Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

‘FBI’ เตือน 'สหรัฐฯ' เสี่ยงขั้นสูงถูกโจมตี  ผลพวงจากสงคราม 'อิสราเอล-ฮามาส'

(1 พ.ย.66) สงครามอิสราเอล-ฮามาส ทำให้ความเสี่ยงเกิดเหตุโจมตีต่างๆ นานาในสหรัฐฯ พุ่งสูง ท่ามกลางความกังวลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับชุมชนชาวยิวและชาวมุสลิม จากคำเตือนของคริสโตเฟอร์ เรย์ อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ)

"เราประเมินว่าการกระทำต่างๆ ของฮามาสและพันธมิตรของพวกเขา จะถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจ ในแบบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อนนับตั้งแต่พวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) เริ่มดำเนินการในสิ่งที่เรียกว่าสถาปนาการปกครองแบบกอหลิบเมื่อปลายปีก่อน" เรย์บอกกับคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของวุฒิสภา

"มันเป็นเวลาที่ต้องกังวล เราอยู่ในช่วงเวลาที่อันตราย" เขากล่าว "มันไม่ใช่เวลาแห่งความตื่นตระหนก แต่มันเป็นเวลาแห่งการระแวดระวัง"

ผู้อำนวยการเอฟบีไอรายนี้ ระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย "ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่พวกนักรบฮามาสหรือองค์กรก่อการร้ายต่างชาติอื่นๆ อาจใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งในปัจจุบัน ดำเนินการโจมตีที่นี่ ในแผ่นดินของเรา"

"ความกังวลปัจจุบันทันด่วนที่สุดของเราคือพวกหัวรุนแรง บุคคลหรือกลุ่มต่างๆ อาจได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ต่างๆ ในตะวันออกกลาง และทำการโจมตีเล่นงานชาวอเมริกาที่ออกไปใช้ชีวิตประจำวัน" เขากล่าว "ในนั้นไม่ใช่แค่พวกหัวรุนแรงท้องถิ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากองค์กรก่อการร้ายต่างชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพวกหัวรุนแรงภายในประเทศ ที่เล็งเป้าเล่นงานประชาคมชาวยิวและชาวมุสลิมด้วย"

เรย์ ได้อ้างถึงเหตุจับกุมชายคนหนึ่งในฮิวสตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ชายคนนี้ได้ทำการศึกษาวิธีการผลิตระเบิดเป็นอย่างดี และได้โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการ ‘สังหารยิง’ รวมถึงเหตุเด็กชายชาวมุสลิมวัย 6 ขวบในอิลลินอยส์ ถูกฆ่าโดยเจ้าของห้องเช่า และเวลานี้กำลังถูกสอบสวนโทษฐานก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง

"สงครามที่กำลังเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง เพิ่มความเสี่ยงเหตุโจมตีเล่นงานพลเมืองอเมริกาในสหรัฐฯ สู่อีกระดับ" เรย์กล่าว

อัลกออิดะห์, รัฐอิสลาม (ไอเอส) และฮิซบอลเลาะห์ ต่างเรียกร้องให้สมุนโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เรย์ บอกว่า เอฟบีไอ ยังไม่ได้พบภัยคุกคามอย่างปัจจุบันทันด่วนที่น่าเชื่อถือ จากองค์กรก่อการร้ายต่างชาติใดๆ

แต่กระนั้นภัยคุกคามที่มีต่อประชาคมชาวยิวในสหรัฐฯ "อยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์" ผู้อำนวยการเอฟบีไอระบุ "ความจริง คือ ประชาคมชาวยิวเป็นเป้าหมายโดยเฉพาะของเกือบทุกๆ องค์กรก่อการร้ายในทุกมิติ" เรย์กล่าว พร้อมบอกว่าชาวยิวมีสัดส่วนคิดเป็นแค่ 2.4% ของประชากรสหรัฐฯ แต่ในบรรดาอาชญากรรมจากความเกลียดชังทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาในศาสนาเลย มีถึง 60% เลยทีเดียวที่เกี่ยวข้องกับชาวยิว

ผบ.ตร.ลงพท.จังหวัดชายแดนใต้ติดตามคลี่คลายคดีสำคัญ ให้น้อมนำยุทธศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มีส่วนร่วมกับชุมชน เป็นมาตรการเชิงรุกป้องกันเหตุยุติความรุนแรง กำชับดูแลความเป็นอยู่ ผู้ปฏิบัติทุกมิติ พร้อมลงเยี่ยมจุดตรวจมั่นคง สร้างขวัญกำลังใจตำรวจชายแดนใต้

วานนี้ (31 ต.ค. 66) เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เป็นประธานในการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีสำคัญในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รรท.รอง ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. โดยมี พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รรท.ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.นิตินัย หลังยาหน่าย รอง ผบช.9 , พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.อาชน จันทร์ศิริ รรท.รอง ผบช.ภ.9 , พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาลรรท.ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ,พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล รรท.ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ,พล.ต.ต.เชาวลิต เลี้ยงสุพงศ์ รรท.ผบก.ภ.จว.สงขลา , หัวหน้าสถานีตำรวจในพื่ยทีา จว.ปัตตานี 16 สถานี และ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 3 ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี

การลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ ได้ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีสำคัญที่เกิดขึ้น และให้แนวทางในการสืบสวนสอบสวนคดีต่างๆ สำหรับในส่วนของการดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่นั้น ได้มอบแนวทางให้กับสถานีตำรวจในพื้นที่ น้อมนำยุทธศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นหลักปฏิบัติในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อยุติเหตุและความรุนแรงด้วยมาตรการเชิงรุก ให้ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นและผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา พร้อมทั้งกำชับหัวหน้าสถานี ให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลความเป็นอยู่ และขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้ฝากความห่วงใยไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกท่าน พร้อมจะเป็นกำลังใจ สนับสนุนการปฏิบัติ ดูแลขวัญกำลังใจทุกมิติ ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี ให้ผู้บังคับบัญชาลงลึกดูรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ปฏิบัติตามนโยบายของ ตร.และรัฐบาล   

ต่อมา เวลา 20.40 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รรท.ผบช.ภ.9/ผบ.ศปก.ตร.สน. ตรวจเยี่ยมจุดตรวจท่าสาป และมอบนโยบาย พร้อมมอบสิ่งของตรวจเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจประจำจุดตรวจ ณ จุดตรวจท่าสาป อ.เมืองยะลา จว.ยะลา สร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน ที่ ผบ.ตร.ให้ความสำคัญ ลงพื้นที่เยี่ยมจุดตรวจความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้ด้วยตนเอง 

‘อ.เจษฎา’ ท้าพิสูจน์ ‘บั้งไฟพญานาค’ แต่ไม่ต้องวางเดิมพันเงินล้าน พร้อมแนะวิธีล่าความจริงด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ลั่น!! โทรมานัดได้เลย

(1 พ.ย. 66) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ถึงข้อถกเถียงเรื่อง ‘บั้งไฟพญานาค’ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือ ฝีมือมนุษย์ ดังนี้…

“ผมชอบไอเดียวิธีการพิสูจน์ ‘บั้งไฟพญานาค’ ของเค้านะ แต่ไม่ต้องวางเดิมพันเงินรางวัลอะไรกันหรอกครับ (ผมข้าราชการขั้นผู้น้อย ไม่มีเงินไปวางกับท่านคหบดี บุญมา เค้าด้วย)

แค่ปีหน้า ท้องถิ่นมาช่วยกันจัดพิสูจน์เป็นเรื่องเป็นราว เชิญกองทัพสื่อทุกช่อง และผู้สนใจ ไปตั้งกล้องถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ กันเยอะๆ ดีกว่า

ผมว่า ถ้าไปบึงกาฬอาจจะไม่ค่อยเห็น ก็เลือกเอาที่จุดไหนที่ลูกไฟขึ้นเยอะๆ ให้ชัวร์ๆ ว่าไปแล้วน่าจะได้เจอ (เช่น ที่ลานพญานาค รัตนวาปี)  แบ่งครึ่งหนึ่งถ่ายฝั่งไทย อีกครึ่งข้ามไปถ่ายฝั่งลาว เอาโดรนบินตรงกลางขึ้นฟ้าไปด้วย เริ่มจัดซักปี 2 ปี ก็น่าจะได้ข้อมูล ‘ทางวิทยาศาสตร์’ ให้ไปศึกษาต่อกันได้อีกเยอะครับ

ป.ล. ปีหน้า โทรมานัด ที่ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ได้นะครับ

(รายงานข่าว) โต้เดือด! บึงกาฬ แถลงยัน บั้งไฟพญานาคขึ้น ท้าเดิมพัน ‘อ.เจษฎา’ 1 ล้าน มาพิสูจน์ด้วยกัน

นายบุญมา พันดวง คหบดีในบึงกาฬ กล่าวว่า ขอท้า ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทยมาพิสูจน์ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ กรณีเกิดบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษา ที่ท่านบอกว่าเป็นการยิงกระสุนส่องสว่างจากอาวุธปืนเอสเคจากฝั่งลาวขึ้นฟ้า ทำให้คนไทยเชื่อว่าเป็น “บั้งไฟพญานาค” ตามความเชื่อของคนไทยและลาวริมฝั่งโขง ซึ่งเคยยืนยันเรื่องนี้มามากกว่า 10-15 ปีแล้ว ปัจจุบัน ดร.เจษฎา ก็ยังยืนยันคำเดิม

บุญมา กล่าวต่อว่า ดร.เจษฎา ไม่ต้องไปจับคนลาวที่ยิงปืนมาพิสูจน์ให้คนไทยดูก็ได้หรอก แต่ให้มานั่งดูที่ริมฝั่งโขงในเขต อ.ปากคาด ด้วยกัน โดยเชิญสื่อมวลชนส่วนกลางมาบันทึกภาพเป็นสักขีพยานด้วย เก็บภาพทุกมุม ทั้งยิงกล้องมาทางฝั่งลาวด้วย ขอร้องประชาชนหรือนักท่องเที่ยวห้ามส่งเสียงช่วงพิสูจน์ด้วยกันทั้งฝั่งและลาว จะได้รู้ดำรู้แดงให้มันจบๆ ในยุคเรา

