Thursday, 19 June 2025
NewsFeed

‘ขสมก.’ ยุติให้บริการรถโดยสารปรับอากาศ 5 เส้นทาง แก้ปัญหาทับซ้อนเอกชน ตามแผนปฏิรูปฯ เริ่ม 1 พ.ย. 66

(20 ต.ค. 66) นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่าตามที่กรมการขนส่งทางบก มีหนังสือแจ้งให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) พิจารณาปฏิบัติตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยให้ ขสมก. ขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบการขนส่งในเส้นทางเดิมของ ขสมก. ที่ทับซ้อนกับเส้นทางของผู้ประกอบการเดินรถเอกชนตามแผนปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และคืนใบอนุญาตประกอบการขนส่งให้นายทะเบียนกลาง จำนวน 5 เส้นทาง   

ขสมก. จึงมีความจำเป็นต้องยุติให้บริการเดินรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 5 เส้นทาง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป ดังนี้

1. สาย ปอ. 8 เส้นทาง สะพานพระพุทธยอดฟ้า - เคหะชุมชนร่มเกล้า 
2. สาย ปอ.34 เส้นทาง รังสิต - หัวลำโพง 
3. สาย ปอ.39 เส้นทาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 
4. สาย ปอ.140 เส้นทาง แสมดำ - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
5. สาย ปอ.517 เส้นทาง หมอชิต 2 - ศูนย์การค้าเทิดไท

ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการที่ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. ได้แก่ บัตรโดยสารล่วงหน้ารายเดือน - รายสัปดาห์ บัตรโดยสารนักเรียน - นักศึกษา บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์แบบรายเที่ยว และบัตร TRANSIT PASS RED LINE BKK X  BMTA ยังคงสามารถนำบัตรไปใช้ชำระค่าโดยสาร บนรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ในสายอื่น ๆ ได้ตามปกติ

‘ชนินทร์’ มั่นใจ EEC ‘ยุคเศรษฐา’ เกิดแน่ จ่อใช้ กม.เปิดทางลงทุนจริง 2.5 แสนล้าน

(20 ต.ค. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2566 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ว่า คณะกรรมการโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน มีมติอนุมัติแผน 99 วัน หรือ Quick Wins 8 ด้าน เพื่อผลักดันงานโดยเร่งด่วนตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี โดยหนึ่งในแผนงานที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การเตรียมจัดให้มีบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ EEC One Stop Service ภายในสิ้นปี เพื่ออำนวยความสะดวกภาคธุรกิจที่มีความพร้อมจะลงทุนแต่ติดขัดเรื่องระเบียบและการขออนุญาตที่วุ่นวาย หลายขั้นตอน และต้องดำเนินการหลากหลายที่ ดังที่ปรากฏว่าในอดีตมีการอนุมัติแผนการลงทุนไปแล้วคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนจริงเพื่อประกอบธุรกิจจริงเกิดน้อยมาก

นายชนินทร์ กล่าวว่า EEC One Stop Service อาศัยอำนาจภายใต้ พ.ร.บ.อีอีซี จะยกระดับการให้บริการอนุมัติ อนุญาต จำนวน 44 รายการ ครอบคลุม 8 กฎหมาย ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน, การควบคุมอาคาร, การจดทะเบียนเครื่องจักร, การจดทะเบียนพาณิชย์, โรงงาน, การสาธารณสุข, คนเข้าเมือง และการจัดสรรที่ดินไว้ในที่เดียว โดยจะเพิ่มการพัฒนาระบบให้ครอบคลุมการให้สิทธิประโยชน์ สำหรับผู้ประกอบการกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เช่น สิทธิในการได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรด้วย ซึ่งจะทำให้พื้นที่ อีอีซี เป็นเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลกที่แข่งขันได้มากขึ้น

นอกจากนี้ อีอีซี ยังมีแนวคิดที่จะปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นต้นแบบของรัฐบาลดิจิทัล ที่จะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

“EEC One Stop Service จะทำให้ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริม เศรษฐกิจพิเศษได้รับความสะดวกในการขอรับสิทธิประโยชน์ผ่านระบบการบริการภาครัฐแบบดิจิทัล เบ็ดเสร็จครบวงจรได้ ณ จุดเดียว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ร่นระยะเวลาดำเนินการ ของผู้ประกอบกิจการได้ เพื่อให้ภาครัฐได้ผลประโยชน์จากการเริ่มลงทุนจริงในพื้นที่อีอีซีที่เร็วขึ้น โดยอีอีซีคาดหวังการลงทุนจริงในพื้นที่คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 นี้” นายชนินทร์ กล่าว

ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลหน่วยกำลังป้องกันชายแดนในพื้นที่ กองกำลังสุรนารี

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 เวลา 08.00 น. พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลในการปฏิบัติงานของกองกำลังป้องกันชายแดน ในพื้นที่ กองกำลังสุรนารี โดยมี พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 และผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับโดย พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก 

พร้อมคณะ เดินทางไปยังกองบัญชาการกองกำลังสุรนารี ค่ายวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รับฟังการบรรยายสรุปการปฏิบัติงานของ กองกำลังสุรนารี จากนั้นเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น จุดตรวจการณ์ผามออีแดง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลป้องกันชายแดน พร้อมทั้งมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับกำลังพล หลังจากนั้นได้เดินทางไปมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา และเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ สำรวจภูมิประเทศในพื้นที่รวงผึ้ง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี 

‘ILINK’ พร้อมลากสายเคเบิ้ลใต้น้ำ เชื่อม ‘เกาะพะงัน-เกาะเต่า’ ช่วยให้มีไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง ส่งเสริมเป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลก

(20 ต.ค. 66) ภายหลังจากกลุ่ม INTERLINK Consortium ได้เซ็นต์สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า มูลค่าโครงการ 1,786 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือนนั้น

ล่าสุด INTERLINK ได้มีการอัปเดตความคืบหน้าโดยเปิดเผยว่า พร้อมแล้วที่จะเริ่มลากสาย Submarine Cable จาก เกาะพงันไปยังเกาะเต่า และจะให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดเวลา อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อที่จะช่วยให้เกาะเต่ามีไฟฟ้าใช้ เพื่อส่งเสริมให้เกาะเต่า เป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลกเหมือนเกาะสมุยและเกาะพงัน และเป็นเพชรเม็ดงามของประเทศไทยต่อไปในอนาคต

‘เศรษฐา’ ชูศักยภาพไทย หยอด ‘จีน’ ร่วมลงทุน ยาหอม!! จีนมหามิตร ไทยพร้อมชิดเชื่อม BRI

(20 ต.ค.66) ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ร่วมงาน Thailand-China Investment Forum ที่โรงแรมเคอร์รี่ โดยได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน และขอให้เชื่อมั่น ตนได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ไทยเป็นจุดหมายที่ปลอดภัย เป็นมิตรกับทุกคนที่มาเยือน และการเดินทางมาจีนครั้งนี้ มีความยินดีอย่างยิ่ง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงมาตลอด ที่สำคัญคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย แสดงให้เห็นความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

นายกฯ กล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ไทยและจีนครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ฉบับที่ 4 (ปี 2022 - 2026) และแผนความร่วมมือระหว่างไทย - จีน ว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ การประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 ซึ่งข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) เป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และด้านวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในกลุ่มอาเซียน

นายกฯ กล่าวว่า ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน เชื่อมต่อเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งบกและทะเล จึงตระหนักถึงโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีน รัฐบาลไทยมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบเพื่อเพิ่มโอกาสด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว จะยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของไทย ก่อให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ

“เป็นโอกาสดีที่ไทยและจีนจะยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยจะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบเศรษฐกิจ และจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าไทยมีบุคลากรที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ สำหรับการค้าและการลงทุน” นายเศรษฐา ระบุ

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในระดับภูมิภาคจีนและไทยได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งมีอาเซียน 10 ประเทศ และประเทศนอกอาเซียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ความตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาการค้าขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมประมาณร้อยละ 30 ของ GDP โลก ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับสิทธิ ยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากร ดังนั้น การเข้ามาทำการค้าการลงทุนกับประเทศไทยจึงเป็นโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว นอกจากความตกลง RCEP แล้ว จีนและไทยมีกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - จีน ซึ่งส่งผลให้ภาษีสินค้านำเข้าเป็น 0 มากกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด โดยตั้งเป้าในการปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมในหมวดสินค้าอ่อนไหว รวมถึงการเปิดเสรีและคุ้มครองการลงทุน คาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จในปี 2024 เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจไปสู่การเป็นฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน อันจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น

