Thursday, 19 June 2025
NewsFeed

‘วารุณี’ ยุติ ‘อดข้าว-น้ำ’ ประท้วง หลังศาลไม่ให้ประกันตัว ยัน!! ไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์ แต่สู้แบบทรมานไม่มีประโยชน์

(16 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ภาพและข้อความแถลงการณ์วารุณี ผู้ต้องการคดี ม.112 ผ่านทวิตเตอร์ (X) ‘ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ ระบุว่า

“แถลงการณ์จากวารุณี

หลังจากอดอาหารมาระยะหนึ่ง แต่ศาลก็ยังคงยืนยันคำสั่งไม่ให้ประกันตัว ตลอดการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทำให้เราได้เห็นผู้ต้องขังหลายคนเสียชีวิตในขณะที่ยังเป็น ‘นักโทษ’ อยู่ แม้แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตพวกเขาก็ยังคงไร้ซึ่งอิสรภาพ

การได้เห็นญาติของคนที่จากไปร้องไห้เสียใจจนใจแทบขาด ทำให้เราคิดได้ว่าถ้าเราตายไปตอนนี้จะเท่ากับว่าเราลาจากครอบครัวและคนที่เรารักไปตลอดกาล สิ่งที่ได้กลับมาคงจะมีแต่ความโศกเศร้าของคนที่รักเรา เราคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นประชาธิปไตยเต็มใบ คงหมดโอกาสได้เห็นประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

เพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมืองหลายคนให้กำลังใจและบอกกับเราว่าไม่ควรเอาชีวิตมาแลกกับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำแบบนี้

…ต่อให้เราสู้ด้วยวิธีไหน มันก็ยากมากที่จะชนะ หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะชนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีทางออกเลยซะทีเดียว

เราคิดว่าสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดตอนนี้ คือ ‘ต้องเข้มแข็งและอดทน’ อยู่ในคุกให้มีความสุขที่สุด…ในเดือนแรก ๆ เราทุกข์มาก แต่นี่เดือนที่ 3 ได้ผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งทรมานอีกแล้ว เราจะอยู่ให้มีความสุข กินให้อิ่ม นอนให้หลับ รักษาตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่ในวันที่เราได้ออกไปกอดคนที่เรารัก จะได้กอดได้ครบทุกคน

เราขอตัดสินใจอีกครั้ง ขอแจ้งยุติการอดอาหารและจำกัดการดื่มน้ำประท้วง นับตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. เป็นต้นไป เราขอยืนยันว่าไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์หรือจุดยืนที่เคยมี เพียงแต่เราเลือกที่จะเปลี่ยนไปเล่นเกมนี้อย่างมีความสุขก็เท่านั้น

‘ความสุข’ คือ เกราะป้องกันความชั่วร้ายได้ ยิ่งเรามีความสุขได้มากเท่าไหร่ ความชั่วร้ายก็จะไม่มีวันทำอะไรได้อีก

แล้วพบกันนะ อิสรภาพของฉัน

เหตุผลประกอบการตัดสินใจ

-ศาลยังคงยืนยันคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเรื่อยมา แม้จะยื่นประกันตัวไปถึง 7 ครั้งแล้ว

-สถานการณ์การเมืองไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ยังคงมีคนต้องเข้าเรือนจำเพราะคดีมาตรา 112 เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเข้าเรือนจำแล้วก็มีแนวโน้มไม่ได้ประกันตัวเลย

-ครอบครัวเราสูญเสียแม่ไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกคนยังบอบช้ำและยังไม่พร้อมกับความสูญเสียอีกครั้ง โดยเฉพาะน้องสาวกับน้องชาย

-เราคิดว่าตอนนี้เราเข้มแข็งมากพอที่จะใช้ชีวิตในเรือนจำได้แล้ว

-ชีวิตคนเราคงจะมีบ้างที่สะดุดล้ม แต่เราจะลุกยืนขึ้นและก้าวเดินต่อไปได้อย่างระมัดระวังอีกครั้งเสมอ

‘บางจาก’ ปิดดีลซื้อ ‘เอสโซ่’ เป็นที่เรียบร้อย ด้วยการถือครองหุ้นทั้งหมดจำนวน 76.34%

(16 ต.ค. 66) นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่บางจากฯ เข้าถือหุ้นร้อยละ 65.99 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 และได้ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือจำนวน 1,177,108,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 34.01 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ในราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566