“ขอเดิมพัน 1 ล้านบาท ถ้าเป็นไปตามที่ ดร.เจษฎา วิเคราะห์หรือพิสูจน์มา แต่ถ้าเป็นไปตามความเชื่อของคนหนองคายและบึงกาฬ ดร.เจษฎา ต้องยอมจ่าย 1 ล้านบาท และยินดีจะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางพร้อมอาหารที่พักให้ด้วย ถ้าตกลงตามคำท้า ขอโทรมาที่เบอร์ 09-8096-7105” นายบุญมา กล่าว ....”

เก็บตกวันฮาโลวีนในสวนสัตว์เชียงใหม่

วันฮาโลวีนในปีนี้ สวนสัตว์เชียงใหม่ นำเหล่าบรรดาผีๆ ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมแจกขนมหวานและของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวที่มาร่วมกิจกรรมของสวนสัตว์เชียงใหม่ ณ ซุ้มกิจกรรม “Halloween @Chiang Mai Zoo” พร้อมเช็คอินที่สวนสัตว์เชียงใหม่

วันที่ 31 ตุลาคม 2566 นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ นำทีมเหล่าบรรดาผีๆ ออกมาต้อนรับ และสร้างสีสันในวันฮาโลวีน เดินทักทาย แจกขนมหวาน พร้อมมอบของรางวัลพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ พร้อมเช็คอินที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ในวันนี้เจ้าหน้าที่จำหน่ายบัตร และเจ้าหน้าที่ตรวจเช็คบัตร แต่งกายด้วยผี ออกมาให้บริการนักท่องเที่ยว มีการตกแต่งซุ้มบรรยากาศของเทศกาลฮาโลวีน ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปอีกด้วย ส่วนบริเวณส่วนจัดแสดงเสือดำ-ดาว ได้มีการจัดส่งเสริมพฤติกรรมสัตว์ ด้วยการแกะสลักรูปฟักทอง และใส่เนื้อภายในฟักทอง วางให้เสือดำ-ดาว เดินออกมากินเนื้อที่อยู่ข้างในฟักทอง และนำผัก ผลไม้ มาประดับตกแต่งเป็นตัวอักษร คำว่า “Halloween” อย่างสวยงามภายในส่วนจัดแสดงเสือ ทั้งนี้เพื่อให้เสือได้ออกกำลังกายและแสดงถึงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติในการกินอาหารของสัตว์ และทำให้เสือมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

รัฐบาลเร่งจัดสรรที่ดินทำกินแก่ ปชช. 50 ล้านไร่ ชงใช้ ‘โฉนดดิจิทัล’ แทนโฉนดที่ดินแบบกระดาษ

(1 พ.ย. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 3/2566 ว่า คณะกรรมการโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ เพื่อให้นโยบายในการดำเนินงานโดยยึดหลักว่า ‘ประชาชนต้องมีที่ดินและที่ทำกิน อย่างพอเพียง’ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจัดสรรที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ ตามคำแถลงของนายกรัฐมนตรีที่ได้กล่าวต่อรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งจะครอบคลุมทั้งพื้นที่ในเขต ส.ป.ก. และพื้นที่ป่าไม้ ที่เป็นภารกิจที่ต้องบูรณาการหลายกระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น โดยให้ศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน ตลอดจนแนวทางในการแก้ไขข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นข้อจำกัดอยู่ เพื่อให้สามารถจัดสรรที่ดินทำกินให้กับพี่น้องประชาชนได้ตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้

“การเร่งรัดให้ประชาชนมีสิทธิ์มีที่ดินทำกิน มิใช่เพียงการให้อาชีพ ให้โอกาสในการสร้างรายได้ สร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนเท่านั้น แต่รัฐบาลยังมุ่งหวังให้สามารถใช้เอกสารสิทธิ์หรือหนังสืออนุญาตที่รัฐออกให้เหล่านี้ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการเข้าถึงแหล่งทุนให้ได้จริง เพื่อต่อยอดเป็นทุนในการประกอบอาชีพได้ด้วย” นายชนินทร์กล่าว

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีข้อสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ ศึกษาแนวทางในการทำ ‘โฉนดดิจิทัล’ เชื่อมต่อกับระบบแผนที่ One-Map เพื่อให้ใช้ฐานข้อมูลที่ดินออนไลน์กลาง แทนการแนบแผนที่แนบท้ายในรูปแบบกระดาษของหน่วยงานต่าง ๆ โดยประสานการใช้ประโยชน์จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมธีออส 2 (THEOS-2) ที่จะทำให้การทำงานของภาครัฐมีความแม่นยำ รวดเร็ว ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และภาคประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกมากขึ้น ตามหลักคิดของนโยบายรัฐบาลดิจิทัล

