Monday, 23 June 2025
NewsFeed

‘3 แพนด้ายักษ์’ ในสวนสัตว์สหรัฐฯ กลับจีน หลังสิ้นสุดสัญญา 23 ปี ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของทั้งสองในขณะนี้

‘สวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียน’ (Smithsonian National Zoo) สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันดีซี ส่งแพนด้ายักษ์ 3 ‘พ่อ-แม่-ลูก’ เดินทางกลับจีนแล้ว หลังสัญญา 23 ปีสิ้นสุด ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ

(10 พ.ย. 66) เอบีซีนิวส์ของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 ‘แพนด้าเหมย เซียง’ (Mei Xiang) ‘แพนด้าเทียน เทียน’ (Tian Tian) และ ‘แพนด้าเซียว ฉี จี’ (Xiao Qi Ji) แพนด้า 3 พ่อ-แม่-ลูก ถูกส่งตัวกลับจีนแล้ว โดยทั้ง 3 ตัว ถูกนำใส่ลังที่ทำจากเหล็ก ซึ่งภายในใส่ใบไผ่ แอปเปิล และลูกแพร์จำนวนมาก เพื่อเป็นเสบียงอาหารระหว่างเดินทางไกล 19 ชม. ไปยังเมืองเฉิงตูของจีน

โดยแพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัว ได้เดินทางด้วยเครื่องบินขนส่งสินค้าโบอิ้ง 777 เอฟ ที่มีชื่อว่า ‘เฟดเอ็กซ์ แพนด้า เอ็กซ์เพรส’ (FedEx Panda Express) ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติแดลลัส ของสหรัฐอเมริกา พร้อมผู้ดูแลอีก 3 คน เพื่อเดินทางไปยังเขตป่าสงวนในมณฑลเสฉวนของจีน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีแพนด้ายักษ์ อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติของจีนประมาณ 1,800 ตัว

ทั้งนี้ ‘เหมย เซียง’ วัย 25 ปี และ ‘เทียน เทียน’ วัย 26 ปี ถูกนำมาที่สวนสัตว์แห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปี 2543 และให้กำเนิดลูกแพนด้ายักษ์ 3 ตัว ระหว่างช่วงปี 2548-2558 โดยล่าสุด คือ เซียว ฉี จี ที่เกิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้ เหมย เซียงกลายเป็นแพนด้ายักษ์ที่อายุมากที่สุดที่ให้กำเนิดลูกได้ในสหรัฐฯ

เอบีซี เผยอีกว่า แพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัวนี้ มีแฟนคลับมากมาย ซึ่งมียอดเข้าชมเว็บไซต์ของสวนสัตว์มากกว่า 100 ล้านครั้ง และบรรยากาศแห่งการจากลาเป็นไปด้วยความเศร้า เพราะเจ้าแพนด้า 3 ตัวที่เป็นดาราประจำสวนสัตว์มาโดยตลอด ไม่สามารถโผล่ออกมากล่าวคำอำลากับเด็กๆ พ่อแม่และแฟนๆ ที่ต้องการกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย

สำหรับการส่งแพนด้ากลับจีนครั้งนี้ มีขึ้นหลังสัญญาโครงการให้ยืมแพนด้ายักษ์ ที่ทางการจีนทำไว้กับสวนสัตว์ดังกล่าวหมดอายุลง และการเดินทางกลับของแพนด้าเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘โจ ไบเดน’ จะพบกับประธานาธิบดีจีน ‘สี จิ้นผิง’ ที่เมืองซานฟรานซิสโก ระหว่างการประชุม APEC ท่ามกลางความตึงเครียดของทั้ง 2 ชาติ

และจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ตึงเครียดขึ้น จึงยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยผู้อำนวยการสวนสัตว์ แบรนดี สมิท (Brandie Smith) ไม่ยอมตอบตรงคำถามว่ามีความพยายามใดๆ จากสวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียนในการต่อสัญญายืมตัวแพนด้าดังกล่าว

นั่นเท่ากับว่า ตอนนี้จะมีแพนด้าจากจีนหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินสหรัฐฯ อีกแค่ 2 ตัว เป็นแพนด้าแฝด ชื่อ ‘หยา หลุน’ กับ ‘ซี หลุน’ อยู่ที่สวนสัตว์เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย แต่ก็มีกำหนดจะต้องส่งคืนจีนช่วงต้นปีหน้าเช่นกัน 

ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่สหรัฐฯ จะไม่มีทูตสันถวไมตรีอย่างแพนด้าอีกต่อไป และนั่นก็หมายความว่า จะเหลือแพนด้าอีกเพียงตัวเดียวในทวีปอเมริกาเหนือ คือ ที่สวนสัตว์ในกรุงเม็กซิโก ซิตี เท่านั้นด้วย

ผบ.ตร.สั่งด่วน จเรตำรวจ เร่งตรวจสอบสติกเกอร์รถบรรทุกตกท่อระบายน้ำกลางกรุง ว่ามีลักษณะเป็นส่วย หรือเจ้าหน้าที่ไปมีเอี่ยวหรือไม่ รายงานผลภายใน 3 วัน เน้น น.1 ให้ทำคดีตรงไปตรงมา ขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง คาดโทษตำรวจทั่วประเทศห้ามยุ่งเกี่ยวเรียกรับผลประโยชน์

