Sunday, 8 June 2025
NewsFeed

‘บริษัทอาวุธรัสเซีย’ เตรียมโชว์ ‘คลังแสง’ ชูอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รุกตลาดยุทโธปกรณ์รบระดับโลกในงาน ‘World Defense Show 2024’

รัสเซียรุกหนักในตลาดอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับโลก

งาน ‘World Defense Show 2024’ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2024 ณ กรุงริยาด นครหลวงแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดย ‘JSC ROSOBORONEXPORT’ (ส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเพียงแห่งเดียวของรัสเซีย ในการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับโลก ได้เข้าร่วมงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งนี้

JSC ROSOBORONEXPORT มีสัดส่วนในการส่งออกมากกว่า 85% ของการส่งออกอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารของรัสเซีย โดยมีความร่วมมือกับบริษัทด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัสเซียมากกว่า 700 แห่ง และมีขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของความร่วมมือด้านเทคนิคการทหารของรัสเซียครอบคลุมมากกว่า 100 ประเทศ

“World Defense Show จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว และได้กลายมาเป็นหนึ่งในงานแสดงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่สำคัญจากทั่วโลกแล้ว เมื่อเทียบกับปี 2022 ขนาดพื้นที่จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในพื้นที่จัดแสดงกลางแจ้ง ‘JSC ROSOBORONEXPORT’ จะจัดแสดงยานยนต์หุ้มเกราะ ‘ZA-SpN Titan’ และ ‘Spartak’ ซึ่งเป็น UAV ของตระกูล Orlan โดยเครื่องบินขนส่งทางทหาร IL–76MD-90A(E) จะถูกจัดแสดงที่สนามบิน ผลิตภัณฑ์สำหรับกองทัพอากาศ กองทัพภาคพื้นดิน กองทัพเรือ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ จะถูกจัดแสดงในอาคารนิทรรศการ” Alexander Mikheev ผู้อำนวยการทั่วไปของ ROSOBORONEXPORT กล่าว “เราเห็นความสนใจอย่างมากในหมู่ตัวแทนของกองทัพ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของซาอุดีอาระเบีย และประเทศอื่น ๆ ในตะวันออกกลางในผลิตภัณฑ์ด้านกลาโหมของรัสเซียที่ผ่านการทดสอบในการรบล่าสุด (ในยูเครน) เราพร้อมที่จะนำเสนอรูปแบบความร่วมมือที่เป็นเอกลักษณ์ของพันธมิตรของเรา รวมถึง Localization ในการผลิตอาวุธรัสเซียและการพัฒนาแบบจำลองขั้นสูงร่วมกัน”

ระบบต่อสู้อากาศยานพิสัยไกลของ Almaz-Antey Corporation

บริษัทด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัสเซียมากกว่า 20 ราย รวมถึง Almaz-Antey Corporation, Special Technology Center, Remdiesel, Rostec State Corporation และบริษัทในเครือ High Precision Systems, UAC และ Technodinamika นำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนภายในบูธของ ROSOBORONEXPORT ซึ่งจะจัดแสดงอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหารสมัยใหม่จาก Uralvagonzavod, Kalashnikov Concern, สถาบันวิจัยเวกเตอร์, สถาบันวิจัยเหล็ก (ส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation) และผู้ผลิตของรัสเซียรายอื่น ๆ 

รถถังแบบ T-90MS

สำหรับอาวุธภาคพื้นดิน บริษัทจะนำเสนอรถถังแบบ T-90MS ซึ่งได้พิสูจน์ความสามารถในการปฏิบัติการรบจริง และเป็นที่ต้องการอย่างมากในตะวันออกกลาง ยานรบทหารราบ BMP-3 ที่ได้รับการติดตั้งระบบ Explosive reactive armour (ERA) รถพยาบาลภาคสนามหุ้มเกราะ ZSA Spartak และยานพาหนะ Typhoon-K MRAP แบบจำลองขนาดจริงของ ZA-SpN Titan ที่ได้รับติดตั้งเกราะตามวัตถุประสงค์พิเศษ พร้อมด้วยสถานีอาวุธควบคุมระยะไกล จะเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่นิทรรศการนี้ ยานพาหนะในระดับ MRAP นี้ มีขีดความสามารถในการป้องกันขีปนาวุธและทุ่นระเบิดในระดับสูง จึงมีโอกาสที่ดีเยี่ยมในตลาดตะวันออกกลาง รวมถึงเนื่องจากมีความเป็นไปได้ในการเปิดโรงงานผลิตอาวุธของรัสเซียในต่างประเทศ