‘เสถียร’ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ ‘เบียร์’ หัวหอก ‘คาราบาว-ตะวันแดง’ จ่อวางตลาด 9 พ.ย.นี้ หวังเพิ่มทางเลือกให้นักดื่มคอทองแดงในไทย

(1 พ.ย. 66) ภาพรวมตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2.7 แสนล้านบาท โดย 3 ขั้วใหญ่ ที่ทำตลาด ประกอบด้วย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ของ ‘ตระกูลภิรมย์ภักดี’ มีสินค้าหลากแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ เช่น เบียร์สิงห์ ลีโอ ฯลฯ  และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ของราชันย์น้ำเมา ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ มีแบรนด์ช้าง อาชา ฯลฯ เสิร์ฟคนไทย และ กลุ่มธุรกิจทีเอที บิ๊กแบรนด์ระดับโลกจากเนเธอร์แลนด์ที่มี ไฮเนเก้น ครองความเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์พรีเมียม

ผู้ท้าชิงใหม่ลงสนาม ซึ่งแม่ทัพคนสำคัญ อย่าง ‘เสถียร เสถียรธรรมะ’ ได้ประกาศจะต่อยอดความสำเร็จในการทำตลาดน้ำเมาสีอำพันผ่านโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงมากว่า 20 ปี และสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

>> ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ 2 แบรนด์เบียร์ใหม่

เสถียร ประกาศทุ่มงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่มีกำลังการผลิตประมาณ 400 ล้านลิตรต่อปี แต่ใช้กำลังผลิตเบื้องต้นยังไม่เต็มที่เพื่อตอบสนองผู้บริโภค พร้อมกันนี้ กลุ่มคาราบาว โดยบริษัท โรงเบียร์ตะวันแดง 1999 จำกัด จะเปิดตัวเบียร์ 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ อย่างเป็นทางการวันที่ 9 พ.ย.นี้ 

เบียร์น้องใหม่ยังจัดเต็มติดอาวุธการตลาดด้วย Sport Marketing กับแคมเปญใหญ่หวังดึงดูดชาวไทยไปสัมผัสประสบการณ์ฟุตบอลระดับโลก คาราบาว คัพ นัดชิง ที่กลุ่มคาราบาว เพิ่งทุ่มเงิน 18 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 800 ล้านบาท ต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุน คาราบาว คัพ (Carabao Cup) การแข่งขันฟุตบอลในอังกฤษ ไปอีก 3 ปี คือ ฤดูกาลแข่งขัน 2024/2025, 2025/2026 และ 2026/2027

เสถียร เคยกล่าวว่า ในการทำตลาดเบียร์ครั้งนี้ภายใต้แบรนด์คาราบาวและตะวันแดง ต้องการเป็นขั้วที่ 3 ของค่ายเบียร์ยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย บริษัทจึงทุ่มสุดตัวทั้งเม็ดเงินก้อนโต และการร่วมมือกับสถาบัน VLB BERLIN ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยและพัฒนาเบียร์ยาวนานถึง 140 ปี มาช่วยดูแลและพัฒนาคุณภาพสินค้า

สำหรับผลิตภัณฑ์เบียร์ 2 แบรนด์ ที่ออกมาทำตลาดมีทั้งสิ้น 5 ชนิด ได้แก่ 1.เบียร์ลาร์เกอร์ 2.เบียร์ดำ หรือ Dunkel 3.เบียร์ไวเซ่น 4.เบียร์โรเซ่ และ 5.เบียร์ไอพีเอ (India Pale Ale:IPA) โดยสินค้ามีทั้งแบบขวดแก้วและกระป๋อง ดังนี้ แบบขวดแก้วขนาด 620 มิลลิลิตร (มล.) กระป๋อง 490 มล. และกระป๋อง 320 มล. และจุดเด่นของเบียร์น้องใหม่คือการยึดกฎการทำเบียร์เยอรมัน(German Purity Law) ที่มีวัตถุดิบแค่มอลต์ ฮอปส์ และยีสต์เท่านั้น เพื่อตอบสนองนักดื่ม

ทางด้าน ไทยเบฟเวอเรจ แม้ธุรกิจ ‘เบียร์’ ในไทยยังเป็นรอง ส่วนแบ่งตลาดไล่หลัง ‘บุญรอดบริวเวอรี่’ หรือค่ายสิงห์ แต่ไทยเบฟยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งในตลาดเบียร์ระดับภูมิภาคอาเซียนเพราะมีส่วนแบ่งทางการตลาด ‘แถวหน้า’ (รวมเบียร์ของไทยเบฟ และ SABECO เวียดนาม เบียร์ในประเทศเมียนมา)

