Friday, 20 June 2025
NewsFeed

‘Impact’ มั่น!! ‘สายสีชมพู-เมืองทอง’ พร้อมเปิดปี 68 พ่วง Sky Entrance 195 ล้าน เชื่อม ‘อิมแพ็ค-สีชมพู’

(20 ต.ค. 66) นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ‘อิมแพ็ค เมืองทองธานี’ กล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานี ปัจจุบันดำเนินงานก่อสร้างไปแล้วเกือบ 30%

โดยรายละเอียดโครงการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 จากสถานีเมืองทองธานี บริเวณห้างแม็คโคร ถนนแจ้งวัฒนะ ต่อเข้ามายังเมืองทองธานี ช่วงที่ 2 งานก่อสร้างสถานี MT-01 บริเวณวงเวียนหน้าอิมแพ็ค และช่วงที่ 3 ระหว่างสถานี MT-01 ถึง MT-02 บริเวณลานริมทะเลสาบเมืองทองธานี โดยภาพรวมงานก่อสร้างยังคงตรงตามกำหนดระยะเวลา และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ในปี 2568

นอกจากงานโครงสร้าง 2 สถานีหลักแล้ว ทางอิมแพ็คได้เตรียมแผนงานก่อสร้าง ‘Sky Entrance’ เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า MT-01 (สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี) และอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ โดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อิมแพ็ค โกรท หรือ ‘IMPACT’ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการ Sky Entrance มีการเข้าทำบันทึกข้อตกลง เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานี ซึ่งมีแนวเส้นทางโครงการเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร และเส้นทางของรถไฟฟ้าสายดังกล่าวจะเป็นเส้นทางขนานทางด่วนอุดรรัถยา ผ่านบริเวณด้านข้างอาคาร อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ และสิ้นสุดโครงการที่ริมทะเลสาบเมืองทองธานี

สำหรับโครงการ Sky Entrance จะใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้นรวม 195 ล้านบาท เป็นการดำเนินงานก่อสร้างสะพานทางเชื่อม และพื้นที่ล็อบบี้ด้านข้างอาคารชาเลนเจอร์เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งโครงการ Sky Entrance ทางกองทรัสต์ฯ มีความจำเป็นต้องให้การสนับสนุนการก่อสร้างเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสถานี MT-01 กับอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินหลักที่กองทรัสต์เข้าลงทุน สามารถต่อยอดธุรกิจ และอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ทั้งนี้ ตามประกาศรถไฟฟ้าสายสีชมพูเส้นทางหลักแคราย-มีนบุรี จะเปิดบริการช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ทาง อิมแพ็ค ได้เตรียมรถรับส่งจากสถานีศรีรัช เข้าสู่ศูนย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าเบื้องต้นจนกว่าสถานีส่วนต่อขยายจะเปิดบริการ

นายวัชระ จันทระโสภา หัวหน้าฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า โครงการ Sky Entrance เป็นการดำเนินงานก่อสร้างโดยทีมอิมแพ็ค ค่าใช้จ่ายเป็นงบประมาณในส่วนของ อิมแพ็ค โกรท รีท ถือเป็นโครงการต่อเนื่องในการสร้างสะพานทางเชื่อม (Link Bridge) รอบศูนย์ฯ โดยเป็นการเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานี สถานี MT-01 (อิมแพ็ค เมืองทองธานี) ตรงวงเวียนหน้าอิมแพ็ค ไปยังอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ระยะทางรวม 230 เมตร พร้อมพื้นที่ล็อบบี้เชื่อมอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1 และจะติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ภายนอก สามารถมองเห็นได้จากรถไฟฟ้า และทางด่วน อีกทั้งติดตั้งจอทันสมัยภายในล็อบบี้ด้วย

อาคารนี้ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ทันสมัยเป็นอาคารแห่งอนาคต พร้อมนวัตกรรมที่ก้าวล้ำโดดเด่นเรื่องของความยั่งยืน ทั้งการออกแบบด้านสิ่งแวดล้อม และทางพลังงาน โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี 2567 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 14 เดือน แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2568 รอเปิดบริการรองรับรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเมืองทองธานีแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างงานก่อสร้างโครงการทั้งหมด ทีมวิศวกรของอิมแพ็คจะเข้มงวดทำหน้าที่ตรวจสอบสัญญาจ้าง ประสานงานบริษัทก่อสร้างเพื่อดูแลผลกระทบ เช่น การจราจร ทัศนียภาพ ความสะดวก และความปลอดภัยในพื้นที่จนกว่าจะเสร็จสิ้นส่งมอบโครงการทั้งหมดราวเดือนกรกฎาคม 2568

