Saturday, 21 June 2025
NewsFeed

'ปลดเป้ วางปืน คืนสู่สามัญ' 'ทหารปลดประจำการ เป็นทหารกองหนุน'

มณฑลทหารบกที่ 36 จัดพิธีส่งทหารซึ่งรับราชการครบกำหนดและจะปลดจากกองประจำการ

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2566 พลตรี วัชรพงศ์  แก้วแจ้ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 เป็นประธานพิธี มอบประกาศเกียรติคุณ และให้โอวาทแก่ทหารกองประจำการ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารกองประจำการ ผลัดที่ 2/62, 2/64, 2/65 และ 1/66 ซึ่งรับราชการจนครบกำหนดตาม พ.ร.บ. รับราชการทหาร ในวันที่ 31 ต.ค. 66 และจะต้องดำเนินการปลดเป็นทหารกองหนุนกลับภูมิลำเนา ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 มีทหารกองประจำการเข้ากระทำพิธี จำนวน 155 นาย โดยมี ผู้บังคับบัญชาภายในกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 เข้าร่วมพิธี พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณ และวุฒิการศึกษาจากศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ให้แก่ทหารกองประจำการ ดังกล่าว ณ อาคารอเนกประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 36 ค่ายพ่อขุนผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

ส่อง 5 อุตสาหกรรมเด่น!! สร้าง 'แรงบวก' MPI ไทย เดือน 9 (YOY)

(31 ต.ค. 66) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน ปี 2566 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตในเดือนกันยายน 2566 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่…

- น้ำตาล ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 74.64 จากน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์และน้ำตาลทรายขาว เป็นหลัก ตามความต้องการของตลาดส่งออก และตลาดในประเทศ ซึ่งการงดส่งออกน้ำตาลของประเทศอินเดียจะส่งผลให้ไทยได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น สำหรับตลาดในประเทศขยายตัวตามกิจกรรมเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และมีคำสั่งซื้อของผู้รับซื้อรายใหญ่

- เส้นใยประดิษฐ์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33.12 จากเส้นใยประดิษฐ์อื่น ๆ และเส้นใยโพลีเอสเตอร์ จากคำสั่งซื้อของตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย และจีน เพื่อนำไปผลิตเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ (หลังคา เบาะ หรือ สายพานต่างๆ) และเสื้อผ้ากีฬา

- สายไฟและเคเบิ้ลอื่น ๆ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.52 จากสายไฟฟ้า เป็นหลัก เนื่องจากมีรอบคำสั่งซื้อจากการไฟฟ้านครหลวง ส่วนภูมิภาค และฝ่ายผลิต รวมถึงงานโครงการของภาครัฐและเอกชนมากขึ้น

- พลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.35 จาก Polyethylene resin, Ethylene และ Polypropylene resin เป็นหลัก โดยในปีก่อนที่มีการลดการผลิตเนื่องจากมี Over supply ในตลาดโลก และมีการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตบางราย

- สินค้าแปรรูปและการถนอมผลไม้และผัก ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.84 จากข้าวโพดหวานกระป๋อง กะทิ และน้ำผลไม้ เป็นหลัก โดยข้าวโพดหวานกระป๋อง ได้รับคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ส่วนกะทิ ลูกค้ากลับมามีคำสั่งซื้อหลังชะลอตัวในช่วงก่อนหน้า และน้ำผลไม้ มีการเร่งผลิตหลังเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวสับปะรดรอบใหม่

กรมปศุสัตว์ ร่วมกับ สัตวแพทย์ มช. จัดงานประชุมนานาชาติ GASL โดย FAO ต้อนรับผู้ร่วมงานกว่า 200 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลก

กรมปศุสัตว์ ร่วมกับ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับเกียรติจาก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จัดการประชุมนานาชาติ Multi-stakeholder collaboration to strengthen sustainability and resilience of livestock systems in response to drivers of change: 13th Global Agenda for Sustainable Livestock (GASL) Multistakeholder Partnership Meeting and the Regional Conference on Sustainable Livestock Transformation ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงใหม่ 