ในงานแถลงแผนประจำปี 2566 ของไทยเบฟ แม่ทัพใหญ่อย่าง ‘ฐาปน สิริวัฒนภักดี’ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า มีโอกาสได้เจอคุณอาเสถียร ยังเอ่ยถึงเลยว่าที่ท่านตัดสินใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจเบียร์ และกำลังออกสินค้าตัวใหม่ เป็นเรื่องที่ดี และเป็นการสร้างสรรค์ในเรื่องแข่งขันของตลาด ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์

“ตราบใดที่เป็น Healthy Competition มองว่าการแข่งขันเป็นเรื่องปกติ เราคงบอกไม่ได้ว่าเราเห็นการแข่งขันเป็นเรื่องที่ไม่ดี ขณะที่ในการทำธุรกิจเราต้องปรับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะการเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค เพิ่มขีดความสามารถขององค์กร การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ ที่สุดแล้วต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ กติกาเดียวกัน ไม่งั้นลำบาก”

สำหรับการบุกตลาดเบียร์ของไทยเบฟ นอกจากในประเทศได้ออกสินค้าใหม่เซ็กเมนต์พรีเมียมอย่างช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทุ่มงบลงทุน 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ในประเทศกัมพูชา ยังเดินหน้าขยายโรงงานผลิตเบียร์ในประเทศเมียนมา ผ่านเฟรเซอร์แอนด์นีฟ(เอฟแอนด์เอ็น) และซาเบโก้(SABECO) เดินหน้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นในกลุ่มโรงเบียร์ต่างๆ เพื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย

>> บิ๊กแบรนด์รุมรับน้องเบียร์

หลังจาก เสถียร เดินเกมรุกสร้างการรับรู้เบียร์น้องใหม่ ทำให้บิ๊กแบรนด์ต่างๆ มีการขยับตัวกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะผู้นำตลาดอย่าง ‘ลีโอ’ ของค่ายบุญรอดฯ ที่แม่ทัพใหญ่ ‘ภูริต ภิรมย์ภักดี’ ตลอดจนขุนพลการตลาดได้เผยการปรับโฉมแบรนด์ลีโอใหม่ให้เป็นเสือหนุ่มมากขึ้น และมีการสื่อสารการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ สื่อโฆษณานอกบ้านกันอย่างคึกคัก

ฟากกลุ่มธุรกิจทีเอพี นอกจากพยายามผลักดัน ไฮเนเก้น ซิลเวอร์ เจาะนักดื่มรุ่นใหม่แบรนด์ ‘เชียร์’ ขยับตัวออกสินค้ารสชาติใหม่ ดึงส้มยูซุแท้จากประเทศญี่ปุ่นมาสร้างสีสัน

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของแบรนด์ใหญ่นอกจากต้อนรับน้องใหม่ อีกด้านหนึ่งยังเป็นการปล่อยหมัดการตลาดเพื่อรองรับช่วงปลายปี ซึ่งถือเป็นไฮซีซันของตลาดเบียร์ด้วย

การแย่งชิงขุมทรัพย์เบียร์ ‘แสนล้านบาท’ หัวใจสำคัญคือช่องทางจำหน่ายสินค้าไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ ร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงแรมฯ (On-Premise) ช่องทางร้านค้าทั่วไปเป็นอีกจิ๊กซอว์ทำเงิน ซึ่งต้องมีขุมพลังเอเย่นต์ หรือตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่คอยเป็นกองหนุน สำหรับบุญรอดฯ ครองบัลลังก์เบียร์ มีเอเย่นต์ในมือราว 300 ราย และเครือข่ายร้านค้าส่งอีกเฉียดหมื่น (ข้อมูลที่เปิดเผย ณ ปี 2560) ขณะที่ไทยเบฟเวอเรจ มีเอเย่นต์ไม่แพ้กันจำนวนหลายร้อยราย

ดังนั้น การทำตลาดของ ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ จึงต้องหากองทัพในการส่งและกระจายสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทุ่มเงินผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ (Traditional Media) เพื่อประกาศหาเอเย่นต์ทั่วประเทศมาร่วมเป็นพันธมิตร

สำหรับภาพรวมตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 2.7 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นเซ็กเมนต์อีโคโนมี (ตลาดล่าง) หรือ Mass สัดส่วน 75% หรือมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท สแตนดาร์ดสัดส่วน 20% และเซ็กเมนต์พรีเมียมประมาณ 5% ตลาดยังมีเบียร์เฉพาะกลุ่มหรือ Niche Market อย่างคราฟต์เบียร์ (เบียร์แบรนด์ไทยและนำเข้า) แทรกตัวอยู่ โดยมีสัดส่วน 0.5-1% หรือมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การชิงขุมทรัพย์น้ำเมาสีอำพันไม่ง่าย ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ น้องใหม่เบียร์มาจากโรงงานที่กำลังการผลิตราว 400 ล้านลิตรต่อปี หากเทียบรุ่นใหญ่ในตลาด เช่น บุญรอดฯ โรงงานมีกำลังผลิตรวมระดับ 2,000 ล้านลิตร ทำรายได้ระดับ ‘แสนล้านบาท’ ไทยเบฟ เช่นกันที่กำลังการผลิตมหาศาล ทำเงินแสนล้านบาท

‘ธนกร’ ค้าน ‘ยุบ กอ.รมน.’ ชี้ ส่งผลต่อความมั่นคงประเทศ ถาม!! ที่เสนอยุบ เพราะต้องการกำจัดศัตรูคู่แค้นหรือไม่?