เมื่อวานนี้ (9 พ.ย.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกตกท่อระบายน้ำกลางกรุงว่า “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ได้สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง รรท.จตช. ตรวจสอบข้อเท็จกรณีกรณีรถบรรทุกประสบเหตุ ตกบ่อก่อสร้างโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินทรุดตัว ถนนสุขุมวิท หน้าซอยสุขุมวิท 64/1 เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 จนเป็นเหตุที่ประชาชนได้รับ ผลกระทบเป็นวงกว้าง มีผู้บาดเจ็บ โดยทำให้การจราจรไม่สามารถใช้การได้หลายชั่วโมง ขณะที่บริเวณกระจกด้านหน้า รถบรรทุกคันดังกล่าว มีรูปดาว ตัวอักษรภาษาอังกฤษ B สีเขียว โดยประธานสหพันธ์ขนส่งแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า เป็นสัญลักษณ์ของส่วยสติ๊กเกอร์ตามที่ปรากฏภาพข่าว จึงให้จเรตำรวจดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จว่า มีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง รับผลประโยชน์ทั้งทางตรง ทางอ้อมหรือไม่ หากพบให้ดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา วินัยและปกครอง และรายงานผลให้ทราบ ภายใน 3 วัน

ผบ.ตร.ยัง สั่งกำชับให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ลงไปควบคุมการทำคดีนี้ อย่างตรงไปตรงมา ทำความจริงให้ปรากฎ รวบรวมหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกฐานความผิด รวมทั้งประเด็นข้อสงสัยของสังคม เช่น การเคลื่อนย้ายดินออกจากรถ หรือประเด็นอื่นๆ  และให้สืบสวนขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย หากพบเป็นความผิด

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้สั่งการย้ำให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้สังคมรับทราบ และเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกรายที่ฝ่าฝืนทำผิดกฎหมาย พร้อมกำชับตำรวจทั่วประเทศไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์จากส่วยสติกเกอร์ หรือสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบจะดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา ปกครอง วินัย รวมทั้งเอาผิดผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลยด้วย

‘พิซซ่าฮัทฮ่องกง’ รังสรรค์เมนูใหม่ ‘พิซซ่าหน้างู’ ใช้เนื้องูเน้นๆ เชื่อ!! ช่วยบำรุงกำลัง-โลหิตไหลเวียนดี

(10 พ.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท Pizza Hut (พิซซ่าฮัท) ในฮ่องกงเปิดตัวเมนูใหม่โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง Pizza Hut กับ Ser Wong Fen (เฉอหวังเฟิน) ร้านอาหารฮ่องกงที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 100 ปี รังสรรค์เมนูใหม่ ‘พิซซ่าหน้างู’ คือพิซซ่าที่ใช้ ‘เนื้องู’ จริง ๆ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ

ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพิซซ่าฮัทนี้ประกอบด้วย เนื้องู เห็ด แฮม ขิง หน่อไม้ ชีส ไก่ ซอสหอยเป๋าฮื้อ ตะไคร้ ซึ่งบางส่วนประกอบเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ของเมนูสตูว์งูแบบดั้งเดิม พิซซ่าฮัทฮ่องกง กล่าวในแถลงการณ์เปิดตัวเมนูใหม่ว่า “เมื่อจับคู่กับชีสและไก่หั่นเต๋า เนื้องูจะมีรสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้น” พร้อมเสริมว่า เนื้องูสามารถบำรุง เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ตามความเชื่อในการแพทย์แผนจีน เมื่อรวมกับพิซซ่าแล้ว ถือเป็นความก้าวหน้าจากแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับความหมายของการรักษาสุขภาพที่ดี 

สำหรับพิซซ่าหน้างูนี้มีขนาด 9 นิ้ว มาพร้อมกับซอสหอยเป๋าฮื้อแทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศธรรมดา โดยจะมีวางจำหน่ายจนถึงวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น ผู้ที่ได้ลองชิมพิซซ่าหน้าใหม่นี้บอกว่า เนื้องูมีลักษณะคล้ายกับไก่แห้ง โดยมีทั้งคนที่ชอบและคนที่รู้สึกว่าน่ากลัว

นักชิมที่ชอบลองพิซซ่า กล่าวว่า ฉันคิดว่ามันน่ากลัว งูไม่ใช่อาหารในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก

ทางด้านราเชล หว่อง ชาวฮ่องกงซึ่งเป็นแฟนตัวยงของซุปงูตั้งแต่เธอเคยกินครั้งแรกเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็ก รู้สึกตื่นเต้นกับเมนูใหม่นี้ เนื้อสัมผัสจะคล้ายกับไก่เล็กน้อยและมีรสชาติเหมือนปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ ฉันชอบทานอาหารที่มีโปรตีนสูงในช่วงฤดูหนาว

