Monday, 12 May 2025
NewsFeed

นาซาเตือน แม้แต่ระเบิดนิวเคลียร์ ก็ไม่สามารถหยุดดาวเคราะห์น้อยที่จะมุ่งหน้ามายังโลกได้ หลังทดลองจำลองเหตุการณ์ มีเวลา 6 เดือน หาทางปกป้องโลกจากการถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน

เดลี่เมลรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) ได้ข้อสรุปจากการทดลองจำลองเหตุการณ์เพื่อหาวิธีปกป้องโลกของเรา จากการถูกดาวเคราะห์น้อยขนาดยักษ์พุ่งชนโลกว่า ถึงแม้จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งดาวเคราะห์น้อยที่จะพุ่งชนโลกได้

เมื่อ 4 พ.ค. 64 เดลี่เมลรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) ได้ข้อสรุปจากการทดลองจำลองเหตุการณ์เพื่อหาวิธีปกป้องโลกของเรา จากการถูกดาวเคราะห์น้อยขนาดยักษ์พุ่งชนโลกว่า ถึงแม้จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งดาวเคราะห์น้อยที่จะพุ่งชนโลกได้

การจำลองเหตุการณ์ เริ่มจากนักวิทยาศาสตร์นาซาได้รับการแจ้งว่าพวกเขามีเวลา 6 เดือนในการหาทางสกัดไม่ให้ดาวเคราะห์น้อยขนาดยักษ์ซึ่งมีวงโคจรที่จะพุ่งชนโลก หลังจากได้สำรวจพบดาวเคราะห์น้อยกำลังอยู่ในระยะห่างจากโลก 35 ล้านไมล์

จากการศึกษาเพื่อหาทางสกัดดาวเคราะห์น้อย โดยใช้เวลา 4 วัน ระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน และนักดาราศาสตร์ได้ใช้ระบบเรดาร์ ข้อมูลภาพและเทคโนโลยีหลายอย่าง รวมทั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ จนได้ข้อสรุปว่า ระยะเวลา 6 เดือน ไม่เพียงพอที่จะเตรียมตัวสำหรับการส่งยานอวกาศขึ้นไปพุ่งชนดาวเคราะห์น้อย รวมถึงการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ อย่างเช่นที่เห็นในภาพยนตร์เรื่องอาร์มาเกดดอน ก็ไม่อาจหยุดยั้งดาวเคราะห์น้อยที่กำลังมุ่งหน้ามายังโลกได้

สำหรับโครงการจำลองเหตุการณ์ทดสอบการหาทางหยุดยั้งดาวเคราะห์น้อยที่จะชนโลกของนาซานี้ ใช้ชื่อว่า 'Space Mission Options for the Hypothetical Asteroid Impact Scenario'

จำลองเหตุการณ์วันที่ 1 : 19 เมษายน 2021
นักวิทยาศาสตร์โครงการปกป้องโลกของนาซา ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย พบดาวเคราะห์น้อย ชื่อ 2021PDC ซึ่งจัดเป็นวัตถุใกล้โลก อยู่ในระยะห่างจากโลก 35 ล้านไมล์ และมีโอกาสที่จะชนโลกเพียงแค่ 5% ในวันที่ 20 ตุลาคม

จำลองเหตุการณ์วันที่ 2 : 2 พฤษภาคม 2021
นักดาราศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการรวบข้อมูลการโคจรของดาวเคราะห์น้อย และความเป็นไปได้ที่อาจจะชนโลก โดยทีมได้ใช้ข้อมูลภาพถ่ายเหตุการณ์ที่ดาวเคราะห์น้อยเคยเข้าใกล้โลก ในปี 2014

ข้อมูลนี้ทำให้นักดาราศาสตร์ลดวงโคจรที่ไม่แน่นอนของดาวเคราะห์น้อย และได้ข้อสรุปการจำลองเหตุการณ์นี้ว่า ดาวเคราะห์น้อยมีความเป็นไปได้ที่จะชนโลก 100% ในบริเวณยุโรป หรือตอนเหนือของทวีปแอฟริกา

