Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

หมอฝึกหัดเกาหลีใต้กว่า 6.4 พันคน ตบเท้าลาออก ประท้วงรัฐบาล เร่งแต่ผลิตแพทย์ แต่ไม่ดูคุณภาพ

แพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้มากกว่า 6,400 คน พร้อมใจยื่นใบลาออก เพื่อประท้วงแผนการเร่งผลิตแพทย์ด้วยการสั่งให้มหาวิทยาลัยเพิ่มโควต้าการรับนักศึกษาแพทย์เกือบเท่าตัว โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยด้านความพร้อมและคุณภาพ ที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในระบบสาธารณสุขของประเทศในอนาคต

ไม่นานมานี้ แพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้จำนวน 6,415 คน จาก 100 โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ยื่นจดหมายลาออก ส่วนอีก 1,600 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเดินออกจากที่ทำงานทันที สร้างความปั่นป่วนในการให้บริการผู้ป่วยในหลายโรงพยาบาล ทั้งเกิดความล่าช้าในขั้นตอนการรักษา และคิวผ่าตัด

ปาร์ค มิน-ซู รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขคนที่ 2 ได้เร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการนัดประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดดังกล่าว โดยได้สั่งการให้โรงพยาบาลรัฐ 97 แห่ง ขยายช่วงเวลาการให้บริการยาวขึ้น อีกทั้งให้โรงพยาบาลทหารอีก 12 แห่งเปิดเตียงฉุกเฉินเพื่อรองรับเคสผู้ป่วยพลเรือนทั่วไปเป็นการชั่วคราว 

ปัจจุบันในเกาหลีใต้มีแพทย์ฝึกหัดอยู่ราว 13,000 คน แต่มาวันนี้ นัดกันยื่นจดหมายลาออกไปแล้วกว่า 6,400 คน จนระบบการทำงานในโรงพยาบาลติดขัดอย่างหนัก

สาเหตุของการนัดประท้วงของแพทย์ฝึกหัด เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ต้องการแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ด้วยการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์อีกปีละ 2,000 คนตั้งแต่ปีหน้า 2568 เป็นต้นไป จากเดิมที่เคยรับปีละ 3,058 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยชี้ว่าการเร่งผลิตแพทย์เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น

เนื่องจากในหลายพื้นที่ของเกาหลีใต้ยังขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก อีกทั้งเกาหลีใต้มีสัดส่วนแพทย์ต่อจำนวนประชากรอยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข

แต่ในอีกด้านหนึ่ง แพทย์บางส่วนกลับมองว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายโดยไม่ได้ปรึกษา หรือรับฟังความเห็นของทีมแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่จริง ๆ จึงมองเพียงตัวเลขเชิงปริมาณ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพทักษะ และหัวใจในการให้บริการ

เช่นเดียวกับกลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ได้ยื่นใบลาออกประท้วงรัฐบาล มองว่าการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ จะยิ่งทำให้คุณภาพการเรียน การสอนในวิชาแพทย์ลดลง เพราะรัฐบาลไม่เคยลงไปศึกษาข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยแพทย์ในเกาหลีใต้มีความพร้อมเพียงพอที่จะรองรับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐหรือไม่ 

จะอย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีช่วย ปาร์ค มิน-ซู ออกมาแสดงความผิดหวังต่อการประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดในครั้งนี้ ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในระบบการดูแลคนไข้ในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ มีเคสผ่าตัดหลายเคสต้องเลื่อน หรือต้องย้ายตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นอย่างฉุกละหุก

อีกทั้งยังวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำอันไร้เหตุผล ที่ทิ้งคนไข้ของพวกเขาไว้ข้างหลัง เพื่อเป็นเครื่องมือในการประท้วงนโยบายรัฐ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะส่งผลร้ายแรงอะไรตามมา 

ทางการเกาหลีใต้ได้ส่งจดหมายเรียกตัวแพทย์ฝึกหัดให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ และเตรียมสอบแพทย์ 2 คนที่เชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการนัดลาออกประท้วงของบรรดาแพทย์ฝึกหัดในครั้งนี้ หากพบว่าผิดจริงอาจลงโทษหนักถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตได้

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘เจ้าของรถรับจ้าง’ ไอเดียบรรเจิด!! เนรมิต ‘รถแดงติดแอร์’ หวังเอาใจคนขี้ร้อน พ่วงระบบกรองฝุ่น วิ่งรับส่งทั่วเชียงใหม่

(22 ก.พ. 67) สำหรับการเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในเชียงใหม่นั้น รถสี่ล้อแดงรับจ้าง หรือ ‘รถแดง’ ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะสามารถเรียกใช้บริการได้สะดวกและพบเห็นวิ่งรับส่งผู้โดยสารอยู่ทั่วไป