ซึ่งการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยบางจากฯ ได้ชำระค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบัน บางจากฯ ถือหุ้นเอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นจำนวน 2,642,157,198 หุ้น (หุ้นที่ถืออยู่เดิมรวมกับหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย) หรือคิดเป็นร้อยละ 76.34 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด

“จำนวนหุ้นที่ได้จากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ คิดเป็นมูลค่า 3,547,729,490 บาทนี้ บางจากฯ ได้ใช้เงินกู้จากวงเงินสินเชื่อระยะยาวจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนการเติบโตของ บางจากฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยภายหลังการใช้เงินกู้ครั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบางจากฯ ยังอยู่ในระดับไม่เกิน 1.1 เท่า สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางฐานะการเงินของบางจากฯ ทั้งนี้ บางจากฯ พร้อมที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆ เพื่อไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจร่วมกัน”

‘กรมการขนส่งทางบก’ ชวน ‘คนไทย’ ลดพฤติกรรมเสี่ยง ดึง ‘แจ๊ส’ ชวน 2 ล้อปลอดภัย ใส่สวมหมวกกันน็อก

‘กรมการขนส่งทางบก’ จับมือขวัญใจวัยรุ่น ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ ส่งเพลง ‘กันก่อนน็อก’ เอาใจสาวกสองล้อ ชวนลดพฤติกรรมเสี่ยง สร้างค่านิยมใหม่ ขับขี่รถจักรยานยนต์ปลอดภัย สวมหมวกกันน็อก ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะและสมอง

(16 ต.ค.66) ณ อาคาร GPS กรมการขนส่งทางบก จัดงานแถลงข่าวโครงการ ‘รณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุ’ เปิดตัวมิวสิควิดีโอ ‘กันก่อนน็อก’ จับมือขวัญใจวัยรุ่นไทย ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ หรือ ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ เอาใจสาวกสองล้อทั้งประเทศ พร้อมร่วมกิจกรรม Dance Challenge ผ่านสื่อออนไลน์และแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัยด้วยการสวมหมวกนิรภัย ป้องกันและลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนนก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน สาเหตุจากพฤติกรรมการขับขี่ที่ประมาท อยู่ในวัยคึกคะนอง ไม่เคารพกฎจราจร และไม่สวมหมวกนิรภัย กรมการขนส่งทางบกเล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ สร้างพฤติกรรมและค่านิยมความปลอดภัยใหม่ โดยให้การสวมหมวกนิรภัยเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยได้มีการผลิตและเผยแพร่มิวสิควิดิโอ เพลง ‘กันก่อนน็อก’ เพื่อรณรงค์ให้เกิดพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่ ซึ่งได้จับมือกับนักร้องและตลกชื่อดัง ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ หรือ ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ เป็นตัวแทนสื่อสารกับวัยรุ่น ในฐานะรุ่นพี่ที่ต้องการเตือนสติรุ่นน้อง ให้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรทำและไม่ควรทำ พร้อมเป็นผู้นำชวนวัยรุ่น ชาวติ๊กต๊อก และผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ร่วมเต้นร่วมร้อง ผ่านกิจกรรม Dance Challenge แจกหมวกนิภัย และเสื้อยืด ‘กันก่อนน็อก’ รุ่นลิมิตเต็ด ออกแบบโดย ‘แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก’ ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกคาดหวังว่าหลังจากเผยแพร่มิวสิควิดีโอ ‘กันก่อนน็อก’ แล้ว จะทำให้เยาวชน วัยรุ่น และประชาชนผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์บนถนน ตระหนักถึงประโยชน์และพลังของการใส่หมวกกันน็อก ทำให้การใส่หมวกกันน็อก เข้าไปอยู่ในใจ และชีวิตประจำวันของวัยรุ่นไทย เป้าหมายเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และลดการสูญเสียในกลุ่มเด็กเยาวชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมกันสร้างจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงความปลอดภัยทางถนน โดยมุ่งเน้นไปที่การขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นเรื่องสำคัญที่กรมการขนส่งทางบกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้วยเข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการเดินทาง และต้องสร้างความเข้าใจควบคู่กันด้วยว่า ผู้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นผู้ใช้รถที่มีเกราะกำบังน้อยกว่าผู้ใช้รถประเภทอื่นๆ จึงมีความเปราะบางต่อการบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตมากกว่า จึงจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่จะปกป้องตนเอง การสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัย เน้นการสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับ คนซ้อนทุกครั้ง จึงเป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งต้องมีการขับเคลื่อนให้เห็นความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกตั้งแต่วัยเด็ก ปลูกฝังให้เกิดความเคยชิน กระตุ้นให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะการเกิดอุบัติเหตุหนึ่งครั้งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งต่อผู้ขับขี่ ครอบครัว สังคม 

