Monday, 9 June 2025
NewsFeed

‘มาคาเลียส’ มัดรวม 4 ที่พักสุดฟิน ‘เขาใหญ่’ จัดโปรเด็ดต้อนรับลมหนาว ลดสูงสุด 70%

(21 ก.ย. 66) มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดโปรโมชันต้อนรับลมหนาวไปพักสุดฟินท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขากับ 4 ที่พักเขาใหญ่ ลดสูงสุดกว่า 70% ได้แก่ Bergh Apton Khao Yai ห้อง Deluxe หรือ Deluxe Premium พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 1,909 บาท, Movenpick Resort ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 4,999 บาท, MYS Hotel ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 5,499 บาท และสุดท้ายที่ InterContinental Khao Yai Resort ห้อง King Classic พร้อมอาหารเช้าและสามารถพาน้องหมาน้องแมวพักฟรี ราคาเพียงคืนละ 7,099 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้หรือจนกว่าดีลจะหมด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ‘มาคาเลียส’ (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย www.makalius.co.th โทร. 02-821-5215 หรือ Line Official @makalius

‘foodpanda’ ถอดใจไม่ขอไปต่อ เตรียมขายกิจการในอาเซียนให้ ‘Grab’

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Delivery Hero บริษัทแม่ของ Foodpanda (ฟู้ดแพนด้า) ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ยืนยันการเจรจาเกี่ยวกับการขายธุรกิจในเอเชียบางส่วน ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเสริมว่ามูลค่าของข้อตกลงยังอยู่ระหว่างการเจรจา

โดยมีข่าวว่าผู้ที่จะมาซื้อกิจการต่อก็คือ Grab ซึ่งบริษัทแม่นั้นตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ขณะที่นิตยสารธุรกิจ Wirtschaftswoche รายงานว่า Grab สิงคโปร์ สามารถจ่ายเงินมากกว่า 1.07 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการ

ทั้งนี้ Delivery Hero นั้นมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรในขณะที่ยังคงรักษาการเติบโตไว้ แต่ทว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบริษัทเริ่มลดลงตั้งแต่โควิดระบาด

บริษัท ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ได้บรรลุผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้ว หลังจากขาดทุน 323 ล้านยูโรในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Delivery Hero ไม่ได้ระบุว่าครึ่งปีแรกนี้ได้กำไร (EBITDA) เท่าไหร่

เมื่อเดือนที่แล้ว Niklas Oestberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า เอเชียเป็นกลุ่มที่บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากที่สุด

สำหรับ Grab ในสิงคโปร์ประกาศรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 567 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะคุ้มทุนได้ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ Grab สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจจัดส่งอาหาร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจเรียกรถ

‘โพลสหรัฐ’ เผย 63% ชาวอเมริกันไม่มั่นใจระบบการเมืองประเทศอีกแล้ว พร้อมเห็นพ้อง 2 พรรคใหญ่ ให้ความสำคัญกับการสู้กัน มากกว่าแก้ปัญหา

(21 ก.ย. 66) ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) สถาบันวิจัยของสหรัฐ ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และความเห็นสาธารณชน ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจความเห็นล่าสุดว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 63 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่มั่นใจต่ออนาคตของระบบการเมืองของสหรัฐเลย และมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่า ระบบการเมืองกำลังดำเนินไปอย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ เมื่อให้มีการอธิบายถึงความรู้สึกตัวเอง เกี่ยวกับระบบการเมืองของประเทศก็พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ ใช้คำวิจารณ์เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งคำที่อธิบายที่พบเยอะที่สุดคือคำว่า แตกแยก และทุจริต

นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ประชาชนชาวอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง ของการแบ่งขั้วพรรคการเมือง โดยชาวอเมริกันมากกว่า 86 เปอร์เซ็นต์เห็นพ้องกันว่า พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตให้ความสำคัญกับการต่อสู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าการแก้ปัญหา นี่ถือเป็นส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของสาธารณชนในสหรัฐ และเป็นส่วนแบ่งสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ของการเลือกตั้งสหรัฐ กับการไม่ชอบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค โดยเกือบ 28 เปอร์เซ็นต์ แสดงความเห็นในเชิงลบต่อทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพิวกล่าวว่า การศึกษาวิจัยนี้ อิงจากการสำรวจที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 8,480 คน และยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 5,115 คนด้วย

‘ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ทดลองใช้อาคาร SAT-1 ครั้งสุดท้าย  มั่นใจ!! พร้อมเปิดให้บริการแบบ Soft Opening 28 ก.ย.นี้ 