(1 พ.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล เชิญชวนประชาชนแสดงความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หรือร่างกฎหมาย ยุบ กอ.รมน. ว่า เรื่องนี้ตนขอคัดค้าน ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก กอ.รมน. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องรักษาความมั่นคงภายในประเทศ จากภัยคุกคามต่าง ๆ เช่น การก่อความไม่สงบ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นต้น หากยุบกอ.รมน. ไป อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ได้

นายธนกร กล่าวว่า การทำงานของ กอ.รมน.ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2551 ได้บูรณาการการทำงาน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งตอบสนองนโยบายรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และแก้ปัญหาให้ประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ กอ.รมน. คือหน่วยงานประสานการทำงานในลักษณะองค์กรผสม 3 ฝ่าย คือ พลเรือน-ตำรวจ-ทหาร มี 6 ศูนย์ประสานการปฏิบัติ มีศูนย์ 1 รับผิดชอบด้านยาเสพติด, ศูนย์ 2 แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง, ศูนย์ 3 การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ, ศูนย์ 4 ด้านความมั่นคงพิเศษ อาทิ ชาวม้งลาว, การค้ามนุษย์, การฟอกเงิน, บุกรุกป่าไม้, ภัยพิบัติระดับชาติ ฯลฯ, ศูนย์ 5 ด้านความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ คือจังหวัดชายแดนภาคใต้ และศูนย์ 6 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและการส่งเสริมสถาบัน

“หากยุบกอ.รมน. ไปอาจทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำงานแยกส่วนกัน ประสิทธิภาพการบูรณาการ การประสานงานด้านต่าง ๆ ลดลง ตนเห็นด้วยกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่ไม่มีแนวคิดจะยุบ กอ.รมน. แต่จะปรับแนวทางการทำงานให้มีประสิทธิภาพให้มีการทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อช่วยพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น” นายธนกรกล่าว

เมื่อถามว่า การล่ารายชื่อของพรรคก้าวไกลจะมีผลต่อการยื่นร่างกฎหมายนี้ต่อสภาหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การเสนอกฎหมายเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อยื่นวาระเข้าสภาแล้ว ก็ถือเป็นสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะพิจารณาถึงประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน ตนเชื่อว่าทุกคนจะยึดหลักประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าส่วนตน มากกว่าพวกพ้อง หรือ พรรคใดพรรคหนึ่ง   

“ผู้ที่สนับสนุนให้ยุบ กอ.รมน. เขาอาจมองว่า กอ.รมน. มีอำนาจมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกมองว่าเป็นหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า การให้เหตุผลเหล่านี้ อาจมีเรื่องอื่นแฝงอยู่หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาตัวผู้ที่เสนอร่างพ.ร.บ.ยุบ กอ.รมน.เอง รวมถึงพรรคดังกล่าวนั้น ถูก กอ.รมน. แจ้งความเอาผิดในคดีความมั่นคง มาวันนี้ จึงเสนอกฎหมายเพื่อให้ยุบหน่วยงานที่เป็นคู่กรณีของตนเองหรือไม่ จึงขอฝากประชาชนติดตามข่าวสารอย่างมีข้อมูลที่รอบด้าน เพื่อจะได้ทราบถึงที่มาที่ไปและเหตุผลของการขับเคลื่อนล่ารายชื่อในการยื่นกฎหมายดังกล่าวในครั้งนี้” นายธนกรกล่าว และว่า “การตัดสินใจว่าจะยุบ กอ.รมน. หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และการทำงานเพื่อประชาชนเป็นสำคัญ”

‘ไอซ์-รักชนก’ โอนหุ้น 2 บริษัทฯ ขายของออนไลน์ ก่อนยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.

(1 พ.ย. 66) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค. 2566 สถานะ โสด มีทรัพย์สินรวม 5,840,477 บาท หนี้สิน 1,814,816 บาท

น.ส.รักชนะ ระบุ ประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปีว่า เป็นกรรมการบริษัท 2 แห่ง

- ปี 2562-2566 เป็นกรรมการ บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2563-2566 เป็นกรรมการ บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2564-2566 ที่ปรึกษาประธาน กรรมาธิการ พัฒนาการเมือง การสื่อสาร และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ขณะที่รายการทรัพย์สินของ น.ส.รักชนก มิได้ระบุถือครองหุ้น 2 บริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า น.ส.รักชนได้ลาออกจากกรรมการและโอนหุ้นทั้งสองบริษัท ในช่วงเดือน มิ.ย.2566 ก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. มีรายละเอียดดังนี้