‘นพ.ประชา’ โพสต์คลิป ‘คนไข้ขอยังไม่ผ่าสมอง’ อ้าง ‘ราหูย้าย’ ด้านหมอแนะ!! ‘โหราศาสตร์ก็มีประโยชน์ แต่อย่าลืมกฎแห่งกรรม’

(20 ต.ค. 66) นายแพทย์ประชา กัญญาประสิทธิ์ เจ้าของเพจหมอประชาผ่าตัดสมอง ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ได้ออกมาโพสต์คลิปแชร์เคสคนไข้ ที่มีอาการเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ต้องทำการรักษาผ่าตัด แต่คนไข้ขอยังไม่ผ่า โดยให้เหตุผลกับหมอว่า ‘ราหูย้าย’

โดย นพ.ประชา ได้เล่าผ่านคลิปวิดีโอว่า...

ขอยังไม่ผ่าเพราะราหูย้าย ผู้ป่วยชายอายุ 55 ปี 2 เดือนก่อนล้มหัวฟาด เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ผ่าตัดเอาเลือดออกและเปิดกะโหลกไว้ เพราะปิดไม่ได้สมองบวมมาก วันนี้นัดผ่าตัดปิดกะโหลกคืน...เนื่องจากเป็นวันที่ราหูย้าย คนไข้ไม่อยากให้ผ่าตัด

ทำไมคนเราชอบดูดวง ดูเรื่องเงินกับเรื่องงาน เรื่องบ้านกับเรื่องรถ เรื่องความรัก ครอบครัว สุดท้ายคือดูเรื่องสุขภาพ ว่าเป็นเรื่องร้ายแล้วจะหายไหม จริง ๆ ดูพฤติกรรมตอนนี้ดีกว่า ดูการกระทำของคุณ ดูแลหรือปล่อยปะปละเลย มันคือกฎแห่งกรรมครับ อยู่ที่พฤติกรรมของคุณล้วนๆครับ ดูดวงเรื่องสุขภาพ ดูว่าวันนี้คุณกินอะไร วันนี้คุณออกกำลังกายไหม วันนี้คุณคุมความดันได้ไหม คุมเบาหวานได้ไหม คุมไขมันได้ไหม ถ้าคุมไม่ได้ ก็อาจจะพิการจากโรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหลอดเลือดสมองตัน หรือเสียชีวิตฉับพลันจากเส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

รู้พฤติกรรมของคุณเองนะครับ ว่าคุณออกกำลังกายไหม คุณน้ำหนักเยอะไหม แทนที่คุณจะตรวจดวงสุขภาพ คุณไปตรวจไขมัน ตรวจเบาหวาน ตรวจความดันจะดีกว่า ถ้าหมอบอกว่าคุณดูดีแล้ว คุณนอนตีพุงอยู่ที่บ้าน พุงหลาม ผมว่าเชื่อของกฎแห่งกรรมดีกว่าครับ คุณทำยังไงกับร่างกายคุณ คุณก็จะเป็นอย่างงั้นครับ

ถ้าคุณเอาใจใส่อาหารการกิน เอาใจใส่สุขภาพ คุณก็ไม่เป็นอัมพาตจากหลอดเลือดสมองครับ คุณก็ไม่เป็นมะเร็ง คุณก็ไม่เป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ โหราศาสตร์ก็มีประโยชน์ แต่อย่าลืมกฎแห่งกรรม ขอให้เชื่อในกรรมดีที่คุณได้ทำกับสุขภาพ ถ้าคุณทำกรรมชั่วกับสุขภาพ สุดท้ายก็จะเสียชีวิตจากมะเร็ง หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ ก่อนวัยอันควร

สุดท้ายราหูย้าย ถ้าถูกทายว่าสุขภาพยังดีอยู่ ก็อย่าประมาทครับ ออกกำลังกายกันด้วย และยิ่งถูกทายว่าสุขภาพกำลังแย่ ยิ่งต้องเร่งแก้ไข ให้ออกกำลังกาย ให้คุมปัจจัยเสี่ยง เบาหวาน ความดัน ไขมันให้ดี ลดเหล้า ลดบุหรี่ ลดความอ้วน ลดความเครียดให้ดี ป้องกันก่อนที่มันจะเป็นอัมพาต และขอให้ทุกคนสุขภาพดี และยินดีกับราหูย้าย...

ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยจัดวันพยาบาลแห่งชาติ ปี 66 สภากาชาดไทย เทิดไท้สมเด็จย่าเสริมสร้างดูแลสุขภาพปวงประชาห่างไกลไร้โรคา มีคุณภาพชีวิตที่ดี

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 เวลา 8.00-10.00  น.นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานเปิดงานวันพยาบาลแห่งชาติ ปี 66 ณ.ระเบียงรมณีย์ ชั้นที่ 14 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

วันพยาบาลแห่งชาติ ถูกกำหนดให้เป็นวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี ชึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การศาสนา  การสงเคราะห์ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน

เพื่อน้อมรำลึกและเป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระศรีนครืนทราบรมราชชนนี ฝ่ ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ได้ตระหนักเห็นความสำคัญ ดังกล่าว จึงได้จัดงานวันพยาบาลแห่งชาตื ประจำปี 2566 เหมือนเช่นทุกปี สำหรับปีนี้จัดงานวันที่ 20  ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 8.00-15.00 น. กืจกรรมภายในงานที่น่าสนใจประกอบด้วยนิทรรศการการดูแลสุขภาพ เละเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพจากหน่วยงานต่างๆ ของสภากาชาดไทย รับการประเมินสุขภาพด้วยการทดสอบความจำและความคิด ทดสอบแรงบีบมือ ประเมินภาวะความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ภาวะอารมณ์และพฤติกรรม สุขภาพ กิจกรรมเกมส์ฝึกสายตาและสมอง การตรวจวิเคราะห์กล้ามเนื้อและมวลไขมันด้วยเครื่อง ,BIA และรับคำแนะนำฟรี นอกจากนี้รับฟังการเสวนาเรื่อง 'ก้าวเข้าสู่ทศวรรษการดูแลสุขภาวะผู้สูงวัย"และเพลิดเพลินกับการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อผู้สูงวัยด้วยไลน์แเดนซ์ ร้องเพลงเล่นดนตรีอูคูเลเล่

‘การบินไทย’ เตรียมส่ง ‘ถุงน้ำใจ’ 500 ชุด ช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล เพื่อบรรเทาทุกข์-เรียกขวัญกำลังใจ-ย้ำเตือน ‘คนไทยจะไม่มีทางถูกลืม’

(20 ต.ค. 66) นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานรับมอบ ‘ถุงน้ำใจ’ จำนวน 500 ชุด จากโครงการ ‘ส่งน้ำใจให้คนไทย ในอิสราเอล’ ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม เครือ RBS group และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยมี นายนพพล ชูกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RBS group เป็นผู้ส่งมอบ พร้อมด้วย นายรุจ ธรรมมงคล อธิบดีกรมการกงสุล นายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทยฯ ร่วมรับมอบ ณ สำนักงานใหญ่ การบินไทย

โดย ‘ถุงน้ำใจ’ ประกอบด้วย ขนมคาวหวานต่าง ๆ ที่จะพอช่วยบรรเทาความหิว และสร้างความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับพี่น้องชาวไทยในอิสราเอล ซึ่งจะถูกขนส่งไปในเครื่องบินของการบินไทย และเครื่องบินของกองทัพอากาศ ที่จะทำการบินไปอพยพคนไทยในอิสราเอล โดยได้รับการอำนวยการจากกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ และการบินไทย โดยหลังจากเครื่องบินลงจอดที่ปลายทาง ‘ถุงน้ำใจ’ จะถูกส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ นำไปกระจายส่งมอบให้กับผู้อพยพลี้ภัยสงครามชาวไทย ในศูนย์อพยพลี้ภัย 2 จุด ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถานทูตฯ

ทั้งนี้ จากข้อมูลปัจจุบันระบุว่ามีคนไทยจำนวนทั้งหมด 30,000 คน อยู่ในประเทศอิสราเอล จำนวนที่อพยพสำเร็จไปแล้ว 1,000 คน และได้ลงทะเบียนแจ้งขออพยพแล้วจำนวนมากกว่า 8,000 คน โดยความเป็นอยู่และอาหารการกินของผู้อพยพลี้ภัยชาวไทยนั้น จะได้รับการดูแลจากสถานทูตฯ

โครงการ ‘ส่งน้ำใจให้คนไทย ในอิสราเอล’ นั้น นอกจากเป็นการส่ง ‘ถุงน้ำใจ’ ไปช่วยบรรเทาความหิวแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์ในการ ‘ส่งน้ำใจ’ และเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวไทยที่กำลังลำบาก ให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกลืม

อดีตคณะทำงานก้าวไกล แฉ!! ถูก สส.ฝั่งธนฯ ‘ลวนลาม-ขอมีเซ็กซ์’ นักข่าวโทรพิสูจน์ 6 สส. พบ ‘ปฏิเสธ-ไม่รับสาย-ตัดสาย-ติดต่อไม่ได้’

(20 ต.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถึงกรณีมีผู้เสียหายซึ่งเป็นอดีตคณะทำงานของสส.พรรค ก.ก. ได้เข้าร้องเรียนกับทางสำนักข่าวเนชั่นทีวี ว่า ถูก สส.กทม. ฝั่งธนบุรี พรรค ก.ก. รายหนึ่ง คุกคามทางเพศ ด้วยพฤติการณ์ อาทิ ลวนลาม แตะเนื้อต้องตัว จนถึงขั้นขอมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้เสียหายอ้างว่า เมื่อ สส.คนดังกล่าวทราบเรื่องว่าถูกร้องเรียนให้พรรค ก.ก.ตรวจสอบ ได้โทรศัพท์ไปร้องไห้ขอความเห็นใจจากคณะกรรมการวินัยพรรค อ้างว่า เป็นเรื่องสมยอมกัน และขอให้ลงโทษสถานเบานั้น

เมื่อสำรวจ รายชื่อ สส.กทม. ฝั่งธนฯ พรรคก.ก. มีทั้งหมด 10 คน จาก 10 เขต เป็นชาย 6 คน และหญิง 4 คน

โดยผู้สื่อข่าว โทรศัพท์ไปสอบถาม สส.กทม.ชาย ฝั่งธนบุรี พรรคก้าวไกล เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ปรากฏว่า นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เขตบางขุนเทียน นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร เขตธนบุรี นายสิริน สงวนสิน เขตทวีวัฒนา ต่างปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ไม่ใช่ผู้ถูกร้องเรียน และไม่ใช่สส.ฝั่งธนบุรี ที่มีพฤติกรรม ตามที่ร้องเรียนดังกล่าวแต่อย่างใด

ส่วนนายธัญธร ธนินวัฒนาธร เขตบางแค  ไม่รับสาย

นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ เขตบางพลัด -บางกอกน้อย ยังติดต่อไม่ได้ เนื่องจากไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

ขณะที่ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ เขตจอมทอง ผู้สื่อข่าวได้โทรหาหลายรอบ เมื่อนายไชยามวาน รับสาย และรู้ว่าเป็นสื่อมวลชนโทรหา เจ้าตัวได้วางสายทันที

‘Apollo-Plumbat’ 2 ปฏิบัติการลับของหน่วย ‘MOSSAD’ แห่งอิสราเอล ในการโจรกรรม ‘แร่ยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง’ ซึ่งใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์

‘Apollo’ และ ‘Plumbat’ ปฏิบัติการโจรกรรมยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง 
โดยอิสราเอล

‘อิสราเอล’ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง และเชื่อกันว่า อิสราเอลมีความสามารถในการปล่อยหัวรบนิวเคลียร์ได้มากมายหลายวิธีจากอากาศยาน ขีปนาวุธร่อนที่ปล่อยจากเรือดำน้ำ และขีปนาวุธพิสัยกลางถึงข้ามทวีปแบบ ‘Jericho’ ซึ่ง Revital ‘Tally’ Gotliv สส.หญิงอิสราเอล เรียกร้องให้นำมาใช้ถล่มฉนวน Gaza หวังให้กลายเป็น ‘วันโลกาวินาศ’ (Doomsday) ของชาวปาเลสไตน์ https://thestatestimes.com/post/2023101214

โดยคาดว่า อิสราเอลเมื่อเริ่มแรกที่มีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมใช้งานได้นั้น น่าจะเป็นในช่วงปลายปีของ ค.ศ. 1966 หรือต้นปี ค.ศ. 1967 และทำให้อิสราเอลกลายเป็นชาติที่ 6 ของโลกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลรักษานโยบาย ‘จงใจคลุมเครือ’ โดยไม่เคยปฏิเสธหรือยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ย้ำตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า “อิสราเอลจะไม่ใช่ประเทศแรกที่จะเปิดฉากใช้อาวุธนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง”

นอกจากนี้ อิสราเอลยังปฏิเสธที่จะลงนามใน ‘สนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์’ (the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons : NPT) แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากนานาชาติให้ลงนามก็ตาม โดยกล่าวว่าการลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวจะขัดต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ

‘กองทัพอากาศอิสราเอล’ เปิดฉากทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก
ใน ‘ปฏิบัติการ Opera’ ในปี ค.ศ. 1981

นอกจากนี้ อิสราเอลยังได้พัฒนาหลักการเริ่มต้นในการต่อต้านด้วยการชิงโจมตี โดยปฏิเสธไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค สามารถซื้อหรือผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองได้ กองทัพอากาศอิสราเอลเปิดฉากทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก ใน ‘ปฏิบัติการ Opera’ ในปี ค.ศ. 1981 และซีเรีย ใน ‘ปฏิบัติการ Orchard’ ในปี พ.ศ. 2007 ตามลำดับ และการใช้มัลแวร์ ‘Stuxnet’ ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านในปี พ.ศ. 2010 ซึ่งเชื่อว่าได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ในปี ค.ศ. 2019

อีกทั้ง อิสราเอลยังคงเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่เชื่อว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยกำหนดให้แผน Samson เป็นกลยุทธ์การป้องกันในการตอบโต้ครั้งใหญ่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในฐานะ ‘ทางเลือกสุดท้าย’ ต่อประเทศที่ส่งกองทัพมารุกราน และ/หรือ ทำลายอิสราเอล

‘Mordechai Vanunu’ ช่างเทคนิคผู้ที่เปิดเผยรายละเอียดของโครงการอาวุธนิวเคลียร์

อิสราเอลเริ่มโครงการนิวเคลียร์ไม่นานหลังจากประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1948 และด้วยความร่วมมือของฝรั่งเศส โดยอิสราเอลได้เริ่มสร้างศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ ‘Negev’ อย่างลับ ๆ ซึ่งเป็นโรงงานใกล้ ๆ กับเมือง Dimona ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และโรงงานปรับกระบวนการที่เกี่ยวข้องในปลายทศวรรษ 1950 ก่อนจะถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1986 โดย ‘Mordechai Vanunu’ ช่างเทคนิคที่เคยทำงานในศูนย์แห่งนี้และอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ไม่นานหลังจากนั้น Mordechai Vanunu ก็ถูกเจ้าหน้าที่ MOSSAD ลักพาตัวและถูกนำตัวกลับมาที่อิสราเอล ซึ่งเขาถูกตัดสินจำคุก 18 ปีในข้อหากบฏและจารกรรม

บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) 
เมือง Apollo และเมือง Parks Township

แต่สิ่งสำคัญที่อิสราเอลไม่สามารถหาได้เลย คือ วัตถุดิบหลักในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ ‘ยูเรเนียม’ ที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จึงเป็นที่มาของ 2 ปฏิบัติการโจรกรรมยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง โดย ‘หน่วย MOSSAD’ ของอิสราเอล

‘ปฏิบัติการ Apollo’ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1965 โดยบริษัทของสหรัฐอเมริกา บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) เมือง Apollo และเมือง Parks Township เขตชานเมืองพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลวาเนีย ถูกสอบสวนในข้อหาสูญเสียสารยูเรเนียมที่มีสมรรถนะสูงไปราว 200–600 ปอนด์ (91–272 กิโลกรัม) โดยสงสัยว่าได้มีการยักย้ายเข้าสู่โครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล

‘Dr. Zalman Shapiro’ ประธานฯ บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC)

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 ถึง พ.ศ. 1980 สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) ได้ทำการสอบสวน Dr. Zalman Shapiro ประธานบริษัทฯ ในเรื่องการสูญหายของยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จำนวน 206 ปอนด์ (93 กิโลกรัม) Shapiro เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจและการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอิสราเอล รวมถึงได้รับสัญญาที่จะสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้อิสราเอลด้วย คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู, สำนักข่าวกรองกลาง (CIA), หน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ และผู้สื่อข่าวที่สอบสวนได้ดำเนินการสืบสวนในลักษณะเดียวกันนี้ แต่ก็ไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ เลย

การศึกษาของสำนักงานบัญชีทั่วไปเกี่ยวกับการสืบสวนที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไป ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 ระบุว่า “เราเชื่อว่าความพยายามร่วมกันอย่างทันท่วงที ในส่วนของหน่วยงานทั้ง 3 นี้ จะช่วยได้อย่างมาก และอาจช่วยแก้ปัญหาการเบี่ยงเบนความสนใจของ NUMEC ได้ หากพวกเขาต้องการทำเช่นนั้น”

