Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

“ทิพานัน” โต้ เพื่อไทย ยันโมเดล ศบค.สู้โควิด มีเอกภาพแก้ปัญหาได้ เหน็บ เปิดกว้างฟังข่าวสาร-หยุดรับข้อมูลบิดเบือน

เมื่อวันที่ 22 เม.ย. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เสนอแนะเรื่องการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้ประชาชน ลดการบริหารงานแบบรวมศูนย์ว่า การบริหารแบบรวมศูนย์ มีความเป็นเอกภาพ สามารถจัดการปัญหาได้เบ็ดเสร็จรวดเร็ว การแพร่ระบาดระลอกนี้ควบคุมโดยแบ่งโซนสี ให้เศรษฐกิจโดยรวมเดินต่อได้ และยังเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และเวชภัณฑ์ สำรองเตียงรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชน ตั้งโรงพยาบาลสนามในมหาวิทยาลัย และขยายเตียงไอซียูเพิ่มหากผู้ป่วยมีจำนวนมาก อาจจัดตั้ง “ไอซียูสนาม”

นอกจากนั้นมีมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด อาทิ สนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ มีการจัดโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-19 ระหว่าง พ.ค.-ธ.ค. 64 เพื่อสร้างอาชีพให้ผู้ว่างงาน กระตุ้นธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs ขนาดเล็ก ขยายเวลาโครงการเราชนะ ไปถึง 30 มิ.ย โครงการคนละครึ่งเฟส 3 เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย และเตรียมตำแหน่งงานว่าง 2 แสนอัตรา แก้ปัญหาคนว่างงาน และดูแลผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดสถานประกอบการให้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวันรวมกันไม่เกิน 90 วัน

“ข้อมูลทั้งหมดนี้ พรรคเพื่อไทยสามารถช่วยสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจได้ทันที อยากขอพรรคเพื่อไทย งดรับข่าวสารที่บิดเบือนผ่านทางโซเชียล หากต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ครอบคลุมและเพียงพอ สามารถรับฟังจากการแถลงข่าวของศบค. แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลจากภาครัฐ เพื่อจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'พิธา' แถลงก่อนการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ย้ำผู้นำอาเซียนต้องไม่ให้การประชุมเป็นเวทีรับรองความชอบธรรมของเผด็จการทหารเมียนมา รัฐบาลประยุทธ์ต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและภูมิภาคไม่ใช่รักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แถลงออนไลน์ถึงสถานการณ์ในเมียนมา บทบาทของอาเซียนในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา และบทบาทของไทยในการประชุมผู้นำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตาในวันที่ 24 เมษายน 2564

พิธา กล่าวว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทั้งโลกได้ติดตามสถานการณ์ในเมียนมาด้วยความสะเทือนใจ เนื่องจากมีผู้ถูกทหารเมียนมาสังหารแล้วกว่า 700 คน เป็นเด็กถึง 50 คน บางคนอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น คนนับพันคนถูกจับกุมหรืออุ้มหาย ซึ่งนี่เป็นปฏิบัติการอย่างเป็นระบบของทหารเมียนมาเพื่อปราบปรามประชาชนให้สยบด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าไม่มีการยับยั้ง ทหารเมียนมาก็จะเดินหน้าปราบปรามสังหารประชาชนมือเปล่าและชนกลุ่มน้อยต่อไป ถ้าไม่มีใครทำอะไร คนอีกนับพันอาจถูกสังหาร คนนับแสนอาจต้องพลัดถิ่น และวิกฤติทางมนุษยธรรมที่ตามมาก็จะสร้างผลสะเทือนไปทั้งภูมิภาค”

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่ออาเซียนก่อตั้งขึ้นมาในปี 2510 ด้วยปฏิญญากรุงเทพฯ ก็ได้มีระบุไว้ถึงวัตถุประสงค์ของอาเซียนในปฏิญญาว่าก่อตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคผ่านหลักนิติธรรมและหลักการของสหประชาชาติ

นอกจากนี้พิธายังกล่าวถึงในกฎบัตรอาเซียนที่เน้นย้ำถึงหลักการสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ในอดีตอาเซียนเคยแสดงบทบาทเป็นตัวกลางเจรจาหาทางออกให้กับความขัดแย้งในภูมิภาคมาแล้วหลายครั้ง และวิกฤติของเมียนมาในครั้งนี้ก็เป็นบททดสอบอีกครั้งหนึ่งของอาเซียน

ในโอกาสของการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ที่กรุงจาการ์ตา ในวันที่ 24 เมษายนนี้ พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งกระบวนการสันติภาพที่นำโดยอาเซียน เพื่อยุติการสังหารประชาชนและนำเมียนมากลับคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตย โดยกระบวนการสันติภาพก็มีหลายกลไกที่อาเซียนสามารถใช้ได้ เช่น จัดตั้ง กลุ่มผู้ประสานงานอาเซียน (ASEAN Troika) จัดตั้งทูตพิเศษของอาเซียน (Special Envoy) หรือจัดตั้งกลุ่มเพื่อนประธาน (Friends of the Chair)

พรรคก้าวไกลเชื่อว่าเป็นความจำเป็นทางมโนสำนึกที่กระบวนการสันติภาพจะมีเป้าหมาย ได้แก่ การทำให้เมียนมากลับคืนสู่สภาวะปกติที่ สิทธิ เสรีภาพ ความเป็นอยู่ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับการคุ้มครอง และทหารเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงและปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมขั้นต่ำที่ประชาชนอาเซียนควรเรียกร้องจากผู้นำของตนเอง

พิธาย้ำว่า ผู้นำอาเซียนต้องไม่ปล่อยให้การประชุมผู้นำอาเซียนเป็นเวทีที่ให้การยอมรับและความชอบธรรมกับเผด็จการทหารเมียนมา ผู้นำอาเซียนควรผลักดันผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้มีโอกาสหาทางออกร่วมกันในกระบวนการจะเปิดรับทุกฝ่าย ดังนั้นผู้นำอาเซียนจึงควรยื่นคำเชิญให้กับทุกฝ่ายในการหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรค NLD คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (CRPH) ไปจนถึงกองทัพ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการสันติภาพที่เปิดกว้างและมีความจริงใจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้อาเซียนควรยืนยันในหลักการ “ความเป็นแกนกลางของอาเซียน” โดยตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่จะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดำเนินการตามอำนาจในหมวด 6 และจัดตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในเมียนมา และเพื่อรับมือกับวิกฤติด้านมนุษยธรรม พิธาเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมา และเรียกร้องให้ทหารเมียนมายอมเปิดให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปถึงได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ

พิธากล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดและเป็นประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนควรมีบทบาทเชิงรุกในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา แต่รัฐบาลของ พล.อ ประยุทธ์ ก็แสดงออกให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ได้มีสำนึกที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาวไทยและชาวเมียนมาในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้ ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนนั้นอยู่บนหลักการของความเจริญผาสุกร่วมกันที่จำเป็นต้องมีเมียนมาที่มั่นคงทางการเมืองและเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ถ้าเมียนมาเกิดวิกฤติ ก็จะเป็นวิกฤติของประเทศไทยที่มีชายแดนติดต่อกับเมียนมาถึง 2,400 กิโลเมตร เช่นเดียวกัน

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จะต้องทำตามหลักการ “การคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองในระยะยาวโดยรู้แจ้งถึงสิ่งที่ถูกต้อง” (Enlightened self-interest) และแสดงออกให้เห็นว่าประเทศไทยยืนอยู่ข้างประชาชนชาวเมียนมา ไม่ได้เป็นสหายในสงครามร่วมหัวจมท้ายกับทหารเมียนมา” พิธากล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : https://www.facebook.com/timpitaofficial/videos/544792376534565


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ป.ป.ส. เปิดประมูล แมวของกลาง เครือข่าย กุ๊ก ระยอง

สำนักงาน ป.ป.ส. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) เปิดประมูล แมวของกลาง เครือข่าย กุ๊ก ระยอง ตามคำสั่ง เลขาธิการ ป.ป.ส. อนุมัติให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ไม่เหมาะแก่การเก็บรักษาไว้ (ประเภทสิ่งมีชีวิต) ครั้งที่ 2/2564 ในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 23 เมษายน 2564) ณ ศาลาประชาคมอำเภอแกลง เลขที่ 111 หมู่ที่ 10 ถนนมาบใหญ่ ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เริ่มลงทะเบียนเวลา 13.00 น. เริ่มประมูลเวลา 14.00 น.

 ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอดูทรัพย์สินประเภทสิ่งมีชีวิต ได้ที่ บ้านเลขที่ 61/2 ถนนพลงช้างเผือก ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ในวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 12.00 น.

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สืบเนื่องจากการเข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด กุ๊ก ระยอง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ และได้ยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ บ้าน รถยนต์ รวมถึงแมวสายพันธุ์ต่างประเทศทั้ง 6 ตัวไว้ชั่วคราว สำหรับแมวนั้น ถือเป็นทรัพย์สินประเภทสิ่งมีชีวิต ที่ไม่เหมาะสมในการเก็บรักษาไว้ หรือหากเก็บรักษาไว้จะเป็นภาระแก่ทางราชการ หรือถ้าหน่วงช้าจะเสี่ยงต่อความเสียหาย ตามกฎหมายสามารถพิจารณานำมาขายทอดตลาดได้

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เปิดโอกาสตามกฎหมาย ให้ญาติ หรือผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาชี้แจงแสดงหลักฐานว่าเงินที่นำมาใช้ซื้อแมว เป็นเงินที่มาจากการค้ายาเสพติดหรือไม่ หากมีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้เป็นเงินที่มาจากการค้ายาเสพติด ก็จะมีคำสั่งยกเลิกการยึด ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีญาติหรือผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงแสดงหลักฐานว่าเงินที่ใช้ซื้อแมวมาจากการค้ายาเสพติดหรือไม่ สำนักงาน ป.ป.ส. ก็ต้องยึดไว้ตามกฎหมาย และต้องดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป

การเปิดประมูลทรัพย์สินประเภทสิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่ในการเก็บรักษา หรือการเลี้ยง ต้องมีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้หากเกิดปัญหาด้านสุขภาพหรือเสียชีวิต ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการเปิดประมูล วัวชน จำนวน 11 ตัวที่จังหวัดเชียงราย ที่ยึดมาจากเครือข่ายยาเสพติด เป็นมูลค่ากว่า 414,000 บาท อย่างไรก็ตามการประมูลแมวที่จะเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับการประมูลสัตว์เลี้ยง ที่มีความน่ารัก โดยเชื่อว่าผู้ที่ชนะการประมูล และได้แมวไป จะดูแลเป็นอย่างดี เพราะผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องมีทั้งกำลังทรัพย์ และเป็นผู้ที่รักแมว จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ เข้าร่วมการประมูลได้ตาม วัน เวลา และสถานที่ ดังกล่าวข้างต้น โดยเงินที่ได้จากการประมูลจะถูกส่งไปที่กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าว

‘ชาวทะลุฟ้า’ บุกสภา ยืน 112 นาที ลั่นใหญ่โตจากภาษี แต่ไม่รับใช้ ปชช.

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 ที่หน้ารัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีมวลชนหมู่บ้านทะลุฟ้านัดหมายทำกิจกรรม “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย”​ ยืน หยุด ขัง 112 นาที โดยชาว “หมู่บ้านทะลุฟ้า”

โดยมีนักกิจกรรมกว่า 10 คนแต่งตัวคล้ายนักโทษยืนเป็นแถวเว้นระยะห่าง 2 เมตร  แต่ละคนสวมหน้ากากอนามัย โดยมีโซ่ตรวนล่ามไว้ที่ขา เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์การถูกจองจำ บางรายสวมหมวกกันร้อน พร้อมห้อยป้ายข้อความ อาทิ ปล่อยเพื่อนเรา, ยกเลิก 112, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และประยุทธ์ออกไป 