(21 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 66 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสายการบินไทยเวียตเจ็ท ผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทดลองปฏิบัติการเต็มรูปแบบอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1 Full - Scale Trial Operations) ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งสุดท้ายก่อนการเปิดให้บริการแบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า การทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 3 เป็นการทดลองเฉพาะกระบวนการผู้โดยสารขาออกในช่วงเวลากลางคืน ตั้งแต่เวลา 20.00 - 00.00 น. เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการบริการในช่วงเวลากลางคืนที่ต้องมีระบบสนับสนุนที่ต่างจากเวลากลางวัน เช่น ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ณ จุดบริการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับการทดลองปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ ทสภ. ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี  
โดยสายการบินไทยเวียตเจ็ทให้การสนับสนุนอากาศยานพร้อมลูกเรือ อุปกรณ์การให้บริการภาคพื้น และเจ้าหน้าที่ ในการทดลองปฏิบัติการฯ รวมทั้งสนับสนุนเจ้าหน้าที่จำลองเป็นผู้โดยสารสมมติเพื่อสร้างความคุ้นเคย ขณะที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้า บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ตลอดจนบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่เข้าร่วมทดลองและสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย

นายกิตติพงศ์ กล่าวสรุปว่า การทดลองปฏิบัติการฯ ทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา เสร็จสิ้นตามแผนการทดลองปฏิบัติการฯ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกขั้นตอน โดย ทสภ. ได้นำข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกระบบมีความพร้อมสำหรับการให้บริการอาคาร SAT-1 แบบ Soft Opening ในวันที่ 28 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้การเปิดให้บริการอาคาร SAT-1 จะเพิ่มศักยภาพของ ทสภ. ในการรองรับผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังสอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวของรัฐบาลต่อไป

เปิดคำสารภาพ ‘พ่อ-แม่’ ใจโหด เผยปมสังหารลูกน้อย 5 ศพ เพราะ ‘ทนเสียงร้องเด็กไม่ได้-น้อยใจชีวิตลำบาก-ป่วยทางจิต’

(21 ก.ย. 66) จากกรณีพ่อแม่โหดสังหารลูก 2 ขวบ แล้วนำไปโบกปูนฝังอำพรางที่บ้านต่างจังหวัด จนเป็นข่าวสะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ ยิ่งเมื่อรู้ว่า พ่อรายนี้ยังลงมือฆ่าลูกนำฝังดินอีก 4 ศพ รวมแล้วเป็น 5 ศพด้วยกัน

ล่าสุด มีรายงานคำสารภาพของ นายส่องศักดิ์ หรือ ‘เอ็ม’ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาลงมือฆ่าลูก รับสารภาพว่า ได้ลงมือทำร้ายร่างกายจนทำให้เด็กถึงความตาย คือ

1.) ด.ช.ไข่ดำ (ลูกกับ น.ส.เจษ) โดยลงมือใช้มือตบตี ที่ท้องเป็นจำนวน 2-3 ครั้ง ด้วยความแรง ทำให้เกิดการชักและเสียชีวิต นำร่างไปทิ้งที่สวนจตุจักร
2.) ด.ช.เล็กต้า (ลูกกับ น.ส.เจษ) โดยลงมือใช้มือตบตี ที่ลำตัวและท้องเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง ด้วยความแรง แต่เด็กยังร้องไม่เลิก จึงนำไปขังไว้ในตู้วางทีวี จนกระทั่งเสียชีวิต นำร่างไปทิ้งที่สวนจตุจักร
3.) ด.ญ.โมเดล (ลูกกับ น.ส.สุนัน) โดยลงมือตีไปที่ท้อง จากนั้นเด็กก็เริ่มป่วย และเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา จากนั้นได้นำร่างไปโบกปูนที่ จ.กำแพงเพชร

ในส่วนอีก 2 ราย นั้น นายเอ็ม สารภาพว่าไม่ได้ลงมือทำร้าย ดังนี้

4.) ด.ช.ธนาทรัพย์ (ลูกกับ น.ส.เจษ) เสียชีวิตจากการป่วยออดๆ แอดๆ และมีแผลจากการเสียดสีกับที่นอนที่บริเวณศรีษะ จึงนำร่างไปทิ้งที่ ศาลตายาย พื้นที่ สน.สายไหม
5.) ด.ช.นัฐพงศ์ (ลูกกับ น.ส.เจษ) เสียชีวิตจากที่ตนเองบังคับให้ น.ส.เจษฎา (ภรรยาคนที่ 2) เอาผ้าอุดปากจนชัก แล้วนำไปขังไว้ในตู้วางทีวี และป่วยตายในเวลาต่อมา จึงนำร่างไปทิ้งที่ ศาลตายาย พื้นที่ สน.สายไหม