ส่วนคาเรน ชาน ผู้จัดการของพิซซ่าฮัทฮ่องกงและมาเก๊า กล่าวว่า บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญของเฉอหวังเฟินในการพัฒนาพิซซ่าจากเนื้องูหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น งูสิง งูสามเหลี่ยม และงูปล้องฉนวน พิซซ่างูสุดพิเศษมอบความสมดุลที่สมบูรณ์แบบให้กับทุกรสชาติ ทั้งอร่อยและเผ็ดร้อนสำหรับฤดูกาลนี้

‘อันหยูชิง’ เปิดใจ หลังศาลสั่งคุก 5 ปี อดีต ตร. ไถเงิน ยัน!! ยังอยากมาเที่ยวเมืองไทย เพราะวัฒนธรรมไทยน่ารัก

(10 พ.ย. 66) จากกรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้พิพากษาจำคุก 5 ปี 4 อดีต ตำรวจห้วยขวาง รีดไถเน็ตไอดอลไต้หวัน ค่าบุหรี่ไฟฟ้า และไม่พกพาสปอร์ต 

ล่าสุด สาวไต้หวัน อันหยูชิง หรือ Charlene An ได้โพสต์อินสตาแกรม ถึงกรณีดังกล่าวว่า…

“เพิ่งเห็นข่าววันนี้ ในที่สุดเรื่องนี้ก็ยุติลง 10 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ทุกวันนี้คนไปต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ หวังว่าทุกคนจะมีช่วงเวลาที่ปลอดภัยในต่างประเทศ ประเทศไทยยังสวยงามอยู่มาก ฉันยังอยากไปอีกถ้ามีโอกาส บางทีฉันอาจจะมีงาน และมีโอกาสได้ไปอีก Miss Thailand หวังว่าทุกอย่างจะดี

เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันบอบช้ำทางจิตใจ แต่แน่นอนว่าการคอร์รัปชันมีอยู่ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น ฉันคิดว่ามีอะไรดี ๆ มากกว่าสิ่งเลวร้ายในประเทศไทย และประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่น่ารัก”

‘ผู้แทนการค้าไทย’ มั่นใจ!! ‘Sharp’ ลงทุนในไทยต่อเนื่อง เล็งดึง ‘Foxconn’ ตั้งบริษัท ปั้นรถ EV ส่งออกต่างประเทศ

(10 พ.ย. 66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า ตนได้หารือกับนายชูเฮย์ อาราอิ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชาร์ป ไทยจำกัด และคณะ โดยชาร์ปได้ยืนยันที่จะรักษาฐานการผลิตในประเทศไทย หลังจากที่เริ่มทำธุรกิจและลงทุนในไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2530 และยังสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค ซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศไทย โดยเฉพาะการตั้งโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์หรือสารกึ่งตัวนำเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยในปี 2559 ชาร์ปได้ควบรวมกับบริษัท ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ผู้นำการผลิตและประกอบชิ้นส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก และต่อมาในปี 2564 ฟ็อกซ์คอนน์ได้ร่วมลงทุนกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อก่อตั้งบริษัทและโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ชื่อ Horizon+ ในไทย ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งเสริมการจ้างงาน และทำให้ไทยมีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสินค้าส่งออกได้ในอนาคต โดยชาร์ปจะเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตอุปกรณ์รถยนต์ไฟฟ้า เช่น แผงวงจร หน้าจอรถยนต์ 

ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า ชาร์ปเล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยทั้งในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความได้เปรียบ และสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กระจายสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และอื่น ๆ ได้ รวมทั้งรัฐบาลยังมีสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคไทยก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตชาร์ปสนใจที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เครื่องซักผ้าที่ใช้น้ำน้อยและสามารถรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่ หรือไดร์เป่าผมที่มีเสียงเบาเหมาะกับคอนโดขนาดเล็กใจกลางเมือง 

ทั้งนี้ตนจะเดินทางไปเข้าร่วม งาน Sharp Tech Day ในโอกาสเฉลิมฉลองการก่อตั้งบริษัทครบรอบ 111 ปี ตามคำเชิญของชาร์ป ในระหว่างวันที่ 10 - 12 พ.ย. 66 ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีโอกาสได้พบกับผู้บริหารระดับสูงของชาร์ป ตัวแทนของฟ็อกซ์คอนน์ และบริษัทอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นนำต่าง ๆ ที่มาร่วมงานนี้ เพื่อเจรจาเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยด้วย

นางนลินี กล่าวว่า ผู้บริหารชาร์ปบอกด้วยว่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากหากนายกรัฐมนตรีมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมบริษัทแม่ของชาร์ป ที่นครโอซากา ระหว่างการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นในช่วงเดือน ธ.ค. 66 นี้ 

สำหรับบริษัทชาร์ป ไทย ปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 แล้ว โดยมีบริษัทในเครือ 7 แห่ง แบ่งเป็น บริษัทสาขาการขาย 4 แห่ง และโรงงาน 3 แห่ง สร้างยอดขายกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี และมีพนักงานมากกว่า 7,300 คน ที่ผ่านมาได้ช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับบุคลากรของไทย และยังคัดสรรนวัตกรรมคุณภาพเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