โดยมี นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Ms. Shirley Tarawali ประธานของกลุ่ม Global Agenda for Sustainable Livestock (GASL) ดร. นายสัตวแพทย์ธนวรรษ เทียนสิน Director of Animal Production and Health Division องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) Mr. Robert Simpson, Senior Adviser to the Assistant Director - General / Regional Representative ผู้แทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) นายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกันกล่าวให้การต้อนรับผู้ร่วมประชุม

ในการนี้ ศ.ดร.น.สพ.กรกฎ งานวงศ์พานิชย์ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ พร้อมด้วย ผศ.ดร.สพ.ญ.วรางคณา ไชยซาววงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สัตวแพทย์สาธารณสุขและอาหารปลอดภัยเอเชียแปซิฟิก คณาจารย์ และบุคลากร คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมพิธีเปิดงานประชุมนานาชาติฯ

สำหรับการประชุมที่จัดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ จะมุ่งเน้นหารือในประเด็นด้านการเสริมสร้างให้เกิดการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อระบบปศุสัตว์และการแก้ไขปัญหาในรูปแบบนวัตกรรม 4 มิติสำคัญ ประกอบไปด้วย

ความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ หารือแนวทางการสร้างความมั่นคง เพื่อให้ประชากรโลกสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าและโภชนาการสูง สนับสนุนการเจริญเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืน

การพิจารณาทางเศรษฐกิจและสังคม มุ่งพิจารณาแนวทางการสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสุขภาพ เสริมสร้างความยั่งยืนในการผลิตปศุสัตว์ ตลอดจนการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนอย่างเท่าเทียม

ด้านสุขภาพ ร่วมวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของแนวทางการดูแลสุขภาพ อันจะเป็นประโยชน์สำคัญต่อการดำเนินงานและพัฒนาระบบปศุสัตว์อย่างยั่งยืน

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือในการวางแนวทางเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการเกษตรที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ

Global Agenda for Sustainable Livestock (GASL) คือ คณะทำงานด้านวาระระดับโลกที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของระบบปศุสัตว์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2554 โดย องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ดำเนินงานผ่านความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ทั้งรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน การเคลื่อนไหวทางสังคม และสถาบันการศึกษาองค์กรระหว่างประเทศ 

เป็นการรวมตัวของผู้ที่มีส่วนสำคัญด้านการพัฒนาระบบปศุสัตว์กว่า 200 คนจาก 50 ทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันแนวปฏิบัติและนโยบายเพื่อการผลิตปศุสัตว์ที่ยั่งยืน ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีจุดมุ่งหมายให้เกิดการผลักดันการดำเนินงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของภาคปศุสัตว์ โดยคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ สัตว์ และระบบนิเวศ

คึกคื้น!! พิธีทอดกฐินสามัคคี 'วัดบางพลีใหญ่กลาง' ครอบครัวรอดปัญญารับเป็นเจ้าภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้จัดพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2566 โดยมีสาธุชนผู้ใจบุญจากทั่วทุกสารทิศรวมพลังบุญใหญ่ จากความสมัครสมานสามัคคีของผู้คนชาวพุทธได้มาร่วมจิตร่วมใจกันร่วมทอดกฐินสามัคคีถวายแด่ทางวัดบางพลีใหญ่กลาง 

โดยพิธีทอดกฐินสามัคคีในปี 2566 นี้ ทางครอบครัวรอดปัญญา นำโดย นายธนภณ และนางธนิดา รอดปัญญา รับเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์และเป็นประธานทอดกฐินสามัคคี พร้อมด้วยครอบครัวมุสิกทอง ตลอดจนสาธุชนผู้ใจบุญและผู้มีจิตศรัทธาร่วมจัดพิธีทอดกฐินสามัคคี ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยมี ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลางร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาตามลำดับ

จึงนับได้ว่าการทอดกฐินสามัคคีนั้นทำให้เกิดความสามัคคีธรรม คือการร่วมมือกันทำคุณงามความดี อีกทั้งยังเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีทางพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป โดยเงินปัจจัยทั้งหมดที่ได้จากการร่วมทอดกฐินสามัคคีในปีนี้ทางวัดบางพลีใหญ่กลางจะนำไปใช้บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ศาสนสถาน ศาสนวัตถุ และสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ ของวัดต่อไป โดยยอดเงินการทำบุญทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2566 มียอดเงินทั้งสิ้นจำนวน  3,504,345 บาท