ขณะที่ น.ส.เจษฎา หรือ ‘เจษ’ ภรรยาคนที่ 2 ซึ่งมีลูกด้วยกันกับนายเอ็ม 5 คน รับสารภาพว่า ลงมือใช้ผ้าอุดปาก ด.ช.นัฐพงศ์ (ลูกคนที่ 5) แล้วนำไปขังไว้ในตู้วางทีวี และป่วยตายในเวลาต่อมา แต่ที่ทำไปเพราะเป็นการปกป้องมิให้ นายส่องศักดิ์ลงมือเอง

อย่างไรก็ตาม นายส่องศักดิ์ ยังเปิดเผยอีกว่า ตนได้ลงมือทำร้ายภรรยาคนที่ 2 หรือ น.ส.เจษฎา และ ด.ญ.ปิ่น ลูกสาวคนโต เป็นประจำ โดยมีพฤติกรรมเอาไม้แขวนเสื้อตี, จับหัวกดน้ำ, ใช้มีดหรือไขควงรนไฟ แล้วเอามาจี้ เอาไฟแช็ครน โดยมีสาเหตุในการทำร้ายจากความหึงหวง และขัดใจที่ภรรยาไม่ทำตามคำสั่ง

ส่วนที่ลงมือทำร้ายเด็กๆ เพราะ ‘ทนเสียงร้องเด็กไม่ได้’ เมื่อได้ยินแล้วเกิดอารมณ์โมโห ฉุนเฉียว ด้วยรู้สึกว่าชีวิตตนเองต้องมาประสบกับชะตากรรมยากลำบาก หากงานทำไม่ได้เพราะมีประวัติ และมีอาการป่วยทางจิต บางครั้งลูกก็ร้องเพราะความหิว แต่ตนก็ไม่มีเงินไปซื้อนมซื้ออาหาร จึงเกลียดเสียงร้องของเด็กเป็นอย่างมาก

ส่วนที่ทำให้ ด.ญ.ปิ่น ลูกสาวคนโต ซึ่งเป็น 1 ใน ลูกทั้ง 5 คนของนายส่องศักดิ์ และภรรยาคนที่ 2 น.ส.เจษ รอดชีวิต เป็นเพราะช่วงเด็กแบเบาะได้นำไปให้พ่อตาเลี้ยง จนโตระดับหนึ่งแล้วค่อยกลับมาอยู่กับพ่อแม่ จึงไม่ค่อยส่งเสียงร้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ให้นายส่องศักดิ์ ใช้แรงที่ตีเด็กแต่ละครั้งตีมาที่เจ้าหน้าที่ ปรากฏว่า “มือหนักมาก”

ด้าน น.ส.เจษฎา ภรรยาคนที่ 2 ผู้ต้องหาช่วยสังหารลูกคนที่ 5 เปิดใจว่า เหตุที่ยังทนอยู่กับ นายส่องศักดิ์ เพราะว่าเป็น ‘รักแรก’ และไม่เคยมองถึงชายอื่น หรือตัวเลือกอื่นๆ จำใจทนอยู่จนถึงปัจจุบัน

ส่วนสาเหตุที่ นายส่องศักดิ์ ไปมีเมียใหม่คือ น.ส.สุนัน ภรรยาคนที่ 3 (ผู้ต้องหาฆ่าโบกปูนลูก 2 ขวบ) นั้น เพราะด้วย น.ส.เจษฎา ไปทำหมัน แล้วไม่มีอารมณ์ทางเพศ นายส่องศักดิ์ บ่นว่าเหมือนนอนกับท่อนไม้ ซึ่งถุงที่พบที่จุดทิ้งศพ พื้นที่ สน.สายไหม ทั้ง นายส่องศักดิ์ และ น.ส.เจษฎา ยอมรับว่าเป็นถุงที่นำศพเด็กไปทิ้งจริงๆ

‘นายกฯ เศรษฐา’ หารือทวิภาคี ‘ประธานาธิบดีเกาหลีใต้’ พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติ

(21 ก.ย.66) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายยุน ซ็อก ย็อล (Mr. Yoon Suk Yeol) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ได้พบหารือทวิภาคี กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78)

นายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีที่มีโอกาสได้พบกับประธานาธิบดีฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐเกาหลีมีความใกล้ชิดกันอย่างมาก โดยเฉพาะระดับประชาชน ความนิยมวัฒนธรรมระหว่างประชาชนไทยและประชาชนเกาหลี โดยในปีนี้จะครบครอบ 65 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลีอีกด้วย

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยด้านการเมือง ทั้งไทยและสาธารณรัฐเกาหลี ต่างต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ และได้เชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีและภริยาเดินทางเยือนไทย สำหรับด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเร่งรัดผลักดันการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement: EPA) ระหว่างกัน และได้หารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในสาขาต่าง ๆ อาทิ ซอฟต์เพาเวอร์ อวกาศ พลังงานนิวเคลียร์ สตาร์ทอัป ยานยนต์ไฟฟ้า ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนเกาหลีเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลพร้อมช่วยอำนวยความสะดวกการลงทุนดังกล่าว รวมทั้งเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเกาหลีเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย

‘ศาลอินโดฯ’ สั่งจำคุก ‘ติ๊กต็อกเกอร์สาวมุสลิม’ 2 ปี ปรับอีก 5 แสนบาท ฐานหมิ่นศาสนา หลังโพสต์คลิปสวดมนต์ก่อนกิน ‘หนังหมูทอดกรอบ’

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลอินโดนีเซียได้ตัดสินโทษจำคุก ติ๊กต็อกเกอร์สาวรายหนึ่ง เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายหมิ่นศาสนา หลังเธอโพสต์คลิปวิดีโอลงติ๊กต็อกที่กลายเป็นไวรัล ขณะเธอกล่าวบทสวดมนต์ ก่อนกินหนังหมูทอดกรอบ

ในเอกสารสำนวนคดีของศาลระบุว่า ‘ลีนา ลุตเฟียวาตี’ หรือรู้จักในชื่อ ‘ลีนา มูเคอร์จี’ อายุ 33 ปี ที่ระบุว่าตนเองเป็นมุสลิม ได้โพสต์วิดีโอลงติ๊กต็อกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเธอกล่าวบทสวด ที่แปลความได้ว่า “ในนามของพระเจ้า” ก่อนที่เธอจะกินหนังหมูทอดกรอบหรือแคบหมู

ศาลเมืองปาเลมบัง บนเกาะสุมาตรา ตัดสินลงโทษการกระทำของเธอ โดยวินิจฉัยว่าเธอตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังหรือสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างบุคคล/กลุ่มคนบนหลักศาสนา นอกจากศาลจะสั่งลงโทษจำคุก 2 ปีแล้ว ยังสั่งปรับเงินเธอจำนวน 250 ล้านรูเปียห์ (ราว 5.85 แสนบาท) ด้วย

หลังการไต่สวนคดี ลีนากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเธอรู้สึกประหลาดใจกับคำตัดสิน “ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ไม่คิดว่าจะได้รับโทษขนาดนี้”

ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นชาติมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเนื้อหมู ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาอันเข้มงวดของอินโดนีเซียนั้น ได้กัดกร่อนชื่อเสียงของการมีความอดทนอดกลั้น และมีความหลากหลายที่มีมานานของปรเทศอินโดนีเซีย

โดยนายอุสมาน ฮามิด ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล อินโดนีเซีย กล่าวว่า มาตราหมิ่นศาสนาในกฎหมายของอินโดนีเซีย ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยพุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อยและผู้เห็นต่าง สิ่งนี้ขัดแย้งกับพันธกิจระหว่างประเทศของอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการเคารพ และการคุ้มครองเสรีภาพทางความคิด และความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก

‘อี้ แทนคุณ’ จี้ ‘รองอ๋อง’ ลาออกรอง ปธ.สภา เซ่นปม ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ คุกคาม-ล่าแม่มดคนเห็นต่าง

(21 ก.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​นางอมรัตน์​ โชคปมิตต์กุล หรือ เจี๊ยบ ก้าวไกล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่ 1 นายปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา ​หรือ หมออ๋อง ที่มีพฤติกรรมละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิ​มนุษยชนด้วยการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของแฟนคลับ​การเมือง​ผู้ที่วิจารณ์นักการเมือง ซึ่งถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยและบุคคลสาธารณะย่อมถูกวิจารณ์ได้ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย 

