Tuesday, 17 June 2025
NewsFeed

‘นิ้ง กุลสตรี’ เผยค่ายาที่ใช้รักษาอาการป่วย เพียง 1 ถุง ราคาเกือบล้าน พร้อมเอ่ยขอบคุณประเทศ หลังสามีใช้สิทธิ์เบิกได้ ทำให้จ่ายไม่เท่าไหร่

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) เป็นอีกหนึ่งอดีตนางเอกสาวขวัญใจชาวไทยยุค 90 ที่แฟน ๆ ยังคงคิดถึงอยู่เสมอ ‘นิ้ง-ณิชชยาณัฐ ศิริพงศ์ปรีดา’ หรือ ‘นิ้ง กุลสตรี’ วัย 50 ปี ที่ก่อนหน้านี้ ได้หันหลังให้วงการบันเทิงไป ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินดัง จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อน เธอได้ล้มป่วยด้วยโรคไขกระดูกบกพร่อง ร่างกายไม่สามารถสร้างเกล็ดเลือดด้วยตัวเองได้ ทำให้เธอต้องเข้า-ออกโรงพยาบาล เพื่อเข้ารับการรักษาอาการป่วยและภาวะแทรกซ้อนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางแฟน ๆ ที่คอยติดตามอาการและส่งกำลังใจให้อย่างมากมาย

ล่าสุด ‘นิ้ง ณิชชยาณัฐ’ ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @nink_nichayanaht เผยภาพยาที่ตนเองใช้ทานรักษาอาการป่วย เพียง 1 ถุง ราคาเกือบล้าน พร้อมกับเล่าว่า…

"ยาถุงนี้ทานสำหรับ 3 เดือน ราคาเกือบ 1 ล้านบาท (ยาพุ่งเป้า (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) target therapy / ยาโรคซึมเศร้า / ยาแก้ปวด) โชคดีที่พี่ใหญ่เป็นทหารอากาศมาก่อนเลยได้สิทธิ์เบิกตรง เสียส่วนต่างค่ายาไม่เท่าไหร่ ไม่รวมค่าห้องพักรักษา ขอบคุณประเทศ สรุป....ชีวิตนี้อยู่ได้เพราะยาเท่านั้น 'ไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ' มาบริจาคเงินให้ธนาคารเลือดที่ศิริราชมูลนิธิ"

ซึ่งโพสต์นี้ก็มีแฟน ๆ เข้ามาร่วมให้กำลังใจอย่างล้นหลาม อาทิ ยาต่อให้แพงและดีแค่ไหน...ถ้าไม่กำลังใจที่เข้มแข็ง...ยาก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ...สู้ ๆๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ โรคทั้งหลายแพ้กำลังใจค่ะ, เป็นกำลังใจให้นะคะ นางเอกคนสวยของคนไทย, เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้พลังแห่งความรักทำให้คุณนิ้ง แข็งแรงอยู่กับครอบครัวที่รักไปนาน ๆ นะคะ, คุณไม่ได้อยู่ได้เพราะยา คุณอยู่ได้เพราะความรักจากคนรักและคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกล ๆ แต่เขาก็รักคุณ, อนุโมทนาสาธุค่ะ แม้ร่างกายจะป่วย แต่โชคดีที่จิตใจดีมีเมตตาเต็มเปี่ยม ส่งต่อสิ่งดี ๆ ด้วยการเป็นผู้ให้ต่อไปค่ะ

ผู้ปกครองหวั่นวิตก อัดวิชาการหนัก ส่งผลเสียรุนแรงจริงหรือ?

สถาบัน แคร์โรลล์ เพรพ โดยนางพนิดา  แคร์โรลล์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน ฯ ได้ออกมาแสดงความวิตก ถึงสถานการณ์ของระบบการศึกษาไทย โดยระบุถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ทำให้ทุกฝ่ายต้องกลับมาย้อนดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเด็ก ที่สุดท้ายนำพาให้เขานำตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าเราจะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างไรในฐานะผู้ใหญ่ พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก ผู้ที่เป็นสภาพแวดล้อมสำคัญของเด็ก มนุษย์มีความต้องการจำเป็นอยู่ 3 อย่าง 1. ความเป็นอิสระ การได้ตัดสินใจด้วยตนเอง  2. ความรู้สึกว่าตนเองทำได้  3.ความรู้สึกเป็นที่รักเป็นที่ยอมรับ  