จากข้อมูลดังกล่าง ทำให้ทางทีมรีบทำงานเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก โดยมีการออกแบบให้ส่งยานอวกาศขึ้นไปพุ่งชนดาวเคราะห์น้อย ก่อนที่มันจะชนโลก แต่ได้ข้อสรุปว่า ด้วยระยะเวลาที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถที่จะปฏิบัติภารกิจอันเหลือเชื่อนี้ได้ ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ยังได้เสนอให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่เชื่อว่าจะมีอุปสรรคหลายอย่าง และจากการจำลองทดสอบเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าใช้อาวุธระเบิดนิวเคลียร์พุ่งชนดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่ราว 114 ฟุต จนถึง 800 เมตร จะสามารถทำลายดาวเคราะห์น้อยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งก็ไม่แน่ชัดว่าระเบิดนิวเคลียร์ขนาดไหนจึงสามารถจะสกัดดาวเคราะห์น้อยได้

จำลองเหตุการณ์วันที่ 3 : 30 มิถุนายน 2021
การทดสอบกระโดดไปถึงเวลาที่โลกจะถูกดาวเคระห์น้อยพุ่งชน โดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เฝ้าติดตามทุกคืน ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้ปรับแต่งวงโคจรให้แคบลงอย่างมีนัยสำคัญ มีความเป็นไปได้ที่ดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกแถวเยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย สโลเวเนีย และโครเอเชีย

จำลองเหตุการณ์วันที่ 4 : 14 ตุลาคม 2021
เหลือเพียงแค่ 6 วัน ดาวเคราะห์น้อยจะชนโลก โดยขณะนี้มันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 3.9 ล้านไมล์ และมีระยะใกล้พอที่จะใช้ระบบ Goldstone Solar System Radar ในการวิเคราะห์ดาวเคราะห์น้อย ทั้งขนาดและลักษณะกายภาพ ซึ่งพบว่าดาวเคราะห์น้อยมีขนาดเล็กกว่าที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า จึงได้ลดขนาดพื้นที่ที่มีโอกาสจะถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนให้แคบลง เหลือเพียงบริเวณพรมแดนของเยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก และออสเตรีย และกำหนดให้ดาวเคราะห์น้อยมีความเป็นไปได้ที่จะพุ่งชนโลกในภูมิภาคแถวนี้ 99%

ลินด์ลีย์ จอห์นสัน เจ้าหน้าที่โครงการ Planetary Defense ของนาซา กล่าวว่า แต่ละครั้งที่ได้ร่วมทดสอบในเหตุการณ์ธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้นี้ ทำให้พวกเราได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับว่า ใครจะเป็นตัวหลักในเวลาเกิดหายนะ และใครจำเป็นต้องรู้ข้อมูล เพื่อช่วยในการหาทางปกป้องโลกของเราให้ได้มากที่สุด จากการถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/foreign/2084216

‘รองโฆษกพรรคกล้า’ ห่วงบรรทัดฐาน ‘คดีธรรมนัส’ คนต้องคำพิพากษาคดียาเสพติดต่างประเทศเป็น ส.ส.-รัฐมนตรีได้ ชี้ช่องยื่น ป.ป.ช. วินิจฉัยจริยธรรมร้ายแรงต่อ

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ กรณีต้องคำพิพากษาศาล ออสเตรเลียในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดในเรื่องคุณสมบัติแล้ว แต่การให้เหตุผลคำวินิจฉัยในทำนองว่าคำพิพากษาของต่างประเทศ ไม่มีผลผูกพันต่อกฎหมายไทย เกิดเป็นคำถามถึงบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมไทย

"ผมไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับบุคคลในคดี แต่สงสัยว่า ถ้ามีคนก่อคดีคล้าย ๆ มันคือแป้ง ในต่างประเทศ หมายความว่าบุคคลนั้น สามารถสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. หรือเป็นรัฐมนตรี ได้หรือไม่ เชื่อว่าประชาชนอีกหลาย ๆ คน ก็คงรู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน จึงหวังว่าคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่จะออกมาภายหลัง จะมีการอธิบายถึงบรรทัดฐานในอนาคตที่ชัดเจนด้วย" นายแสนยากรณ์ กล่าว

รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติคงจะจบไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงมีประเด็นว่า ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามหมวด 1 ของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ซึ่งกำหนดให้บังคับใช้แก่ ส.ส., ส.ว. และคณะรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่โดยสามารถยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้มูลว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และส่งต่อให้ศาลฎีกาตัดสินต่อไป

นายแสนยากรณ์ ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 กำหนดด้วยว่า ผู้ใดกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรด้วย รวมถึงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5 ) เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2525 ก็ระบุถึงเจตนารมณ์ส่วนหนึ่งว่า ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ น่าจะเป็นข้อกฎหมายและความเห็นที่มีนัยยะสำคัญ หากมีการวินิจฉัยต่อว่าขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Withawatt Cozy Tansuhaj’ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เรื่องคุณธรรมนัสวันนี้ ขอยกตัวอย่างที่ฮ่องกง

เหตุจลาจลที่ฮ่องกงเกิดจากอะไรแต่แรก

คือมีชายฮ่องกงพาเพื่อนหญิงของเขาไปใต้หวันและฆ่าเธอตายที่นั่น พอหนีกลับมาฮ่องกง ทางใต้หวันแจ้งไปเรื่องฆาตกรรม แต่เนื่องจากไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เขาจึงรับโทษที่ฮ่องกงแค่ข้อหาขโมยโทรศัพท์มาขายเท่านั้น

จีนจึงออกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน พวกโจซัว หว่องเลยออกมาประท้วงเพราะกลัวจะหนีไม่ได้อีกต่อไป จะถูกจับส่งไปด้วย แล้วเรื่องมันก็ลุกลามอย่างที่เห็นกัน

ศาลฮ่องกงไม่มีสิทธิลงโทษชายผู้นั้นข้อหาฆาตกรรม ทั้งๆที่เขาก็ยอมรับว่าเป็นฆาตกร เพราะเขาไปฆ่าที่ใต้หวัน มันเป็นหลักสากลที่ว่า เหตุที่เกิดในประเทศหนึ่งจะไม่มีผลทางกฎหมายใดใดในอีกประเทศหนึ่ง

คุณธรรมนัสที่รอดก็ด้วยหลักสากลนี้ จะค้ายาจริงหรือไม่นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่เขาติดคุกที่ออสเตรเลียไม่ใช่ที่ไทย ผลการตัดสินผมว่ามันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้่นตามหลักอธิปไตยทางกฎหมาย

อันนี้ไม่ได้ชอบหรือเกลียดคุณธรรมนัสนะ เฉยๆมาก ครั้งเลือกตั้งล่าสุดก็ไม่ได้เลือกพรรค พปชร. แต่ผมเห็นด้วยกับการตัดสิน

การทำผิดกฏหมายที่ต่างประเทศ ไม่ควรมีผลสำหรับคุณสมบัติที่บังคับใช้ในประเทศไทย ถือว่าถูกแล้วครับ สำหรับประเทศที่ยังเป็นเอกราช

จะต่อว่าก็ต่อว่าคุณธรรมนัสได้ครับ ที่ไม่ยอมพิจารณาตัวเอง ไม่มีสปิริต

แต่จะมากล่าวหาว่าร้ายให้ศาลหรือเลยเถิดไปถึงไหนก็ตาม อันนี้ไม่ใช้สติละ ไม่ถูกเลยครับ ผิดและอคติอย่างมาก

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10226662436727835&id=1255629295

‘หมอยง’ ชี้ ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ว่าของเจ้าไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่วัคซีนในกลุ่ม mRNA จะมีภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีนอื่น ส่วนประเทศไทยตัวไหนก็ได้ ขอให้ได้ฉีดเร็วที่สุด

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Yong Poovorawan” หัวข้อ โควิด-19 วัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน โดยระบุว่า ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะไม่ได้ทดลอง หรือ ศึกษาพร้อมกันในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีน ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น