โดยพฤติกรรมของนางเจี๊ยบ อม​รัตน์​ ได้ใช้วิธีล่าแม่มด คุกคามทำให้ผู้เห็นต่าง รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต การงานและจิตใจ โดยเฉพาะการไปบุกไปถึงที่ทำงาน ถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบเหมือนกับที่คนในโลกโซเชียล ขนานนามให้ว่า ‘เจี๊ยบ ศาลเตี้ย’ หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการให้ท้ายของนายปดิพัทธ์ด้วยหรือไม่ ที่คิดว่าพอมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วจะทำอะไรผิดกฎหมายซ้ำ ๆ ​หลังล่าสุดพบว่าที่สิงคโปร์​จัดงานเทศกาล​อาหารและเบียร์ ​ที่อาจจะ​เป็น​เป้าหมายจริงของการผลาญ​งบแผ่นดินหรือไม่​ เพราะการกระทำดังกล่าวของ ‘เจี๊ยบ’ ถือเป็นการใช้สิทธิเกินสิทธิ​ มีการเปิดเผย ชื่อที่อยู่ และโยงสมาชิกในครอบครัว เป็นการละเมิดสิทธิคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยโดยพฤติกรรม​ต่อหน้าปากประชาธิปไตย แต่น้ำใจอนาธิปไตย​ 

ก่อนหน้านี้​เวลาไม่พอใจใครจะใช้คำหยาบ​คายวิจารณ์คนอื่นได้หมดพอโดนวิจารณ์กลับบ้าง กลับไปคุกคามเขาและการที่ขอโทษสำนึกผิด​ต่อให้ ‘อมพระรัตนตรัย’ มาพูดก็ไม่เชื่อ ซึ่งขอให้พี่น้องประชาชนได้จับตาดูว่า ถ้าหากนายปดิพัทธ์ไม่ทำอะไรใด ๆ ก็เท่ากับ ‘รู้เห็นเป็นใจ’ พฤติกรรมดังกล่าว เพราะตั้งแต่มีสภาผู้แทนราษฎรมา ไม่เคยมีรองประธานคนไหนมีพฤติกรรมอื้อฉาวรายสัปดาห์ให้คนเอือมระอาได้แบบนี้ ควรพิจารณา​ตัวเอง ‘ลาออก’ ดีกว่าอยู่ต่อไป

นอกจากนี้กรณีช่อ พรรณิการ์ ที่ผลการตัดสินของศาลฎีกาที่ตัดสิน​ให้การกระทำผิดจริยธรรม​ได้รับผลกรรมเสมือนเด็ดดอกไม้ช่อเดียวสะเทือนทั้งสวนส้ม โดยการตัดสิทธิ์​การเมือง ‘ช่อ’ ชั่วชีวิต​ จะทำให้ สส.พรรคนี้ ที่ชอบทำอะไรเอาแต่ใจไม่สนว่าผิดกฎหมายผิดจริยธรรม ​รวมทั้งนายพิธาด้วยที่มีพฤติกรรม​​นำเด็ก​ไปหาประโยชน์​ทางการเมือง​ โดยที่บอกว่ากาก้าวไกลประเทศไทย​ไม่เหมือนเดิมคือมาตรฐาน​จริยธรรม​และสิ่งที่ดีงามที่เคยมีจะค่อย ๆ ถดถอยเสื่อมทราม ตกต่ำลงเรื่อย ๆ หรือไม่ โดยเชื่อว่าเมื่อกฎหมาย​ศักดิ์​สิทธิ​์บ้านเมือง​จะหอมกลิ่น​ความเจริญ​ บรรดา สส.กระทำความผิด​จะค่อย ๆ ถูกดำเนินคดี​จนหมดไปในที่สุด​

AOT ชี้แจง ผู้โดยสารต่อแถวนาน 3 ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องจริง ยัน!! ใช้เวลาต่อคิว-ตรวจพาสปอร์ต ไม่เกินท่านละ 25 นาที

(21 ก.ย. 66) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่มีการเผยแพร่ภาพผู้โดยสารหนาแน่นบริเวณจุดตรวจลงตราหนังสือเดินทาง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ในสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมระบุว่าใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง นั้น AOT ในฐานะผู้บริหาร ทสภ.และมีท่าอากาศยานอีก 5 แห่งในความรับผิดชอบ ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ขอชี้แจงว่า โพสต์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง 