1.) บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 กันยายน 2562 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อขายสินค้าและขายส่งสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล 19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร น.ส.รักชนก เป็นกรรมการจดทะเบียนก่อตั้ง และถือหุ้นใหญ่ 9,400 หุ้น ผู้ถือหุ้นรายอื่น 2 คน คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

2.) บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 31 มกราคม 2563 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการขายสินค้าออนไลน์ ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร (ที่ตั้งเลขที่เดียวกันกับบริษัทแรก) น.ส.รักชนกเป็นกรรมการผู้ริเริ่มก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ 94,000 หุ้น ผู้ถือหุ้นอื่นอีก 2 ราย คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น 

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

ทั้งสองบริษัทยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ และนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น พร้อมกัน และผู้รับโอนหุ้นจาก น.ส.รักชนก รวม 2 บริษัท จำนวน 18,800 หุ้น มูลค่า 1,880,000 บาท เป็นคนดียวกัน (ดูตารางประกอบ)

จากข้อมูลเห็นได้ว่า การลาออกจากตำแหน่งกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นธุรกิจทั้งสองแห่งของ น.ส.รักชนก ให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ มีขึ้นก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค.2566 โดย สำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมืองรับวันที่ 10 ต.ค.2566 (ดูเอกสาร)

ไม่มีชื่อ สส.สาวถือหุ้นธุรกิจขายของออนไลน์อีกต่อไป

‘อธิบดีปค.’ สั่งบุกจับผับเถื่อนเชียงใหม่ แถมเสี่ยงไฟไหม้ หนำซ้ำ!! ปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 20 มั่วสุมดื่มสุรา 242 คน

สนธิกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองและฝ่ายปกครองเชียงใหม่ ‘ปฏิบัติการป่าช้าแตก’ Kick Off จัดระเบียบสังคม ต้อนรับ 1 พ.ย.66 ตามนโยบาย มท.1 สามารถบุกจับ ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก กลางเมืองเชียงใหม่ ทำเอาผู้ฝ่าฝืนกฎหมายต้องสยองคืนฮาโลวีน โดยลักลอบเปิดอย่างผิดกฎหมาย ใช้บ้านไม้ดัดแปลงทำผับเถื่อนไร้ใบอนุญาต เสี่ยงเกิดเหตุเพลิงไหม้ ไม่มีทางหนีไฟ หนำซ้ำ ‘เด็ก’ แออัดเพียบถึง 242 คน

(1 พ.ย. 66) โดย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นำโดยนายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง พร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 30 นาย บูรณาการร่วมกับนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่

นำโดย นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ นายสิทธิศักดิ์ อภิกุลชัยสุทธิ์ นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ และนายดนัย สุขสกุล ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ นำกำลังเข้าจับกุมสถานบริการเถื่อน ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้กำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อกวดขันปราบปรามผู้มีอิทธิพล การจัดระเบียบสังคม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนัน และอาวุธปืน โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กรมการปกครองบูรณาการจัดตั้งชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองร่วมกับทุกจังหวัดและเริ่ม Kick off ในวันที่ 1 พ.ย.66

“ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองได้สนธิกำลังกับชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ วางแผนเข้าร่วมจับกุม ร้านเลอ เนิฟ หรือ NEUFXBAR ซึ่งมีการร้องเรียนจากประชาชนผู้อาศัยใกล้เคียงว่าเปิดให้บริการในลักษณะเป็นสถานบริการ มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่าย ปล่อยปละละเลยให้มีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก

ทั้งยังเปิดให้บริการจนถึงเวลา 02.00 น. ส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านข้างเคียงจนนอนไม่หลับ ซึ่งเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองเข้าสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีการกระทำผิดจริงตามข้อร้องเรียน

กระทั่งเวลา 00.30 น. ของวันที่ 1 พ.ย.66 ได้เปิดปฏิบัติการ ‘ป่าช้าแตก’ บุกจู่โจมสถานบันเทิงละเมิดกฎหมายทันที โดยเมื่อชุดจับกุมเข้าไปถึงภายในผับ พบเป็นห้องปิดทึบ เปิดเพลงเสียงดังสนั่น แสงไฟเลเซอร์วิบวับ มีนักเที่ยวจำนวนเกือบ 300 คน กำลังมั่วสุมดื่มกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เต้นตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างเมามัน นักเที่ยวกว่า 90% ของร้านเป็นเยาวชน

พนักงานฝ่ายปกครองจึงสั่งให้ปิดเพลงและเปิดไฟให้แสงสว่าง ทำให้ภายในผับเกิดความโกลาหล นักเที่ยวเด็กต่างตกใจและพยายามหลบหนีออกทางประตูหน้าร้านและหลังร้าน แต่ชุดจับกุมได้ปิดล้อมประตูไว้ทุกด้าน จึงทำให้นักเที่ยวไม่สามารถหนีออกไปได้ พนักงานฝ่ายปกครองได้ประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบนักเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 17 - 19 ปี ที่กำลังศึกษาสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พนักงานฝ่ายปกครองได้ประสานให้ทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ รับตัวเด็กไปคุ้มครองสวัสดิภาพ และจัดทำประวัติ พร้อมแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวไป” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ดูแลร้าน 7 ฐานความผิด คือ…