ปืนไรเฟิลซุ่มยิง Chukavin

ในส่วนหนึ่งของนิทรรศการ ROSOBORONEXPORT จะนำเสนออุปกรณ์การสู้รบแบบบูรณาการที่ล้ำสมัย สำหรับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งรวมถึงปืนไรเฟิลซุ่มยิง Chukavin, ปืนไรเฟิล Bespokegun Raptor และปืนไรเฟิล Elegance ตลอดจนซีรีส์ของอาวุธปืนเล็กยาว Kalashnikov AK-200, AK-12, ปืนไรเฟิลจู่โจม AK-15, AK-19 และ AK-308, ปืนพก 9 มม. Lebedev, ปืนกลมือ Kalashnikov PPK-20 ขนาด 9 มม. และอาวุธยุทโธปกรณ์ Kub-E

เครื่องบินขนส่งทางทหาร IL-76MD-90A(E) รุ่นใหม่

เครื่องบินขนส่งทางทหาร IL-76MD-90A(E) รุ่นใหม่นี้ ซึ่งจัดแสดงในซาอุดีอาระเบีย จะเป็นการนำเสนอแบบจำลองขนาดจริงเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับเครื่องบินรบสมัยใหม่ของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงเครื่องบินรบ เครื่องบินทิ้งระเบิด และผู้ฝึกสอน คาดว่าจะสามารถดึงดูดความสนใจของคณะผู้แทนกองทัพอากาศ Ka-52 เฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวน/โจมตี เฮลิคอปเตอร์ขนส่งทางทหาร และเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง/โจมตีที่ดีที่สุดในโลก จะถูกจัดแสดงที่บูธ ROSOBORONEXPORT นอกจากนี้ ROSOBORONEXPORT จะจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางอากาศต่าง ๆ ภายในงานแสดงครั้งนี้ด้วย

UAV Orlan-10E

ROSOBORONEXPORT จะจัดแสดงระบบ UAV Orlan-10E และ Orlan-30 ในพื้นที่จัดแสดงกลางแจ้ง ในส่วนของมาตรการตอบโต้ด้วย UAV บริษัทจะจัดแสดงผลิตภัณฑ์ RB-504P-E สถานีตรวจตราด้วยวิทยุสำหรับการตรวจสอบช่องสัญญาณการสื่อสาร และระบบมาตรการตอบโต้ทางอิเล็กทรอนิกส์ Serp-VS6 สำหรับการตอบโต้ UAV ขนาดเล็ก

ขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศพิสัยไกล S-400 Triumf

อาวุธยุทโธปกรณ์ด้านการป้องกันภัยทางอากาศ จะนำเสนอระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ (SAM) ที่หลากหลายในพิสัยต่างๆ หนึ่งในนั้นคือระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศพิสัยไกล S-400 Triumf ของ Almaz-Antey, S-350E Vityaz, ระบบพิสัยกลาง Viking และ Buk-M2E และระบบ SAM ระยะสั้น Tor รุ่นต่าง ๆ บริษัท High-Precision Systems Holding Company ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation จะสาธิตระบบขีปนาวุธ/ปืนป้องกันภัยทางอากาศ Pantsir-S1, Pantsir-S1M และระบบขีปนาวุธ/ปืนป้องกันภัยทางอากาศทางเรือ Pantir-ME รวมถึงเครื่องบิน Verba และ Igla-S ระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบพกพา

ยานใต้น้ำไร้คนขับ Klavesin 1RE

สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ทางเรือ ROSOBORONEXPORT จะจัดแสดงยานใต้น้ำไร้คนขับรุ่นใหม่ล่าสุด Klavesin 1RE, เรือไฮโดรฟอยล์ Sagaris และเรือคอร์เวต Project 20382 ในรูปแบบการส่งออกใหม่ที่ติดตั้งระบบเรดาร์แบบบูรณาการ Zaslon

‘Rosteс State Corporation’ เป็นบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยรวบรวมองค์กรวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากกว่า 800 แห่งใน 60 ภูมิภาคของประเทศ กิจกรรมหลักของบริษัท ได้แก่ วิศวกรรมอากาศยาน, รังสีอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีทางการแพทย์, วัสดุที่เป็นนวัตกรรม ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกจัดส่งไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยรายได้ราวหนึ่งในสามของบริษัทมาจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ไฮเทค