ทั้งนี้ กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า ระบุว่า ยืน112 นาที ณ รัฐสภา การยืนเป็นการต่อสู้ในรูปแบบหนึ่งของสันติวิธี ปราศจากอาวุธ อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทหารนำมาใช้นั้นมีไว้เพื่อยึดอำนาจจากประชาชนเพียงเท่านั้น วันนี้เรามายืนหน้ารัฐสภาก็เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว ให้เพื่อนของเรา และสะท้อนว่ารัฐสภาที่ใหญ่โตนี้สร้างมาจากภาษีของประชาชนแต่มิได้ทำงานรับใช้ประชาชน แต่รับใช้โจรที่ปล้นอำนาจจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนสวมถอดรองเท้าแตะ เพื่อกันความร้อน บางรายมีสีหน้าทรมานจากสภาพอากาศ ขณะที่ทีมงานชาวหมู่บ้านทะลุฟ้า ได้นำเสปรย์น้ำ มาพ่นใบหน้า และร่างกาย เพื่อคลายความร้อน โดยจะยืนจนครบ เวลา 112 นาที ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไปจนถึงตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ยืนเฝ้าสังเกตการณ์รอบบริเวณอย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งโต๊ะ จำหน่าย “เสื้อหมู่บ้านทะลุฟ้า” เพื่อระดมทุนทำกิจกรรม ทีมงานหมู่บ้านทะลุฟ้า เปิดเผยด้วยว่า เร็วๆ นี้ อาจจะมีการชุมนุมปักหลัก ส่วนเวลา 17.30 น. วันนี้ จะไปร่วมสมทบ ยืน หยุด ขัง ที่หน้าศาลฎีกา กับ กลุ่มพลเมืองโต้กลับ อีกด้วย

คลังออกเกณฑ์คุมรูรั่วข้าราชการเบิกค่ารักษาเกินจริง

นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิและการเรียกคืนเงินใหม่ เพื่อควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.64 เป็นต้นไป หลังจากที่ผ่านมาตรวจสอบพบว่า ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวจำนวน 24 ราย มีพฤติกรรมใช้สิทธิระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ โดยเข้ารับบริการในสถานพยาบาลหลายแห่งระยะเวลาใกล้เคียงกัน หรือมีการเข้ารับบริการเกิน 3 สถานพยาบาลต่อเดือน ด้วยโรคเดียวกัน อีกทั้งได้รับยาประเภทเดียวกัน จนมีปริมาณยาสะสมจำนวนมาก คิดเป็นเงิน 15.8 ล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ระงับสิทธิของบุคคลดังกล่าวทุกรายโดยทันทีที่ตรวจสอบพบ

สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการแห่งเดียวหรือหลายแห่ง หรือได้รับยาประเภทเดียวกันจนมีปริมาณยาสะสมเป็นจำนวนมาก เกินขนาดที่ให้ผลการรักษาในแต่ละโรค หรือเกินกว่าจำนวนที่กรมบัญชีกลางกำหนด ถือเป็นการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิ มีพฤติกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ

กรมบัญชีกลางจะระงับสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงทันที และหากเข้าข่ายทุจริตหรือการกระทำความผิดทางอาญา หน่วยงานต้นสังกัดต้องดำเนินการทางวินัยหรือตามขั้นตอนของกฎหมายและเรียกคืนเงินจากผู้มีสิทธิส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน แต่หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเป็นการทุจริต กรมบัญชีกลางจะอนุญาตให้สามารถใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการเพียง 1 แห่ง เพื่อเป็นการควบคุมพฤติกรรม

ส่วนกรณีสถานพยาบาลของทางราชการ เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวในระบบเบิกจ่ายตรง โดยไม่ปรากฏข้อมูลในเอกสารว่า มารับบริการจริง ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการตรวจสอบ หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติกรรมทุจริตโดยใช้ระบบเบิกจ่ายตรงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าว  และเรียกคืนเงินจากสถานพยาบาลของทางราชการแห่งนั้น c]tส่วนราชการต้นสังกัดมีหน้าที่ติดตามเรียกคืนเงินที่เบิกเกิน และนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หากไม่สามารถเรียกคืนเงิน ต้องมีบังคับชำระหนี้ แล้วนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป

“บิ๊กตู่” รับทราบรายงานวัคซีน 2.16 ล้านโดส ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนยันการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19  “Sinovac” จำนวน 2,070,279โดสและ “AstraZeneca” จำนวน 89,040 โดส รวมการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 2,159,319 โดส  โดยมีการจัดส่งและกระจายวัคซีนทั้งหมดที่ได้นำเข้ามา ส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว เพื่อเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเร่งด่วน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการรายงานตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบทุกวัน  พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโด๊ส ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทยอย่างน้อย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนในแต่ละวันให้กับประชาชนในจุดต่างๆทั่วประเทศด้วย ซึ่งทราบว่าหากไทยได้รับวัคซีนมากขึ้น หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่จะประสานกับภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมมือฉีดวัคซีนให้ประชาชนก็จะสามารถดำเนินการฉีดได้มากขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2564 นี้ จะมีวัคซีนเข้ามากว่า 100 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนกว่า 50 ล้านคนอย่างแน่นอน