ซึ่งลักษณะที่นั่งของผู้โดยสารจะเป็นเบาะสองแถวอยู่ทางด้านหลังของตัวรถที่ต่อเติมเป็นห้องโดยสาร ที่มีหลังคาบังแดดบังฝน มีทางขึ้นจากท้ายรถ และมีช่องหน้าต่างเปิดโล่งทั้งข้างของตัวรถ เพื่อชมวิวระหว่างทางได้ และรับลม โดยที่บางคันอาจจะมีการติดตั้งพัดลมเพิ่มเติมในห้องโดยสารด้านหลังเพื่อช่วยคลายร้อนให้กับผู้โดยสาร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างมีการกล่าวถึงรถสี่ล้อแดงรับจ้างคันหนึ่ง ที่แตกต่างจากทั่วไป และเป็นที่ชื่นชอบประทับใจของนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ

โดยรถคันดังกล่าวนี้มีความพิเศษกว่าคันอื่นๆ ตรงที่เป็น ‘รถแดงติดแอร์’ หรือ มีการติดตั้งระบบปรับอากาศเย็นสบายไว้ในส่วนของห้องผู้โดยสารด้วย พร้อมอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือและเครื่องฟอกอากาศป้องกันฝุ่น PM2.5

รวมทั้งเบาะนั่งที่สามารถปรับเป็นที่นอนได้ อีกทั้งมีหมอนและผ้าห่มให้บริการพร้อมสรรพ นอกจากนี้ทางคนขับยังมีบริการถ่ายภาพสวยๆ ให้อีกด้วย หากเป็นการจ้างเหมานำเที่ยว

จากการสอบถามทราบว่า ‘รถสี่ล้อแดงติดแอร์’ คันนี้เป็นของ นายรณกฤต อินสิงห์ หรือ ‘โก้’ อายุ 33 ปี เปิดเผยว่า เดิมทีหลังจากที่เรียนจบได้ประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี กระทั่งเกือบสิบปีที่แล้วได้เปลี่ยนมายึดอาชีพขับรถสี่ล้อแดงวิ่งรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่

ด้วยความรักในอาชีพนี้เป็นอย่างมาก จึงอยากจะพัฒนาการให้บริการต่างๆ ให้ดีขึ้น กระทั่งเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เกิดแนวความคิดว่า อยากจะติดตั้งระบบปรับอากาศ หรือแอร์ในห้องผู้โดยสารด้านหลัง เนื่องจากอยากทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเย็นสบายเหมือนคนขับที่เปิดแอร์ได้ตลอดเวลาที่ขับรถ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน และจะได้มีความสุขกับการใช้บริการรถสี่ล้อแดง

จากนั้นตัวเองจึงได้อาศัยความรู้ด้านช่างที่พอมีอยู่ทำการออกแบบ พร้อมทั้งขอคำปรึกษาแนะนำจากช่างที่มีความชำนาญ และดำเนินการติดตั้งระบบปรับอากาศกับรถสี่ล้อแดงคันแรกของตัวเองได้เป็นผลสำเร็จ โดยมีประตูด้านหลังที่ปิดทึบได้ และกระจกด้านข้างที่เปิดปิดได้ ในกรณีที่ต้องการปิดแอร์และเปิดรับอากาศจากด้านนอก

ซึ่งถือว่าเป็นรถต้นแบบและน่าจะเป็นคันแรกในเชียงใหม่ พร้อมนำออกวิ่งให้บริการรับส่งผู้โดยสารในตัวเมืองเชียงใหม่และรับเหมานำเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งใกล้เคียง โดยได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีและมีผู้ใช้บริการอยู่ตลอด ต่อมาเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว จึงได้ทำ ‘รถแดงติดแอร์’ อีกคันหนึ่ง ซึ่งเป็นคันที่สองของตัวเองและเป็นคันที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้

ทั้งนี้ในส่วนของห้องผู้โดยสารนั้น นอกจากการติดแอร์ทำให้อากาศเย็นสบายแล้ว ยังมีระบบฟอกอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ลำโพงบลูทูธ พัดลม ที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ เบาะนั่งที่สามารถปรับเป็นที่นอนได้ พร้อมหมอนและผ้าห่มให้บริการ ซึ่งทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและมีความสุขตลอดการเดินทาง

ขณะเดียวกันในกรณีที่นักท่องเที่ยวหรือผู้โดยสารทำการว่าจ้างเหมานำเที่ยว ตัวเองยังมีบริการถ่ายภาพและตกแต่งภาพเบื้องต้นให้เป็นพิเศษอีกด้วย โดยที่ตัวเองทำหน้าที่เป็นทั้งคนขับรถและช่างภาพ พร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบบริการพิเศษนี้เป็นอย่างมาก

นายรณกฤต บอกว่า ปัจจุบันมีผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติจ้างเหมา ‘รถแดงติดแอร์’ ของตัวเองให้นำเที่ยวเป็นประจำเกือบทุกวัน ซึ่งจากการสอบถามพบว่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ได้รับการบอกต่อจากกลุ่มเพื่อนฝูงคนรู้จักที่เคยมาใช้บริการและประทับใจในการให้บริการ ทำให้ตัวเองรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งและตั้งใจจะพัฒนาบริการต่างๆ ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้หากผู้ใดที่สนใจอยากใช้บริการ ‘รถแดงติดแอร์’ สามารถติดต่อจองคิวหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก ‘รถนำเที่ยวเชียงใหม่&ภาคเหนือ #รถแดงติดแอร์’ หรือหมายเลขโทรศัพท์ 083-582-3255

‘บิ๊กเต่า’ ชี้!! ตำรวจและ ป.ป.ช. ทำงานอิสระต่อกัน ไม่มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม

เมื่อวานนี้ (21 ก.พ. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองสำนวน คือสำนวนแรกที่มีผู้ต้องหาจำนวน 61 ราย สำนวนที่ 2 มีผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.