‘ภูมิธรรม’ เบรกเสียงวิจารณ์ ผลงานรัฐบาล 60 วันไม่คืบ ขอฝ่ายค้านใจเย็นๆ มั่นใจ ผลงานชัดเจนใน 100 วัน ลั่น!! มีเวลา 4 ปี ให้ ปชช.ตัดสินว่าผ่านไม่ผ่าน

(10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าการแถลงผลงาน 60 วัน ของรัฐบาล ไม่มีอะไรใหม่ ว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมดา และพยายามจะบอกกับฝ่ายค้านว่ารัฐบาลทำงานสร้างสรรค์ อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลกับฝ่ายค้าน อยากให้มองว่าอะไรที่รัฐบาลทำ และเห็นว่าจะมีผลดีเกิดขึ้นในอนาคต อย่าซีเรียส อย่ามองทุกอย่างเป็นการเมืองหมด แต่เมื่อมีความเห็นก็สะท้อนได้เพราะรัฐบาลก็จะได้เป็นกระจกสะท้อนตัวเองด้วย ว่าทำอะไรไปแล้วเข้ายังไม่เข้าใจ

หน้าที่รัฐบาล คือ ทำให้เกิดความเข้าใจ และขณะนี้ทุกอย่างได้เริ่มต้นหมดแล้ว และที่วางไว้จริงๆ คือช่วง 100 วันแรก ที่จะปรากฏผลงาน แต่นายกรัฐมนตรี ต้องการชี้แจง 30 วัน 60 วัน เพื่อจะได้เห็นว่ามีความคืบหน้าในการทำงานอะไรบ้าง เชื่อว่าช่วง 90 วัน และ 100 วัน จะเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เช่น กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำอะไรหลายอย่างแต่ยังไม่ได้เอามาพูดออกสื่อ เช่น แก้ปัญหาสินค้าราคาแพง การบุกตลาดเชิงรุกไปมณฑลต่างๆ และคิกออฟเรื่องการส่งออก

“นายกฯ ต้องการจะบอกว่ามีอะไรคืบ แต่ต้องใช้เวลา 90 วัน 100 วัน ถึงจะเห็น อย่าเพิ่งวิจารณ์ วันนี้รัฐบาลทำงานหนักมากอยู่แล้ว นายกฯ บุกทุกด้าน และวันที่ 21 พ.ย.นี้ จะเป็นการรวมทีมระหว่างบีโอไอ เอกอัครราชทูต และทูตพาณิชย์ทั่วโลก สภาอุตสาหกรรมสภาหอการค้าสภาการท่องเที่ยว จะประชุมที่กรุงเทพฯ กำหนดรูปแบบการทำงานร่วมกัน เพื่อรุกตลาดต่างประเทศ การทำงานได้วางรูปแบบไว้และเคลียร์เรื่องต่างๆ ผลจึงยังไม่เกิด ขอให้อดใจรอ 100 วัน จะแถลงว่ามีอะไรบ้างที่เกิดเป็นรูปธรรม เรื่องไหนที่เริ่มต้นแล้วและจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เรื่องใดที่ทำสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ใจเย็นๆ รอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ขอย้ำว่าทุกอย่างเริ่มต้นแล้ว ขอให้รอดูวัดกัน รัฐบาลมีโอกาส 4 ปี ค่อยๆ ดูไป ถ้า 4 ปี คิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย มาเสวยอำนาจเสวยสุขอย่างเดียว งวดหน้าก็พร้อมให้ประชาชนพิจารณา แต่ผมเชื่อว่าเราตั้งแต่เวลาหลายวันทุกอย่างจะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นผล”

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังมีเรื่องที่นายกฯ สั่งการให้ผู้ว่าฯ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันเคลียร์เรื่องปัญหาหนี้นอกระบบ ขณะที่ระดับอำเภอ ให้นายอำเภอและผู้กำกับการตำรวจ ร่วมมือจัดการปัญหาโดยเชิญทุกฝ่าย ทั้งคนที่ให้เงินกู้กับผู้กู้มาหารือ สมมติกู้ 1 หมื่นบาท ผ่อนไป 3-4 หมื่นบาทก็น่าจะพอแล้ว เพราะที่ทำมาก็ผิดกฎหมาย เก็บดอกเบี้ยไม่ใช่ดอกเบี้ยตามกฎหมายอยากให้ยุติ เรื่องนี้ทำแล้วแต่ยังไม่เกิดผล และนายกฯ เตรียมที่จะแถลงเรื่องแก้หนี้นอกระบบ

นอกจากนั้น ที่เราทำยังมีเรื่องของยาเสพติดที่จะดำเนินการ โดยนายกฯ สั่งการเสมอว่ามีการวัดเคพีไอผู้ว่าฯ ต้องบอกได้ว่าดีขึ้นอย่างไร ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้ามาทำงานแก้ฐานรากให้ดี แต่พอจะแก้บางทีมีอุปสรรคมาก เพราะสังคมไทยมีความหลากหลาย ดังนั้น หน้าที่รัฐบาลคืออดทน ชี้แจง ทำความเข้าใจ และปรับปรุงให้สอดรับกับสิ่งที่คิดให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ควรจะแบ่งหรือกระจายงานให้คนอื่นเป็นเจ้าภาพหลักดูแล เช่น เรื่องกฎหมาย เศรษฐกิจ ความมั่นคง โดยไม่ต้องดูแลหรือพูดเองทุกเรื่อง หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่นายกฯ แย่งงานทำคนเดียวทำคนเดียวทุกเรื่อง เวลานี้งานที่นายกฯ แบ่งให้รองนายกฯ และรัฐมนตรี ก็เต็มไปหมดทุกเรื่อง ผู้ที่รับมอบก็หนักพอสมควร ทุกอย่างอยู่ในขึ้นเตรียมการ