เมื่อไหร่ที่ความต้องการ 3 อย่างนี้ได้รับการดูแลตอบสนอง มนุษย์จะมีแรงกระตุ้นให้ทำสิ่งต่างๆ  มีความสุขและทนทานต่อปัญหาทางจิตเวช (Deci, E.L. & Ryan, R.M.2000)
 
แต่ผู้ปกครองจำนวนน้อยนักที่จะตระหนักรู้ถึงความจริงข้อนี้ 

ทั้งนี้ คุณพนิดา แคร์โรลล์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนแคร์โรลล์ เพรพ กล่าวย้ำอีกว่า 

พิมพ์เขียวของชีวิตเด็กเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่วัยอนุบาล โดยพัฒนาตั้งแต่แรกเกิดผ่านการเลี้ยงดู การตอบสนองของพ่อแม่ พ่อแม่จึงเหมือนสถาปนิกสร้างมนุษย์ ถ้าพ่อแม่มีความรู้ความเข้าใจและใส่ใจที่จะออกแบบก่อสร้างตามหลักของความปลอดภัย เด็กๆ เหล่านี้ก็จะตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคง แต่บ่อยครั้งความเข้าใจยังน้อย บางครั้งเข้าใจแล้ว แต่การสร้างตามหลักมาตรฐานมันยาก มันไม่ใช่แบบที่คุ้นเคยเลยไม่อยากทำ และบางครั้งความรู้สึกไม่มั่นคงในตนเองของพ่อแม่ สุขภาพจิต ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการไม่ดูแลตนเองของพ่อแม่ก็เข้ามาขัดขวาง บางครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ไม่มีอำนาจในการควบคุม จะเห็นว่ามีอุปสรรคเกิดขึ้นได้นับไม่ถ้วน ดังนั้นไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้น สังคมเองก็ต้องทำความเข้าใจและร่วมสนับสนุนเกี่ยวกับการดูแลเลี้ยงดูเด็กในประเทศด้วย

หลายคนสงสัยว่ามันส่งผลรุนแรงได้ขนาดนั้นจริงหรือ? คงระบุไม่ได้ชัดเจน แต่ถ้ามองในมุมทฤษฎีความต้องการจำเป็นของมนุษย์ที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อพ่อแม่บังคับให้เด็กต้องทำสิ่งที่ไม่สมวัย ความจำเป็นข้อแรก คือ ความเป็นอิสระ การได้เลือกตัดสินใจด้วยตนเอง มักไม่ได้รับการตอบสนองแล้ว 1 อย่าง และเมื่อเด็กไม่ได้เลือกเอง ไม่ได้อิสระ สิ่งที่โดนบังคับทำก็ไม่ได้มาจากแรงผลักดันภายใน หมายความว่าพ่อแม่ก็จะต้องบังคับให้เรียนไปตลอด การที่เราไม่ได้ทำสิ่งที่ตนเองสนใจ ส่วนใหญ่มักทำออกมาได้ไม่ดีหรอกค่ะ ซึ่งก็เลยตามมาด้วยข้อ 2 ความรู้สึกว่าตนเองทำได้ มีความสามารถ ก็ไม่เกิดขึ้นอีก และข้อ 3 ก็จะตามมาติดๆ เวลาที่เด็กต้องทะเลาะกับพ่อแม่เรื่องการบ้าน เรื่องเรียน เกิดความขัดแย้ง เด็กรู้สึกเหมือนว่าถ้าตัวเองไม่เก่ง ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่เป็นที่รัก ดังนั้นเรื่องนี้เรื่องเดียวสามารถที่จะขัดขวางความต้องการจำเป็นของมนุษย์ได้ครบทั้ง 3 อย่างเลยค่ะ

นอกจากนั้นเวลาที่พ่อแม่สุดโต่งพัฒนาในด้านใดด้านหนึ่ง สิ่งนั้นมักจะกินเวลาของการพัฒนาทักษะอื่น เช่น ถ้ามัวแต่เรียนอย่างเดียว ก็ไม่ได้พัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญมากในการอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีความสุข ชีวิตคนเราไม่ใช่ว่าต้องราบรื่นและมีความสุขตลอดเวลา แต่เวลาที่เราทุกข์ เรามีคนรับฟังไหม มีเพื่อนที่จะเป็นกำลังใจให้เราไหม ตรงนี้จะพาให้เราผ่านเวลายากลำบากไปได้