บริษัท Nuclear Materials and Equipment Corporation (NUMEC) 
เมือง Apollo และเมือง Parks Township

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 ‘CIA’ ได้บรรยายสรุปแก่เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (NRC) เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่า CIA เชื่อว่ายูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูงที่หายไปนั้น ถูกส่งไปยังอิสราเอล เมื่อ NRC แจ้งต่อทำเนียบขาว ส่งผลทำให้ประธานาธิบดี ‘Jimmy Carter’ เมื่อได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการสอบสวน จึงสั่งให้ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติประเมินผล ซึ่งผลสรุปว่า “ข้อสรุปของ CIA มีความเป็นไปได้ แม้ว่าจะไม่ได้ข้อสรุปก็ตาม” บางคนยังคงเชื่อว่า อิสราเอลได้รับยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง จำนวน 206 ปอนด์ (93 กิโลกรัม) หรือมากกว่าจาก NUMEC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้รับหลังการมาเยือนของ ‘Rafi Eitan’ ซึ่งถูกเปิดเผยในภายหลัง ว่าเป็นสายลับอิสราเอลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘Jonathan Pollard’ ในเวลาต่อมา

เหตุการณ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1986 นักวิเคราะห์ ‘Anthony Cordesman’ บอกกับสำนักข่าว United Press International (UPI) ว่า “ไม่มีเหตุผลที่เป็นไปได้ใด ๆ สำหรับ Eitan ที่จะไปยังโรงงาน Apollo นอกจากไปเพื่อวัสดุนิวเคลียร์” การสอบสวนในภายหลังได้ดำเนินการโดยคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (ต่อจาก AEC) เกี่ยวกับยูเรเนียมจำนวน 198 ปอนด์ (90 กิโลกรัม) ซึ่งพบว่าหายไประหว่างปี ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1976 หลังจากที่บริษัท Babcock & Wilcox และ Dr. Shapiro ได้ซื้อโรงงานดังกล่าว การสืบสวนพบว่า ยูเรเนียมที่ผ่านกระบวนการเสริมสมรรถนะสูง น้ำหนักมากกว่า 110 ปอนด์ (50 กิโลกรัม) อาจถูกเรียกว่า ‘กลไกการสูญเสียที่ไม่สามารถระบุได้ และไม่มีเอกสารก่อนหน้านี้’ รวมถึง ‘การปนเปื้อนของเสื้อผ้าของคนงาน การสูญเสียจากระบบขัดพื้น วัสดุที่ฝังอยู่ในพื้น และคราบตกค้างในอุปกรณ์แปรรูป’ โดยอีกหนึ่งในผู้สืบสวนหลัก ‘Carl Duckett’ ได้กล่าวว่า “ผมไม่พบอะไรเลยที่บ่งชี้ว่า Shapiro มีความผิด”

‘ปฏิบัติการ Plumbat’ เชื่อกันว่าเป็น ‘ปฏิบัติการลับ’ ของอิสราเอลในปี ค.ศ. 1968 เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘Yellowcake’ (แร่ยูเรเนียมแปรรูป) เพื่อนำมาใช้สนับสนุนในความพยายามด้านอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอล สาเหตุมาจากการที่ฝรั่งเศสหยุดจัดหาเชื้อเพลิงยูเรเนียมให้กับอิสราเอล สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ Dimona หลังจากสงครามอาหรับ-อิสราเอล ในปี ค.ศ. 1967 แหล่งข่าวจำนวนมากเชื่อว่าในปี ค.ศ. 1968 อิสราเอลได้รับ Yellowcake (แร่ยูเรเนียมแปรรูป) ราว 200 ตันจาก ‘Union Minière’ บริษัทเหมืองแร่ของเบลเยียม และจัดส่งยูเรเนียมแปรรูปที่ขุดในคองโก จากเมืองแอนต์เวิร์ปไปยังเมืองเจนัว ให้กับบริษัทแนวหน้าของยุโรป โดยทำการขนถ่ายย้ายแร่ไปยังเรือลำอื่นกลางทะเล