อีอีซี มอบรางวัล 12 ผลงานผลิตภัณฑ์ชุมชนต้นแบบ ยกระดับความร่วมมือระหว่างพื้นที่ชุมชน และพื้นที่อุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นจากเขตพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี จัดพิธีมอบรางวัลผลิตภัณฑ์ชุมชนต้นแบบ ประจำปี 2566 (EEC Select 2023) จำนวน 12 ผลิตภัณฑ์ จาก 6 ผู้ผลิตต้นแบบ อีอีซี เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นที่สร้างสรรค์จากวัตถุดิบ/องค์ความรู้ท้องถิ่น โดยชุมชน วิสาหกิจชุมชน และกิจการเพื่อสังคมหรือวิสาหกิจเพื่อสังคม (SE) ในพื้นที่ อีอีซี ด้วยกระบวนการที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ณ สำนักงานอีอีซี ห้องประชุม Conference 1-2 ชั้น 25 อาคารโทรคมนาคมบางรัก 

ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการอีอีซี เปิดเผยว่า โครงการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชุมชนต้นแบบ (EEC Select) นับได้ว่าเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนในพื้นที่ 3 จังหวัด  อีกทั้งยังสามารถนำไปสู่การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลสำเร็จจากการพัฒนาเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโยลีและนวัตกรรมที่เหมาะสมในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ดังกล่าวในหลากหลายมิติ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และพัฒนาเครือข่ายให้แก่ชุมชน วิสาหกิจชุมชน และกิจการเพื่อสังคม หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม (SE) ในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.eeco.or.th/th/news/1734

'อลงกรณ์' กระชับสัมพันธ์ไทย-จีนร่วมมือส่งเสริมการศึกษาและเทคโนโลยี เผย 'เทนเซนต์' บริษัทยักษ์ใหญ่จีนพร้อมสนับสนุนไทยเจาะตลาด 1,300 ล้านคนขยายการค้าการท่องเที่ยวไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเสิลด์วิว ไครเมท อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่1และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยวันนี้ภายหลังนำคณะสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเซียโดยมีนางสาวอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมฯ นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด นางสาวประจงจิต พลายเวช รองประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมฯและนายตู้ เทียนเฉียว เลขาธิการสมาคมThink Tank ร่วมการประชุมว่าด้วยการพัฒนาและความร่วมมือการศึกษาและเทคโนโลยีกับผู้บริหารสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนชั้นนำของจีนในเซินเจิ้นภายใต้สมาคมการพัฒนาด้านการศึกษาเซินเจิ้นเพื่อยกระดับทางด้านการแลกเปลี่ยนและพัฒนาการศึกษาระหว่างไทย-จีน 

โดยแสวงหาความร่วมมือ พัฒนาต่อยอดนวัตกรรมการศึกษา การนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการศึกษาสมัยใหม่ ความร่วมมือโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนระหว่างไทย-จีน  การจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพทางการศึกษา และความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศผ่านระบการศึกษา  ภายใต้การส่งเสริมนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (one belt one road)  และแผนการปฏิรูปการศึกษาของไทยรวมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดกิจกรรมการศึกษาครั้งใหญ่ที่จะจัดให้มีขึ้นในประเทศไทย ในโอกาสครบรอบความสัมพันธไมตรีไทย-จีน 50 ปี ในปีหน้า ทั้งนี้คณะผู้บริหารการศึกษาเซินเจิ้นแสดงเจตจำนงอย่างกระตือรือร้นต่อการยกระดับความร่วมมือกับประเทศไทย

จากนั้นได้เดินทางไปดูระบบสมาร์ทคลาสรูม(smart classroom)หรือห้องเรียนอัจฉริยะสุดไฮเทคที่ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลและเอไอ(AI)ในการเรียนการสอนแบบออนไซต์(on-site)และออนไลน์(on-line)โดยดร.ริคกี้ หลิว ซีอีโอ.ของบริษัทยินดีที่จะสนับสนุนการศึกษาของไทย