แต่ถ้าความสัมพันธ์ของเด็กกับพ่อแม่ไม่ดี อาจจะเพราะความหวังดีต่อลูกทำให้พ่อแม่ต้องบังคับเคี่ยวเข็ญหลายอย่าง หรือบางครั้งก็รักมากจนปกป้องมากเกินไปจนเด็กไม่ได้มีโอกาสทำอะไรเพื่อตนเอง (ทำให้ข้อ 2 ความรู้สึกว่าตนเองทำได้ไม่เกิดขึ้น) เด็กก็จะไม่รู้ว่าจะสร้างสัมพันธ์ดีๆ กับคนอื่นอย่างไร เขาไม่มีแบบ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ไม่เหมาะสม ใช้ความรุนแรง เด็กก็อาจนำไปใช้กับเพื่อน ความสัมพันธ์ก็เกิดขึ้นไม่ได้
 
"โรงเรียนก็มีบทบาทสำคัญเหมือนกัน"
 
เด็กมีอิสระมากแค่ไหนในโรงเรียน? มีเด็กมากแค่ไหนที่รู้สึกว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญ? เด็กได้รับการยอมรับไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามไหม? หรือเราสนใจแต่เด็กเก่งๆ และแทบไม่มีพื้นที่ให้เด็กแบบอื่นเลย
 
บางครั้งโรงเรียนก็รับอิทธิพลมาจากผู้ปกครองมากจนลืมความต้องการของเด็ก ส่วนตัวมองว่ามันมาจากการที่เราทำอาชีพ ทำธุรกิจ ด้วยแรงจูงใจ(Motivation)ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาของแรงงานเกือบทั้งประเทศ เราถูกเลี้ยงมาแบบให้คุณค่าเรื่องเงินเป็นหลัก ปัญหาคือ เมื่อแรงจูงใจ (Motivation) มันมาแบบผิดๆ ความพยายามมันก็ไปลงผิดจุด ผลประโยชน์จึงไม่ได้ไปที่เด็ก แต่อาจจะไปที่ความพึงพอใจ ความสบายใจของผู้ปกครอง ของความต้องการของตลาด แคร์โรลล์ เพรพ เป็นโรงเรียนที่สร้างมาเพื่อลูกของเรา และสิ่งที่เราใส่ใจที่สุดคือการพัฒนาด้านตัวตน อารมณ์ และสังคมของเด็ก ให้อิสระเขาให้มากที่สุดแต่ยังสนับสนุนวินัยตามวัย และเราก็พบว่า เด็กมีแรงจูงใจด้วยตัวเองได้จริงๆ เด็กสามารถบอกเราได้ว่า อยากเรียนภาษาจีนเพิ่ม เหตุผลเพราะอะไร แล้วที่เราต้องทำคือการตอบสนองความต้องการ การตัดสินใจนั้นของเด็ก ถึงแม้บางครั้งจะล้มเหลว ก็ต้องให้เด็กได้เผชิญกับมัน

แน่นอนว่าไม่ง่ายเลยที่จะสนับสนุนเด็กขนาดนี้ บุคลากรในประเทศส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจ และแน่นอนผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็เช่นกัน เราจึงต้องฝึกบุคลากรใหม่หมด และให้ความรู้ผู้ปกครองไปพร้อมๆกัน

"พ่อแม่ควรต้องทำอย่างไรต่อไป?" 

ทำความเข้าใจตัวเอง ตระหนักรู้ในตนเองก่อนค่ะ ใช้เวลา 15 นาทีเช้าเย็นทุกวัน คิด ว่าวันนี้เราทำอะไรไปบ้าง เรารู้สึกอะไรบ้าง เรากำลังกังวลอะไร ทำไมเราถึงเลือกทำสิ่งเหล่านั้น การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ การนอนไม่พอก็ทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้เต็มศักยภาพ การไม่มีเวลาพัก สมองก็ไม่ได้จัดข้อมูล เหมือนกับการขึ้นเครื่องบินจริงๆ ที่เมื่อไหร่ที่มีปัญหาคุณต้องใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน แล้วจึงจะช่วยเด็กข้างๆได้
 
มองสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ระบุว่าสิ่งที่ลูกกำลังทำคือปัญหาของใคร ของเราหรือของลูก ถ้าเป็นของลูก ให้อิสระลูกจัดการเอง พ่อแม่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา พยายามให้อิสระ ให้ตัวเลือกให้มากที่สุด สำหรับเด็กเล็กอิสระคงกว้างมากไม่ได้ สามารถเป็นในรูปแบบของการให้ตัวเลือก 2 แบบ เช่น จะนอนเลยทันที หรือจะฟังนิทานก่อนนอน ส่วนเรื่องการแต่งตัว การกิน จะกินเท่าไหร่ กินน้อยกินมาก ให้เด็กเลือกเองทั้งหมด นี่คือตัวอย่างของอิสระ
 
ให้โอกาสเด็กทำเอง ช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด งานไหนยากไป ช่วยแบ่งเป็นขั้นให้เด็กทำเองได้ รองเท้าต้องใส่ง่าย ใส่เองได้ เสื้อผ้า กางเกงถอดง่าย เพื่อจะได้ถอดเข้าห้องน้ำเองได้ การเรียนก็ต้องเรียนตามวัยให้เหมาะสม ไม่ยากเกินจนเด็กมองไม่เห็นทางสำเร็จ ถ้าจำเป็นต้องเรียนยาก ต้องมีกิจกรรมอื่นที่เด็กชอบและทำได้ดีทำประกบไปด้วยกัน เด็กต้องรู้สึกภูมิใจในตนเอง มีคุณค่า
 
ความรู้สึกเป็นที่รักและได้รับการยอมรับเป็นพื้นฐานที่น้อยที่สุดที่พ่อแม่ควรจะให้ได้ ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข อาจแสดงออกด้วยการไม่ทำอะไรเลย เวลาที่ลูกเล่นของเล่นผิดประเภท เขียนผิดแต่ภูมิใจ การปล่อยให้เขาได้ทำโดยไม่เข้าไปสอนก็เป็นการแสดงการยอมรับอย่างหนึ่ง การรับฟังอย่างตั้งใจเวลาลูกมาเล่าสิ่งต่างๆโดยไม่ตอบสนองด้วยความตื่นตระหนก ไม่สั่งสอน ก็ช่วยให้เด็กรู้สึกสบายใจและอยากมาเล่าให้ฟังอยู่เรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่เด็กยังเล่าให้เราฟัง เราก็ยังมีโอกาสให้คำปรึกษา
 
สุดท้ายอย่าลืมเรื่องการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม ทักษะนี้สำคัญมากและพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงวัยอนุบาล เมื่อเด็กรู้จักอารมณ์ เด็กจึงจะกำกับควบคุมมันได้ และนำมาซึ่งการตัดสินใจที่รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น นำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีตลอดชีวิต จะเห็นว่าเราไม่เจาะจง Hard Skills ใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ เพราะเมื่อเด็กได้รับการตอบสนองความต้องการจำเป็นแล้ว เด็กมีทักษะทางอารมณ์และสังคมที่ดีแล้ว เด็กจะสามารถเรียนรู้อะไรก็ได้ที่ต้องการ ดังนั้นการนำ Hard Skills มาก่อนความต้องการจำเป็นของมนุษย์จึงเหมือนการดันก้นม้าให้ม้าเดินไปข้างหน้า ทั้งที่จริงๆถ้าม้าเห็นหญ้าสวยๆ น่ากินมันก็เดินไปกินเองอยู่แล้ว

สำหรับผู้สนใจข้อมูลของแคร์โรลล์ เพรพ สามารถดูข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.carrollprep.ac.th หรือช่องทางเฟสบุ้ค Carroll Preparatory School

‘วินทร์’ ชี้ ‘สังคมปัจจุบัน’ กำลังหล่อหลอม ‘เด็ก’ ให้กลายเป็นปีศาจ ‘ความรู้-จริยธรรม’ จึงเป็นธุระของคนทั้งชาติ ที่ต้องคอยช่วยกันปลูกฝัง

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กระบุว่า…

ข่าวเด็กวัย 14 ก่อเรื่องร้ายสร้างความสะเทือนใจแก่ทุกคน แม้ว่าเรายังไม่ได้รับรายงานสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นปัญหาทางจิต เช่น โรคจิตเภท หรือปัญหาครอบครัว หรืออะไร เราก็น่าจะฉวยโอกาสนี้สำรวจสถานการณ์เด็กบ้านเราในภาพรวม