‘นพ.อนุชิต’ แชร์อุทาหรณ์ ‘พระพิฆเนศ’ ติดหลอดลมคนไข้ เตือน!! ‘อย่าไปอมพระแล้วพูดกับใคร’

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.66) นพ.อนุชิต นิยมปัทมะ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ รพ.มหาราชนครราชสีมา ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก หมอเอ หมอปอดโคราช ถึงกรณีอุทาหรณ์จากคนไข้รายหนึ่ง มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในหลอดลม เมื่อเอกซเรย์พบว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้านในหลอดลมข้างขวาของคนไข้ แพทย์จึงรีบทำการส่องกล้องและคีบออกมาได้สำเร็จ จึงพบว่าเป็น ‘พระพิฆเนศ’ ขนาดประมาณ 1x2 เซนติเมตร

ด้านนพ.อนุชิต ยังได้โพสต์เป็นอุทาหรณ์ในเฟซบุ๊กอีกว่า...

#อย่าไปอมพระแล้วพูดกับใครอีกนะ
พระพิฆเนศ สำลักลงในหลอดลมด้านขวา
คีบออกมาแล้วนะ
#chestMed korat
มาเรียนfellowที่เราสิครับ
ปล. ไม่ต้องถามเลขนะ เดี๋ยวเลขเคลื่อน

‘เศรษฐา’ เข้าเฝ้า ‘มกุฎราชกุมารซาอุฯ’ กระชับความสัมพันธ์สองชาติ ด้าน ซาอุฯ รับปากจะช่วย ‘ตัวประกันไทย’ ในสงครามอย่างเต็มที่

เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.66) ณ โรงแรม Ritz Carlton กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสการหารือทวิภาคี ระหว่างการเข้าร่วมการประชุม ASEAN – GCC Summit โดยนายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีและมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ต่างยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว รวมถึงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและซาอุดีฯ ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในวิสัยทัศน์ของพระราชาธิบดี รวมถึงมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ที่ทรงวางรากฐาน นำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยไทยยืนยันมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้าน ต่าง ๆ ให้พัฒนายิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนไทยและซาอุดีฯ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและ มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ หารือประเด็นความร่วมมือดังนี้

ด้านความสัมพันธ์ ทั้งสองฝ่ายหารือถึงการดำเนินความสัมพันธ์ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะควรส่งเสริมการค้าและการลงทุนซึ่ง นายกฯ เสนอการจัดทำ Thai-GCC FTA รวมทั้งแสดงการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพ Expo 2030 จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 ของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงแนวทางความร่วมมือและประเด็นที่คั่งค้างในด้าน 1) การเมืองและการกงสุล 2) การลงทุน 3) ความมั่นคงและการทหาร 4) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และ 5) เศรษฐกิจและการค้า โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย (Saudi – Thai Coordination Council: STCC) ครั้งที่ 1 เพื่อทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ และกำหนดแนวทางความร่วมมือทั้ง 5 ด้าน

ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง เพื่อเข้าร่วมงานนิทรรศการด้านการป้องกันประเทศของทั้งสองฝ่ายแล้วในงาน Defense and Security ของไทย และงาน World Defense Show ของซาอุดีฯ ซึ่งทำให้ไทยและซาอุดีฯ มีโอกาสขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ซึ่งไทยจะให้ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เร่งรัดความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ดูแลคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ซึ่งมีคนไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกลักพาตัว ซึ่งซาอุดีอาระเบียรับที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมตัว

‘ไทยสมายล์บัส’ ประกาศ ‘เพิ่มรถ-เพิ่มรอบ’ 5 เส้นทางที่วิ่งทับซ้อน เพื่อรองรับความต้องการของผู้โดยสาร หลัง ‘ขสมก.’ ยุติเดินรถ

เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.66) จากกรณีที่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ผู้ให้บริการเดินรถในเส้นทางทับซ้อน ได้ถอนการเดินรถออกจากการให้บริการตามนโยบายกรมการขนส่งทางบก ใน 5 เส้นทาง นั้น

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด เปิดเผยว่า ตามนโยบายปฏิรูปของภาครัฐ ที่อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงใน 5 เส้นทางเดิมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป

ทางบริษัท ไทย สมายล์ บัส ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ขอให้ความมั่นใจว่า ได้มีการวางแผนรองรับความต้องการเดินทางของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีการเพิ่มจำนวนรถ เพิ่มเที่ยว เพิ่มรอบ เช่น เส้นทาง 140 หรือเส้นทางปฏิรูป 4-23E จากผู้ประกอบการรายเดิม รวมกันมีเที่ยวรถวิ่งอยู่ที่ 150 เที่ยวต่อวัน

หลังจากมีการยุติเดินรถในเส้นทางดังกล่าว ทางไทยสมายล์บัสได้เพิ่มจำนวนรอบวิ่งเป็น 164 เที่ยว ซึ่งหากเทียบกับเที่ยววิ่งขั้นต่ำที่กำหนดไว้ 44 เที่ยว จะคิดเป็นสัดส่วนรถให้บริการเพิ่มขึ้นถึง 373% พร้อมนำร่องเพิ่มเที่ยวรถตลอดคืนในบางเส้นทางอีกด้วย

สำหรับ 5 เส้นทางหลักที่ทางบริษัทได้ทำการเพิ่มเที่ยวรถ เพิ่มรอบ มีดังนี้

1. สาย 8 หมายเลขปฏิรูป 2-38 : แฮปปี้แลนด์ – ท่าเรือสะพานพุทธ)
2. สาย 34 จะแบ่งสองเส้นทาง
- สาย 34 หมายเลขปฏิรูป 1-3 : บางเขน – ถนนพหลโยธิน – หัวลําโพง
- สาย 34 หมายเลขปฏิรูป 1-2E : รังสิต – หัวลําโพง (ทางด่วน)
3. สาย 39 แบ่งเป็นสองเส้นทาง
- สาย 39 หมายเลขปฏิรูป1-4 : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) – บางเขน
- สาย 39 หมายเลขปฏิรูป 1-5 : รังสิต – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เส้นทาง ม.ศูนย์รังสิต – อนุสาวรีย์ฯ
4. สาย 140 หมายเลขปฏิรูป 4-23E : แสมดำ – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางด่วน)
5. สาย 517 หมายเลขปฏิรูป 1-56 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง – อนุสาวรีย์ฯ

นางสาวกุลพรภัสร์ เปิดเผยอีกว่า ส่วนการให้บริการในทุกเส้นทางที่มีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายเส้นทางปฏิรูป ซึ่งประชาชนอาจต้องเดินทางต่อรถในบางเส้นทางนั้น ทางบริษัทได้คำนึงถึงข้อจำกัดดังกล่าว จึงได้จัดโปรโมชันลดค่าครองชีพพี่น้องประชาชนด้วย ‘Daily Max Fare’ จากบัตรโดยสาร HOP Card ให้สามารถเดินทางได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ไม่จำกัดสาย จ่ายสูงสุดไม่เกิน 40 บาทต่อวัน และรถต่อเรือจ่ายสูงสุดไม่เกิน 50 บาทเท่านั้น

ส่วนบัตรโดยสารฯ HOP Card สามารถหาซื้อได้จากบัสโฮสเตสบนรถ และพนักงานบริการบนท่าเรือโดยสารทุกแห่ง รวมถึงช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘Shopee’

ผบ.ทบ.รุดช่วยอดีตพลทหาร เก็บของเก่าต้องพลัดถิ่นเกิด คืนสู่อ้อมอกแม่ผู้ให้กำเนิด จากกรณี