นอกจากนี้นายอลงกรณ์และคณะยังได้เข้าเยี่ยมชมบริษัทเทนเซนต์(Tencent)และเทนเซนต์ คราวด์(Tencent Cloud)โดยมีทีมผู้บริหารของTencent Culture and Tourism ให้การต้อนรับและนำเสนอเทคโนโลยีของ Tencent Cloud และ Tencent Culture and Tourism โดยหารือเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลคุณภาพสูงในประเทศจีนและไทยโดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล AIและการพัฒนาแอพพลิเคชั่นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยTencentพร้อมสนับสนุนประเทศไทยในการส่งเสริมฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่กว่า 1,300 ล้านคนผ่านเครื่องมือทางการตลาดซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการขยายการท่องเที่ยวและการค้าของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ในอนาคต เราหวังว่าจะเสริมสร้างความร่วมมือและการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการค้าระหว่างจีนและไทยอย่างมุ่งมั่นโดยใช้เทคโนโลยี วัฒนธรรม และทรัพยากรอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใหม่ ๆ การยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างห่วงโซ่อุตสาหกรรม การสร้างพื้นที่ความร่วมมือมากขึ้นทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ การค้า การศึกษาและวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีนอย่างต่อเนื่อง“นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

ผบ.ตร.ขานรับนโยบายรัฐบาล เปิดรับทหารกองหนุน สอบเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจ 500 อัตรา จบมาลงหน่วย ตชด.ทำงานชายแดนคู่หน่วยทหาร เชื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดงบประมาณ ลดเวลาเรียนลง เพราะทหารมีความรู้พื้นฐานแล้ว

วันนี้ (3ก.พ.67) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ และให้หน่วยต่างๆ พิจารณาสนับสนุนให้ทหารกองประจำการสามารถประกอบอาชีพอื่นต่อได้นั้น  สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้อนุมัติให้เปิดรับสมัครและคัดเลือกทหารกองหนุนที่เคยรับราชการในกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) จำนวน 500 อัตรา บรรจุและแต่งตั้งเป็น นักเรียนนายสิบตำรวจ เพื่อเข้ารับการฝึกอบรม เมื่อสำเร็จการฝึกอบรมจะแต่งตั้งลงในสังกัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่สอดคล้องกับภารกิจของทหาร และมีความคุ้นเคยกับระบบการฝึกการใช้อาวุธต่างๆ อยู่แล้ว

การรับทหารกองหนุนเข้ามาเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจนั้น จะสามารถลดเวลาการฝึกอบรมให้สั้นลงเหลือเพียงประมาณ 6 เดือน ทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณ โดยทหารกองหนุนที่จะรับสมัครนั้น คุณสมบัติจะต้องจบการศึกษาระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า มีอายุระหว่าง 18-27 ปี บริบูรณ์ และหน่วยต้นสังกัดจะต้องรับรองความประพฤติ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อดีคือ ทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกระเบียบวินัย การใช้อาวุธและความรู้พื้นฐานมาแล้ว ทำให้เราสามารถลดระยะเวลาการฝึกอบรมลงได้ โดยจากเดิมต้องใช้ระยะเวลาผลิตข้าราชการตำรวจตามหลักสูตรคือ 1 ปีครึ่ง หรือ 18 เดือน ก็จะลดลงมาเหลือเพียง 6 เดือน ซึ่งจะช่วยทดแทนการขาดแคลนตำรวจได้ อีกทั้งช่วยประหยัดงบประมาณในการฝึกอบรม และยังเป็นการสนับสนุนนโยบายสมัครใจเกณฑ์ทหารของรัฐบาลอีกด้วย ทั้งนี้กระบวนการสอบคัดเลือกทั้งภาควิชาการ ร่างกาย สุขภาพจิต และการคัดกรองด้านอื่นๆ ยังคงเข้มข้นและเป็นไปตามมาตรฐานเช่นเดิม

ทั้งนี้ สำหรับขั้นตอนและการประกาศรับสมัครนั้น ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกองบัญชาการศึกษา ดำเนินการในรายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2567 นี้ โดยจะประกาศรายละเอียดให้ทราบอีกครั้ง 

โฆษกเกษตร แจง !! กระทรวงเกษตรฯ ยุค 'ธรรมนัส' ข้าราชการต้องโปร่งใส ไม่กลัว 'เกลือเป็นหนอน' ย้อนระวังจะโดน 'เกลือจิ้มเกลือ'