บางช่วงบางตอนของการให้สัมภาษณ์ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ระบุว่า…"การดำเนินการครั้งนี้ ทำตามพยานหลักฐาน ซึ่งตำรวจและ ป.ป.ช.ได้ทำงานโดยเป็นอิสระต่อกัน ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม แต่ต้องการให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว เพราะมีหลายฝ่ายนำเรื่องนี้มาโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เกิดความเสียหาย"

‘ดร.เอ้’ แนะ 3 แนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ใน กทม. ชี้!! หากปล่อยไว้นาน กระทบสุขภาพ เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด

(22 ก.พ. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นพิษในพื้นที่ กทม. ปัจจุบันถึงขั้นวิกฤตแล้ว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างมาก ถือเป็นภัยต่อรุ่นลูกหลาน เพราะอัตราการเป็นโรคมะเร็งปอดและโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 จะมีอัตราการตายก้าวกระโดด

กทม. ควรแก้ปัญหามาตั้งนานแล้ว แต่กลับปล่อยให้ถึงขั้นวิกฤตแบบทุกวันนี้ ทั้งที่กทม. มีอำนาจเต็มในการแก้ปัญหา โดยใช้ข้อบัญญัติ กทม.ทางด้านความสะอาด ความปลอดภัยและความเรียบร้อย ทุกเขตมีหน้าที่และเจ้าหน้าที่พร้อม สามารถตรวจจับควันดำ ตรวจสอบไซต์งานก่อสร้างได้ ทั้งจับ ปรับ ไปจนถึงระงับการก่อสร้างได้ แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่บังคับใช้หรือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

“ภารกิจ กทม.ถือเป็นภารกิจที่หนักหน่วง ผู้บริหารจึงต้องมีภาวะผู้นำ ในเรื่องการติดตามงาน อย่างมีประสิทธิภาพ และปัญหา กทม.จะแก้ไขสั่งการแบบลอยตัวไม่ได้ กทม. ต้องการผู้นำที่ดุดัน และเอาจริงมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วปัญหาฝุ่นพิษ หรือทุกปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้เลย” นายสุชัชวีร์ กล่าว

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ส่วน 11 มาตรการลดฝุ่นที่ กทม. ประกาศออกมาทั้ง เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ ประสานตำรวจเข้มงวดกวดขัน ขอความร่วมมือ Work From Home รณรงค์บำรุงรักษาเครื่องยนต์ ควบคุมสถานประกอบการไม่ปล่อยมลพิษ งดกิจกรรมเกิดฝุ่น เข้มงวดห้ามเผาทุกชนิด เพิ่มความถี่ล้างถนน ฉีดล้างต้นไม้

ให้ความรู้สุขภาพอนามัย ออกหน่วยบริการสาธารณสุข หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดำเนินการตามมาตรการ ลดฝุ่นในโรงเรียนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวันอยู่แล้ว และต้องทำมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่มาประกาศ มาทำตอนนี้ ทุกวันนี้เรายังเห็นรถขนส่งควันดำวิ่งกันอยู่เลย ยังเห็นไซต์งานก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีอะไรปกปิดหรือป้องกันอยู่เลย

ดังนั้น สิ่งที่ กทม.ควรต้องแก้ปัญหาในเรื่องฝุ่นพิษและทำเร่งด่วน คือ 

1.ป้าย กทม.ต้องขึ้นแสดงสภาพอากาศ รัฐรู้แค่ไหน ประชาชนต้องรู้เท่านั้น 

2.อำนาจ กทม.มีอยู่แล้วในการจัดการเรื่องฝุ่น โดยคุมเรื่องรถขนส่งและไซต์งานก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบ

3.กำหนดเขตมลพิษต่ำ Bangkok Low Emission Zone หรือ B-LEZ (บีเลส) นำร่อง 16 เขตกรุงเทพฯชั้นใน ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอาศัยหนาแน่น ทั้งผู้อยู่อาศัย ผู้มาทำงาน และนักเรียน มีทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก

โซเชียลแชร์!! คนโพสต์ขายยาเสพติดโจ๋งครึ่ม ไม่กลัวไม่ว่า แถมการันตีส่งถึงมือลูกค้าให้ด้วย

