่อน ซึ่งการทำงานคล้าย ๆ กับการใช้บัตรเครดิต

โดยหลายคนมองว่าเรื่องนี้สะท้อนว่า ตอนนี้ประชาชน ‘ขาดสภาพคล่อง’ ถึงขนาดที่ว่า คนส่วนมากยอมเสียดอกเบี้ย เพื่อนำเงินจากการจ่ายบิลต่าง ๆ ไปใช้จ่าย หรือหมุนเงินก่อน และก็มีหลาย ๆ คอมเมนต์ออกมาเตือนและไม่แนะนำให้ทำ เพราะนอกจากจะเสียดอกเบี้ยแล้ว ยังอาจจะเจอกับมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาด้วยก็ได้

‘หนุ่มตุรกี’ เกือบขิต!! จากการทำ ‘รากฟันเทียม’ หลังทันตแพทย์ใส่สกรูเจาะลึกเข้าไปถึง ‘กะโหลก’

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ โพสต์ข้อความ หลังมีหนุ่มตุรกีรายหนึ่ง เกือบเสียชีวิต จากการใส่รากฟันเทียม โดยระบุว่า…

นายรามาซาน ยิลมาซ วัย 40 ปี จากเมืองบูร์ซา มีอาการฟันโยก ปวดฟัน จึงไปรักษาที่คลินิกทันตกรรมเอกชน ในบูร์ซา

ซึ่งทันตแพทย์บอกว่าเขามีฟันโยกต้องถอนออก ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ใส่รากฟันเทียมเพื่อทดแทน

ในระหว่างการผ่าตัดทันตแพทย์พยายามใส่สกรูยึดวัสดุปลูกถ่ายฟันเทียม การเจาะทำให้เจาะเข้าไปถึงกระดูกขากรรไกรของ รามาซาน ยิลมาซ ซึ่งสกรูทะลุเข้าไปในกะโหลกของเขา เขาจึงตะโกนด้วยความเจ็บปวด

ทันตแพทย์ได้พาเขาไปส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ และทิ้งเขาไว้ที่โรงพยาบาล ทันตแพทย์หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ

แพทย์ทำการ CT Scan และนำเขาเข้ารับการผ่าตัดทันที การผ่าตัดใช้เวลานานหลายชั่วโมง แต่ศัลยแพทย์ก็สามารถเอาสกรูออกจากสมองของเขาออกได้ โดยเขาออกจากโรงพยาบาลในหลายวันต่อมา และปัจจุบันเริ่มดีขึ้น 

>> เขาติดต่อทันตแพทย์ต้นเรื่อง และถูกปฏิเสธการคืนเงิน เขากำลังดำเนินการทางกฎหมายกับคลินิกดังกล่าว
>> จากข้อมูล ตอนเขาเลือกคลินิกนี้เพราะแพทย์อ้างว่ามีประสบการณ์ 24 ปี และเชี่ยวชาญเฉพาะ
>> ยิลมาซ เล่าว่า ขณะที่ทันตแพทย์ใส่สกรู เขาได้ยินเสียงกระดูกแตก เขาจึงตะโกนออกมา ด้วยความเจ็บปวด

**เพราะเจาะทะลุกระดูกขากรรไกร เข้าไปในบริเวณหลังดวงตาซึ่งเป็นที่ตั้งของสมองและน้ำไขสันหลัง

เขาถูกส่งตัวต่อไปโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดเอาออก ก่อนการผ่าตัด แพทย์เตือนเขาว่าเขาอาจเสียชีวิตได้ ยิลมาซ กล่าว

ขอบคุณภาพ : NTV.tr

'ไทย-จีน' ลงนาม MOU ดึงนักลงทุนจีน ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ใต้กรอบความร่วมมือ 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง - 2 ประเทศ 2 นิคม'

(30 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมาย นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ (MOU) ระหว่าง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ ไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (China Management Century Group) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำจากมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน 

นายดนัยณัฏฐ์ ระบุว่า ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยาวนาน โดยเฉพาะในมิติทางเศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายใต้กรอบ 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง' (BRI) ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน และการพัฒนากลไกความร่วมมือด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยและจีนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยมีศักยภาพและได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีนเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีบริษัทจีนมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมของไทยเพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ

“ผมมั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยและจีน รวมไปถึงเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

ด้าน นายเหอ ซีออง นายกเทศมนตรีเมืองเจิ้งโจว กล่าวในการเป็นประธานสักขีพยานร่วมฯ ว่า การจัดพิธีลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ฯ ครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการพัฒนาความร่วมมือของจีนและไทยเท่านั้น แต่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนาเมืองเจิ้งโจว และจังหวัดระยองอีกด้วย 

สำหรับ เมืองเจิ้งโจว ในฐานะเมืองหลวงของมณฑลเหอหนาน นั้น ปี 2566 มี GDP ของภูมิภาคเกินกว่า 1.36 ล้านล้านหยวน จากจำนวนประชากรเกินกว่า 13 ล้านคน ผ่านตัวชี้วัดหลายประการ เช่น อัตราการเติบโตของมูลค่าเพิ่มทางอุตสาหกรรม อัตราการเติบโตของยอดขายปลีกรวมของสินค้าอุปโภค-บริโภค และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา 

นอกจากนี้ เจิ้งโจว ยังมีทำเลที่ตั้งโดดเด่น เป็นหนึ่งใน 12 ศูนย์กลางการคมนาคมระหว่างประเทศ และศูนย์กลางการขนส่งโดยสายการบินต่าง ๆ 6 แห่ง เป็น 'เส้นทางสายไหมทั้งสี่' ของทางอากาศ ทางบก ทางออนไลน์ และทางทะเล ขณะที่สนามบินเจิ้งโจว ก็ยังติดอันดับหนึ่งในสนามบินขนส่งสินค้าชั้นนำ 40 แห่งของโลก รถไฟบรรทุกสินค้าจีน-ยุโรป ครอบคลุมมากกว่า 40 ประเทศ และมากกว่า 140 เมือง 

จีนและไทยมีความใกล้ชิดและเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ซึ่งในระหว่างการเยือนประเทศไทยของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เสนอให้สร้างชุมชนจีน-ไทยที่มั่นคง โดยการบูรณาการ 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง' เปิดตัวศูนย์อาเซียนอย่างเป็นทางการ สร้าง 'เส้นทางสายไหมทางอากาศ' เจิ้งโจว-อาเซียน และบรรลุข้อตกลงเมืองพี่กับจังหวัดระยอง ในประเทศไทย เปิดตัวรถไฟสายเย็นพิเศษสำหรับผลไม้นำเข้าจากประเทศไทย และรถไฟสายเย็นพิเศษสำหรับส่งออกสินค้าเกษตร เปิดเส้นทางการบินให้กับสายการบินนกแอร์เที่ยวบินแรกสู่เจิ้งโจว โดยในปี 2567 เจิ้งโจว ประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพเดือนแห่งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีน (เหอหนาน)-อาเซียน และจัดเทศกาลอาหารไทย 'Thai Heartbeat' เริ่มก่อสร้างสวนแฝดจีน-ไทย (เจิ้งโจว) 

"ภายใต้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ 'สองประเทศ สองนิคมฯ' ระหว่างจีนและไทย การทำงานร่วมกัน การพัฒนาอุตสาหกรรม การค้าข้ามพรมแดนและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ในกรอบการดำเนินงาน 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง' เพื่อร่วมกันสร้างบทใหม่ของความร่วมมือแบบ win-win" นายกเทศมนตรีเมืองเจิ้งโจว กล่าว

ด้าน นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการ (ประจำสำนักผู้ว่าการ) เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ ไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (China Management Century Group) ในครั้งนี้ โดยบันทึกความเข้าใจฯ นี้ สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยี พัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้านทำเลที่ตั้ง และเป็นเป้าหมายของนักลงทุนจากหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่เมืองเจิ้งโจว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเมืองที่มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวไปสู่ระดับโลก และมีแผนงานที่จะพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในหลากหลายส่วนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ที่สำคัญ ยังมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่าง ๆ อีกด้วย