1.) ความชุกของโรคในขณะทำการศึกษา ถ้าความชุกของโรคสูง ตัวเลขประสิทธิภาพจะต่ำกว่า ดังนั้นจะเห็นได้ว่าวัคซีน Pfizer ขณะทำการทดลองถึงประสิทธิภาพ มีอุบัติการณ์ของโรคในประชากรต่ำกว่า วัคซีน Johnson and Johnson ในขณะที่ทำการทดลองในอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดสูงสุดในอเมริกา จึงมองดูตัวเลขแล้ววัคซีนของ Pfizer จึง มีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนจอห์นสัน เพราะเป็นการนับจำนวนผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงการศึกษา

2.) ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ถ้าใช้ประชากรกลุ่มเสี่ยงสูง จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า การศึกษาในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่ำกว่า เพราะวัคซีนส่วนใหญ่จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ แต่ป้องกันความรุนแรงของโรค เช่น วัคซีน Sinovac ที่ทำการศึกษาที่บราซิล ใช้กลุ่มเสี่ยงสูง คือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ได้ประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนเดียวกันที่ทำการศึกษาในประชากรทั่วไป ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในตุรกี ได้ตัวเลขประสิทธิภาพที่สูงกว่าการศึกษาในบราซิลมาก

3.) การนับความรุนแรงของโรค ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง วัคซีนของจีน Sinovac ทำการศึกษาในบราซิล ตัวเลขประสิทธิภาพ นับจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการน้อยมากเข้าไปด้วย หรือ ระดับความรุนแรงที่เรียกว่า WHO grade 2 คือติดเชื้อมีอาการ แต่ไม่ต้องการการดูแลรักษา (no need medical attention) ซึ่งตรงข้ามกับวัคซีนอีกหลายตัว ไม่มีการกล่าวถึงความรุนแรงของโรคที่ชัดเจน ส่วนใหญ่มักจะเป็นความรุนแรงระดับ WHO grade 3 คือป่วย เป็นแบบผู้ป่วยนอกไม่ต้องการนอนโรงพยาบาล แต่ต้องพบแพทย์ (need medical attention) ถ้ายิ่งนับความรุนแรงที่น้อยมาก ๆ จะมีตัวเลขประสิทธิภาพต่ำ และถ้านับความรุนแรงตั้งแต่เกรด 4 คือป่วยต้องเข้านอนโรงพยาบาล ประสิทธิภาพจะยิ่งสูงมาก และถ้ายิ่งความรุนแรงที่สูงไปอีก ถึงเกรด 7 Grade 7 คือเสียชีวิต ประสิทธิภาพจะใกล้ 100% ของ วัคซีนเกือบทุกชนิด

4.) สายพันธุ์ของไวรัส การศึกษาของ Pfizer และ Moderna ทำก่อน Johnson การทำทีหลังจะเจอสายพันธุ์ของไวรัสที่กลายพันธุ์ หลบหลีกวัคซีน ทำให้ภาพรวมของวัคซีนที่ทำก่อนมีประสิทธิภาพดีและไม่ทราบประสิทธิภาพต่อไวรัสที่กลายพันธุ์ วัคซีนของจอห์นสันเห็นได้ชัดเจน การกลายพันธุ์ของไวรัสมีส่วนที่ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง การทำการศึกษาคนละเวลาจึงเป็นการยากที่จะมาเปรียบเทียบตัวเลขกัน ถึงแม้ว่าจะทำในประเทศเดียวกัน เพราะไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในการหลบหลีกประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่แล้ว วัคซีนของอินเดียทำการศึกษาที่หลังสุด และศึกษาในสายพันธุ์อินเดีย ก็ไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบกับวัคซีนที่ทำการศึกษาในอเมริกาใด้ ข้อมูลล่าสุดก็เห็นได้ชัดว่าวัคซีน Pfizer และมีประสิทธิภาพลดลง ประมาณ 20% ต่อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และถ้ามาเจอสายพันธุ์อินเดีย ก็อย่างที่มีข่าวฉีดวัคซีน pfizer มาแล้ว 2 เข็ม ก็มาติดเชื้อในอินเดีย เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ดังนั้นในทางปฏิบัติในการดูวัคซีน เราจะต้องศึกษาข้อมูลทั้งหมด แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ข้อมูลทั้งหมด เราจึงไม่อยากเห็นการใช้ตัวเลขที่ทำการศึกษาต่างระยะเวลากัน ต่างสถานที่กัน มาเปรียบเทียบกัน ว่าวัคซีนใครดีกว่าใคร