(22 ก.พ. 67) รายงานแจ้งว่าเพจเฟซบุ๊ก ‘ข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์’ ได้โพสต์ภาพเฟซบุ๊กของชายรายหนึ่งโพสต์ขายยาเสพติดแบบไม่เกรงกลัวใคร แถวยังบอกอีกว่าถึงมือลูกค้าแน่นอน 

โดยข้อความระบุว่า "เล่นแบบนี้เลยเหรอครับ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้วย"

ขณะที่ข้อความภาพจากเฟซบุ๊กของชายรายดังกล่าวระบุว่า "หวัดดีวัยรุ่นเพชรบูรณ์ ใครสนใจตัวเล็ก-ตัวใหญ่ ในพื้นที่นัดรับได้ที่อำเภอเมือง งานชนงาน ของถึงมือแน่นอน กำลังแพ็คจัดส่งให้คืนนี้นะครับลูกค้าทุกคน #เสรี ไม่เกิน 5 เม็ด #ของแทร่" 

ทั้งนี้ เมื่อโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ เริ่มอยู่ยากขึ้นทุกวัน, เพชรบูรณ์ของแทร่แน่นอน, อนาคตลูกหลาน, บ้านเมืองมันเกิดอะไรขึ้นกฎหมายมันอ่อนมากเสรีทุกอย่าง เป็นต้น 

ดำเนินคดีถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง ปรับรายละ 10,000 บาท หากปล่อยลูกออกมาแว้น

วันนี้ (22 ก.พ.67) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผย กรณีมีการปิดถนนแข่งรถพื้นที่ สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ที่ผ่านมานั้น พนักงานสอบสวนได้ส่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว 22 ราย ศาลฯ พิพากษาปรับคนละ 10,000 บาท จำคุก 3 เดือน โทษจำคุกรอลงอาญา นอกจากนี้ ยังได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชนไว้ได้อีกจำนวน 10 ราย  เจ้าหน้าทื่ตำรวจในส่วนของพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการส่งตัวเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อให้ศาลดำเนินการตรวจสอบการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการบังคับตามมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา เนื่องจากเป็นเด็กและเยาวขน และความผิดมีอัตราโทษไม่เกิน 5 ปี  โดยศาลจะกำหนดแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ให้เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ต้องปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูนั้น เพื่อให้โอกาสเด็กในการที่จะกลับมาเป็นคนดีของสังคม ไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก แต่หากเด็กเยาวชนและบิดามารดาไม่ปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่กำหนด เด็กก็จะถูกดำเนินคดีตามปกติ จะมีประวัติการกระทำผิดติดตัวไป ซึ่งต้องใช้เวลาในการปฏิบัติตามแผนพอสมควร 

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กนั้น นอกจากจะต้องปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่ศาลกำหนดแล้ว ยังจะต้องถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ฯ พนักงานสอบสวนสามารถแจ้งข้อกล่าวหาแก่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ส่งฟ้องศาลได้เลยทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กเยาวชนทั้ง 10 ราย มาแจ้งข้อกล่าวหา “ส่งเสริม หรือ ยินยอม ให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำความผิด” ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 (2) ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กทั้ง 10 ราย พิพากษาปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดกึ่งหนึ่งเหลือปรับรายละ 5,000 บาท ซึ่งนี่เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านที่ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลบุตรหลาน ปล่อยให้ออกมารวมตัวแข่งรถในทางในเวลายามวิกาล สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ครบวงจร ในทุกคดี

นอกจากนี้ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้คณะทำงานป้องกันและปราบปรามการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น แข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งการโพสต์ชักชวน เชิญชวน บนสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็ดี ทั้งการรวมตัวบนท้องถนนก็ดี โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุร้ายที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ตำรวจสอบสวนกลาง CIB โดยกองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดยุทธการ 'ฟ้าสางที่ฝั่งโขง' 957 กม. 85 คดี จับคนร้าย 104 ราย ยาบ้า 913,723 เม็ด

ตำรวจสอบสวนกลาง CIB โดยกองบังคับการตำรวจน้ำ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก, พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ, พ.ต.อ.อดิศักดิ์ มีศิลป์ ผกก.10 บก.รน., พ.ต.อ.ศษณวรรศ รัตนเสวตรวงศ์ ผกก.11 บก.รน., พ.ต.อ.อนรรฆ ประสงค์สุข ผกก. 12 บก.รน. ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ภูมินทร์ ทุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน., พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ รอง ผบก.รน., พ.ต.อ.ราม รสหอม รอง ผบก.รน., พ.ต.อ.อดิศักดิ์ มีศิลปั ผกก.10 บก.รน., พ.ต.อ.ศษณวรรฐ รัตนเศวตรวงศ์ ผกก.11 บก.รน., พ.ต.อ.อนรรฆ ประสงค์สุข ผกก.12 บก.รน. 