ทั้งนี้ เราเข้ามาในช่วงที่ประเทศ เผชิญกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจภายในที่สะสม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง และวิกฤตการณ์ของโลก เช่น วิกฤตการณ์การเงินที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย เราจึงต้องเร่งทำงาน และเป็นข้อดีที่นายกฯ ลงรายละเอียดทั้งหมดและสั่งทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่แย่งงานไปทำ

เวลานี้ ครม.มี 35 คน อยากจะมี 50 คน 100 คนด้วยซ้ำ เพราะงานหนัก แต่ไม่หวั่น พร้อมสู้ โดยมีนายกฯ เป็นธงนำให้ลงพื้นที่ต่างๆ การที่นายกฯ ออกต่างจังหวัดตลอด ได้เรียนรู้และเข้าใจ และทราบปัญหาแท้จริง เพราะเจอทั้งเกษตรกร และกลุ่มต่างๆ และกำชับว่าไม่ต้องตามไป ใครมีงานที่เกี่ยวข้องก็ไป ใครไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องไป ให้ทำงานของตัวเอง

เมื่อถามว่ามั่นใจว่า รัฐบาลจะสอบผ่านหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มั่นใจแน่นอน เราตั้งใจ 100% เอาความรู้และประสบการณ์ เรามีความสามารถ ส่วนจะมั่นใจหรือไม่มั่นใจประชาชนจะเป็นคนตอบ

กลไกต่อลมหายใจ 'ลูกหนี้' ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องล้มละลาย พร้อมห้ามเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้ ยึดทรัพย์สิน หรือ ขายทรัพย์สิน

สืบเนื่องจาก กรณี JKN หรือ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป ได้ยื่นขอล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 แม้สินทรัพย์มากกว่ามูลหนี้ 12,161 ล้านบาท จากงบการเงินล่าสุดงวดไตรมาส 2/66 สิ้นสุด 30 มิ.ย. โดยมีหนี้สินเพียง 7,398 ล้านบาท ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 4,756 ล้านบาท 

ต่อมา JKN ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทในฐานะลูกหนี้ ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ โดยได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทแล้ว

ทั้งนี้ สำหรับใครที่อาจจะยังงง ๆ กับเรื่องของการขอฟื้นฟูกิจการ ทาง THE STATES TIMES ได้สอบถามข้อมูลจากทนายผู้เชี่ยวชาญ และได้รับคำตอบมาดังนี้ ว่า...

การฟื้นฟูกิจการเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราวให้ได้มีโอกาสกลับมาดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องล้มละลาย ซึ่งจะมีผลให้ศาลมีคำสั่ง 'พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด' 

โดยศาลจะมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อจัดสรร/ชำระให้กับบรรดาเจ้าหนี้ของลูกหนี้ทั้งหลาย กล่าวคือ ให้ลูกหนี้ยุติการดำเนินกิจการและทำการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งหมด เพื่อเตรียมแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายทั้งปวงต่อไป

ดังนั้น เมื่อศาลรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้วลูกหนี้จะได้รับความคุ้มครองทันที เพื่อให้ลูกหนี้สามารถดำเนินการฟื้นฟูกิจการได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้องหรือไม่ต้องกลัวว่าเจ้าหนี้จะยึดทรัพย์บังคับคดีเพื่อการชำระหนี้ เนื่องจากเมื่อศาลรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว จะ...

(๑) ห้ามเจ้าหนี้ฟ้องร้องลูกหนี้เป็นคดีใดๆ หรือห้ามเจ้าหนี้ร้องขอให้ศาล หรือ นายทะเบียน สั่งให้เลิกความเป็นนิติบุคคลของลูกหนี้ (เมื่อถูกสั่งให้เลิกความเป็นนิติบุคคลก็เท่ากับนิติบุคคลนั้นถึงแก่ความตายดำเนินกิจการต่อไปไม่ได้) 
(๒) ห้ามเจ้าหนี้บังคับคดีกับลูกหนี้ (ที่เจ้าฟ้องร้องจนชนะคดีในที่สุดแล้วก็ห้ามเจ้าหนี้ บังคับชำระหนี้ ยึดทรัพย์สิน หรือ ขายทรัพย์สิน ของลูกหนี้) 
(๓) ห้ามเจ้าหนี้ที่มีประกันบังคับชำระหนี้จากหลักประกัน 
(๔) ห้ามตัดน้ำ ตัดไฟ โทรศัพท์ (บริการสาธารณูปโภค) ของลูกหนี้ 
(๕) ห้ามหน่วยงานของรัฐเพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ของลูกหนี้ 
(๖) แต่ก็ห้ามลูกหนี้จำหน่าย จ่าย โอน ก่อหนี้เพิ่มขึ้นมาอีก หรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่เจ้าหนี้มีสิทธิในทรัพย์สินของลูกหนี้ (อย่าให้มีเจ้าหนี้ซึ่งจะมาเป็นตัวหารในทรัพย์สินของลูกหนี้เพิ่มขึ้นนั่นเอง)