เมื่อวันที่ 18 ต.ค.66 สื่อมวลชน ได้มีการนำเสนอเปิดเผยเรื่องราวชีวิต นายอนุชา ชื่นวงค์ หรือน้อย อายุ 42 ปี ชาวอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก อดีตพลทหารดีเด่น ผลัด 2/2545 สังกัด กองทัพบก เข้าประจำการ กองพันทหารราบ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ผู้เคยรับใช้ประเทศชาติ สร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน หลังปลดประจำการได้กลับคืนสู่ภูมิลำเนาเกิด อำลาชีวิตจากกองทัพบกมายาวนานถึง 20 ปี ก่อนจะมาพบอยู่ในสภาพ นอนหลับใต้ท้องรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง จอดริมถนนสุขุมวิท ชุมชนบางเสร่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เหลือเงินติดตัวเพียง 2 บาท โดยยึดอาชีพเก็บของเก่าข้างถนนขาย สร้างรายได้หล่อเลี้ยงชีวิต ซึ่งภาพที่ปรากฏ ได้สร้างความเวทนาใจให้กับผู้พบเห็น และชื่นชมในหัวใจยอดนักสู้ ที่ไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบาก แม้ร่างกายที่ประสบอุบัติเหตุ ไม่สามารถกลับมาดำเนินชีวิตเป็นปกติ

คืบหน้าล่าสุด วันที่ 20 ต.ค.66 พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการเร่งด่วนให้ พลโท ชิษณุพงศ์ รอดศิริ แม่ทัพภาคที่ 1 พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพน้อยที่ 1 พลโท ไกรภพ ไชยพันธุ์ ผู้บัญชาการ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า นำกำลังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดชลบุรี และมณฑลทหารบกที่ 14 ร่วมกับ น.ส.วลีพร อินอนงค์ ผู้ใหญ่บ้านบางเสร่หมู่ 4 เข้าให้การช่วยเหลือ นายอนุชา ชื่นวงค์ อดีตพลทหารผู้รับใช้ชาติ ในสังกัด กองทัพบก ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนเก็บขยะขายในอำเภอสัตหีบ อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นขวัญกำลังใจ ที่จะเป็นแรงพลังให้ก้าวเดินต่อไป

ในการนี้ กองทัพบก ได้มอบหมายให้ พันเอก จักรพงศ์ พันธุ์มงคล รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 14 และรอง ผอ.รมน.จว.ชลบุรี เป็นตัวแทนมอบเงินช่วยเหลือรวมกว่า 10,000 บาท มอบถุงยังชีพ และนำรถยนต์ มาทำการเคลื่อนย้ายรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง พร้อมนำตัว นายอนุชา เดินทางกลับสู่บ้านเกิด ส่งมอบคืนสู่อ้อมอก นางบุญช่วย ชื่นวงค์ อายุ 65 ปี มารดาผู้ให้กำเนิด หลังได้พลัดพรากขาดการติดต่อมานานนับปี

นายอนุชา ได้กล่าวแสดงการขอบคุณกองทัพบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตนเองไม่คิดว่าจะมีวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนฝันไป รู้สึกภูมิใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้เกิดมาเป็นชายชาติทหาร แม้วันนี้ได้จากกองทัพบกมายาวนานถึง 20 ปี เมื่อหน่วยที่เคยประจำการ รับรู้ถึงความยากลำบาก ก็ยังติดตามมาให้การช่วยเหลือในทุกด้าน ที่สำคัญ คำสอนของผู้บังคับบัญชา เป็นสติเตือนใจให้ตัวเองคิดถึงครอบครัว และคิดถึงแม่ที่จากมานานร่วม 3 ปี ได้แวะเวียนกลับไปปีละครั้ง แต่ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อหากัน 

และกล่าวว่า สาเหตุที่ต้องเดินทางออกจากบ้านเกิด มายึดอาชีพเก็บของเก่าขายในพื้นที่ห่างไกล เพราะไม่อยากให้แม่เห็นตนเองอยู่ในสภาพเช่นนี้ และไม่อยากให้แม่ต้องอับอายผู้คน จึงต้องจำใจจากแม่มา ส่วนพ่อเสียชีวิตแล้ว ในวันนี้ รู้สึกผิดที่คิดเช่นนั้น ห่วงแต่อนาคตตนเองจนมารู้ว่า ทุกนาทีที่จากมา แม่เป็นห่วงและคิดถึงตนเองมาก ซึ่งตนเองขอสัญญา จะทำหน้าที่ความเป็นลูก ดูแลแม่ให้ดีที่สุด ไม่ทิ้งแม่ให้ต้องอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว

พันเอก จักรพงศ์ พันธุ์มงคล รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 14 กล่าวว่า หลังทราบข่าวเรื่องราวชีวิตของอดีตพลทหาร ที่ผจญชะตาชีวิตอย่างยากลำบาก ผู้บัญชาการทหารบก ได้มีความห่วงใย สั่งการในทันที ให้หน่วยงานเร่งออกตามหาตัวให้พบ เพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 วัน ได้ลงพื้นที่ตามหากันอย่างไม่หยุดหย่อน จนมาพบตัวในที่สุด 

และกล่าวว่า อดีตพลทหาร อนุชา ชื่นวงค์ แม้จะปลดประจำการมายาวนานถึง 20 ปี แต่ถือเป็นชายชาตินักรบ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เคยเสียสละเข้ามารับใช้ประเทศชาติ และสร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน คุณงามความดีที่ได้กระทำนั้น ถูกจารึกเป็นเกียรติประวัติ ยังตราตรึง และยังคงเป็นที่จดจำ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะพลทหาร หรือข้าราชการคนใดก็ตาม ที่เคยรับใช้ประเทศชาติ รวมถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน กองทัพบก ไม่เคยทอดทิ้ง พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือ และอยู่เคียงข้างตลอดไป

'กรณ์' ยกเคส!! ไทอิน Soft Power ไทยในไวรัลคลิปเด็กอเมริกัน การประชาสัมพันธ์ประเทศขั้นเทพที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ

(21 ต.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ในหัวข้อ 'พลังของ Soft Power ไทย' ระบุว่า...

เด็กอเมริกันคนหนึ่งได้โพสต์ video ตัวเองใน Instagram พร้อมสัญญาว่า ‘ถ้ามีคนติดตามผมถึง 2 แสนคน ผมจะยอมปฏิบัติตามคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด’ 

ปรากฏว่าคลิปนี้กลายเป็นไวรัล โดยมีคอมเมนต์หนึ่ง บอกให้เด็กน้อยผู้นี้บินมาเมืองไทย และให้ไปฝึกมวยไทยในค่ายในเมืองเล็กๆ เมืองใดเมืองหนึ่ง และให้หัดพูดไทยให้ได้ และทำตัวให้เป็นที่ยอมรับโดยคนไทย…ฯลฯ

ซึ่งคอมเมนต์นี้มีคนกดไลก์ไป 2,537,952 คน!! มีรายงานว่าเป็นสถิติการกดไลก์คอมเมนต์ที่สูงที่สุดที่เคยมีมาใน Instagram … >> https://www.instagram.com/reel/Cxtm57rPdE7/?igshid=MzRlODBiNWFlZA== 

ส่วนน้องคนนี้มีผู้ติดตามทะลุ 3 แสนคนแล้ว

ดังนั้นเราเตรียมต้อนรับน้องเขาด้วยนะครับ!!

เรื่องขำๆ นี้ทำให้เห็นว่าไทยเรามีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ และยังมีความ exotic อยู่ในสายตาของชาวโลก 

ไวรัลแบบนี้ คือ การประชาสัมพันธ์ประเทศที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ และถึงใช้ก็คงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้

‘จีน’ ก่อตั้ง ‘ศูนย์รักษาอาการปวด’ มาตรฐานระดับชาติ เน้นขยายขอบเขตให้เข้าถึง ‘ระดับรากหญ้า’ มากขึ้น

เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนเปิดตัวศูนย์รักษาอาการปวดที่ได้มาตรฐานระดับชาติในกรุงปักกิ่ง โดยมีวัตถุประสงค์ขยายขอบเขตการเข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสำหรับการรักษาอาการปวดในระดับรากหญ้า

อาการปวดเรื้อรังที่มีระยะเวลานานเกินกว่า 3 เดือนกลายเป็นข้อกังวลที่ผู้คนสนใจเพิ่มขึ้น โดยคณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าอาการปวดเรื้อรังต้องได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากมีสาเหตุที่ซับซ้อนและหลากหลาย และยิ่งเป็นต่อเนื่องนานเท่าไร จะยิ่งรักษายากขึ้นเท่านั้น

แผนงานที่เผยแพร่ในปี 2022 ระบุว่า จีนได้กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการนำร่องในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศในช่วงปี 2022-2025 ซึ่งจะเน้นจัดการอาการปวดแบบครอบคลุมครบวงจร