สำหรับเพลง ‘กันก่อนน็อก’ เป็นเพลงจังหวะสนุกสนาน ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิต วิถีสาวกสองล้อ ความมันส์ความสนุก เพื่อน ความรัก ความฝัน และปลุกใจให้ทุกคนกลับมาปกป้องชีวิตตัวเองด้วยการใส่หมวกกันน็อกก่อนขับขี่ ติดตามรับชมมิวสิควิดีโอ ‘กันก่อนน็อก’ ได้จากทุกช่องทางออนไลน์ “ขับขี่ปลอดภัย by DLT” ของกรมการขนส่งทางบก

เช็กรายชื่อ!! มติ ครม.แต่งตั้งข้าราชการหลายตำแหน่ง ด้าน ‘กฤชนนท์ อัยยปัญญา’ นั่งคณะกรรมการ ผช.รมต.

(16 ต.ค. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูง

โดยครั้งนี้ ได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรี’ นั้น มีบทบาทสำคัญในการ ‘บริหารความขัดแย้งทางการเมือง’ ภายในพรรค ซึ่งกรณีที่ปฏิบัติงานร่วมกัน จะเรียกว่า ‘คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี’ แต่ถ้าปฏิบัติงานแยกกันเรียกว่า ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรี’

ทั้งนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน เช่น เคยรับราชการ เคยดำรงตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่รองศาสตราจารย์ขึ้นไป เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เคยทำงานในแวดวงภาคเอกชนระดับไม่ต่ำกว่าผู้ช่วยผู้บริหาร โดยจะมีขอบเขตหน้าที่ของผู้ช่วยรัฐมนตรี กรณี ‘ประสานงาน’ ตามที่นายกฯ หรือ รมต. มอบหมาย และ ‘เป็นผู้แทน’ รมต. ไปรับฟังเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนจากประชาชน รวมถึงเข้าร่วมประชุมและเจรจาความต่าง ๆ แต่ต้อง ‘ไม่ก่อให้เกิดพันธะทางกฎหมายผูกมัด รมต.’, ‘ไม่นับเป็นองค์ประชุม’ และ ‘ไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติ’

สำหรับการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้ ‘นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา’ หรือ ดร.ตั้น ดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยนายกฤชนนท์ มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ทั้งการเป็นนักธุรกิจ, อาจารย์พิเศษระดับมหาวิทยาลัย และเคยทำงานด้านการเมืองในหลายภาคส่วน อาทิ…

>> ปี พ.ศ. 2562 ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตบางแค (เขต 28) กรุงเทพมหานคร
>> 15 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ได้รับการแต่งตั้งจากมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นรองโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม
>> 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ได้รับการแต่งตั้งจากมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
>> ปี พ.ศ. 2564 ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
>> ปี พ.ศ. 2566 ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งที่ 29 กรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคเพื่อไทย 

นอกจากนี้ ยังมี นายพงศกร อรรณนพพร และ นายนิยม เติมศรีสุข ที่ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

>> ในส่วนของมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูงในตำแหน่งต่างๆ ยังประกอบไปด้วยตำแหน่งอื่นๆ อีกดังนี้…

***การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอแต่งตั้ง นายนฤชา ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายชวรัชต์ อุรัสยะนันทน์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายจักรพงษ์ แสงมณี)]

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง จำนวน 5 ราย ดังนี้…

1. นายชัยเกษม นิติสิริ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
2. นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
3. พลตำรวจโท พัฒนวุธ อังคะนาวิน ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
4. พันตำรวจเอก เกียรติพงษ์ ทองเพียร ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
5. นายอรัญ พันธุมจินดา ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้…

1. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก
2. นายพิชัย นริพทะพันธุ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้…

1. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
2. นายมติชน ชูทับทิม ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

***การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่งตั้ง รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ

***การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงแรงงาน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้…

1. ให้ นายสมชาย มรกตศรีวรรณ พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
2. ให้ นางโสภา เกียรตินิรชา พ้นจากตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

***การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้…

1. นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมภพ พัฒนอริยางกูล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายวรากร พรหโมบล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
4. นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
5. นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
6. นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

***การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 5 ราย ดังนี้…

1. นายวัชรพล โตมรศักดิ์
2. นางลีลาวรรณ กาญจนจารี
3. นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ
4. ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร
5. นางสาวศิรินันท์ ศิริพานิช