โดย AOT ได้ตรวจสอบการให้บริการของ ทสภ.จากกล้องวงจรปิดในช่วงระหว่างวันที่ 1 - 31 สิงหาคม 2566 พบว่า กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศใช้เวลาสูงที่สุดเพียง 40 นาที และเวลารอคิวน้อยที่สุดใช้เวลาเพียง 12 นาที เฉลี่ยโดยรวมผู้โดยสารใช้เวลาประมาณ 25 นาที 

ทั้งนี้ ในช่วง Peak Hour ผู้โดยสารจะใช้เวลารอคิวเพื่อตรวจหนังสือเดินทางเฉลี่ย 15 นาที และใช้เวลาหน้าเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง 60 วินาทีต่อคน ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ทสภ.สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามคำแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ที่ท่าอากาศยานควรปฏิบัติใน Annex 9 เรื่องระยะเวลาการไหลเวียนผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก โดยแนะนำให้กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าไม่ควรเกิน 45 นาที และผู้โดยสารขาออกไม่ควรเกิน 60 นาที

สำหรับท่าอากาศยานอีก 5 แห่ง AOT ได้มีการกำหนดให้การดำเนินงานในขั้นตอนกระบวนการผู้โดยสารระหว่างประเทศขาเข้า - ขาออกมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามคำแนะนำของ ICAO เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเช่นกัน 

ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT มุ่งเน้นการบริหารจัดการท่าอากาศยานให้ผู้โดยสารได้รับความพึงพอใจและได้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานมีความเชื่อมั่น ได้รับความสะดวก สบาย เกิดความประทับใจ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีแก่ผู้เดินทางตามวิสัยทัศน์ของ AOT ในการเป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก

‘Huawei’ ตอบรับลงทุน ด้าน AI & Cloud ในไทย ด้าน ‘ดีอีเอส’ เชื่อ สร้างรายได้กว่า 6 หมื่นล้าน ใน 5 ปี

(21 ก.ย. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.DE) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะ บินไปเซี่ยงไฮ้ ร่วมงาน Huawei Connect 2023 เข้าร่วมประชุม ‘APAC National ICT Roundtable 2023’ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 20 กันยายน 2566 และได้หารือกับบริษัทสาย techของ จีน กว่า 20 บริษัท ชวนตั้ง Headquarters ในประเทศไทย

รัฐมนตรีประเสริฐ เผยว่า ในการไปเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก Huawei บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของจีน ตอบรับ การทำศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ผลิตคนด้าน AI และ Cloud ปีละ 10,000 คน หรือ 50,000 คน ใน ระยะเวลา 5 ปี ประเมินว่า โครงการนี้ สร้างรายได้ ให้ผู้ที่มีทักษะ AI & Cloud กลุ่มนี้ ถึง 60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้าน AI และ Cloud และจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคด้าน AI & Cloud

นอกจากเรื่องบุคลากร AI & Cloud ดังกล่าว ยังได้เจรจา ชักชวน กลุ่มบริษัทเทคจีน ตั้ง headquarters ในไทย เพื่อสนับสนุนนโยบาย AI & Cloud HUB ของกระทรวง และสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technologies) รวมทั้งสร้างรายได้เข้าประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล นายกเศรษฐาฯ

สำหรับเรื่องการตั้ง Headquarters ในไทย รัฐบาลนี้ ให้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง ทั้ง ทางภาษี วีซ่า การอำนวยความสะดวก เป็นต้น นอกจากนี้ ทางกระทรวง DE ก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบริษัทที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมอำนวยความสะดวก และร่วมมืออย่างใกล้ชิด และเชื่อว่า การเจรจากับ กลุ่มบริษัทเทคจีน ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกลุ่มนี้ จะเกิดการลงทุนเพิ่มได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน และเชื่อมั่นว่าจะช่วยเร่งสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีขั้นสูง

“ผมมั่นใจว่า การตอบรับของ Huawei สร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรไทยด้าน AI & Cloud ครั้งนี้ จะส่งผลให้ไทยเข้าใกล้การเป็น AI & Cloud HUB ที่บริษัทเทคใหญ่ๆ ต้องการเข้ามาร่วมงาน ทำให้มีการลงทุนด้าน AI & Cloud ในไทยสูงเป็นลำดับหนึ่งหรือสอง ของ ภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ผมจะผลักดันให้ กระทรวง DE เป็นกลไกสำคัญของประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นกระทรวงทันสมัยในระดับโลกด้วย” รัฐมนตรี DE กล่าวในตอนท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top