ศูนย์จัดตั้งใหม่นี้เริ่มทำการประเมินโรงพยาบาลระดับชุมชน 30 แห่ง และวางแผนสร้างศูนย์รักษาอาการปวดที่ได้มาตรฐานในโรงพยาบาลระดับชุมชน 10-15 แห่งภายในปี 2024

'บิ๊กป๊อด' เปิดงานสัมมนา พปชร.ย้ำ 'สส.สามัคคี-ปรองดอง' ด้าน 'บิ๊กป้อม' ขาแพลงกะทันหัน อดร่วมวงสนทนา

(21 ต.ค.66) ที่ รร.อินเตอร์คอนติเนนตัล จ.ภูเก็ต พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดสัมมนาพรรค ‘รวมพลัง สามัคคี’ มีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่ปรึกษาพรรคพปชร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนา มีแกนนำและกรรมการบริหารพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค รวมถึงประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค 7 ด้าน ได้แก่ นายอุตตม สาวนายน ประธานกรรมการด้านนโยบายและการปฏิรูปเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานกรรมการด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ประธานกรรมการด้านความสัมพันธ์องค์กรและการต่างประเทศ น.ส.ตรีนุช เทียนทองประธานกรรมการด้านกิจกรรมสัมภาษณ์ พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะประธานกรรมการด้านประสานงานและอำนวยการ นายวราเทพ รัตนากร ผู้อำนวยการพรรค ที่นำเสนอยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนพรรค เพื่อความเป็นพรรคการเมืองของประชาชน โดยมี สส. เข้าร่วมพร้อมเพรียง เพื่อรับฟังและระดมความคิดเห็น เพื่อเสนอแนะในการพัฒนาพรรคให้เข้มแข็ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการสัมมนาครั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ปรากฏตัวร่วมพบปะพูดคุย กับ สส.พรรคเป็นครั้งแรก ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และ สส.บัญชีรายชื่อ ไม่ได้เข้าร่วมประชุม โดยแจ้งว่ามีอาการขาแพลง ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ติดภารกิจในการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดพังงา ตลอดทั้งวัน

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และ สส.บัญชีรายชื่อพรรคพปชร. ยินดีที่ได้มาเจอกับสมาชิกพรรคที่มีการสัมมนาเป็นครั้งแรก โดยจุดประสงค์ของการสัมมนาเพื่อให้ทุกคนสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน รวมหัวใจพลังประชารัฐให้เป็นหนึ่งเดียวในการผลักดันยุทธศาสตร์ ผลงาน และนโยบายของพรรคที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นในโอกาสต่อไป พรรคพปชร. มีจุดประสงค์ในเรื่องความสามัคคีปรองดอง ให้มีประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพ มุ่งเน้นให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ในช่วงที่เป็นแกนนำรัฐบาลได้ขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นรูปธรรม เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การบริหารจัดการน้ำ การแก้ปัญหาน้ำมันปาล์ม และการค้ามนุษย์ฯ และริเริ่มนโยบายใหม่ จึงอยากให้บุคลากรของพรรค รวมพลังร่วมมือร่วมใจ เดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนไปด้วยกัน

‘ฮามาส’ ปล่อยตัวประกัน 2 แม่ลูกชาวอเมริกันแล้ว ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม หลัง ‘กาตาร์’ ช่วยเจรจา

(21 ต.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวอเมริกัน 2 แม่ลูกที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันตั้งแต่การเปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเมื่อวันศุกร์ (20 ต.ค.) โดยทั้งสองถูกนำตัวส่งให้หน่วยกาชาดสากลที่เข้าไปปฏิบัติงานบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ฉนวนการกาซา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กาชาดได้พาไปมอบให้ทหารอิสราเอลบริเวณชายแดนฉนวนกาซา และคาดว่าจะเดินทางกลับสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า

ตัวประกันทั้งสองทราบภายหลังว่าเป็นชาวชิคาโก มีเชื้อสายอิสราเอล ผู้เป็นแม่ชื่อ จูดิท ไท รานัน ลูกสาวชื่อ นาตาลี รานัน อายุ 17 ปี ทั้งสองถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ขณะไปเยี่ยมญาติที่คิบบุตซ์ นาฮาล ออตซ์ ทางภาคใต้ของอิสราเอล