หลายปีนี้ผมเจอเรื่องเด็กหลงทางหลายคนที่เป็นลูกหลานของเพื่อน ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวบ้าง ปัญหายาเสพติดบ้าง สร้างความทุกข์มหันต์ให้พ่อแม่ ในฐานะคนที่เคยเลี้ยงลูกวัยนี้ รู้ว่าพฤติกรรมหลงทางของเด็กเป็นฝันร้ายของพ่อแม่ทุกคน

พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้ลูกเป็นนักเรียนชั้นเลิศ ได้เกรด 4 ทุกวิชา แค่ต้องการให้เรียนวิชาพอมีความรู้ประกอบอาชีพ ไม่สร้างปัญหาแก่ใคร ได้เท่านี้ก็ดีใจแล้ว

แต่การเลี้ยงลูกในยุคนี้ยากขึ้นทุกที ทั้งอิทธิพลจากเพื่อนๆ จากสื่อ โลกโซเชียล จากเกม จากหนัง ไปจนถึงการเมือง

เด็กก็คือเด็ก ฉลาดแค่ไหนก็มีวุฒิภาวะแค่ระดับหนึ่ง แต่มักคิดว่าตนเองรู้จักโลกมากพอแล้ว จึงไม่ฟังใคร

วุฒิภาวะต้องใช้เวลาและประสบการณ์ชีวิตด้วย

เมื่อเกิดปัญหา เรามักชี้นิ้วไปที่ปัจเจกไม่กี่คน หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก แต่ความจริงปัญหาของเด็กแต่ละคนที่ทำผิด ก็คือปัญหาของคนทั้งชาติที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน จะชี้นิ้วไปที่คนไม่กี่คนในวงแคบๆ ไม่ได้

ดังที่เคยบอกว่า สิ่งมีค่าที่สุดของชาติคือทรัพยากรคน และการสร้างทรัพยากรคนเริ่มที่เด็ก ต้องปลูกฝังความรู้และจริยธรรมควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง จึงจะได้เด็กที่มีคุณภาพและวุฒิภาวะที่สูงพอ เป็นปัญญา ไม่ใช่ปัญหาของสังคม

จะสร้างความรู้และจริยธรรมได้ เป็นธุระของทุกคนและทุกระบบในประเทศ

แต่ภาพในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม หลายปีนี้เราได้ยินข่าวเด็กถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสมอ บางคนบางฝ่ายสามารถล้างสมองเด็กเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขาได้อย่างเลือดเย็น 

ปัญหาของเด็กคนหนึ่งจึงมักเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ประกอบด้วยปัญหาอื่นๆ ของคนอื่นๆ คนจำนวนมากไม่ได้อยู่บนยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งนั้น อาจไม่ใช่ปัญหาโดยตรง แต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะทุกอย่างในสังคมดำเนินไปแบบ cause - effect 

cause #1 สร้าง effect #1, effect #1 สร้าง cause #2, cause #2 สร้าง effect #3... ต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ใครคนหนึ่งคอมเมนต์ด่าคนอื่น มันจะกลายเป็น cause ที่สร้าง effect ใหม่ จากคนต่อคน จนถึงจุดหนึ่ง effect ก็ไปถึงเด็กที่ยังมีปัญญาและวุฒิภาวะไม่สูงพอ เด็กคนนั้นก็อาจหลงเชื่อว่าตนเองเป็นทางแก้ปัญหา ทั้งที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และก่อปัญหาสังคมได้โดยที่เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าตนเองกำลังช่วยสังคม

ดังนั้นปัญหาสังคมจากเด็กก็คือปัญหาของคนทั้งชาติที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งผู้ใหญ่ที่เจตนาปั่นหัวเด็ก ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่ไม่แย้งผู้ใหญ่คนนั้น

ท่านพุทธทาสภิกขุเทศน์หัวข้อเรื่อง “ยิ่งจะทำให้ดี, โลกมันยิ่งบ้า” ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2513 ว่า

"เสรีภาพในการเขียน ไม่มีใครว่าใครได้ แล้วก็เขียนเรื่องลามก อนาจาร ลงไปในหนังสือประจําวัน, แพร่หลายทั่วไปหมด ; ย้อมนิสัยเด็กๆ ให้เสียไปโดยไม่รู้สึกตัว, โดยไม่ต้องรู้สึกตัว, เขียนเรื่องอ่านเล่นโดยนามปากกา ที่มีชื่อเสียง นิยมนับถือกันทั้งประเทศ แต่แล้วก็เขียนเรื่องที่ทําให้เด็กมีจิตใจเลวทราม, เสื่อมเสียทางศีลธรรมโดยไม่รู้สึกตัว คุณไปเอาหนังสือพิมพ์มาพิจารณาดูเอาก็แล้วกัน ก็จะมองเห็น...