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวถึงกรณีมีการกล่าวอ้าง ว่า ภายในกระทรวงเกษตรฯ มีเกลือเป็นหนอนส่งข้อมูลปมทุจริตนั้น ยืนยันว่า ทุกอย่างมีกระบวนการในการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง ไม่กลัว “เกลือเป็นหนอน” แต่ระวังจะย้อนกลับเป็น 'เกลือจิ้มเกลือ' หากให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ และพร้อมดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ เป็นสถานที่ราชการ ประชาชนทุกคนสามารถเดินทางมาที่นี่ได้ตามปกติ เฉกเช่นเดียวกันกับกลุ่มม็อบต่างๆ เดินทางมาอยู่หน้ากระทรวงเกษตรฯ กินนอนเป็นประจำ และเข้ามาใช้บริการห้องน้ำภายในตัวอาคาร ใช้เป็นที่หลบฝนบางครั้งบางคราวในทุกยุคทุกสมัย จึงยากที่จะจำได้หมด ว่า ในแต่ละวันรัฐมนตรีแต่ละท่านพบเจอใครบ้าง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ เป็นหน่วยงานราชการที่รับเอาทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรในหลายด้าน มาช่วยเหลือและแก้ไขเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะมีทั้งกลุ่มผู้เรียกร้อง และกลุ่มผู้มาร้องเรียน สามารถมายื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่างๆ ได้ตามปกติ ซึ่งนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ในยุคของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยฯ ทั้งสองท่าน ยึดมั่นในแนวทางการบริหารราชการด้วยความโปร่งใส เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล นายกเศรษฐา ทวีสิน ที่ยึดมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส มีความเป็นธรรมาภิบาล (Good governance) ส่วนรูปคดีมีความคืบหน้า มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดมากขึ้น เน้นย้ำให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ซึ่งเป็นหน้าที่ของขบวนการยุติธรรมที่ดำเนินการตามกฏหมายต่อไป  

ดังนั้น ขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนทุกท่าน เชื่อมั่นในการบริหารงานของกระทรวงเกษตรฯ ที่ผู้บริหารในระดับนโยบายได้สั่งการและกำชับให้ข้าราชการในสังกัดของกระทรวง ยึดโยงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง อย่าไปให้ความสำคัญกับขบวนการบ่อนทำลายชื่อเสียงของกระทรวงเกษตรฯ และบั่นทอนขวัญกำลังใจของข้าราชการในกระทรวงที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อตอบโจทย์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ

ความจริงแห่ง ‘สมเด็จพระสังฆราช’ ทรงวางตัวเฉกเช่น ‘หลวงตา-หลวงปู่’ โปรดความเรียบง่าย อยู่อย่างสมถะ เต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา

เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 67 ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ @Bbow_R โพสต์คลิปวิดีโอสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ชัชพล ไชยพร รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาได้ทำหน้าที่ติดตามรับใช้ ‘สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ’ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ของประเทศไทย เกี่ยวกับอุปนิสัยส่วนพระองค์ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ โดยระบุว่า…

“ของส่วนพระองค์นั้นทรงสมถะมาก อย่างที่เราเห็น ใครเคยได้ขึ้นไปบนที่ประทับของท่านก็จะเห็นได้ว่า ภายในห้องนั้นไม่มีอะไรเลย เป็นพระตําหนักเปล่าๆ มีพระเก้าอี้และข้าวของที่วางอย่างเป็นระเบียบ เรียบง่าย ท่านรับสั่งว่า “ที่นี่เป็นที่ของหลวงตา” คือท่านวางพระองค์เป็น ‘หลวงตา หลวงปู่’

อย่างพระเก้าอี้ รวมถึงข้าวของอะไรต่างๆ ก็ห้ามปรับเปลี่ยน เพราะท่านไม่โปรดของหรูหราเลย พระเก้าอี้ห้ามปิดทองผ้ากาววาว คือ ในภาษาพระ ‘ผ้ากาววาว’ แปลว่า ‘ผ้ายิบระยับ’ ท่านบอกว่านั่นไม่ใช่ของควรแก่สมณะ ต้องเรียบร้อย

แต่หากถ้าเป็นของบูชาพระ เท่าไรเท่ากัน ต้องประณีตวิจิตรที่สุด และเวลาจัดวาง จะต้องมีความสมดุล สวยงาม ถูกต้อง อย่างจัดวางไม่เรียบร้อย ท่านก็จะจัดใหม่ให้งามที่สุด เพราะนั่นคือของบูชาพระรัตนตรัย

แต่ถ้าของส่วนพระองค์เองจะทรงสมถะที่สุด ในห้องบรรทมของท่านนี้ไม่มีอะไรเลย ที่บรรทมเป็นพระแท่นไม้แบนๆ เรียบๆ ไม่มีความหรูหรา ธรรมดาตามพระวินัยเลยครับ”

'ไชยา' แจ้งข่าวดี 'เวียดนามไฟเขียว' ตลาดโค-กระบือไทย หลังผลักดันส่งออกโคทางเรือครั้งแรก นำร่องฟาร์มไทย 23 แห่ง