ปฏิบัติการลับของ MOSSAD นี้ เป็นการละเมิดมาตรการควบคุมวัสดุนิวเคลียร์ของ ‘Euratom’ (The European Atomic Energy Community) โดยสมบูรณ์ ชื่อของปฏิบัติการ Plumbat มาจากภาษาละตินว่า ‘plumbum’ ซึ่งหมายถึง ‘ตะกั่ว’ อันเป็นวัสดุไม่อันตรายในการขนส่ง Yellowcake โดยสายลับของ MOSSAD ได้จัดตั้งบริษัทสมมติชื่อ ‘Biscayne Trader's Shipping Corporation’ ในไลบีเรีย เพื่อซื้อเรือขนส่งสินค้าทางทะเล จากเมือง Scheersberg A. (เมืองทางตอนเหนือของเยอรมนี ใกล้ชายแดนติดกับเดนมาร์ก) ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ผู้เป็นมิตรของบริษัทปิโตรเคมีของเยอรมนี มีการจ่ายเงิน 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Union Minière เพื่อซื้อ Yellowcake จำนวน 200 ตัน Yellowcake เหลืออยู่ในสินค้าคงคลังจากยูเรเนียมที่ขุดได้จาก Shinkolobwe ใน Katanga ตอนบน โดยบรรทุก Yellowcake นี้ลงบนเรือบรรทุกสินค้าที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ และมีการทำสัญญากับบริษัทสีสัญชาติอิตาลี เพื่อดำเนินการผลิต Yellowcake

‘Yellowcake’ (แร่ยูเรเนียมแปรรูป)

‘Yellowcake’ ถูกบรรทุกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1968 ในถังที่มีเครื่องหมาย ‘PLUMBAT’ (ผลิตภัณฑ์ตะกั่วที่ไม่เป็นอันตราย) ลูกเรือชาวสเปนถูกแทนที่ด้วยกะลาสีเรือที่ MOSSAD เตรียมไว้ และได้รับหนังสือเดินทางปลอมที่จัดเตรียมไว้ให้ เรือสินค้าลำนี้แล่นไปยังเมืองเจนัว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1968 หลังจากเดินทางได้ประมาณ 7 วัน เรือก็พบกับเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอิสราเอล ภายใต้ความมืดบริเวณที่ใดที่หนึ่งทางตะวันออกของเกาะครีต สินค้าถูกขนถ่ายไปอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เรือรบของอิสราเอลคอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ หลังจากบรรทุก Yellowcake แล้ว ก็ออกเดินทางสู่เมืองท่าไฮฟา และในที่สุดก็ถึงอุโมงค์ซึ่งเป็นโรงงานเคมีอัตโนมัติระดับ 6 เพื่อทำการแปรรูปให้เป็น ‘พลูโตเนียม’ ที่เมือง Dimona เมื่อเรือ Scheersberg A. เข้าเทียบท่าที่ตุรกี 8 วันต่อมา โดยไม่มีการขนส่งสินค้าใด ๆ สัญญากับบริษัทสีสัญชาติอิตาลีจึงถูกยกเลิก บันทึกของเรือหายไปหลายหน้าโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ บริษัทสีอิตาลีสันนิษฐานว่า สินค้าสูญหายเนื่องจากการปล้น

คำสารภาพของฝ่ายปฏิบัติการ MOSSAD ในปี ค.ศ. 1973 ‘Dan Ert’ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ Mossad ถูกจับกุมในนอร์เวย์ โดยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการลอบสังหารผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์คนหนึ่ง ที่สังหารนักกีฬาอิสราเอล 11 คน ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ. 1972 ที่นครมิวนิก ซึ่งได้เล่าเรื่องราวขณะถูกคุมขังเพื่อพิสูจน์ให้ชาวนอร์เวย์เห็นว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของ MOSSAD เรื่องราวดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อตรวจสอบพบว่า Ert ได้รับเลือกให้เป็นประธานของบริษัทขนส่งในไลบีเรียที่เคยซื้อเรือ Scheersberg A. ในปี 1977 เรื่อง Plumbat Affair ถูกเปิดเผยโดย ‘Paul Leventhal’ อดีตนิติกรของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ในการประชุมลดอาวุธ เขากล่าวว่า “การขนส่ง Yellowcake ที่ถูกขโมยมานั้น เพียงพอที่จะเดินเครื่องปฏิกรณ์เช่นที่ Dimona ได้นานถึง 10 ปี”

ในตอนแรกเจ้าหน้าที่อิสราเอลนิ่งเงียบเมื่อมีการสอบสวน จากนั้น จึงออกมาปฏิเสธทุกแง่มุมในเรื่องราวที่อิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับ Yellowcake ที่ถูกขโมย ปัจจุบันประมาณการว่า คลังอาวุธของอิสราเอลมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ระหว่าง 80 ถึง 400 หัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top