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการวัดระดับภูมิต้านทาน วัคซีนในกลุ่ม mRNA จะมีภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีนอื่นทั้งหมด

สำหรับประเทศไทยเราต้องการวัคซีนทุกตัว ที่สามารถจะนำเข้ามาได้ และให้มีการใช้อย่างเร็วที่สุด

#หมอยง


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=5634675056575065&id=100000978797641&sfnsn=mo

ทยอยมาเรื่อย ๆ วัคซีนซิโนแวค ล็อตใหม่อีก 1 ล้านโดส จากจีนถึงไทยแล้ว เผยล็อตต่อไป 14 พ.ค. 64 เข้ามาอีก 5 แสนโดส จากการบริจาคของประเทศจีน และสิ้นเดือนนี้จะเข้ามาอีก จำนวน 2 ล้านโดส

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เวลา 05.35 น. ที่เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม รับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จำนวน 1 ล้านโดส จากประเทศจีน ที่ขนส่งโดยสายการบิน Air China Airline เที่ยวบินที่ CA603 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพมหานคร

สำหรับการรับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จากประเทศจีนในครั้งนี้เพิ่มอีกจำนวน 1 ล้านโดส มีการบรรจุในตู้ Envirotainer ระบบ Cold Chain ในการขนส่งสินค้าทางอากาศ ที่ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการควบคุมอุณหภูมิของสินค้าในกล่อง ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิไว้ไม่เกิน 2-8 องศาเซลเซียส ตลอดการขนส่งเพื่อรักษาคุณภาพ จำนวน 6 ตู้ 27 พาเลท

หลังจากที่ก่อนหน้านี้นำเข้ามาแล้ว 2 ล้าน 5 แสนโดส รวมยอดการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน จำนวนทั้งสิ้น 3 ล้าน 5 แสนโดส โดยวัคซีนทั้งหมดนี้จะขนส่งไปจัดเก็บยังคลังสำรองวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศา ที่ศูนย์กระจายสินค้าของบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด จากนั้นองค์การฯ จะดำเนินการตรวจรับวัคซีนและส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐาน และเอกสารต่างๆ เมื่อผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว จะส่งให้กรมควบคุมโรคตรวจรับวัคซีนและกระจายไปยังหน่วยบริการ และสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามแผนที่ทางกรมควบคุมโรคกำหนดต่อไป

โดยวัคซีนซิโนแวค นี้จะมีการส่งมอบมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม จะเข้ามาอีกจำนวน 5 แสนโดส จากการบริจาคของประเทศจีน และสิ้นเดือนจะเข้ามาอีก จำนวน 2 ล้านโดสจากการจัดซื้อโดยองค์การเภสัชกรรมเอง


ที่มา : องค์การเภสัชกรรม https://www.facebook.com/gpoth.official

"แรมโบ้" ได้ทีอ้างข้อมูลวัคซีนไฟเซอร์ยังไม่เข้าไทย เรียกร้องโทนี่ ออกมาขอโทษ “บอก”เป็นถึงอดีตนายกฯควรแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูด ที่สร้างความสับสนให้คนเข้าใจผิด

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซั่ม ออกมาพูดในรายการ คลับเฮาส์ ว่ามีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาประเทศไทยแล้ว ว่าจากที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ ที่ไฟเซอร์ยืนหยัดที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ เพื่อให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยได้สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกัน และมุ่งเน้นการส่งมอบวัคซีนผ่านหน่วยงานรัฐบาลแห่งชาติเท่านั้นไม่มีนโยบายจัดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ผ่านตัวแทนหรือตัวกลางใด ๆ

ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบันไม่เคยมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ผ่านสำนักงานในประเทศไทย จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่นายทักษิณ นำมาพูดนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชี้หลักฐานว่ามีการนำเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ในไทย โดยยืนยันว่า อย. ยังไม่มีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์แต่อย่างใด โดยกลไกการนำเข้าวัคซีนนั้น บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จะต้องยื่นขออนุญาตเป็นผู้นำเข้า และขอขึ้นทะเบียนยาต่อ อย. และขั้นตอนในการนำเข้ามาก็จะต้องผ่านด่านของ อย. ทุกครั้ง ซึ่งหลังมีกรณีนี้ ได้ไปตรวจสอบในทุกส่วนงานแล้ว พบว่ายังไม่มีการนำวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์เข้ามา 