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดงานชักพระที่จังหวัดยะลา

เมื่อวานนี้ (30 ตุลาคม 2566) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีชักพระประจำปี 2566 ซึ่งเทศบาลนครยะลาจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 30 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา โดยมีนายอำพล พงศ์สุวรรณ ผวจ.ยะลา รอง ผวจ.ยะลา ผู้บริหารเทศบาลนครยะลา ตลอดจนพี่น้องประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ประเพณีชักพระเป็นประเพณีที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ได้รับการสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษและสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน ทราบว่าจังหวัดยะลาได้จัดกิจกรรมประเพณีชักพระมาอย่างต่อเนื่องโดยเทศบาลนครยะลาเป็นหน่วยงานหลัก มีหน่วยงานภารรัฐและเอกชนสนับสนุนการจัดกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ทำให้พี่น้องชาวจังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียงได้ร่วมกันสืบสานประเพณีอันดีงาม ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีของผู้คนในชุมชน ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ เป็นการสร้างความเชื่อมั่น เสริมความมั่นใจ และเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน ไม่ว่าไทยพุทธหรือมุสลิม ให้สามารถดำรงชีวิตภายใต้สังคมพวัฒนธรรมตามอัตลักษณ์ของตนในทุกศาสนา

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มีความยินดีอย่างยิ่งในการให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมประเพณีชักพระในครั้งนี้ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพี่น้องประชาชนในการสืบสานประเพณีอันดีงามให้อยู่คู่กับท้องถิ่นของเรา ทำให้พี่น้องประชาชนชาวยะลาและจังหวัดใกล้เคียงร่วมกันสร้างบุญกุศลแสดงออกถึงความรักความสามัคคีในการร่วมมือมือใจการประดิษฐ์เรือพระและการชักพระหรือลากพระเพื่อมาร่วมงานครั้งนี้ ในครั้งนี้จึงได้ร่วมสนับสนุนการแสดงคอนเสิร์ต "บิว กัลยาณี" ศิลปินคนใต้ เพื่อสร้างความสุขให้กับประชาชน

'แบงก์ชาติฯ' ออกเกณฑ์เข้ม!! ห้ามแอปฯ ธนาคารล่ม หากล่ม!! ต้องไม่เกิน 8 ชม.ต่อปี ปรับสูงสุดครั้งละ 5 แสน

(31 ต.ค.66) นายภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภายในเดือนพ.ย.นี้ ธปท.จะมีการออกแก้ไขประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยได้ระบุถึงบทลงโทษหากระบบขัดข้องนานเกินที่กำหนด ซึ่งได้กำหนดว่าระบบโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารจะขัดข้อง หรือล่มได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมงภายใน 1 ปี คือการล่มต้องหยุดชะงัก

“ถ้าหากล่มนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อปี จะมีบทลงโทษตามระดับความรุนแรงเริ่มจากตักเตือน สั่งให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข จนโทษสูงสุดคือโทษปรับสูงสุด 500,000 บาทต่อครั้ง และหากไม่ดำเนินการแก้ไขจะปรับเพิ่ม 5,000 บาทต่อวัน”

นายภิญโญ กล่าวต่อว่า สถิติระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคารพาณิชย์ขัดข้อง เมื่อตรวจดูจากข้อมูลพบว่าธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งมีอัตราการขัดข้อง หรือระบบโมบายแบงก์ล่มลดน้อยลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าการปรับปรุงประกาศการกำกับความเสี่ยงด้านไอทีนั้น จะช่วยให้ธนาคารเร่งพัฒนาระบบและการขัดข้องของโมบายแบงก์กิ้งลดน้อยลงกว่าเดิม

นายภิญโญ กล่าวอีกว่า สำหรับสถิติเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคารพาณิชย์ขัดข้อง ข้อมูลไตรมาส 3/2566 ที่เพิ่งออกมาล่าสุด หากดูโมบายแบงก์กิ้งขัดข้องรวมกันมี 4 ครั้ง ระยะเวลารวม 4 ชั่วโมง น้อยกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไตรมาสก่อนหน้าที่มีการขัดข้องของโมบายแบงก์กิ้ง 6 ครั้ง รวมกันนานถึง 11 ชั่วโมง โดยไตรมาส 3 มีธนาคารโมบายแบงก์กิ้งขัดข้อง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ 2 ครั้งนาน 1 ชั่วโมง ธนาคารทหารไทยธนชาต 1 ครั้ง นาน 1 ชั่วโมง และธนาคารกรุงเทพ 1 ครั้งนานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง

นายภิญโญ กล่าวต่อว่า เมื่อเทียบไตรมาส 2 ก่อนหน้านั้น มีระบบโมบายแบงก์กิ้งธนาคารพาณิชย์ขัดข้อง รวมกัน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ขัดข้อง 2 ครั้ง แต่ล่มนานถึง 5 ชั่วโมง, ธนาคารกรุงไทย 1 ครั้ง นาน 1 ชั่วโมง, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1 ครั้ง ล่มนาน 2 ชั่วโมง, ธนาคารกสิกรไทย 1 ครั้ง ล่มนาน 2 ชั่วโมง และธนาคารทหารไทยธนชาต ล่ม 1 ครั้ง นานน้อยกว่า 1 ชั่วโมง

ส่วนระบบธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ในไตรมาส 3 ปี 66 มีเพียงสาขาของธนาคารเกียรตินาคินภัทรเท่านั้นที่ขัดข้อง 1 ครั้งนาน 2 ชั่วโมง นอกเหนือจากนั้นทั้งอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและตู้เอทีเอ็มไม่มีการขัดข้องเลยแม้แต่ครั้งเดียว

CEO ไทย สมายล์ กรุ๊ป เดินหน้าเพิ่มฟีดรถ EV สีส้มราคาประหยัด ทั้งความถี่และจำนวนยกระดับการให้บริการต่อเนื่อง เตรียมใช้เทคโนโลยี Fleet Management แก้ปัญหาจอดรับผู้โดยสาร

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของไทยสมายล์บัสตลอด 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2566 ระบุว่า การพัฒนาธุรกิจในเครือไทยสมายล์กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของเส้นทางให้บริการที่ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 123 เส้นทาง ประกอบกับการเพิ่มจำนวนรถเข้าให้บริการพี่น้องประชาชน จาก 800 คัน ในช่วงต้นปี 2565 จนปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2,200 คันแล้ว ส่งผลให้ยอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดิมเฉลี่ยมากกว่า 300,000 คน/วัน สอดคล้องกับจำนวนรถและรอบที่ให้บริการมากขึ้น ทำให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่พี่น้องประชาชนหันมาใช้บริการรถสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้นขณะเดียวกันทางบริษัท ได้เพิ่มความถี่ เพิ่มจำนวนรถ เพิ่มจำนวนรอบ ไปจนถึงการขยายเวลาการวิ่งให้บริการเป็น 24 ชั่วโมง ใน 4 เส้นทาง

ส่วนแผนระยะยาว ทางไทยสมายล์บัส มีแผนขยายการให้บริการในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการวิ่งรถในเส้นทางใบอนุญาตปัจจุบัน และการขยายให้บริการรูปแบบ Feeder เชื่อมต่อการขนส่ง ทั้งรถ-เรือ-ราง ทั้งยังเพิ่มการให้บริการกลุ่มลูกค้าองค์กรต่าง ๆ ซึ่งในปีหน้าเชื่อว่าจะมีรถเข้ามาให้บริการเพิ่มเป็น 3,100 คันตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ คาดการณ์ว่าจะมียอดผู้โดยสารใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 500,000 คน/วัน

อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ ไทย สมายล์ กรุ๊ป ยอมรับว่า ตนรับทราบถึงความเห็นของผู้ใช้บริการ ที่อาจยังพบกับความไม่สะดวกในบางส่วน ทางบริษัทรับฟังและได้ทำการแก้ไขต่อเนื่อง เช่น รถเมล์ไฟฟ้าของ TSB ไม่จอดรับผู้โดยสาร วิ่งเลนขวา ทางบริษัทได้ลงทุนสร้างศูนย์ฝึกอบรมครบวงจร ที่จะปั้นพนักงานขับรถ “กัปตันเมล์” รุ่นใหม่เข้ามาให้บริการด้วยมาตรฐานที่ยกระดับขึ้น ทั้งยังปรับสิทธิประโยชน์รายได้ของพนักงานให้สอดคล้องกับพฤติกรรม นอกจากนี้บริษัทได้เริ่มทดลองใช้ระบบ Fleet management ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กำกับการเดินรถ สามารถตรวจการเข้าป้าย ความเร็ว ปริมาณผู้โดยสารบนรถ ไปจนถึงการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ขับขี่-พนักงานผู้ให้บริการ จึงขอให้มั่นใจว่า การบริการของ TSB จะปรับปรุงแก้ไข พัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