การปล่อยตัวครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานทางมนุษยธรรมเนื่องจากผู้เป็นแม่นั้นสุขภาพย่ำแย่ และเป็นผลมาจากการเจรจาระหว่างกาตาร์กับกลุ่มฮามาสที่เริ่มมาตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม

นายอาบู อาบาอิดา โฆษกกลุ่มฮามาสแถลงว่า “เพื่อตอบสนองต่อความพยายามของกาตาร์ กองพันอัล-กัสซามได้ปล่อยตัว 2 แม่ลูกชาวอเมริกัน ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม เป็นการพิสูจน์ให้ชาวอเมริกันและทั่วโลกได้เห็นว่า ข้ออ้างของไบเดนและคณะบริหารฟาสซิสม์ของเขานั้นไม่เป็นความจริงและเลื่อนลอย”

ทางด้านนายมาเจด อัล-อันซารี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์แถลงว่า ทางกาตาร์จะยังดำเนินการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับฮามาสและอิสราเอลเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันพลเรือนทุกคนทุกเชื้อชาติ เพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์และนำสันติภาพกลับคืนมา

ต่อมาทางกลุ่มฮามาสได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า พวกเขากำลังทำงานร่วมกับตัวแทนจากอียิปต์ กาตาร์ และประเทศผู้เป็นมิตรอีกหลายประเทศ เพื่อพิจารณาปล่อยตัวประกันต่างชาติคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาเห็นมีความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย

ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอล อ้างว่าการปล่อยตัวประกันครั้งนี้เป็นผลมาจากการกดดันทางทหารของอิสราเอล

‘เปิด 3 ประเด็น’ ศาล ปค.เพชรบุรี เบรกประกาศ ‘กกพ.’ รับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม หลัง บ.ย่อย ‘EA’ ค้าน เกณฑ์คัดเลือกไม่โปร่งใส หวั่นทำชาติเสียหายยาว 25 ปี

(21 ต.ค.66) สืบเนื่องจากกรณีศาลปกครองเพชรบุรี มีคำสั่งทุเลาโครงการเสนอขายไฟฟ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี พ.ศ. 2565-2573 ของ กกพ. หลังจาก 'เทพสถิต วินด์ฟาร์ม' บริษัทย่อย EA ยื่นเรื่องฟ้อง กกพ.ออกคำสั่งโดยอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความโปร่งใส และยุติธรรม เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้ กกพ.ทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อสร้างความชัดเจนในการกำหนดคุณสมบัติ โดยระบุไม่ต้องรีบทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามกำหนดภายในเดือน ต.ค.นี้ หวั่นจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์จากการรับซื้อไฟฟ้านั้น

ล่าสุด จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย (ไม่ออกนาม) เผยถึง 3 ประเด็นที่ทำให้ศาลมีคำสั่งทุเลาฯ ซึ่งคาดน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้...

1. การดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับพลังงานลม พ.ศ.2565 ในเบื้องต้น น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย

2. การดำเนินการเพื่อคัดเลือกผู้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ดำเนินการตามประกาศดังกล่าวที่น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย จากการยื่นฟ้องคดีต่อศาลฯ จึงทำให้บริษัทฯ หรือผู้ฟ้องคดีตกเป็นผู้ไม่ผ่านการพิจารณาอุทธรณ์ความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) ตามประกาศของสำนักงาน กกพ. ลงวันที่ 10 มีนาคม 2566

และ 3. สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การคัดเลือกดังกล่าวของ กกพ. ไม่ได้มีการประกาศเกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การให้คะแนนเทคนิคขั้นต่ำผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) หรือเกณฑ์คะแนนคุณภาพ การให้น้ำหนักคะแนนมาก-น้อย ที่ใช้ในการคัดเลือก จึงอาจทำให้กระบวนการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าไม่มีความโปร่งใสและยุติธรรม จะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์จากการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวได้และจะผูกพันไปตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้า โดยไม่อาจจะแก้ไขอย่างใดได้อีกตลอดระยะเวลา 25 ปี อันเป็นความเสียหายที่มิอาจเยียวยาแก้ไขได้ในภายหลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top