ด้วยการแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศ ส่งผลกระทบทำให้เกิดเหตุอาชญากรรมต่างๆ ในประเทศเป็นอย่างมาก กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลางเล็งเห็นปัญหาที่เกิดจากยาเสพติดมากมาย ทั้งในครอบครัวและเยาวชนอันเกิดจากยาเสพติด การลักลอบขนสินค้าหนีภาษี, การหลบหนีเข้าเมือง ในด้านของยาเสพติดหรือการกระทำความผิดต่างๆ คนร้ายมักจะใช้ช่องทางจากประเทศเพื่อนบ้านนำเข้าสู่ประเทศไทย และอาจนำส่งประเทศที่สาม 

พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ธรากร เลิศพรเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ พันตำรวจเอก ราม รสหอม รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ พันตำรวจเอก อดิศักดิ์ มีศิลป์ ผู้กำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ พ.ต.ต.พงษ์พิพัฒน์ บูรณะบัญญัติ สว.ส.รน.3กก.10 บก.รน.(ตำรวจน้ำมุกดาหาร) ร่วมแถลงผลการปฏิบัติงาน ณ ห้องประชุมกองกำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ ตามแผนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กองกำกับการ 10-12 กองบังคับการตำรวจน้ำ 

ตั้งแต่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ตามแนวแม่น้ำโขง รวมระยะทางประมาณ 957 กิโลเมตร ภายใต้ชื่อ "ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง" ตั้งแต่วันที่ 13-20 กุมภาพันธ์ 2567 ประมาณ 1 สัปดาห์ เป้าหมายทางบก 76 เป้าหมาย ทางน้ำ 23 เป้าหมาย สามารถจับกุม ยาเสพติด จำนวน 43 ราย จำนวน 913,723 เม็ด อาวุธปืน จำนวน 6 ราย ต่างด้าว 30 ราย จับตามหมายจับ 22 ราย และจับกุมตามความผิดอื่น 3 ราย รวมผู้ต้องหา 104 ราย

พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ กล่าวว่า ภูมิประเทศพื้นที่ตามลำน้ำโขงในเขตรับผิดชอบล้วนเอื้อต่อการลักลอบกระทำสิ่งของผิดกฎหมายโดยเฉพาะการลักลอบนำเข้ายาเสพติด เพราะมีเกาะแก่งดินดอนตามลำน้ำโขงให้พักคอยมากมาย ทำให้มีปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากนักค้ายาทั้งในและนอกพื้นที่ ในการลักลอบนำเข้าแต่ละครั้งมักจะเพิ่มมากขึ้นตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นยาบ้า ยาไอซ์ และกัญชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นภารกิจสำคัญ ที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ เพื่อลดระดับความรุนแรงให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงทั้ง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานข้างเคียงที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการระดมกวาดล้างยาเสพติด รวมถึงอาชญากรรม ตามแผน “ยุทธการฟ้าสางที่ฝังโขง” เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมายาวนาน

สตม.รวบนักลงทุนชาวจีนตามหมายจับเลี่ยงภาษีมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์  รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อรรถพล มีเสียง รอง ผบก.กต.10 ปฏิบัติราชการ บก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พ.ต.ท.รัฐไกร ประยูรศร รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.ท.วิรชา สนั่นศิลป์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
สตม.รวบนักลงทุนชาวจีนตามหมายจับเลี่ยงภาษีมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท

ตม.จว.ชลบุรี ร่วมกับ กก.2 บก.ปอศ. จับกุม Mr.Wang (นามสมมุติ) อายุ 53 ปี  สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยาที่ 60/2567 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันเคลื่อนย้ายของออกไปจากเขตปลอดอากรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี   

พฤติการณ์แห่งคดี Mr.Wang ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี ได้ร่วมกันกับพวกนำสินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิเช่น กระเป๋า ผ้าพันคอ ชุดผ้าปูที่นอน กรอบโทรศัพท์ เก้าอี้ กล่องพลาสติก โคมไฟ ไม้เซลฟี่ ข้าวโพด (ป๊อบคอร์น) ฯลฯ เข้ามาในราชอาณาจักร ตามใบขนสินค้าขาเข้า จำนวน 31 ฉบับ โดยสำแดงการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อนำเข้าไปในเขตปลอดอากร ตามมาตรา 151 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 จำนวน 31 ฉบับ เป็นใบขนสินค้าสั่งการตรวจ "ให้เปิดตรวจ" เพื่อนำไปทำการตรวจปล่อยที่เขตปลอดอากรเอ็มที ฟรีโซน โดยวิธีการมัดลวด และพนักงานศุลกากร ที่กำกับดูแลเขตปลอดอากรได้บันทึกการตรวจรับของดังกล่าวเข้าไปเก็บในเขตปลอดอากรแล้ว แต่ในระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2562 พนักงานศุลกากรได้เข้าทำการตรวจสอบหลังการตรวจปล่อย ณ เขตปลอดอากร เอ็มที ฟรีโซน 