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง

ระทึก!! ‘อิหร่าน’ ขู่ชิงโจมตีอิสราเอลก่อน ใน ‘อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’ หลังรัฐยิวตั้งท่าบุกฉนวนกาซา โหมกระพือความขัดแย้งลุกลามหนัก

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะชิงโจมตีเล่นงานอิสราเอลก่อน ‘ในอีกไม่ชั่วโมงข้างหน้า’ ส่งสัญญาณแข็งกร้าวถึงอิสราเอล ในขณะที่รัฐยิวเตรียมพร้อม สำหรับเปิดปฏิบัติการจู่โจมทางภาคพื้นบุกเข้าไปยังฉนวนกาซา

เตหะรานส่งเสียงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าการรุกรานทางภาคพื้นฉนวนกาซา ที่ถูกปิดล้อมมาช้านาน จะต้องเจอกับการตอบโต้จากแนวหน้าอื่นๆ โหมกระพือความกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ ฮามาสอาจลุกลามขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ลากประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมวงด้วย

“ความเป็นไปได้ของปฏิบัติการชิงโจมตีก่อนของเครือข่าย ‘Axis of Resistance’ (กลุ่มซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างกลุ่มก๊กมุสลิมชีอะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในอิรัก กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน) คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” ‘ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ อ้างถึงการประชุมระหว่งเขากับ ‘ฮัสซัน นาสรัลเลาะห์’ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.)

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (16 ต.ค.) ‘ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ และ ‘อิบราฮิม ไรซี’ ประธานาธิบดีอิหร่าน ต่างบอกว่าเวลาสำหรับการหาทางออกทางการเมืองใกล้หมดลงแล้ว และเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสจะลุกลามสู่แนวหน้าอื่นๆ

‘อามีร์ อับดอลลาห์เฮียน’ ประกาศกร้าวว่าพวกผู้นำ Axis of Resistance จะไม่ยอมให้อิสราเอลทำอะไรตามอำเภอใจในฉนวนกาซา “ถ้าเราไม่ปกป้องฉนวนกาซาในวันนี้ วันพรุ่งนี้เราคงจำเป็นต้องป้องกันสกัดระเบิดฟอสฟอรัสเหล่านี้ จากการพุ่งใส่โรงพยาบาลเด็กทั้งหลายในประเทศของเราเอง”

อิสราเอล ประกาศสงครามกับกลุ่มนักรบ ‘ฮามาส’ ในดินแดนปาเลสไตน์หนึ่งวัน หลังจากพวกนักรบส่งสมาชิกระลอกแล้วระลอกเล่าจากฉนวนกาซา บุกฝ่าแนวป้องกันอันหนาแน่นเข้าไปโจมตีภายในอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เข่นฆ่าพลเรือนไปกว่า 1,400 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

ทางอิสราเอล ตอบโต้กลับด้วยการทิ้งบอมบ์ถล่มฉนวนกาซาเป็นชุดๆ แบบไม่มีหยุด ทั้งจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ ทำย่านต่างๆ พังราบเป็นหน้ากลอง สังหารชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 2,750 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน

เบื้องต้น อิหร่านออกมาแสดงความยินดีปรีดาต่อปฏิบัติการจู่โจมของฮามาส แต่ยืนกรานว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

คำเตือนของอิหร่านในวันจันทร์ (16 ต.ค.) มีขึ้นในขณะที่อิสราเอลได้เตรียมการสำหรับเปิดฉากรุกรานทางภาคพื้นเข้าไปยังฉนวนกาซา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีพลเรือนปาเลสไตน์ติดอยู่ในฉนวนที่ถูกทิ้งบอมบ์อย่างหนักแห่งนี้เป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ

อนึ่งนับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามปี 1979 อิหร่านหยิบยกการสนับสนุนปาเลสไตน์เป็นหนึ่งในเสาหลักของอุดมการณ์ของพวกเขา