"ยังมีอะไรอีกมากที่ทําให้เด็กๆ กลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ คนโตๆ ไม่เป็นไร ไม่กี่ปีก็ตาย แต่ว่าการที่ทําให้เด็กๆ มากลายเป็นอย่างนั้นนั้น มันน่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะว่าเขายังจะอยู่ไปอีกนาน..."

นั่นคือภาพเมืองไทยในปี 2513 เมื่อ 53 ปีก่อน วันนี้ปัญหาเด็กที่เกิดจากปีศาจผู้ใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นความล้มเหลวที่จะสร้างคนที่มีคุณภาพ ก็คือความล้มเหลวของทั้งสังคม

ทุกคำที่เราพูด ทุกประโยคที่เราด่า ทุกแง่ลบที่เราแสดง เป็นส่วนหนึ่งของ cause - effect ของสังคมรวม

วินทร์ เลียววาริณ
6 ตุลาคม 2566

กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพระราโชวาท ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2565

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ศุกลภัทร์ มะรินทร์' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ... เมื่อวันนี้ของวันศุกร์ที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปยังหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๕ เป็นวันที่ ๒

โดยวันนี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรี เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย รวม ๓,๖๔๔ คน ประกอบด้วย คณะวิทยาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สำหรับปี ๒๕๖๖ นี้ พระราชทานพระราโชวาท ความตอนหนึ่งว่า 

คำว่าอิสระทางความคิด ต้องมีอิสระทางความคิด เป็นที่นิยมใช้กันหลายวงการ จนเข้าใจกันไปว่า ไม่ต้องฟังความคิดผู้อื่น ถือความคิดของตนเป็นใหญ่ จริงอยู่ คำว่าอิสระ แปลว่า เป็นใหญ่ เป็นไทแก่ตัว ไม่ขึ้นแก่ใครๆ แต่ความเป็นใหญ่ทางความคิด ไม่สามารถเกิดขึ้นลอยๆ ได้ ความคิดอ่าน ต้องมีพื้นฐานของความรู้ความคิดรอบด้าน จะเป็นใหญ่ทางความคิดได้ ต้องอาศัยการสะสมความรู้ กลั่นกรอง ไตร่ตรองให้ถูกต้องแจ่มชัด จึงจะสามารถเป็นใหญ่ทางความคิด นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ แก่ตนเอง และส่วนรวมได้ เช่นนี้ จึงนับว่า เป็นใหญ่เหนือความคิด บังคับบัญชาความคิดได้ การดื้อดึงถือความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ที่ไม่มีรากฐาน ไม่ฟังความคิดผู้อื่น ไม่หาความรู้เพื่อตรวจสอบว่า คิดถูกต้อง สมควรเป็นประโยชน์หรือไม่ เรียกได้ว่า เป็นทาสของความคิด ถูกความคิดอันไม่ได้ไตร่ตรอง ให้ถูกต้องครอบงำ เมื่อนำไปใช้ จึงเกิดความเสียหายเดือดร้อน อาจจะรุนแรงถึงเป็นภัยฆ่าฟันกัน บัณฑิตทั้งหลาย เป็นผู้เล่าเรียนมาก จึงเป็นความหวังของบ้านเมืองว่า จะได้รู้จักใช้ความคิด รู้จักไตร่ตรอง ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักเสาะแสวงหาความรู้ มาพิจารณา ให้ทราบตระหนักว่า ความคิดอ่านของตนถูกต้อง เป็นประโยชน์รอบด้าน เป็นคุณต่อบ้านเมือง

‘พ่อเด็ก 14’ โผล่ขอขมาศพผู้เสียชีวิตชาวเมียนมา ยืนยัน พร้อมให้การช่วยเหลือและเยียวยาเต็มที่

(7 ต.ค.66) หลังจากนำร่าง นางสาว Moe Myint หรือ ตะวัน ชาวเมียนมา ผู้เสียชีวิตจากเหตุยิงที่ห้างสยามพารากอน ยังคงตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 2 วัดผาสุกมณีจักร อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  โดยเมื่อค่ำวันที่ 6 ต.ค. 66 แม่ของนางสาว Moe Myin ได้เดินทางจากเมียนมา มาถึงประเทศไทย เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพ

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า บิดาของเด็กชายวัย 14 ปี ผู้ก่อเหตุ ได้เดินทางมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพ โดยนั่งอยู่ด้านนอกศาลาร่วมฟังสวดคนเดียว ก่อนจะเข้าไปพูดคุยกับนายจ้างของ น.ส.ตะวัน พร้อมกับขอโทษนายจ้าง ญาติผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ เผยเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ 

ส่วนเรื่องคดีก็ให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย โดยขอไม่พูดถึงรายละเอียดอื่นๆ ขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น เพราะพูดไปก็เหมือนเป็นการแก้ตัว ส่วนสาเหตุที่มาร่วมงานศพช้า เพราะต้องจัดการเรื่องคดี

ทั้งนี้ หลังจากพระสงฆ์สวดอภิธรรมเสร็จ บิดาของผู้ก่อเหตุก็ได้เข้าไปกราบขอขมาศพ จากนั้นจึงไปลานายจ้างของผู้เสียชีวิต แล้วเดินทางกลับทันที

สำหรับร่างของนางสาว Moe Myint จะตั้งบำเพ็ญกุศลสวดอภิธรรมถึงวันที่ 7 ตุลาคมนี้ และจะมีพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 8 ตุลาคม 2566 เวลา 13.00 น.

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ คนใหม่ฟิต บินขึ้นเหนือ ตรวจเยี่ยมร้านปันรักษ์ เจียงฮาย สนับสนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์ จากครอบครัวตำรวจ มุ่งพัฒนาต่อยอดสร้างรายได้ในครัวเรือน

วันที่ 6 ตุลาคม 2566 พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เดินทางไปตรวจเยี่ยม ร้าน “ปันรักษ์ เจียงฮาย” เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และสนับสนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์ จากแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย 

โดยได้รับฟังปัญหา และให้คำแนะนำเพื่อการพัฒนาต่อไป โดยมี คุณเสาวณีย์ สุขวัฒนพันธ์  ผู้แทนประธานแม่บ้านตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และคณะแม่บ้านให้การต้อนรับ ซึ่งนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจคนใหม่ มุ่งพัฒนาต่อยอดสร้างรายได้ในครัวเรือน 

สำหรับแบรนด์ปันรักษ์ สร้างรากฐานยั่งยืน สร้างอาชีพเสริมให้ครอบครัวตำรวจ โดยร้านปันรักษ์ คาเฟ่ มีเครื่องดื่ม กาแฟ ผลิตภัณฑ์กาแฟ และผลิตภัณฑ์สินค้า ของฝากฝีมือครอบครัวตำรวจทั่วประเทศ เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า สร้างผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ครอบครัวตำรวจมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นไปตามจุดประสงค์หลักที่เราต้องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพ เริ่มจากการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตำรวจ และครอบครัวตำรวจต่อไป

ตร.ทท.พัทยา ปชส.การท่องเที่ยวและความปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่น นทท.จีน ที่เข้ามาท่องเที่ยวพัทยา

พ.ต.ท.พิชญะ เขียวเปลื้อง สารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ล่ามแปลภาษาจีน และตำรวจจาก กองกำกับการควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (กก.คธม.) ออกประชาสัมพันธ์ข้อมูล ด้านการท่องเที่ยวและด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวสัญชาติจีน ที่เข้ามาท่องเที่ยวพัทยา  ณ บริเวณท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

ตำรวจท่องเที่ยว พร้อมบริการประชาชน  สามารถแจ้งเหตุผ่าน สายด่วน 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง และแอพพลิเคชัน ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว Tourist police I lert u

Tourist police with public service. You can report the incident via 1155 toll-free 24 hours a day and the Tourist Support Application for Tourist Tourist Police Alert.