"กนอ. มุ่งมั่นส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงนามบันทึกความเข้าใจกับไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (China Management Century Group) ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน ภายใต้กรอบความร่วมมือ BRI มั่นใจว่าความร่วมมือนี้จะดึงดูดนักลงทุนจีนให้เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมอย่างแน่นอน" นายวีริศ กล่าว

ฟาก นายอู๋ เหวินฮุย ประธานไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (China Management Century Group) กล่าวว่า ไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (China Management Century Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 เป็นกลุ่มบริษัทการลงทุนที่หลากหลาย มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองปักกิ่ง และมีศูนย์ปฏิบัติการบริหารจัดการที่ใหญ่อยู่ในเมืองเซินเจิ้น ฉวนโจว เจิ้งโจว ซีอาน และไป๋เซ่อ ดำเนินธุรกิจหลักด้านการลงทุน การก่อสร้าง และเขตอุตสาหกรรม ห่วงโซ่อุปทานของสินค้าโภคภัณฑ์ การลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน การฟื้นฟูเหมือง การพักผ่อนหย่อนใจเพื่อสุขภาพ การบินทั่วไป และการก่อสร้างคลังสินค้าโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ มีรายได้รวมต่อปีเกินกว่า 10,000 ล้านหยวน ดำเนินธุรกิจครอบคลุมหลายประเทศทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือก่อสร้าง 'หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง' และส่งเสริมความร่วมมือในทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้เกิดความเจริญและยั่งยืนร่วมกัน 

"เราคาดหวังว่า กระทรวงอุตสาหกรรม จะให้การสนับสนุนนโยบายที่เอื้อประโยชน์สูงสุดในด้านต่าง ๆ เช่น การอนุมัติโครงการ การจัดสรรที่ดิน และการพัฒนาของบริษัทที่เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งความร่วมมือที่แข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย จะทำให้ 'สองประเทศ สองนิคม' สามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเปิดดำเนินการได้อย่างราบรื่น เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับนิคมอุตสาหกรรมจีน (เจิ้งโจว) และก่อให้เกิดผลกระทบแบบ 'แกนคู่' โดย China Management Century Enterprise Management Group Co., Ltd. จะใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบที่มีอยู่หลากหลายประการอย่างเต็มที่ ร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ จากทั้งไทยและจีน จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพิ่มการสื่อสาร และร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการลงทุน ยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศให้สูงขึ้น ช่วยให้ 'สองประเทศ สองนิคม' ผนวกรวมเข้ากับห่วงโซ่อุตสาหกรรม ห่วงโซ่นวัตกรรม และห่วงโซ่การค้าระหว่างประเทศได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ และการพัฒนาที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้นสำหรับการเปิดกว้างเศรษฐกิจของไทยและจีน" ประธานไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป กล่าว 

สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ระหว่าง กนอ. และ ไชน่า แมเนจเม้นท์ เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (China Management Century Group จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 ณ กระทรวงอุตสาหกรรม ขอบเขตความร่วมมือ ดังนี้...

1.ทั้งสองฝ่ายให้ความร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ สนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมระหว่างกันในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเหมาะสม 

2.ให้ความร่วมมือในการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้  

3.ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุน กฎหมาย ข้อบังคับ นโยบาย และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเทศของแต่ละฝ่าย และให้คำปรึกษาด้านการลงทุน 

4.ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน การประชุม สัมมนา 

และ 5.จัดสัมมนาสำหรับภาคธุรกิจและการจับคู่ธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น 

นอกจากนี้ กนอ. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนจีน ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้ระบบ One Stop Services ของ กนอ. และหากมีค่าใช้จ่ายใด ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ แต่ละฝ่ายจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในส่วนของตนเอง และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระเบียบภายในของแต่ละฝ่าย โดยบันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ทั้งสองฝ่ายลงนามร่วมกัน

ถอดความหมาย ‘ทศมราชัน’ ชื่อพระราชทาน ‘สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9’ จากในหลวง รัชกาลที่ 10

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 สำหรับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ว่า ‘ทศมราชัน’ อ่านว่า ทด-สะ-มะ-รา-ชัน สะกดเป็นภาษาอังกฤษ ‘Thotsamarachan’