ตำรวจไซเบอร์ เตือนประชาชน CF สินค้าผ่านไลฟ์สดเฟซบุ๊ก ระวังถูกเพจปลอมสวมรอยหลอกให้โอนเงิน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าที่ผ่านมายังคงมีผู้เสียหายหลายรายตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จากการถูกหลอกลวงขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า เนื่องจากผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพใช้เพจร้านค้าปลอมที่สร้างเลียนแบบเพจร้านค้าจริงติดต่อมาหลังจากที่ผู้เสียหายได้ทำการสั่งซื้อสินค้าในระหว่างการไลฟ์สดของเพจร้านค้าต่างๆ โดยผู้เสียหายจะพิมพ์รหัสสินค้าที่ต้องการจะจองสั่งซื้อ (CF, Confirm) หากผู้เสียหายเป็นผู้ได้รับสิทธิในการซื้อสินค้าดังกล่าว จะมีข้อความจากระบบตอบรับอัตโนมัติของเพจจริงแจ้งมายังกล่องข้อความ (Inbox) บัญชีเฟซบุ๊กของผู้เสียหาย เพื่อยืนยันคำสั่งซื้อสินค้า แจ้งรหัสการสั่งซื้อ ราคา และช่องทางการชำระเงิน ซึ่งก่อนหน้านี้มิจฉาชีพได้แฝงตัวอยู่ในเพจจริงดังกล่าว เมื่อเห็นผู้เสียหายสั่งซื้อสินค้าแล้วจะฉวยโอกาสใช้เพจปลอมติดต่อไปยังบัญชีเฟซบุ๊กผู้เสียหาย โดยแอบอ้างเป็นร้านค้าจริง ส่งหมายเลขบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ที่เตรียมไว้ให้ผู้เสียหายทำการโอนเงิน เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ระมัดระวัง เพราะเห็นว่าเป็นชื่อเพจ รูปโปรไฟล์เพจใกล้เคียงหรือเหมือนกับเพจจริง จึงทำให้หลงเชื่อว่าเป็นเพจร้านค้าจริง จึงทำการโอนเงินชำระค่าสินค้าไปให้มิจฉาชีพ กระทั่งภายหลังทราบว่าถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ จากสถิติศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 - วันที่ 14 ต.ค.66 พบว่า การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์กว่า 137,719 เรื่อง หรือคิดเป็น 40.12% จากเรื่องการรับแจ้งความทั้งหมด สูงเป็นลำดับที่ 1 โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท สูงเป็นลำดับที่ 4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด รองลงมาจากการหลอกลวงให้ลงทุน การข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center) และการหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงาน

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. โดยกำชับการขับเคลื่อนนโยบายในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า การหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว มิจฉาชีพมักจะมองหาเพจขายสินค้าที่มีชื่อเสียง หรือมีผู้ติดตามจำนวนมาก แล้วคัดลอกภาพโปรไฟล์ ตั้งชื่อเลียนแบบ หรือตั้งชื่อคล้ายกับเพจจริง เพื่อหลอกลวงประชาชน ที่ผ่านมา บช.สอท. ได้เร่งปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง มีคดีสำคัญๆ หลายคดี สามารถทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้หลายราย ตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงแม้จะมีข้อดีหลายๆ ประการ แต่ก็เป็นช่องทางหนึ่งให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ หลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชนโดยมิชอบ

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ พร้อมแนวทางการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนี้

1.พึงระมัดระวังการซื้อสินค้าผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าที่ไม่มีหน้าร้าน ควรติดต่อซื้อจากบริษัท หรือตัวแทนจำหน่ายโดยตรง
2.ระวังการได้รับแจ้งว่าเป็นผู้โชคดี ได้รับสิทธิพิเศษ หรือได้รับรางวัลต่างๆ แต่มีการให้โอนเงินไปก่อนถึงจะได้รับสินค้า โดยมีการอ้างว่าเป็นค่าภาษี ค่าธรรมเนียม ฯลฯ อย่าได้โอนเงินเด็ดขาด
3.ระวังช่องทางขายสินค้าปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพจเฟซบุ๊กปลอม หรือเพจลอกเลียนแบบเพจจริง โดยเพจจริงควรจะมีผู้ติดตามสูง มีการสร้างขึ้นมานานแล้ว มีรายละเอียดการติดต่อร้านชัดเจนสามารถโทรศัพท์ไปสอบถามได้
4.หากต้องการซื้อสินค้ากับเพจเฟซบุ๊กใด ให้ไปที่ความโปร่งใสของเพจ เพื่อตรวจสอบก่อนว่าเพจนั้นมีการเปลี่ยนชื่อมาก่อนหรือไม่ มีผู้จัดการเพจ หรือผู้ดูแลอยู่ในประเทศหรือไม่
5.เมื่อสนใจต้องการซื้อสินค้ากับเพจใดๆ ควรจะส่งข้อความไปยังเพจจริงนั้นก่อน ระหว่างหรือหลังการไลฟ์สดหากมีเพจใดๆ ติดต่อมาแล้วไม่มีประวัติการสนทนา เชื่อได้ว่าเป็นเพจปลอมของมิจฉาชีพอย่างแน่นอน
6.ทุกครั้งก่อนโอนชำระเงินค่าสินค้า ให้ตรวจสอบประวัติของร้าน และชื่อหมายเลขบัญชีธนาคารที่รับโอนเงิน ว่าเป็นช่องทางการรับเงินจริงหรือไม่ มีประวัติไม่ดีหรือไม่ โดยตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ค้นหาทั่วไป เช่น Google, Blacklistseller เป็นต้น
7.กดรายงานบัญชี หรือเพจในเฟซบุ๊กปลอม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อ