โดยในวันเดียวกันนี้ ยังได้มีการเปิดตัว รถเมล์ไฟฟ้าราคาประหยัด หรือ “รถ EV สีส้ม” ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐ ที่มีกำหนดนโยบายว่าเอกชนผู้ได้รับใบอนุญาต ต้องดำเนินการจัดหาให้มีรถร้อน ออกให้บริการประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งทางบริษัทได้จัดหามาทั้งสิ้นจำนวน 60 คัน เพื่อนำไปเสริมการเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น ในเฟสแรกจะให้บริการใน 10 เส้นทาง จากนั้นจะศึกษาผลตอบรับเพื่อนำไปพัฒนาการให้บริการต่อไปในอนาคต ด้วยอัตราค่าโดยสาร 10 บาท ตลอดสาย ตามข้อกำหนดใบอนุญาตของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถชำระค่าโดยสารได้ทั้งรูปแบบ HOP Card ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ เดลิ แมกซ์ แฟร์ เดินทางไม่จำกัดในราคาเพียง 40 บาทตลอดสาย ไปจนถึงการชำระด้วยรูปแบบเงินสด

ด้านการพัฒนาของ ไทย สมายล์ โบ้ท ได้มีการเสริมฟีดเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า รูปแบบใหม่ ขนาด 19 เมตร เป็นเรือ Catamaran พลังงานสะอาด 100% ซึ่งมีความแตกต่างในทางกายภาพจากเรือรูปแบบเดิมของบริษัท ด้วยขนาดที่กระทัดรัดคล่องตัวมากขึ้น เหมาะที่จะเดินเรือในเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาได้ในทุกสภาพอากาศแม้ช่วงน้ำขึ้น ปัจจุบันได้รับเพิ่มมาแล้วจำนวน 9 ลำ ส่งผลให้บริษัทมีฟลีทเรือให้บริการทั้งสิ้น 35 ลำ ซึ่งจะเข้าไปบริการในเส้นทาง Urban และ City Line ก่อนในช่วงแรก แล้วจึงขยายไปเส้นทาง Metro Line ตามความต้องการของผู้โดยสารในแต่ละเส้นทาง สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้เดินทาง โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะสามารถเพิ่มความถี่ให้บริการได้ ทุก 7-10 นาที พร้อมทั้งยังสามารถให้บริการกับลูกค้าองค์กร เช่น การเช่าเหมาลำ การวิ่งตามฟีดเส้นทาง หรือเรือนำเที่ยว ได้อีกด้วย

‘เคทีซี’ ร่วมฉลองเปิดตัวปั๊มน้ำมัน ‘ไซโนเปค ซัสโก้’ สัญชาติจีน ประเดิมรัชดาฯ สาขาแรก พร้อมจัดโปรโมชันแก่ผู้ถือบัตรเครดิต

(31 ต.ค.66) เคทีซีร่วมฉลองการเปิดตัวสถานีบริการน้ำมันแบรนด์ใหม่ ไซโนเปค ซัสโก้ (SINOPEC SUSCO) แห่งแรกของประเทศไทย โดย ‘ไซโนเปค ซัสโก้’ เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำยักษ์ใหญ่จากจีน ที่มีเครือข่ายสถานีให้บริการน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก พร้อมจัดโปรโมชัน เมื่อเติมน้ำมันและชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี ที่สถานีบริการน้ำมันไซโนเปค ซัสโก้ (สาขารัชดาภิเษก ขาเข้า) ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566

นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดีกับ มร.หลี่ เว่ย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโนเปค ซัสโก้ จำกัด พร้อมกล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราได้สนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดกับซัสโก้ด้วยดีมาตลอด และวันนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางซัสโก้ได้ขยายความร่วมมือในการลงทุนกับทางไซโนเปค ซึ่งจะทำให้คนไทยมีทางเลือกในการใช้น้ำมันที่มีคุณภาพจากไซโนเปค ซัสโก้ และเพื่อร่วมฉลองการเปิดตัวสถานีบริการน้ำมัน ไซโนเปค ซัสโก้ สาขาแรกของประเทศไทยที่ถนนรัชดาภิเษก ทางเคทีซีจึงมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เติมน้ำมัน และชำระยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป จะได้รับน้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร เพิ่มอีก 1 ขวด จากที่ทางสถานีบริการน้ำมันฯ ได้จัดโปรโมชันเติมน้ำมันครบทุก 900 บาท รับน้ำดื่ม 1 ขวด โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี จะได้รับรวมทั้งสิ้นเป็น 2 ขวด หรือหากใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ยูเนี่ยนเพย์ ยอดตั้งแต่ 900 บาทขึ้นไป รับ e-Coupon เครดิตเงินคืนสูงสุด 40 บาท โดยไม่ต้องทำการลงทะเบียนใดๆ ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 - 31 ธันวาคม 2566”

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC 02 123 5000 หรือติดตามโปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงก์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ

'ทีมงานวันนอร์' แจ้งข่าวดี ผลเจรจา 'ฮามาส' จบแล้ว  พร้อมปล่อยตัวประกันไทย 19 คน ยัน!! ทุกคนปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (31 ต.ค. 66) เว็บไซต์สำนักข่าวไทย เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย ถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในฉนวนกาซา ว่า คณะเจรจาที่ถูกแต่งตั้งโดยประธานรัฐสภาไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งประกอบด้วย นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ นายเลอพงษ์ ซาร์ยีด ผู้ประสานงานฝ่ายต่างประเทศและนายสัยยิดมุมิน ศักดิ์กิตติชา ได้เข้าเจรจากับฮามาสในการช่วยเหลือตัวประกัน ว่าได้มีการเจรจา 2-3 รอบแล้ว ขณะนี้ถือว่าการเจรจาเสร็จสิ้นสมบูรณ์

“โดยล่าสุดคณะเจรจาได้รับเกียรติจากอยาตุลลอฮ์ อัคตารี ที่ปรึกษาประธานาธิบดีอิหร่าน เป็นเจ้าภาพในการเจรจาระหว่างตัวแทนไทยกับฮามาส โดยใช้ห้องทำงานของที่ปรึกษาฯ ซึ่งอยู่ในบริเวณทำเนียบในการพูดคุยเจรจา โดยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมประชุม ซึ่งการเจรจาไม่มีปัญหาอะไร ทางฮามาสตกลงและพร้อมที่จะปล่อยตัวประกันคนไทย แต่ติดอยู่ที่เงื่อนไขของเวลาและความปลอดภัย เนื่องจากตัวประกันทั้งหมดถูกควบคุมตัวอยู่ที่ฉนวนกาซา การเดินทางเข้า-ออกยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากอิสราเอลโจมตีพื้นที่เส้นทางเข้าออกทั้งหมด ซึ่งหากเดินทางออกมาตอนนี้เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงต้องรอจนกว่าอิสราเอลจะหยุดโจมตี หรือยอมรับการหยุดยิง"นายซัยยิดสุไลมาน กล่าว

สำหรับยอดตัวประกันที่ทางฮามาสแจ้งมามีทั้งหมด 19 คน แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศแจ้งเพิ่มมาอีก 3 คน ซึ่ง 3 คนนี้ยังไม่ได้รับการรับรอง แต่ตนก็ได้ส่งชื่อเพิ่มไปแล้ว จึงยังไม่ได้รับรองมาว่ามี 22 คน แต่ขณะนี้ทั้ง 19 คน ทุกคนปลอดภัย และสุขภาพดีทุกอย่าง และหลังจากนี้คณะเจรจาจะได้รายงานทั้งหมดให้ประธานรัฐสภา และต้องคุยกับทางรัฐบาล เพราะขั้นตอนหลังจากนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลในการดำเนินการเจรจาเรื่องการขนย้ายนำเครื่องบินเข้าไป และประสานขออนุญาตบิน ซึ่งเป็นเรื่องระดับรัฐบาลแล้ว ส่วนการเจรจาถือว่าจบ

นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี กล่าวว่า ขณะนี้ฉนวนกาชาดถูกปิดล้อมทั้งทางบกทางทะเล มีช่องทางเดียวที่เข้า-ออก ได้ คือช่องทางราฟาห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับอียิปต์ ดังนั้นการจะเปิดหรือปิดขึ้นอยู่กับทางการอียิปต์ ซึ่งจะเปิดช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็นด้านสาธารณภัย ทางรัฐบาลอียิปต์ก็จะเปิดให้ แต่ยังไม่เปิดให้เคลื่อนย้ายบุคคล จึงเชื่อว่าถ้าช่องทางจากกาซาไปชายแดนราฟาห์ปลอดภัย คงเป็นเรื่องที่ไทยจะต้องไปร้องขอจากทางรัฐบาลอียิปต์โดยตรง ทั้งนี้ตนพูดไว้ล่วงหน้า เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะมีการปล่อยตัวประกันแบบไหน แต่เห็นว่าตรงนี้เป็นเส้นทางเดียวที่จะปล่อยออกมาได้ เพราะตรงอื่นไม่มีทางออก นอกจากจะส่งมอบตัวประกันให้อิสราเอลแล้วทางอิสราเอลส่งมอบให้กับไทย ซึ่งเชื่อว่าเงื่อนไขหลังนี้น่าจะเป็นไปได้ยาก

'รอมฎอน' ตามขยี้ กอ.รมน. เปิดงบประมาณ 15 ปี มีเงินติดปีกแสนล้าน  เสี้ยม!! 12 สส.ภาคใต้ อย่าเงียบ!! จี้ 'เศรษฐา' ควรให้สภาถกเถียง

(1 พ.ย. 66) นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กอ.รมน.ที่ฟื้นชีพขึ้นมาหลังกฎหมายความมั่นคง 2551 ใช้งบประมาณไปแล้วเท่าไหร่? ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีเผยให้เห็นตามนี้ รวม ๆ แล้ว ตลอด 15 ปี ของ กอ.รมน.เวอร์ชั่นติดปีกนี้มีงบในกระเป๋าสูงถึง 1.3 แสนล้าน (หรือเอาละเอียดกว่านั้นคือ 130,023 ล้านบาท) อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกกระเป๋าหนึ่งของกองทัพก็ว่าได้

กอ.รมน.ปรากฏเป็นหน่วยงานภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีในปีงบประมาณ 2552 เป็นปีแรก เทียบเท่าหน่วยงานระดับกรม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีสถานะเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งฝ่ายบริหาร ซึ่งมีสถานะที่ง่อนแง่นพอสมควรหลังจากภัยคุกคามคอมมิวนิสต์เริ่มจางหายไป ประกอบกับภัยคุกคามการแบ่งแยกดินแดน ถูกประเมินก่อนหน้านั้นว่าลดความสำคัญลงไป

บังเอิญว่าบริบทของโลกในตอนนั้นเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยก่อการร้าย จากสถานการณ์ต่อเนื่องจากเหตุเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และสงครามต่อต้านการก่อการร้ายตั้งแต่ปี 2544 และการปะทุขึ้นของไฟใต้ที่โดดเด่นขึ้นมาในปี 2547 หน่วยงานที่คร่ำครึเป็นมรดกตกค้างจากสงครามเย็นหน่วยนี้จึงเหมือนปลาได้น้ำ เมื่อเห็นเค้าลางภัยคุกคามใหม่

หลังการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ในปี 2549 เหตุผลในการฟื้นคืนหน่วยงานนี้ก็ดูจะมีน้ำหนักในแวดวงผู้ก่อการรัฐประหาร หลังจากนั้น ดูจากยอดขึ้นลงของงบประมาณก็จะสัมพันธ์กับอำนาจของกองทัพในการเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัดครับ

รายละเอียดเนื้อในของงบประมาณเหล่านี้ก็น่าสนใจ อาจทำให้เราเห็นงานความมั่นคง ที่ควรต้องได้รับการตรวจสอบอย่างกระจ่างมากขึ้นครับ #ยุบกอ.รมน.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top