ส่องนิสัย ‘ลิซ่า’ ขณะครองบัลลังก์แบรนด์แอมฯ ‘CELINE’ ไม่เคยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่มีขอ ‘ส่วนลด-สิทธิพิเศษ’

(10 พ.ย.66) จากเพจ 'Lisadailynews - Ldn0327' เผยเบื้องหลังสุดทึ่ง สิ่งที่ลิซ่าทำกับ CELINE แม้จะเป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ ระบุว่า...

มีรายงานถึงพฤติกรรมน่าทึ่งของลิซ่า BLACKPINK ว่า ตั้งแต่เธอรับหน้าที่เป็นแอมบาสเดอร์ของ CELINE ลิซ่าแทบไม่เคยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่เธอมีเลย

โดยในโพสต์ล่าสุด OP แบ่งปันว่า...แม้ว่าลิซ่าจะสามารถใช้สิทธิพิเศษของแอมบาสเดอร์ได้อย่างง่ายดายซึ่งรวมถึงส่วนลดมากมายสําหรับสินค้า แต่ลิซ่ากลับเลือกที่จะไม่ทํา

[CELINE] ให้สิ่งของแก่เธอ พีอาร์ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เธอทุกปี แต่เธอกลับยังจ่ายเงินของตัวเองซื้อของและเธอซื้อเป็นจำนวนมากทุกครั้ง

เธอใช้บัตรเครดิตส่วนตัว แม้ว่าบริษัท มีการเสนอส่วนลด 40% หรือ 30% ของแอมบาสเดอร์ให้กับเธอแต่ลิซ่าก็ไม่ได้ใช้มัน

นี่มันแสดงให้เห็นว่า ‘ลิซ่า’ ร่ำรวยมากจริงๆ

เมื่อทวีตดังกล่าวถูกแชร์มันได้รับความสนใจในหมู่ BLINKs ทันที

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 66 พลิกทำกำไร 16,342 ลบ. เร่งเครื่องฟื้นฟูกิจการเต็มกำลัง พร้อมขานรับนโยบายฟรีวีซ่า

(10 พ.ย. 66) บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย โดยระบุว่า...

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 37,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 32,860 ล้านบาท หรือ 12.6% 

โดยมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 3.27 ล้านคน เป็นส่วนของการบินไทย 2.19 ล้านคน และไทยสมายล์ 1.08 ล้านคน มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 77.3% (การบินไทย 77.1% และไทยสมายล์ 80.9%) ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเฉลี่ย 77.0% 

บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 29,289 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่าย 28,940 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 11,995 ล้านบาท (41% ของค่าใช้จ่ายรวม) 

โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 7,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งมีกำไร 3,920 ล้านบาท 

ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 3,722 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่ส่วนใหญ่มาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นค่าใช้จ่ายรวม 2,732 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 1,546 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อน ขาดทุน 4,780 ล้านบาท โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 8,360 ล้านบาท 

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 115,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 65,567 ล้านบาท 

ในขณะเดียวกันมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 86,567 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวม 66,115 ล้านบาท บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 29,330 ล้านบาท ดีกว่างวดเดียวกันของปี 2565 ที่ขาดทุน 548 ล้านบาท โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 11,237 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่ส่วนใหญ่มาจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นค่าใช้จ่ายรวม 2,390 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 16,342 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนขาดทุน 11,237 ล้านบาท มี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินรวมค่าเช่าเครื่องบินจากการใช้เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hours) 31,720 ล้านบาท 

ในปัจจุบัน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 68 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินลำตัวแคบ 20 ลำ และเครื่องบินลำตัวกว้าง 48 ลำ โดยบริษัทฯ มีการรับเครื่องบินลำตัวกว้างจากการเช่าดำเนินการเข้ามาในฝูงบิน จำนวน 1 ลำ ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมเครื่องบินที่รับเพิ่มในปีนี้ทั้งหมดจำนวน 3 ลำ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 12.0 ชั่วโมงต่อวัน โดยเป็นส่วนของการบินไทย 13.7 ชั่วโมงต่อวัน และไทยสมายล์ 8.2 ชั่วโมงต่อวัน มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 53.3% ปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 100.7% อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 80.0% (การบินไทย 80.0% และไทยสมายล์ 80.4%) สูงกว่าปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 61.1% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 10.13 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 77.4% เป็นส่วนของการบินไทยและไทยสมายล์ 6.50 และ 3.63 ล้านคน ตามลำดับ 

ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 234,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 36,112 ล้านบาท (18.2%) หนี้สินรวมจำนวน 288,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 19,794 ล้านบาท (7.4%) 

ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อยติดลบจำนวน 54,706 ล้านบาท ติดลบลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 16,318 ล้านบาท และจากผลประกอบการที่เป็นบวก บริษัทฯ มีเงินสด ตั๋วเงินฝาก เงินฝากประจำและหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดชำระมากกว่า 3 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จำนวน 63,387 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 

สำหรับในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ต่อเนื่องไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 แม้จะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากหลายภูมิภาค แต่ด้วยสภาวะการแข่งขันที่คาดว่าจะปรับตัวรุนแรงขึ้นจากการที่สายการบินต่าง ๆ เริ่มทยอยนำเครื่องบินกลับมาทำการบินในระดับที่ใกล้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังจะเห็นได้จากการเปิดเส้นทางบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบินของสายการบินในหลายเส้นทาง อาทิ การกลับเข้ามาทำการบินในเส้นทางกรุงเทพฯ-กรุงโคเปนเฮเกนของสายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ส การนำเครื่องบินแอร์บัสแบบ A380 กลับเข้ามาทำการบินในเส้นทางกรุงเทพฯ-นครมิวนิกของสายการบินลุฟท์ฮันซ่า 

ปัญหาข้อพิพาทในภูมิภาคตะวันออกกลางและพื้นที่ฉนวนกาซาซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดการชะลอตัวของการสำรองที่นั่งล่วงหน้าในหลาย ๆ เส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางทวีปยุโรปและเที่ยวบินกรุงเทพฯ-นครอิสตันบูล สาธารณรัฐทูร์เคีย 

ซึ่งการบินไทยมีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เห็นได้จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นไปอย่างล่าช้า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ ค่าใช้จ่ายการบริการภาคพื้นในต่างประเทศ ทำให้บริษัทฯ ยังคงต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการบริหารผลตอบแทนต่อหน่วย (Yield) ให้เป็นไปตามเป้าหมาย เช่นเดียวกับการจัดการด้านค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนดำเนินการตามแผนปฏิรูปองค์กรและการดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัดและมีวินัย เพื่อให้การดำเนินการปรับโครงสร้างทุนด้วยการแปลงหนี้เป็นทุนและเพิ่มทุนได้สำเร็จตามกรอบเวลาที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

การดำเนินตามแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ในไตรมาสนี้มีการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่

>>การหารายได้จากการขนส่ง 

เพิ่มจุดบินและความถี่เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณความต้องการ เดินทาง (Demand) ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ในเส้นทางซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น

>>การดำเนินการตามแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพฝูงบิน

รับมอบเครื่องบินแบบ A350-900 จำนวน 1 ลำ ซึ่งจะเริ่มทำการบินตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ในเส้นทางสู่ประเทศจีน เพื่อรองรับนโยบาย Free Visi ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) และเพื่อขยายฝูงบินให้รองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน 

รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

>>การหาประโยชน์จากทรัพย์สินรองที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ 

การบินไทยได้ขายเครื่องบินแบบ B747-400 จำนวน 2 ลำ และ A340-68) จำนวน 1 ลำ รวมทั้งเครื่องยนต์อะไหล่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว จำนวน 1 เครื่องยนต์ ซึ่งส่งมอบให้กับผู้ซื้อแล้ว 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ได้แก่ บ้านพักกรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซียและสำนักงานขายมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งบริษัทฯ ได้รับเงินครบถ้วนและได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อแล้ว

>>การปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจกลุ่มธุรกิจการบินของกลุ่มบริษัทการบินไทย 

บริษัทฯ รับโอน เครื่องบิน A320-200 จากบริษัท ไทยสมายล์ฯ เพิ่มอีกจำนวน 3 ลำ รวมเป็น 6 ลำ เพื่อเตรียมทำการบินในเส้นทาง ระหว่างประเทศของบริษัทฯ ได้แก่ เดล, มุมไบ, ธากา รวมถึงกัลกัตตา (เริ่มบินตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม2566 เป็นต้นไป) 

บริษัทฯ ยังทำการบินทดแทนสายการบินไทยสมายล์ ในเส้นทางย่างกุ้ง, เวียงจันทน์, พนมเปญ, อาห์เมคา บัด รวมถึงเกาสงและปีนัง (เริ่มบินตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป) 

การบินไทยจะทยอยรับโอนอากาศยานจน ครบ 20 ลำ ภายในไตรมาส 1 ของปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอากาศยานได้อย่างเหมาะสม สามารถวางแผนและพัฒนาเครือข่ายเส้นทางบิน และจัดเที่ยวบินให้ครอบคลุมความต้องการของผู้โดยสารใน ภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการแก่ผู้โดยสาร

แลนด์มาร์กใหม่ย่าน ‘บางนา’ เพื่อ ‘คนรักกีฬา-ความบันเทิง’ ใต้ประสบการณ์ ‘ตีกอล์ฟ’ สุดคูล!! พ่วง ‘PLAY-FOOD-FUN’