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีไทยเตรียมส่งโคมีชีวิตไปเวียดนามทางเรือครั้งแรก ว่า กรมปศุสัตว์ได้รับรายงานเบื้องต้นจากกระทรวงต่างประเทศ ถึงผลการพิจารณาการส่งออกโคกระบือจากไทยไปเวียดนามโดยขนส่งทางเรือ โดยกรมสุขภาพสัตว์เวียดนาม (DAH ) อนุญาตให้ไทยส่งออกโคและกระบือทางทะเลได้โดยต้องส่งออกจากท่าเรือไทยที่ได้รับการตรวจเชื้อโรคและควบคุมอย่างเข้มงวดก่อนการส่งออก พร้อมให้การรับรองฟาร์มโคและกระบือปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย เพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ ชูชีพฟาร์ม เขียวขำเทรดดิ้ง2019 และอดิสรฟาร์ม88 รวมขณะนี้มีการรับรองฟาร์มที่มีการขึ้นทะเบียนเพื่อการส่งออกไปเวียดนามแล้วทั้งสิ้น 23 ฟาร์ม 

ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการด้านเอกสารระหว่าง กระทรวงการต่างประเทศและกรมปศุสัตว์ นายไชยากล่าวว่า  ถือว่าเป็นข่าวดีของพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกระบือ เป็นการขยายตลาดเพื่อการส่งออกและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งตนพยายามผลักดันเรื่องนี้มาตลอด นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายกรมปศุสัตว์ใช้ศูนย์ผลิตอาหารของกรมเป็นฐานการผลิตหัวอาหารสัตว์เพื่อส่งจำหน่ายให้แก่กลุ่มสหกรณ์การเกษตร ทั้งโคเนื้อ โคนม สุกร เพื่อลดต้นทุนอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกร และเร่งพัฒนาโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคระบาดสัตว์ให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากลและสามารถส่งออกวัคซีนไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ รวมถึงจัดหาตลาดเพื่อรองรับปริมาณโคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงเชือดชุมชน โรงเชือดเพื่อการส่งออกตามมาตรฐานสากล เพื่อรองรับตลาดโคเนื้อ ทั้งโคมีชีวิตและผลิตภัณฑ์โคชำแหละ โดยเฉพาะตลาดใหญ่คือประเทศจีน ประเทศตะวันออกกลางและเวียดนามที่มีกำลังซื้อสูง เป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศและเพิ่มมูลค่าสินค้าด้านปศุสัตว์ของไทย

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 เรียกถกคณะขับเคลื่อนการพูดคุยเพื่อสันติสุข ระดับพื้นที่ชุดใหม่ เดินหน้าสร้างการรับรู้ วางเป้าสายตากรอบการทำงาน เน้นลดความรุนแรง รอมฎอนถึงสงกรานต์

2 กพ 67 ที่ รร.cs ปัตตานี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ในฐานะหัวหน้าคณะประสานงานระดับพื้นที่ เป็นประธานการประชุมคณะประสานงานระดับพื้นที่ชุดใหม่  พร้อมด้วย พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า / คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้และเลขานุการร่วม,พลเอก มณีจันทร์ทิพย์ ที่ปรึกษากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วย 8 กลุ่มอาชีพและภาคประชาชนส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมพบปะเพื่อขับเคลื่อนงานการสร้างสภาวะแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เอื้อต่อกระบวนการพูดคุยสันติสุข โดยการสร้างความรับรู้ สร้างความเข้าใจกับประชาชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกภาคส่วน ได้เข้ามามีส่วนร่วมและรับรู้ข้อมูลข่าวสารในการขับเคลื่อนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยในการประชุม ครั้งนี้ เป็นการขับเคลื่อนงาน และมอบแนวทางกาขับเคลื่อนงานการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกระบวนการพูดคุยสันติสุข จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในประเด็นการสร้างความรับรู้ สร้างความเข้าใจต่อประเด็นสารัตถะ ทั้ง 3 เรื่อง ประกอบด้วย ประเด็นการลดความรุนแรง , ประเด็นการปรึกษาหารือกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และประเด็นการแสวงหาทางออกทางการเมือง เพื่อให้คณะประสานงานระดับพื้นที่นำไปขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ ตลอดจนนำข้อคิดเห็นมารวบรวมข้อมูลนำเสนอต่อคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้นำไปกำหนดเป็นประเด็นการพูดคุยกับฝ่ายผู้เห็นต่าง วางเป้าจากปีที่ผ่านมา ต้องให้การรับรู้ความเข้าใจ มากขึ้นกว่า 60 %  หลังจากจะมีเวทีพูดคุยกับฝ่าย BRN ในอาทิตย์หน้า เน้นน้ำลดเหตุความรุนแรงช่วงเดือนรอมฏอนไปถึงสงกรานต์ 