ก.แรงงาน รับแรงงานชุดที่ 5 จากอิสราเอลกลับถึงไทยแล้ว พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯ

วันที่ 16 ตุลาคม 2566 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในอิสราเอลกลับถึงประเทศไทย จำนวน 244 คน โดยมี ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศที่ได้มาตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกให้คำแนะนำการยื่นคำร้องขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ณ บริเวณชั้น 2 ประตู 10 อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยแรงงานไทยทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในอิสราเอลในครั้งนี้และท่านได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ในวันนี้ผมจึงได้มอบหมายให้ นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ไปรับแรงงานไทย จำนวน 244 คน ที่เดินทางกลับมาด้วยสายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ LY 085 โดยแรงงานไทยกลุ่มนี้ถือเป็นแรงงานชุดที่ 5 ที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้กับสถานทูตฯ และเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 21.15 น.ของวันนี้ ทันทีที่มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กระทรวงแรงงานได้จัดเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะให้บริการคำแนะนำเกี่ยวกับการยื่นคำร้องขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อให้แรงงานไทยได้รับเงินสิทธิประโยชน์ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

“แรงงานไทยที่เป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และอยู่ในความคุ้มครอง มั่นใจได้เลยว่าเบื้องต้นมีสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนฯ กรณีประสบปัญหาต้องเดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากภัยสงคราม รายละ 15,000 บาท อย่างแน่นอน หรือกรณีที่มีการรับรองจากแพทย์ว่าทุพพลภาพ จะได้รับการสงเคราะห์  เป็นจำนวน 30,000 บาท หรือกรณีเสียชีวิตในต่างประเทศ จะสงเคราะห์จำนวน 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการศพในต่าง ประเทศเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาทด้วย นอกจากนี้ประเทศอิสราเอลยังมีสวัสดิการตามกฎหมาย (ประกันการทำงาน + นายจ้างจ่าย) กรณีบาดเจ็บ/ พิการตามการรับรองของแพทย์ แบ่งเป็น บาดเจ็บ 10-19% ได้รับเงินก้อนเดียว ประมาณ 1,440,000 บาท บาดเจ็บเกิน 20% ได้รับเงินเดือนทุกเดือน จนกว่าจะเสียชีวิต โดยประเมินจากความสูญเสีย กรณีเสียชีวิต ภรรยาและบุตร ได้รับเงินเดือนทุกเดือน จนกว่าภรรยาจะแต่งงานใหม่ และบุตรอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ (ภรรยาเป็นเงิน 34,560 บาทต่อเดือน /บุตร เป็นเงิน 5,760-11,520 บาทต่อเดือน)” ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว 

ด้าน นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์
การให้ความช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยในประเทศอิสราเอล เพิ่มเติมว่า ล่าสุดได้รับรายงานว่ามี แรงงานไทยที่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน จำนวน 17 ราย เสียชีวิต จำนวน 29 ราย (รอยืนยัน) บาดเจ็บ 16 ราย (ยังไม่สามารถระบุชื่อได้ 1 ราย) มีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทยกับทางสถานทูตฯ จำนวน 7,696 ราย จำแนกเป็น ผู้ที่ขอเดินทางกลับประเทศไทย จำนวน 7,596 ราย และ ไม่ประสงค์กลับ จำนวน 100 ราย ขณะนี้ เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้วกว่า 500 ราย

'ศศิกานต์' ฉายผลลัพธ์อีกด้าน หากไฟเขียวสถานบันเทิงเปิดถึงตี 4 หนีไม่พ้น 'อุบัติเหตุ-พิการ' ตามฤทธิ์ความเมาที่เพิ่มขึ้นตามเวลาปิด

(17 ต.ค. 66) ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตผู้สมัคร สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกรณี ผู้ว่าฯ ขานรับนโยบายนำร่องเปิดผับถึงตี 4 และคาดว่าในกรุงเทพฯ จะเริ่มทดลอง ธ.ค.นี้ ไว้ว่า...