ทศม (ทัสสะมะ) แปลว่า ที่สิบ มาจากรากศัพท์ว่า ทส ธาตุ หมายถึง 10 บวกกับ ม (มะ) ปัจจัย ราชัน แปลว่า พระราชา มาจากรากศัพท์ว่า ราช (ราชา) หมายถึง ปกครอง บวกกับ น (นะ) เป็น ราชัน (ราชา-นะ) แปลว่า ผู้ปกครองหรือ พระราชา

เมื่อนำ ทศม (ทัสสะมะ) มาผสมกับ ราชัน (ราชา-นะ) จึงได้เป็น ทศมราชัน (ทดสะมะ-รา-ชัน) ซึ่งแปลว่า พระราชาลำดับที่สิบ

นับว่าเป็นชื่อมงคลและมีความหมายที่ดี เพราะตัวสะพานตั้งทอดเลียบคู่กับสะพานพระราม 9 อันหมายถึง พระรามที่ 9 ซึ่งเป็นพระรามเรียก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบิดาของในหลวงรัชกาลปัจจุบันนั่นเอง

>>สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 (ทศมราชัน) เปิดใช้วันไหน

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เคยกล่าวว่า “สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 เป็นสะพานขึง (Cable Stayed Bridge) แบบเสาคู่ที่สร้างคู่ขนานกับสะพานพระราม 9 ซึ่งถือว่าเป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทยที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาออกแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานความเป็นไทย ผนวกกับการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างทางวิศวกรรมขั้นสูง ทำให้สะพานมั่นคงแข็งแรงสามารถรองรับแรงลมได้มากถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเทียบเท่าความแรงของพายุทอร์นาโด แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงความสวยงาม และเชื่อมั่นว่าจะกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศไทย”

ด้านนายชาตรี ตันศิริ รองผู้ว่าการฝ่ายก่อสร้างและบำรุงรักษา กทพ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “สะพานนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความกว้างมากที่สุดในประเทศไทย รองรับการสัญจรถึง 8 ช่องจราจร มีความยาวช่วงกลางสะพาน 450 เมตร ความยาวของสะพาน 780 เมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 41 เมตร (สูงเท่ากับสะพานพระราม 9 เดิม) และหากเปิดให้บริการ”

“คาดการณ์ว่าจะสามารถรองรับปริมาณรถยนต์ได้มากถึง 150,000 คัน/วัน ช่วยลดความแออัดทางจราจรบริเวณทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) ช่วงบริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ บนสะพานพระราม 9 ถึงด่านสุขสวัสดิ์ บริเวณถนนพระราม 2 จาก 100,470 คัน/วัน เหลือ 75,352 คัน/วัน หรือลดลง 25% และสามารถ เชื่อมต่อกับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว (M82) ของกรมทางหลวงอีกด้วย”

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) คาดว่าจะเปิดใช้สะพานขึงใหม่คู่ขนานสะพานพระราม 9 อย่างเป็นทางการ ในเดือนกรกฎาคม 2567

>> เส้นทาง สะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 ไปยังไง

🔴ทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก
-รถแท็กซี่/รถยนต์โดยสาร ถ้าขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานครจากเส้นทางบางนา, แจ้งวัฒนะ สามารถลงทางด่วนที่ด่านบางโคล่

🔴รถเมล์

-รถเมล์สาย 102 ปากน้ำ – สาธุประดิษฐ์
-รถเมล์สาย 3-52 เซ็นทรัลพระราม 3 – หัวลำโพง
-รถเมล์สาย 67 วัดเสมียนนารี – สาธุประดิษฐ์

>>สรุปข้อมูลสะพานทศมราชัน
-วันที่เริ่มการก่อสร้าง : วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020)
-วันที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ : วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023)
-บริษัทที่ทำการก่อสร้าง : บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
-ราคาค่าก่อสร้าง : 6,636,192,131.80 บาท
-แบบของสะพาน : สะพานขึงเสาคู่
-ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง : 41 เมตร (135 ฟุต)
-ความยาวของสะพาน : 780 เมตร (2,560 ฟุต)
-รวมความยาวทั้งหมด : 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์)
-จำนวนช่องทางจราจร : 8 ช่องทางจราจร
-ความกว้างสะพาน : 42 เมตร (138 ฟุต)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top