นายอนุชา กล่าวชี้แจงไทม์ไลน์การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่า จาก Sinovac จำนวน 200,000 โดส และ AstraZeneca จำนวน 117,000 โดส  เดือนมีนาคมนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 800,000 โดส และเดือนเมษายนนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 1,000,000 โดส และในเสาร์ที่ 24 เมษายน 64 นี้จะมีวัคซีนเข้ามาจาก Sinovac จำนวน 500,000 โดส และมีแผนนำเข้า Sinovac เพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมอีก 1,000,000 โดส ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาลจีน ขณะที่ วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะเริ่มทยอยส่งได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เบื้องต้น 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปี 2564 จนครบ 61,000,000 โดส นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เสนอขายวัคซีนแก่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการพิจารณาหารือราคาและเงื่อนไข นอกจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเตรียมพร้อมทั้งการจัดหาวัคซีนทางเลือกภาคเอกชนเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้มีไวรัสป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

“ทั้งนี้ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 28 ก.พ. ถึง 21 เม.ย. 64 มีการฉีดไปแล้วทั้งสิ้นรวม 864,840 โดส  เป็นการฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คือ ครบ 2 เข็ม จำนวน 118,223 ราย ทั้งนี้แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดแล้ว 405,291 โดส  เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 117,071 โดส  ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 26,669 โดส บุคคลที่มีโรคประจำตัว 37,137 โดส และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 278,672 โดส”นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่นำเข้ามาแล้ว ได้ถูกกระจายส่งต่อไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างทันท่วงทีด้วยความเร่งด่วน เพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดและรัฐบาลขอขอบคุณ และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล และอาสาสมัครทุกๆท่าน ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอด เพื่อรักษาและดูแลผู้ติดเชื้อ รวมถึงบุคลากรที่บริหารจัดการฉีดวัคซีนเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

“บิ๊กตู่” สั่งด่วน แก้ระบบรับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด ย้ำให้รวดเร็ว พร้อมบูรณาการฐานข้อมูลเป็นระบบ

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบปัญหาการรับส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม สถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม (Hospitel) ทั้งจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข และได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรงรวมถึงจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจและได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร่งประสานบูรณาการส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว ในกรณีที่อยู่ในระว่างรอรับตัวต้องแจ้งแนวทางปฏิบัติของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ทราบอย่างชัดแจน

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯรัฐมนตรี กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานบูรณาการข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น สถานพยาบาลที่ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งภาครัฐและเอกชน สถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ให้แก้ไขปัญหาสายด่วนในการจัดหาเตียง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทราบว่าบุคลากรไม่เพียงพอ จึงได้แก้ไขปัญหาเป็นการด่วนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นอกจากนั้นสั่งการให้กระทรวงกลาโหม นำยานพานะในกองทัพ ช่วยในการขนส่งผู้ป่วยด้วย เพื่อให้การนำส่งผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยรัฐบาลระดมทุกสรรพกําลังในการแก้ไขสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันระมัดระวังตนเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่จำเป็น เว้นระยะห่างทางสังคม สวมใส่หน้ากากอนามัย ตรวจสอบตนเองอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าประเทศไทยจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน

‘พรรคกล้า’ ออกแถลงการณ์ 3 ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย แสดงท่าทีในเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ

‘พรรคกล้า’ ออกแถลงการณ์ 3 ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย แสดงท่าทีในเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ “ชี้ความรุนแรงในเมียนมา กระทบชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมิติความมั่นคง-การจัดการโควิด19”, “ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในเมียนมา เสี่ยงต่างชาติแทรกแซง”, “เสนอ รัฐบาลทหารเมียนมา-รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ใช้อาเซียนเป็นตัวกลาง หาทางออกด้วยวิธีทางการเมือง"

พรรคกล้า ออกแถลงการณ์ข้อเสนอถึง “รัฐบาลไทย” ต่อ “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ” ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายนนี้ ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีเนื้อหาว่าการรัฐประหารในประเทศเมียนมา (1 ก.พ. 2564) มาถึงวันนี้ผ่านมาเป็นระยะเวลา 2 เดือนเศษ เกิดเหตุการใช้ความรุนแรง และมีแนวโน้มที่จะบานปลายไปสู่การสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ

แม้เหตุที่เกิดขึ้นจะเป็นการเมืองภายในประเทศเมียนมา แต่ด้วยประเทศไทยมีเขตแดนติดกับประเทศเมียนมาถึง 2,401 กิโลเมตร มีจุดผ่านแดน 16 จุด ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายคนตามแนวชายแดน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ รัฐบาลไทยจึงควรต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายนนี้

1.) รัฐบาลไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ต้องชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ไม่ได้เป็นปัญหาความมั่นคงภายในประเทศเท่านั้น แต่จะส่งผลให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น หนีร้อนมาพึ่งเย็นประเทศเพื่อนบ้าน เกิดเป็นภาระและความเสี่ยง ทั้งด้านความมั่นคงและการจัดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยรวมถึงทุกประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญอยู่ และไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2.) รัฐบาลไทยควรแสดงท่าทีอย่างแข็งขัน ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน และชี้ให้เห็นว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาหรือการรักษาความมั่นคงภายใน รังแต่จะทำให้เกิดความไม่สงบมากขึ้น นำไปสู่การสู้รบกลางเมือง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น เสี่ยงต่อการแทรกแซงจากต่างชาติ อันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโดยรวมในภูมิภาคอาเซียนไปด้วย

3.) เสนอให้ รัฐบาลทหารเมียนมา กับ กลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันในนามรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ใช้วิธีทางการเมือง หารือเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยสันติ โดย ASEAN ต้องพร้อมทำหน้าที่เป็นกรรมการตัวกลาง

คาดหวังว่ารัฐบาลไทย จะแสดงท่าทีชัดเจน แสดงบทบาทความเป็นผู้นำในภูมิภาค กำหนดท่าทีร่วมกันกับผู้นำชาติอาเซียนอื่น ๆ เพื่อนำมาสู่การสร้างสันติสุขกลับมาสู่ประเทศเมียนมา และรักษาความมั่นคงของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม รัสเซีย ตอบรับเจรจานำเข้าวัคซีน ‘สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) แล้ว หลังสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศเจรจาขอซื้อตรงกับรัฐบาลรัสเซีย พร้อมมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขนัดหารือบริษัทตัวแทนเร่งด่วน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ตามที่ได้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศ เจรจาหารือกับรัฐบาลรัสเซียโดยตรง เรื่องวัคซีนสปุตนิค วี (Sputnik V) ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เพิ่มมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศได้รับคำตอบจากรัสเซียว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย ยินดีให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว เนื่องด้วยไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องกับรัฐบาลปัจจุบัน

"ผมจึงได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไปให้เป็นรูปธรรม และได้รับทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการ ตามสั่งการแล้วโดยได้นัดบริษัทตัวแทนสปุตนิคในไทย มาหารืออย่างเร่งด่วนแล้วครับ" นายกฯ กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘อนุทิน’ เผยผลเจรจา ‘ผู้แทนไฟเซอร์ สำเร็จด้วยดี ได้โควตา 10 ล้านโดส แต่ไม่กำหนดเวลาส่งมอบ ด้านกระทรวงสาธารณสุขยันพร้อมแก้ไขระเบียบให้จัดซื้อเร็วขึ้น แม้ไม่ลงทะเบียนก็ตาม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า ได้พบผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เจรจาจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชน ผู้แทนบริษัทฯ แจ้งว่าพร้อมจัดหาวัคซีนให้ประเทศไทย จำนวน 10 ล้านโดส แต่ยังไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่ชัดได้

จึงขอให้บริษัทฯ รีบจัดทำกำหนดการส่งมอบโดยด่วน พร้อมทั้งราคา และเงื่อนไขต่าง ๆ โดยละเอียด เพื่อประกอบการพิจารณาจัดซื้อของกระทรวงสาธารณสุข

ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าพร้อมจะปรับแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ให้จัดซื้อได้เร็วขึ้น แม้จะยังไม่มาขึ้นทะเบียน ก็สามารถซื้อได้ด้วยการใช้กฎหมายพิเศษจัดซื้อวัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การเจรจาครั้งแรกกับผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เป็นไปด้วยดี และคาดว่าบริษัทจะจัดหาวัคซีน ให้ประเทศไทยได้โดยเร็ว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top