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! พรรคก้าวไกลเสนอแก้ 112 และเป็นนายประกันให้ผู้ต้องหาคดี 112 เข้าข่ายแล้วล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“พฤติการณ์เรียกร้องของ นายพิธา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ตลอดจน สส. ที่เรียกร้องให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 รวมทั้งไปเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 สะท้อนให้เห็นความมุ่งหมายในการยกเลิกมาตรา 112 อันเป็นการลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์”

สำรวจผลโพล ‘วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต’ ประเด็นนโยบายรัฐ ‘แลนด์บริดจ์’ ฉลุย!! คนอยากให้เดินหน้า ส่วน ‘แจกเงินดิจิทัล’ อยากให้ระงับ

(3 ก.พ. 67) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดตัวโครงการ ‘Leadership Poll’ ภายในงานมีการแถลงข่าวผลสำรวจความคิดเห็นลีดเดอร์ชิพโพล ครั้งที่ 1/2567 โดย รองศาสตราจารย์ ร.ต.อ.ดร.จอมเดช ตรีเมฆ รองคณบดีฝ่ายวิชาการวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม ในฐานะหัวหน้าลีดเดอร์ชิพโพลล์ นำเสนอผลสำรวจความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ 

สำหรับ Leadership Poll หรือ โพลผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง จัดทำโดยวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้นำภาคสังคม, ธุรกิจและการเมือง ต่อนโยบายภาครัฐที่อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการในปัจจุบัน 

โดยมีการเก็บข้อมูลทั้งสิ้น 543 ตัวอย่างในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 จากกลุ่มผู้นำภาคสังคม, ธุรกิจและการเมือง โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ...

1.) ผู้นำภาคธุรกิจ : ตัวแทนนักธุรกิจที่ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
2.) ภาคประชาสังคม : ตัวแทนภาคประชาสังคม NGO และมูลนิธิต่างๆ ในประเทศไทย
3.) ภาคการเมือง : นักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี นายกและรองนายก อบจ. นายกและรองนายก อบต. ในทุกภูมิภาคของประเทศ
4.) ภาคการศึกษา : นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี รองคณบดี ในมหาวิทยาลัยรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชน

สำหรับสาระสำคัญในการสอบถามความคิดเห็นต่อนโยบายรัฐบาล ประกอบไปด้วยประเด็นดังต่อไปนี้...

1.) ความคิดเห็นต่อนโยบาย ‘เงินหมื่นดิจิทัล’ ของรัฐบาล ผลการสำรวจพบว่า...
- 62.20 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
- 21.30 % เห็นด้วยกับการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวแต่เห็นควรให้ชะลอการดำเนินการหรือมีการทบทวนการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
- 13.00 % เห็นด้วยตามที่รัฐบาลนำเสนอและควรเร่งดำเนินการตามกรอบเวลา
- 3.50 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ยังไม่ได้ศึกษามากพอที่จะออกความคิดเห็น)
(ไม่แน่ใจ)
(ไม่ค่อยสนใจ)

2.) ความคิดเห็นต่อโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ ของรัฐบาล ผลสำรวจพบว่า...

- 36.70 % เห็นด้วยกับการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวแต่เห็นควรให้ชะลอการดำเนินการหรือมีการทบทวนการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
- 29.60 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
- 28.00 % เห็นด้วยตามที่รัฐบาลนำเสนอและควรเร่งดำเนินการตามกรอบเวลา
- 5.70 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ไม่ทราบรายละเอียด)
(ต้องการข้อมูลที่ศึกษา)
(ไม่แน่ใจ)

3.) ความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของรัฐบาล ผลสำรวจพบว่า...
- 41.10 % เห็นด้วยตามที่รัฐบาลนำเสนอและควรเร่งดำเนินการตามกรอบเวลา
- 37.30 % เห็นด้วยกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวแต่เห็นควรให้ชะลอการดำเนินการหรือมีการทบทวนการจัดสรรงบประมาณอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง
- 14.50 % ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
-1.40 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ไม่ทราบรายละเอียด)
(เห็นด้วยเป็นบางอย่าง)
(ยังเข้าใจไม่ชัดเจน)