1.ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 
2.จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 
3.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 
4.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 
5.ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 
6.โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม 
7.ดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุมจะได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ออกคำสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี และในส่วนของการดัดแปลงอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น นั้น ทางจังหวัดเชียงใหม่จะได้ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อออกคำสั่งระงับการใช้อาคารดังกล่าวต่อไป

ด้าน นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง กล่าวว่า ผับแห่งนี้ นอกจากไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานบริการแล้ว ยังพบว่ามีการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้บ้านไม้สองชั้นนำมาดัดแปลงเป็นสถานบริการ มีเพดานห้องที่ต่ำมาก ไม่มีทางหนีไฟ หากเกิดเพลิงไหม้ จะต้องเกิดเหตุที่น่าสลด ดังนั้น จึงต้องทำการจับกุมดำเนินคดีไม่ให้เป็นตัวอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“ขอฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานบันเทิง ควรประกอบธุรกิจด้วยความมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยปละละเลยให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ การปล่อยปละละเลยให้มีการใช้ยาเสพติดในสถานบริการ และการพกพาอาวุธเข้าไปในสถานบริการ

หากพบว่าร้านใดยังคงฝ่าฝืนจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีและเสนอสั่งปิด 5 ปี ทุกร้าน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านมีความห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงกำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศเข้มงวดกวดขันบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข โดยหากประชาชนมีเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในท้องที่ หรือร้องเรียนมายังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือสายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติม

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรม 'Open house' เปิดบ้านทหารใหม่

เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 66 ที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมือง จ.พิษณุโลกพลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยม  การจัดกิจกรรมต้อนรับครอบครัวและญาติทหารใหม่  เพื่อเป็นการพบปะและพัฒนาความสัมพันธ์กับครอบครัวและญาติทหารใหม่ ซึ่งการเปิดบ้านครั้งนี้เป็นการเปิดบ้านของ หน่วยฝึกทหารใหม่ของ นขต.ทภ.3 ในพื้นที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  

กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรมต้อนรับครอบครัวและญาติทหารใหม่” ผลัดที่ 2/2566 ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ญาติและครอบครัวทหารใหม่ได้ร่วมสังเกตการณ์การส่งทหารเข้าหน่วย และได้เห็นกรรมวิธีการรับทหารใหม่ในทุกขั้นตอน อีกทั้งยังได้เปิดค่ายทหารและหน่วยฝึกทหารใหม่ ให้ครอบครัวและญาติได้เยี่ยมชม ตั้งแต่วันแรกที่ทหารมาถึงหน่วยฝึก เพื่อให้ครอบครัวและญาติทหารใหม่ได้สัมผัสถึงความเป็นอยู่ของบุตรหลาน ทำความรู้จักกับ ผู้บังคับหน่วยและบุคลากรทุกระดับชั้น พร้อมกับได้เห็นลักษณะที่พักอาศัย สถานที่ฝึก โรงประกอบเลี้ยง สถานที่ออกกำลังกาย สถานที่สันทนาการ ระบบการรักษาพยาบาล ได้รับทราบถึงกระบวนการฝึกทหาร การศึกษาต่อระหว่างประจำการ การฝึกอาชีพเสริม  ความก้าวหน้าในการบรรจุเข้ารับราชการ ทหาร รวมทั้งสิทธิและสวัสดิการของทหารกองประจำการอย่างครบถ้วน โดย กองทัพภาคที่ 3 ได้อำนวยความสะดวกให้กับญาติและครอบครัวทหารใหม่ที่มาร่วมกิจกรรม  มีสถานที่พักคอย อาหาร  เครื่องดื่ม บริการตรวจสุขภาพ และจัดยานพาหนะรับส่ง  

ส่วนที่ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นจุดรับทหารใหม่ โดยมี พ.อ.กฤติ พันธะสา รองผู้บัญชาการณฑลทหารบกที่ 39 ได้เดินหน่วยรับทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยรับทหารใหม่ของกองทัพเรือ และกองทัพทหารอากาศ โดยมีพ่อแม่และญาติได้ร่วมมาส่งลูกหลานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
        
ทั้งนี้การจัดกิจกรรมการต้อนรับครอบครัวและญาติทหารใหม่ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพร้อมของหน่วยทหารในกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับทหารใหม่ ทั้งเรื่องมาตรฐานการฝึก ระบบการบังคับบัญชา การพัฒนาคุณภาพชีวิต มุ่งเสริมสร้างทหารกองประจำการให้สามารถดำรงเกียรติ มีทักษะด้านการทหาร มีจิตอาสา พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจทั้งด้านความมั่นคง การพัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องได้มั่นใจว่า กองทัพบกจะดูแลบุตรของท่านให้ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด ดูแลด้วยใจ ห่วงใยดั่งคนในครอบครัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top