ขอแชร์ข้อมูลเล็ก ๆ จากประสบการณ์ที่น่าสนใจ จาก #คุณหมอใกล้ตัว นะคะ

- ปกติหลังตี 2 ใกล้ ๆ ตี 3 จะมีเคสอุบัติเหตุเข้ามาเยอะ โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด เคสจะเยอะขึ้นผิดตา (เทียบกับช่วงโควิด)

- เคสอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากรถมอเตอร์ไซค์ รถชนคน รถชนรถ รถชนเสาไฟ ชนรั้วกั้นทาง ฯลฯ

- เคสบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากการทะเลาะวิวาท ต่อยกัน เตะกัน ยิงกัน เกิดบาดแผลต่าง ๆ แล้วแต่อาวุธที่ใช้ ทั้งศีรษะ ช่องอก ช่องท้อง   

- เคสบาดเจ็บ - คนไข้ไม่ตาย แต่วุ่นวายทั้งโรงพยาบาล…บางครั้ง หนักหน่อย คู่กรณีก็ตามมาทะเลาะกันต่อที่โรงพยาบาล ลำบากเจ้าหน้าที่ และตำรวจอีก อย่าหาทำกันนะคะ…เพราะนอกจากความเสียหายที่เกิดกับโรงพยาบาลและคนไข้คนอื่นแล้ว (คนกำลังจะตาย แต่หมอพยาบาลต้องมาวุ่นวายกับคนตีกัน) มันเป็นการผิดมารยาทสากล และเป็นคดีอาญา

- ความอันตรายบนท้องถนน จะเกิดขึ้นเมื่อ คนเมาขับรถย้ายร้าน ขับรถกลับบ้าน ...ง่ายๆ คือ #เมาแล้วขับ ในทุกกรณี

#ถ้าผับปิดตี4…

- คนจะเมาเยอะขึ้น และเมานานขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์สะสมในกระแสเลือดนานขึ้น สติสัมปชัญญะลดลง ซึ่งอาจทำให้อุบัติเหตุจะเยอะขึ้น ความรุนแรงของแต่ละเคสมากขึ้น เคสผ่าตัดอาจจะเยอะขึ้น 

- การใส่หมวกกันน็อกควรใส่แบบเต็มใบจะดีกว่าหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ (ที่พี่วินฯ ชอบให้ใส่) เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา หมวกกันน็อกหลุดไปก่อน สมองกระจายไม่ต่างกัน

- สมองคนเราคล้าย ๆ กับเต้าหู้ที่อยู่ในกล่องไม้ - นุ่มนิ่ม ๆ ประมาณนั้น และถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเยื่อหุ้มสมอง กะโหลก และหนังศีรษะ ...แค่นั้นเอง

- ถ้ากะโหลกแตก หรือเกิดความคมขึ้นจากรอยร้าว อาจทำให้เยื่อหุ้มสมองฉีกขาด เนื้อสมองหรือเจ้าก้อนเต้าหู้ของเราก็อาจเสียหายได้

- เนื้อสมองที่ฉีกขาดหรือกระจายออกมาแล้ว แปลว่าเสียหายถาวร ไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้

- แต่บางกรณี การบาดเจ็บที่กะโหลกไม่ร้าวหรือแตกหัก หรือเยื่อหุ้มสมองไม่ฉีกขาด สมองไม่ได้กระจายออกมา แต่ถูกเขย่า ๆ จากแรงกระแทก ทำให้เกิดการบาดเจ็บอยู่ในสมอง (เซลล์สมอง เส้นประสาทสมอง หลอดเลือดสมอง) กรณีนี้ สมองก็บาดเจ็บ หรือขาดเลือดเหมือนกัน

- 'ความตาย' ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดค่ะ ความพิการ บาดเจ็บทุพพลภาพ และนอนติดเตียง ต่างหากที่น่ากลัวค่ะ ...เพราะมันจะกระทบกับทุกคนในบ้านตลอดไปในทันที...

**ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้จะมาต่อต้านนโยบาย เปิดผับถึงตี 4 นะคะ แค่อยากจะให้เห็นอีกมุมของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ ...เท่านั้นเองค่ะ

สื่อนอก เผย ‘บอดี้การ์ดเทย์เลอร์ สวิฟต์’ ทิ้งเงินเดือน 18 ลบ./ปี เดินทางกลับบ้านเกิด เข้าร่วมกองทัพอิสราเอลสู้รบกลุ่มฮามาส

(17 ต.ค. 66) สื่ออิสราเอลรายงานว่า โซเชียลเตรียมเมลท์ดาวน์ได้เลย..เพราะหนึ่งในบอดี้การ์ดของนักร้องชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ในทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ที่โด่งดังและราคาบัตรเข้าชมสุดแพงเดินทางจากสหรัฐฯ กลับเข้าบ้านเกิดอิสราเอลร่วมกับกองกำลังทหาร IDF สู้กับฮามาส และทิ้งเงินเดือน 18 ล้านบาท/ปีไว้ข้างหลัง

สกายนิวส์ของอังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) ว่า นักร้องอเมริกันขวัญใจคนทั้งโลก เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ต้องสูญเสียบอดี้การ์ดคนสำคัญไปหนึ่งคนอย่างช่วยไม่ได้

บิสซิเนสอินไซเดอร์เคยรายงานเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ราคาเฉลี่ยของบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต Eras Tour ที่ถูกนำกลับมาขายต่ออยู่ที่ราว 3,801 ดอลลาร์ หรือราว 137,913 บาท

สื่ออิสราเอลรายงานว่า หนึ่งในบอดี้การ์ดของนักร้องชื่อดังในทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ที่มากรอบและบัตรค่าเข้าชมสุดแพงและหายากยอมตัดใจสละเงินเดือนสูงถึง 500,000 ดอลลาร์/ปี หรือ 18,127,000 บาท/ปี (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันที่ 16 ต.ค.66 สำหรับ 1 ดอลลาร์ต่อ 36.25 บาท) เดินทางออกจากสหรัฐฯ กลับไปอิสราเอลบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังทหาร IDF สู้รบกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส

บอดี้การ์ดที่ไม่เปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์กับสื่ออิสราเอล Hayom ว่า “ผมมีชีวิตที่ดีมากในสหรัฐฯ งานในฝัน เพื่อนที่ดีมาก และบ้านที่มีความสะดวกสบาย”

และเสริมต่อว่า “ผมไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ แต่ผมไม่สามารถอยู่เฉยในขณะที่ครอบครัวกำลังโดนสังหารหรือถูกเผาทั้งเป็นในบ้านของคนเหล่านั้น”

บอดี้การ์ดเทย์เลอร์ สวิฟต์ กล่าวอีกว่า “อย่าอยู่เฉยแต่ไม่ทำอะไร อย่างยืนผิดข้างของประวัติศาสตร์”

ทั้งนี้พระแรบไบยิว ชมูเอล ไรช์มาน (Shmuel Reichman) ได้โพสต์ภาพของบอดี้การ์ดและได้เปิดเผยว่า พ่อหนุ่มรายนี้ยอมตัดใจทิ้งเงินค่าตอบแทนก้อนโตถึง 500,000 ดอลลาร์/ปีทิ้งไป ยังไม่รวมถึงการได้พบกับนักร้องสาวชื่อดังอย่างใกล้ชิดแบบตัวเป็น ๆ

ไรช์มานกล่าวว่า บอดี้การ์ดปัจจุบันได้อยู่ในหน่วยของกองกำลัง IDF และกำลังฝึกฝนเพื่อจัดการกับปิศาจฮามาสที่ชั่วร้าย

‘ดาเนียล โนโบอา’ นักธุรกิจวัย 35 ชนะเลือกตั้ง ปธน.เอกวาดอร์ ท่ามกลางความหวัง ปชช. ช่วยขจัดความรุนแรง-อาชญากรรม

เมื่อวานนี้ (16 ต.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเอกวาดอร์ รอบ 2 เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 66 ตามเวลาท้องถิ่น โดยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ที่นับแล้วร้อยละ 90 ชี้ให้เห็นว่า นายดาเนียล โนโบอา นักธุรกิจชื่อดังวัย 35 ปี ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งเป็นการคว้าชัยชนะเหนือ น.ส.ลุยซา กอนซาเลซ คู่แข่งจากพรรคขบวนการปฏิวัติพลเมือง พรรคประชานิยมฝ่ายซ้ายและตัวแทนของอดีตประธานาธิบดีราฟาเอล กอร์เรอา ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อเดือน ส.ค. 66 ที่
ผ่านมา

และส่งผลให้นายโนโบอา ขึ้นแท่นเตรียมเป็นผู้นำประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเอกวาดอร์ โดยประชาชนตั้งความหวังว่าผู้นำคนใหม่จะแก้วิกฤตอาชญากรรมและความรุนแรงในประเทศที่อัตราการฆาตกรรมเพิ่มขึ้นไปกว่า 4 เท่าในช่วง 61-65


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top