‘อนุทิน’ นำทีมเบิร์ธเดย์ ‘เนวิน’ ครบ 65 ปี บอกอวยพรตามประเพณีด้วยจิตใจที่รักเคารพ

(7 ต.ค.66) ที่ จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย (มท.) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดเผยถึงการอวยพรวันเกิดนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีอายุครบ 65 ปี เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 6 ต.ค. ภายหลังการสัมมนาสส.ของพรรค นายอนุทิน และแกนนำพรรค พร้อมด้วยสส.ของพรรค ได้อวยพรวันเกิดนายเนวิน ว่า เราอวยพรตามประเพณีด้วยจิตใจที่เรารักเคารพ

เมื่อถามว่า นายเนวินฝากอะไรบ้างหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราทำงานกันเป็นทีมอยู่แล้ว ซึ่งการเป็นพรรคการเมือง เราต้องทำงานให้ประชาชน

เมื่อถามว่า นายเนวินได้พูดถึงเป้าหมายจำนวน สส.ของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความขยันของผู้สมัครแต่ละคนด้วย แต่ว่าผู้ปฏิบัติที่บริหารราชการแผ่นดิน ก็ต้องทำงานเต็มที่

‘ลิซ่า’ นั่งอันดับ 1 ‘ตัวแม่ด้านความงาม’ ประจำปี 2023 จากการจัดอันดับของ Influencer Magazine ประเทศอังกฤษ

เมื่อวันที่ 5 ต.ค.66 สร้างตำนานไม่หยุดอีกแล้วสำหรับ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ที่นอกจากความสำเร็จด้านวงการเพลงแล้ว ด้านวงการแฟชั่นและความงามก็กำลังยืนหนึ่งไม่แพ้กัน

โดยล่าสุดได้รับการจัดอันดับให้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งตัวแม่ด้านความงามอย่าง ‘Beauty Mogul of the Year’ จาก Influencer Magazine Awards 2023 ในอังกฤษ ที่เคยมีตัวแม่อีกคนอย่าง ไคลี เจนเนอร์ เคยได้ติดอันดับท็อปมาแล้ว

ความนิยมของ ‘ลิซ่า’ กำลังทะยานพุ่งขึ้นไม่หยุดเพราะล่าสุดยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมของเธอก็แตะ 98 ล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำเอาแฟนๆ ลุ้นว่ายอด 100 ล้านคงจะแตกเร็วๆ นี้แน่นอน

‘ชาดา’ เตือน!! อย่ากลั่นแกล้งแจ้งข้อมูลผู้มีอิทธิพลบิดเบือน พร้อมขอเวลา 2-3 เดือน เก็บข้อมูลทุกด้าน ก่อนเริ่มตัดรากถอนโคน

(7 ต.ค.66) นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีผู้มีอิทธิพล หลังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำรายชื่อกว่า 700 รายว่า ได้นำรายชื่อมาทำใหม่ ดูพฤติกรรม สิ่งที่กระทำความผิด และบริวาร รวมถึงข้อมูลที่ประชาชนร้องเรียนมา  ตามเบอร์ 088-8878888 เพราะในอดีต เคยผ่านการบริหาร จัดการเรื่องนี้มาแล้ว แต่มีเพียงการส่งรายชื่อมาเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งนี้ขอให้การส่งข้อมูลมาเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง อย่ากลั่นแกล้งกัน สำหรับรายชื่อที่กระทรวงต่างๆ และบุคคลทั่วไป ส่งมาให้ก็จะผ่านการกลั่นกรองอีกครั้ง

เมื่อถามถึงการจัดระเบียบตามกลุ่มสี รมช.มหาดไทย กล่าวว่า สีแดงคือคนที่กระทำความผิดอยู่ในปัจจุบัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องติดตามดำเนินการอยู่แล้ว อาจยังจับกุมไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน แต่ครั้งนี้จะลงไปทั้งระบบ แบบบูรณาการ อย่างเข้มข้น ทั้งอาณาจักรไม่ใช่เพียงตัวอย่างเดียว แต่จะมีหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงเข้าไป มีเรื่องการตรวจสอบภาษี เรื่องเกี่ยวกับการฮั้วประมูล ประมูล จะเข้าไปตรวจสอบดำเนินการตัดรากถอนโคน จึงขอฝากว่าคนที่คิดไม่ดีคิดไม่ถูกต้องรังแกประชาชนอยู่ ขอให้เลิก มิเช่นนั้นจะเจอกับการตรวจสอบทั้งระบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนกรอบระยะเวลาในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลนั้น ยอมรับว่าใช้เวลาพอสมควร ขณะนี้ยังคงรอหน่วยงานอื่นๆ ส่งข้อมูลมาเพื่อจะรวบรวม คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเริ่มปฏิบัติการเข้มข้นไปเรื่อยๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top