ในบริษัทดังกล่าว พบข้อเท็จจริงว่าสินค้าเบ็ดเตล็ดที่บริษัทฯ ได้นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 31 ฉบับนั้น ไม่ได้มีการเก็บรักษาไว้หรือคงเหลืออยู่ในเขตปลอดอากร เอ็มที ฟรีโซน และจากการตรวจสอบข้อมูลการนำเข้าและส่งออกของบริษัทฯ จากระบบ CUSTOMS INFORMATION SYSTEM (CIS) ไม่พบว่าบริษัทฯ ได้มีการจัดทำใบขนสินค้าขาเข้าโอนย้ายชำระภาษีอากร (ประเภท P) เพื่อนำของออกจากเขตปลอดอากรเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร และไม่มีการจัดทำใบขนสินค้าขาออก เพื่อส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร อีกทั้งไม่พบหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรหรือหลักฐานการชำระภาษีอากรสำหรับของดังกล่าวเพื่อนำของออกจากเขตปลอดอากรในกรณีอื่นใด 

โดยได้ประเมินราคาและค่าภาษีอากร สินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้า จำนวน 31 ฉบับ ดังกล่าวมีราคารวมทั้งสิ้น 15,337,963.62 บาท อากรขาเข้ารวม 2,701,946.79 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มรวม 1,262,793.72 บาท ซึ่งพนักงานศุลกากรได้แจ้งให้บริษัทฯ จัดส่งเอกสารเพิ่มเติมเพื่อชี้แจงในประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่บริษัทฯ ก็ไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานมาแสดงต่อพนักงานศุลกากรเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงได้ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของบริษัทฯ เป็นความผิดฐานเคลื่อนย้ายของออกไปจากเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร ตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เมื่อบริษัทฯ ได้รับทราบผลการตรวจสอบแล้ว มิได้แจ้งความประสงค์จะขอทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร แต่บริษัทฯ เพิกเฉย ไม่มาติดต่อขอทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร กรมศุลกากรจึงร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบริษัทฯ และ Mr.Wang รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้งในฐานะนิติบุคคลและฐานะส่วนตัว 

หลังจากที่ศาลจังหวัดพัทยาได้ออกหมายจับแล้ว จากการสืบสวนของ ตม.จว.ชลบุรี ทราบว่า Mr.Wang ได้เดินทางไปที่บริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับ กก.2 บก.ปอศ. ไปตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบ Mr.Wang จึงได้แสดงหมายจับและทำการจับกุม  

ความ ‘สมดุล’ ตามรอย ‘ศาสตร์แห่งพระราชา’ ‘ปลูกชีวิต’ ด้วยพลังงานธรรมชาติ ปราศจากมลพิษ

ในระหว่างที่สังคมโลกกำลังให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับภาวะเรือนกระจกในหลายๆ บริบทของสังคมทั้งในระดับโลก ประเทศ และชุมชน เพื่อจรรโลงโลกกลมๆ แห่งนี้ให้อยู่คู่มนุษยชาติได้นานๆ นั้น

ปรากฏการณ์ของกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องการสร้างสังคมสีเขียว ปลอดมลพิษ และลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิล รวมถึงลดเลิกการใช้สารเคมีต่างๆ เพื่อต้านทานกับภัยคุกคามจากภาวะเรือนกระจก ก็เริ่มก่อตัวเพิ่มมากขึ้นตามเช่นกัน

‘Somdul Agroforestry Home’ หรือ ที่ใครหลายคนคุ้นเคยกับคำว่า ‘สมดุล’ เป็นหนึ่งในหน่วยเล็กๆ ทางสังคม ที่ออกแบบสิ่งแวดล้อมแสนสมดุลของตน ไว้ในหมวดธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การผูกรัดตนเองไว้กับวิถีแห่งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่ อัมพวา สมุทรสงคราม

‘สมดุล’ ประกอบไปด้วยพื้นที่สีเขียว ที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ อยู่ติดริมแม่น้ำแม่กลอง มีบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นเหมือนสวนที่เปิดรับให้ทุกคนได้มาพักผ่อน แถมยังพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้ทุกคนได้เรียนรู้ พร้อมๆ ไปกับ คาเฟ่, อาหาร และเครื่องดื่ม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ต่อยอดขึ้นมาจากแนวคิด ‘อยู่อย่างเกื้อกูลธรรมชาติ’

เป้าหมายของ ‘สมดุล’ ที่แม้นจะฟังดูเหมือนลมๆ ลอยๆ แต่ ‘อติคุณ ทองแตง’ ผู้ร่วมก่อตั้งสวนสมดุล ก็บอกเสมอว่า “ความสุขอย่างยั่งยืน” คือนิยามที่ ‘สมดุล’ อยากส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจไปสู่สังคมวงกว้าง

ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย ‘อติคุณ’ เล่าว่า สวนสมดุลแห่งนี้ เกิดมาจากแรงบันดาลใจในปรัชญาของพ่อเลี่ยม บุตรจันทา ปราชญ์ชาวบ้านแห่งบ้านสวนออนซอน จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มีส่วนสำคัญในถ่ายทอดปรัชญาแห่งความสมดุลในสวนนี้ เป็นมรดกให้เขาให้นำไปสานต่อ 