4.) ความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลสำรวจพบว่า...
- 52.40 % เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา
- 28.8 % เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
- 14.5% ไม่เห็นด้วย
- 4.3% ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112)
(แก้ไขบางมาตราที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนจริงๆ)
(นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้และพิจารณาปรับปรุงหลักการในบางมาตรา)

5.) ความคิดเห็นต่อความมุ่งมั่นตั้งใจในการขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผบ.สำรวจพบว่า...
- 51.20 % ยังคงขาดความมุ่งมั่นในการดำเนินการ
- 34.90 % มีความมุ่งมั่นแต่ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
- 9.40 % มีความมุ่งมั่น
- 4.50 % ความคิดเห็นอื่นๆ เช่น...
(ยังไม่ได้ศึกษามากพอที่จะออกความคิดเห็น)
(ไม่ทราบแน่ชัด)
(ไม่แน่ใจ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งยังน้อยเกินกว่าที่จะประเมิน)

>> สำหรับข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่ได้จากการสำรวจ...
1.) เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร อย่างน้อยนโยบายที่ใช้หาเสียงก็ควรมีการดำเนินการตามที่เคยพูดไว้ยังมองไม่ออกว่าอะไรที่ทำไปแล้ว และอะไรที่ยังไม่ได้ทำก็ควรชี้แจง

2.) รัฐบาลต้องเคารพกฎหมาย เป็นตัวอย่างของการรักษาความยุติธรรม ไม่ให้อภิสิทธิ์ใครให้อยู่เหนือกฎหมาย

3.) การพัฒนาประเทศควรใช้สิ่งที่ไทยได้เปรียบเป็นสารตั้งต้นสำคัญ นโยบายสาธารณะที่ดีบางครั้งเกิดจากนวัตกรรมทางกระบวนการ แค่ปรับเปลี่ยนวิธีการก็อาจมีผลดีอย่างมีนัยสำคัญ ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาล
 
4.) รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหา ในเรื่องของยาเสพติด ควบคู่กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเร่งด่วน

5.) รัฐบาลควรลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการทุจริต การศึกษาและการทำงานของข้าราชการที่ล่าช้าและไม่สอดคล้องกับสภาวะการปัจจุบัน

6.) รัฐบาลยังคงกังวลเรื่องคะแนนเสียงมากกว่าการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังและจริงใจ

7.) โครงการแลนด์บริดจ์ ที่ดูไม่ได้รับความสนใจ เพราะต้องขนของจากเรือที่ฝั่งอ่าวไทย ขนขึ้นรถไฟ แล้วขนลงเรืออีกครั้งที่ฝั่งอันดามัน ไม่สมเหตุสมผลในทางปฏิบัติจริง ควรเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น ที่ไม่ต้องขนของขึ้นๆลงๆ จากเรือ คือให้เรือทั้งลำแล่นผ่านไปได้เลย

8.) ควรให้ความสนใจปัญหาโครงสร้างทางสังคมและการศึกษาในระดับแรกๆ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อนาคตของประเทศไทยดูแล้วมีแต่ถอยหลังเพราะเยาวชนของชาติไม่มีคุณภาพ คนไทยไม่ชอบใช้เหตุผล ใช้อารมณ์และความชอบส่วนตัวในการตัดสินใจปัญหา สนใจไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์

9.) เข้าใจว่าผู้นำหลายท่านกังวลกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่วิกฤติความขัดแย้งที่เป็นผลเรื้อรังมานับสิบปีก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งหากไม่มีแผนการดำเนินงานดังกล่าว ประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะตกอยู่ในภาวะ Burnout และเลือกที่จะชะลอการสร้างผลผลิต (Productivity) หรือเลือกที่จะไม่พัฒนาศักยภาพ (Capacity) ซึ่งจะเกิดปัญหาเรื้อรังต่อไปในอนาคต โดยอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศของการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ หรือสร้างความภูมิใจร่วมที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงได้

10.) เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท รัฐบาลต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า ประเทศเกิดภาวะที่จะเรียกว่าวิกฤตหรือไม่ อย่างไร ถ้าจะแจก ควรกำหนดกลุ่มผู้เดือดร้อนให้ชัดเจน และเมื่อเป็นเงินกู้ เหตุใดจึงต้องจ่ายเป็นเงินดิจิทัล ทำไมไม่จ่ายเป็นเงินบาท ใครเป็นผู้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราการแลกเปลี่ยน และมีค่าใช้จ่ายในการแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top