หลังเลิกงานเมื่อไร สมงสมองก็ไปหมดทุกที งานนี้เลยขอผ่อนความล้าล่าความฟินไปกับกิจกรรมทำคลายเครียดแนวๆ สักหน่อย!! โดยวันนี้ THE STATES TIMES จะขอพามาแนะนำกับแลนด์มาร์กแห่งใหม่ย่านบางนา ที่สามารถมาทำกิจกรรม ทั้งออกกำลังกายชิลๆ หรือจะแวะมาแฮงค์เอาท์เบาๆ กับกลุ่มเพื่อนในที่เดียวก็ไม่ติดที่ ‘Topgolf Megacity’ สนามไดร์ฟกอล์ฟ ที่จัดเต็มทั้ง แสง – สี- เสียง – เทคโนโลยี และชูจุดขายเรื่องอาหารและเครื่องดื่มแบบเต็มพิกัด

ที่นี่เป็นแหล่งความบันเทิงชั้นนำที่รวบรวมความสนุกแบบครบครัน ทั้งกิจกรรมตีกอล์ฟที่มีให้เลือกเล่นหลากหลายรูปแบบ พร้อมทั้งบาร์นั่งชิล และอาหารที่พร้อมเสิร์ฟให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ ในคอนเซปต์ ‘PLAY-FOOD-FUN’ เรียกได้ว่ามาที่นี่ ครบ จบ ในที่เดียวเลยจริงๆ...

สำหรับ ‘Topgolf Megacity’ มีไฮไลต์ที่คนรักกีฬาตีกอล์ฟจะเอ็นจอยได้สุดๆ ภายใต้ความพิเศษของที่นี้นั้น คือ เขามีเกม กีฬา ที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่ง Topgolf Megacity นั้น สร้างอยู่ภายใน Megacity โครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว่า 400 ไร่ เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 70 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกรุงเทพฯ นั้นถือเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดให้บริการเลย!!

โดยความพิเศษของที่นี่นั้น คือการมี ฮิตติ้งเบย์ มากถึง 102 เบย์ แต่ละเบย์จะมีที่นั่งรองรับ อำนวยความสะดวกไว้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ มีสนามพัตต์กอล์ฟ 18 หลุมที่เขาเคลมมาเลยว่า ‘ดีที่สุดในกรุงเทพฯ’ และไม่ต้องกังวลในเรื่องของพื้นที่ว่าถ้าไปแล้วจะพอไหม แออัดหรือเปล่า? เรื่องนี้ตัดออกไปได้เลย เพราะเขาเปิดให้บริการทั้งหมด 4 ชั้น ซึ่งพื้นที่แต่ละชั้นนั้นก็กว้างขวางพอสมควรเลย

และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะสนามกอล์ฟแห่งนี้ เขาใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบใหม่ โดยใช้ ‘ลูกกอล์ฟฝังไมโครชิป’ ทำให้ผู้เล่นสามารถทำคะแนนได้โดยตีลูกกอล์ฟไปยังพื้นเป้าขนาดใหญ่ ที่มี ‘Toptracer’ และ ‘HDTV’ รอบสนามกว่า 300 จอ คอยติดตามความเคลื่อนไหวในการตีของเราและบอกคะแนนในแต่ละรอบให้เราค่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นใครที่เบื่อการตีกอล์ฟแบบเก่าๆ ที่นี่ก็มีการตีกอล์ฟผ่านสนามเสมือนจริงด้วย โดยจะมีการจำลองเป็นรูปแบบของเกมให้เลือกในการตีกอล์ฟได้ถึง 14 เกม เรียกได้ว่าคนเล่นเป็นหรือเล่นไม่เป็นก็เอ็นจอยได้ทั้งหมด!!

ไม่เพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมีไฮไลต์อย่าง PRIVATE EVENT SPACES, ROOFTOP BAR, WINE & WHISKEY LOUNGE, PATIO INDOOR & OUTDOOR RESTAURANT ไว้ให้บริการเหมาะกับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์ ปาร์ตี้ งานเฉลิมฉลอง การพูดคุยทางธุรกิจ อีกด้วย

ในส่วนของค่าบริการ ถ้าเป็นวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี เริ่มต้นที่ 550 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์ วันศุกร์-เสาร์ เริ่มต้นที่ 650 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์ สามารถรองรับผู้เล่นได้สูงสุดถึง 6 คนเลย หากไปกับกลุ่มเพื่อนหารกันแล้วตกแค่คนละ 100 ต้นๆเท่านั้นเอง!!

ขอเสริมกันอีกนิด สำหรับผู้ที่มาใช้บริการครั้งแรก มีค่าลงทะเบียนแรกเข้าอยู่ที่ 150 บาท

เรียกได้ว่าที่นี่ ‘ลบภาพจำ’ ของการตีกอล์ฟแบบเดิมๆไปเลย ยกให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่สำหรับคนรักกีฬาและความบันเทิงที่ควรค่าแก่การมาลองเลยทีเดียว...

สำหรับเวลาให้บริการ : อาทิตย์-พฤหัสบดี 09:00-23:00 น.
ศุกร์-เสาร์ 09:00-24:00 น.

พิกัดการเดินทาง: https://maps.app.goo.gl/EF3rX57uoM9DRg4AA?g_st=ic

ติดต่อสอบถาม: 0-2114-1289 (แนะนำให้โทรมาจองก่อน)
หรือสามารถจองผ่านเว็บไซต์ได้ที่: www.topgolfthailand.com

ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก: https://topgolfthailand.com/about/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top