โดยสาระสำคัญของปรัชญาดังกล่าว สะท้อนไปสู่ ‘การปลูกชีวิต’ โดยเฉพาะชีวิตแห่งพืชพันธุ์ให้สามารถเกื้อกูลพึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน ด้วยองค์ประกอบ ดิน, น้ำ, ลม และ แสงแดดที่เหมาะสม จนเกิดความสมบูรณ์ตามรูปแบบของธรรมชาติ  

มาถึงตรงนี้ รู้สึกได้ว่า ปรัชญา ดังกล่าวที่สะท้อนมาสู่จุดเริ่มต้นของ ‘สมดุล’ ช่างดูคุ้นเคย...

ใช่แล้ว!! เพราะนี่คือปรัชญาเพื่อพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนตามแนวทาง ‘ศาสตร์พระราชา’

‘สมดุล’ ไม่ใช่สังคมสีเขียวที่ไร้แก่นสาร หรือแค่วาดลานแลนด์สเคปเขียวๆ ให้คนรู้สึกถึงคอนเซปต์แบบเขียวๆ ให้รู้สึกว่าอินเทรนด์ แต่ ‘สมดุล’ ถูกปัดหมุดด้วยความคิดของผู้ร่วมก่อตั้ง ที่สอดรับกับรอยต่อแห่ง ‘ศาสตร์พระราชา’ ซึ่งมิได้ปฏิเสธเทคโนโลยี เพียงแต่ไม่ยอมรับการครอบงำจากเทคโนโลยี  

นัย นี้น่าสนใจ!! เพราะ ‘สมดุล’ รู้จักการควบคุมและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการเป็นเกษตรสมดุล โดยผสานองค์ความรู้จากปรัชญาของการเกษตรไทย กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยการทำให้เกิดสมดุลของดิน, น้ำ และสิ่งแวดล้อม นั่นคือ นำเอาศาสตร์แห่งดิน, ศาสตร์แห่งน้ำ และ การเคลื่อนคล้อยของลม แสงแดด และอุณหภูมิที่เหมาะสม มาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นแนวทางใหม่ คล้ายเป็นนวัตกรรม...หากแต่เป็นนวัตกรรมจากรากเหง้าเกษตรไทย ที่อุดมด้วยองค์ความรู้อันหลากหลายอยู่แล้ว

นอกจากนี้ สวนสมดุล ยังปฏิเสธสารเคมีทุกชนิด โดยผืนดินทุกตารางนิ้ว จะถูกปรับปรุงคุณภาพให้ปลอดภัยทั้งสารพิษ สารเคมี อย่างน้ำที่ใช้ในสวน ก็จะผ่านการกรองด้วยระบบกรองตามมาตรฐานคุณภาพที่สวนฯ กำหนดขึ้น ทำให้ ต้นไม้ พันธุ์พืช และผักทุกชนิด จึงปลอดภัยจากมวลสารที่อาจเป็นพิษภัยต่อมนุษย์ สัตว์ และพืช...ทุกสิ่งล้วน ‘ออแกนิค’ (Organic)

ในแง่ของพลังงาน สวนสมดุลแห่งนี้ ได้สมดุลด้านพลังงานผ่าน ‘พลังงานสะอาด’ (Green Energy) ด้วยการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ มาเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่ใช้ในทุกพื้นที่ของสวน

จากข้อมูลช่วงย้อนไปราว 5 ปีก่อน อติคุณ เล่าว่า “เราเริ่มต้นด้วยการติดตั้งแผง Transparent PV Solar Cell จำนวน 208 แผงแบบ on-Grid บนหลังคาที่จอดรถหน้าสวน มีขนาดกำลังติดตั้ง 60.14 kw สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ปีละ 88,454 Kwh หรือ 88,454 หน่วยนั่นเอง ด้วยสมการนี้เราจะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 391,090.50 บาท หรือตกเดือนละ 32,590.87 บาท จึงเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในทางหนึ่ง ขณะเดียวกันยังสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซหลักและตัวการสำคัญที่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนลงได้ปีละ 68.90 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ที่มีอายุกว่า 10 ปี จำนวน 1,034 ต้นต่อปี หรือเทียบเท่ากับพื้นที่ป่าสีเขียวขนาด 184 ไร่ และเทียบเท่ากับการลดการเผาถ่านหินจำนวน 30,771.90 กิโลกรัมต่อปี หรือเท่ากับการขับรถเป็นระยะทาง 244,696 กิโลเมตรต่อปี”

อติคุณ เผยอีกว่า ผลพวงจากพลังงานสะอาดที่ผลิตจากแสงอาทิตย์นี้ ได้ถูกนำไปใช้ในร้านกาแฟ ‘Agro  forestry Café’ ไม่ว่าจะในส่วนของระบบแสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ และอุปกรณ์ประกอบการปรุงอาหารทุกชนิด เป็นการการันตีว่า ทุกเมนูกาแฟ หรือ อาหาร รวมทั้งเครื่องดื่ม น้ำดื่มต่างๆ ที่ลูกค้าได้เข้ามาใช้บริการ 