“ดังนั้นเป็นสิ่งการันตีชัดเจนว่า คนอย่างนายทักษิณ เป็นคนเชื่อถือไม่ได้ กล้าเอาความเท็จมาพูดโกหกคนไทยได้อย่างน่าละอายใจที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นแล้วว่าการออกมาพูดของนายทักษิณมีเจตนาที่ไม่ดีต่อประเทศไทย นำข้อมูลเท็จมาพูด เพื่อต้องการทำให้ประชาชนคนไทยเกิดความสับสน เข้าใจผิดในตัวนายกฯ รัฐบาล เกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน รวมถึงเรื่องอื่นๆ ตนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายทักษิณ จึงออกมาพูดกล่าวโจมตีคนทำงาน พูดยั่วยุ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสับสน และทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันของคนในประเทศได้ ไม่น่าเชื่อว่าเคยเป็นอดีตนายกฯมาก่อน ปากบอกว่าเป็นห่วงคนไทย แต่แท้จริงแล้วก็คิดอยากทำลายคนไทยและทำร้ายประเทศไทย คิดถึงแต่ตัวเองโดยไม่สนใจชีวิตของประชาชนคนไทยที่กำลังเดือดร้อน ทำไมจึงกล้าพูดเท็จเพื่อหวังผลตีกินทางการเมือง ทำลายเครดิตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ จนเกิดการปั่นกระแสทางโชเชียล นายทักษิณกล้าออกมารับผิดชอบในคำพูดหรือไม่ นายทักษิณไม่ละอายปากละอายใจตัวเองเลยหรือ ทำไมไม่กล้าออกมารับผิดชอบขอโทษคนไทย ผมขอเรียกร้องให้ออกมาขอโทษคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแสดงความรับผิดชอบในคำพูดอันเป็นเท็จของนายทักษิณในครั้งนี้ด้วย" นายเสกสกลกล่าว

“บิ๊กช้าง” สั่งกกล.ชายแดน เฝ้าระวัง สกัดกั้นลักลอบข้ามแดน หวั่นนำโควิดสายพันธ์ุที่แพร่ระบาดในมาเลเซีย เข้าประเทศ ย้ำ กกล.ชายแดนไทย-เมียนมา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือปชช.ในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัย

“บิ๊กช้าง” สั่งกกล.ชายแดน เฝ้าระวัง สกัดกั้นลักลอบข้ามแดน หวั่นนำโควิดสายพันธ์ุที่แพร่ระบาดในมาเลเซีย เข้าประเทศ ย้ำ กกล.ชายแดนไทย-เมียนมา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือปชช.ในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัย พร้อมช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบ จำนวน 2,318 คน 

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ย้ำกับทุกเหล่าทัพ ปฏิบัติตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการกำกับการปฏิบัติงานของกองกำลังป้องกันชายแดนให้เป็นที่เชื่อมั่นในการสนับสนุนการควบคุมโรค COVID-19 ตามแนวชายแดนให้ได้เด็ดขาด  

โดยให้ติดตามสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา เมียนมาและมาเลเซียอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและเข้มมาตรการควบคุมโรคที่กำหนดอย่างต่อเนื่องจริงจัง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้ที่ต้องเฝ้าระวังสูง กับความเสี่ยงของ COVID-19 สายพันธ์ุที่กำลังแพร่ระบาดในมาเลเซีย ที่อาจเข้ามาพร้อมกับผู้ที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย ซึ่งอาจสร้างปัญหาและจำเป็นต้องคัดกรองอย่างเข้มข้น โดย นายกฯและรมว.กลาโหม ยังได้แสดงความห่วงใยเจ้าหน้าที่ทุกนาย ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและมีความปลอดภัยทั่วกัน

ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับ ถึงการทำงานในพื้นที่แนวชายแดนไทย - เมียนม่า ขอให้ติดตามและประเมินสถานการณ์ความรุนแรงจากสู้รบด้วยกำลังทหาร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่  

โดยขอให้ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดไว้โดยเร็ว ขณะเดียวกัน หากมีผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมาหรือชนกลุ่มน้อยชาวกระเหรี่ยงตามแนวชายแดนที่อพยพข้ามแดนเข้ามา จากผลกระทบความรุนแรงการสู้รบ ขอให้ดำเนินการช่วยเหลือขั้นต้นตามหลักมนุษยธรรมและคุมเข้มคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด โดยประสานการทำงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย 

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กกล.ป้องกันชายแดนทางบกในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 3 และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้ให้การช่วยเหลืออพยพประชาชนที่อาจได้รับอันตรายจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน บ้านแม่สามแลบ และ บ.ท่าตาฝั่ง จ.แม่ฮ่องสอน กว่า 600 คน ออกมายังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดเป็นการชั่วคราวและได้เดินทางกลับภูมิลำเนาแล้วหลังสถานการณ์สงบ พร้อมกันนี้ ได้ให้การช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมา จำนวน 2,318 คน ที่อพยพข้ามแดนมายังฝั่งไทย บริเวณ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง และพื้นที่ใกล้เคียงของ จว.แม่ฮ่องสอน โดยจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวรองรับ จำนวน 4 แห่ง    

“ขอความร่วมมือ ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานและอยู่ในมาตรการควบคุมโรคเข้มข้นตามที่จังหวัดกำหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในภาพรวม” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว

‘ดร.ปิติ ศรีแสงนาม’ วอนหยุดแพร่ข่าวเท็จ ไทยเข้าร่วม ‘CPTPP’ หวังหลอกลวงสร้างกระแสต่อต้านจากมวล ขณะที่ รัฐบาลยัน ครม. ไม่ได้ลักไก่ไฟเขียวให้เจรจาเข้าร่วม CPTPP เพียงแค่อนุมัติศึกษาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เท่านั้น

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ศูนย์อาเซียนศึกษา และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Piti Srisangnam’ เกี่ยวกับกระแสข่าวรัฐบาลแอบลักไก่อนุมัติเข้าร่วม หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP โดยระบุว่า

สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่การเจรจาการค้า หรือผลกระทบจากการเข้าเป็นภาคี

หากแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การมโนไปเอง การสร้าง fake news การหลอกลวงเพื่อสร้างมวลชน

วันนี้ไม่มีประชุมลับ ไม่มีลงมติลับ

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการเห็นชอบให้ไทยไปขอเจรจาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP แต่อย่างใด มีเพียงการอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุม ครบถ้วน และรอบคอบมากที่สุด ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ กนศ. จัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามแผนการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของ กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเรื่อง CPTPP

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. รับทราบข้อสังเกตของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) โดย ครม. ได้มอบหมายให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ รับข้อสังเกต ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะ 3 ประเด็นหลัก คือ ด้านการเกษตรและพันธุ์พืช ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ให้มีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่ต้องการขอขึ้นทะเบียนยา ที่มีส่วนประกอบของจุลชีพหรือจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับจุลชีพ ต้องสำแดงแหล่งที่มาร่วมด้วยให้เร็วที่สุด และด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน เช่น เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า

กระทรวงแรงงาน ส่ง 252 แรงงานไทย ทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล

กระทรวงแรงงาน ตั้งเป้าจัดส่งแรงงานไทยทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ปีงบ 64  จำนวน 5,000 คน  จัดส่งแล้ว 3,364 คน เตรียมเดินทางอีก 252 คน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 กระทรวงแรงงานมีกำหนดส่งแรงงานไทย จำนวน 252 คน แบ่งเป็นเพศชาย 251 คน และเพศหญิง 1 คน เดินทางไปทำงานภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC) ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทยเวลา 09.15 น. และมีกำหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟ เวลา 15.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น 

“นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล ให้ความสำคัญและรู้สึกขอบคุณแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศมาโดยตลอด ด้วยถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้กระทรวงแรงงาน มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริม สนับสนุน พัฒนากระบวนการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ และขยายตลาดแรงงานไทยไปต่างประเทศอย่างจริงจังตามนโยบายรัฐบาล โดยปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐอิสราเอล จำนวน 5,000 คน ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 63 - เดือน  พ.ค. 64 มีแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานแล้ว รวมกับที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ทั้งสิ้น 3,616 คน ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว 

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ท่านรัฐมนตรีสุชาติ ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน ดูแลพี่น้องแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลอย่างดี โดยก่อนเดินทั้งหมดจะได้รับการอบรมเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนการเดินทาง ซึ่งมีหัวข้อการอบรมที่เป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทยฯ อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ภายในประเทศและการปฏิบัติตัว การเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ วิธีเดินทางออกและกลับเข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมาย สัญญาจัดหางาน สัญญาจ้างงาน และสิทธิประโยชน์กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ รวมทั้งช่องทางการติดต่อผ่านแอปพลิเคชั่น TOEA และข้อมูลหน่วยงานราชการไทยในต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้กรมการจัดหางานจัดขึ้นโดยคำนึงถึงมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารสุขอย่างเคร่งครัด และผมในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เดินทางตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยหวังอย่างยิ่งว่าแรงงานไทยกลุ่มนี้ จะเป็นอีกกลุ่มที่นำรายได้ ทักษะ และประสบการณ์ที่ได้รับในต่างประเทศกลับมาพัฒนาตนเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ครอบครัวต่อไป

“สำหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทำงาน ตามข้อกำหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

กรมการขนส่งทางบก เข้มงวด!!! รถโดยสารทุกประเภทต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามข้อสั่งการ รมว.คมนาคม

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังไม่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระบบขนส่งสาธารณะอย่างเคร่งครัด  

กรมการขนส่งทางบก ได้ยกระดับความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย มาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา 100% มาตรการเว้นระยะห่าง จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลสำหรับทำความสะอาดมือ เพิ่มความถี่ในการทำสะอาดพื้นที่สาธารณะตลอดทั้งวัน พร้อมจัดพิมพ์ QR Code ไทยชนะให้ผู้โดยสารเช็คอิน-เช็คเอาท์ทุกครั้งก่อนใช้บริการ โดยในวันที่ 5 พ.ค. 2564 สำนักงานขนส่งจังหวัด เช่น อุบลราชธานี พังงา อุดรธานี สุโขทัย ลำพูน นครพนม น่าน หนองคาย พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร กาฬสินธุ์ นครราชสีมา อุตรดิตถ์ มุกดาหาร สุรินทร์ บุรีรัมย์ เชียงราย เพชรบูรณ์ สมุทรปราการ หนองบัวลำภู ลำปาง ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก เลย แพร่ ศรีสะเกษ นครปฐม ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ราชบุรี จันทบุรี เชียงใหม่ ได้ดำเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ และประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด 

ในส่วนของการให้บริการที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดำเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถรายใหม่ให้รอจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ โดยจองคิวดำเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น เพื่อบริหารจัดการจำนวนผู้ใช้บริการภายในสำนักงาน  ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสำนักงาน ที่นั่งพักคอยของประชาชนมีการเว้นระยะอย่างเหมาะสม ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมแนะนำการให้บริการชำระภาษีรถประจำผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสและไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง เช่น เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ หรือ แอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax  ดาวน์โหลดฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS: https://apple.co/3iAx6Dd และแอนดรอยด์: https://bit.ly/2XXQLVT

ราเมศ เผย กกบห เห็นชอบ ตั้ง นิพนธ์ ปฎิบัติหน้าที่ รองภาคใต้ ชั่วคราวแทน นิพิฏฐ์

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ได้ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบภาคใต้ว่า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้เสนอชื่อนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคภารกิจ ปฎิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง และคณะกรรมการบริหารพรรคได้มีความเห็นชอบตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้เสนอ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับพรรคที่ได้กำหนดไว้

นายราเมศกล่าวต่อว่า นายนิพนธ์ จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งดังกล่าวเป็นการชั่วคราวเพื่อรอให้มีการเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top