เรียกได้ว่าทุกโสตสัมผัสในบรรยากาศแห่ง สวนสมดุล ผู้คนจะมั่นใจ และสบายใจได้ว่า สิ่งแวดล้อมที่ปรากฏรายล้อมรอบพวกเขา นอกจากจะกอปรไปด้วยวัตถุดิบที่เป็นออแกนิคแล้ว ยังปราศจากมลพิษ อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย

“เราอยากให้สวนแห่งนี้ เป็นศูนย์การเรียนรู้ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยต้นทุนด้านการเกษตร เพื่อพัฒนาเกษตรกรไทย ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคงในอาชีพ เกษตรกรไทยไม่ควรต้องอ่อนด้วย ต้อยต่ำ อีกต่อไป” นี่คืออีกหนึ่งฝันของ อติคุณ ที่ไม่ใช่แค่เนรมิต ‘สมดุล’ ขึ้นมาเป็นเพียงแค่ที่พักผ่อนหย่อนใจ

ในขณะที่สภาวะเรือนกระจกกำลังคุกคามโลกของเราอยู่ แค่ธุรกิจที่มองเห็นและหยิบจับวัฏจักรแห่ง Green มาไหลเวียนแค่ธุรกิจเดียว ยังสร้างผลลัพธ์ในการเซฟโลกของเราได้มากขนาดนี้ แล้ว ‘คุณ’ จะไม่ลองเริ่มหันมาสร้าง ‘สมดุล’ ให้กับโลกกันบ้างหน่อยหรือ?

‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home
ตั้งอยู่ในตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จากวัดบางพลับ มาอีกประมาณ 500 เมตร
เปิด วันจันทร์-อังคาร 09.00-17.00 น. วันพุธ-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี)
สอบถาม โทร. 098-362-9894 หรือ facebook.com/somdulhome 

แฉ ‘บิ๊กโจ๊ก’ เส้นเงินเว็บพนัน ‘มินนี่’ ฟอกเงินผ่านวิธี ‘สังฆทานเวียน’

เปิดปมหลักฐานที่โยงมาถึงตัว 'บิ๊กโจ๊ก' พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. นั่นก็คือ 'เส้นเงิน' หรือเส้นทางการเงิน จากเว็บพนันออนไลน์ เข้ามาถึงตัวบิ๊กโจ๊กจำนวนมหาศาล ประมาณ 300 ล้านบาท ผ่านบัญชีม้า ซึ่งมือขวาของบิ๊กโจ๊ก คือ พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ เป็นคนถือ

ซึ่ง พ.ต.อ.คริษฐ์ ตอนนี้ ก็โดนจับข้อหารับเงินเว็บพนันออนไลน์แล้วถึง 2 คดี ล้วนแต่เป็นเครือข่าย 'มินนี่' อายุน้อยร้อยเว็บ

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน สาวเส้นทางการเงินย้อนไปหลายปี เริ่มตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา เมื่อเงินมาถึงบัญชีม้าในมือของ พ.ต.อ.คริษฐ์ ก็มีการเบิกมาให้บิ๊กโจ๊กใช้ทำคดี ใช้รักษาพยาบาล และอื่น ๆ

โดยมีเทคนิค 'สังฆทานเวียน' กล่าวคือ พ.ต.อ.คริษฐ์ ถอนเงินสดมาให้บิ๊กโจ๊ก บิ๊กโจ๊กเอาไปให้เมีย แล้วเมียเอามาให้ พ.ต.อ.คริษฐ์อีกที เพื่อสร้างเส้นทางการเงินว่า เมียบิ๊กโจ๊ก ให้เงินส่วนตัว สนับสนุนสามีในการทำคดี

ซึ่งบิ๊กโจ๊กก็เคยอ้างถึงเรื่องนี้ว่า เมียตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยเป็นพันล้าน มีธุรกิจเดินรถที่ภาคใต้ ก็เอาเงินส่วนตัวมาช่วยชาติ

แต่ทางพนักงานสอบสวนไม่เชื่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว ก็ได้ตรวจสอบประเด็นนี้แล้ว พบว่าธุรกิจเดินรถของเมียบิ๊กโจ๊กที่อ้างถึงนั้น ไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีแต่อย่างใด ดูจากการจ่ายภาษี และแสดงงบดุลบริษัท

จุดสลบของบิ๊กโจ๊ก ก็คือ การที่ พ.ต.อ.คริษฐ์ ทำบัญชีรายรับรายจ่ายเงินสกปรกไว้อย่างละเอียดยิบ ไม่มีตกหล่นแม้แต่รายการเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครกล้ายักยอกไปใช้เอง

การยึดคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.อ.คริษฐ์ ไปตรวจ แล้วเจอรายการบัญชีเหล่านี้ จึงเป็นหลักฐานที่แน่นหนามาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top