Monday, 26 May 2025
NewsFeed

‘ดร.เสรี’ เรียกร้องยกเลิกงบค่าอาหารของ ‘สส.-สว.’  แนะให้จ่ายเงินกินกันเอง จะช่วยชาติประหยัดได้เยอะ

(9 ก.ย. 66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

เลิกงบอาหารสำหรับ สส. และ สว.เถอะ มีเงินเดือนขนาดนี้ และค่าโน่นค่านี่อีกมากมาย ให้หากินเองเถอะ

พื้นที่ในสภาฯ มากพอที่จะทำเป็นศูนย์อาหาร ให้เข้ามาหากินกันเองนะ

ที่จัดให้ในตอนนี้ใช้งบประมาณสูงเกินไป เสียดายเงินที่ต้องจ่าย

แล้วก็มาประชุมกันไม่ครบ สภาฯ ล่มก็กลับบ้าน ไม่ได้กิน แต่ก็ต้องจ่าย

เลิกงบนี้เถอะนะ แล้วให้จ่ายเงินกินกันเอง จะประหยัดช่วยชาติได้เยอะ

อยากเห็น สส.สักคนที่เสนอเรื่องนี้ในสภาฯ จะมีไหมนะ?

‘อ.เทพมนตรี’ เตือนสติ ‘พวกปากแจ๋ว-นักแจวคีย์บอร์ด’ อย่าคิดง่ายๆ หากเลือกหมิ่น 112 แล้วลงท้ายด้วยกระเช้าราคาถูก

(9 ก.ย.66) อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Thepmontri Limpaphayorm’ ระบุว่า...

คำเตือน

สังคมไทยเป็นสังคมนินทาว่าร้าย ถนัดฟังแต่เรื่องร้ายคนอื่น ส่วนเรื่องตนปกปิดซ่อนเร้นความโกหกตอแหล

จึงไม่เหนือความคาดหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ก็มิได้ว่างเว้นต่อสิ่งเหล่านี้ หวังพึ่งพิงใครได้ คนพูดด้วยปากเวลาแก้ไขต้องใช้สติปัญญา มันจึงยุ่งยากที่จะทำความเข้าใจ อธิบายสิ่งใดถ้ามีอคติ ความไม่ชอบแล้วไซร้ก็ป่วยการ

เอาเป็นอย่างว่าที่มีมาตรา 112 ก็เหตุที่ว่าด้วยคนมิได้ใช้ปัญญาฟังอะไรใครมาจึงตัดสินแบบนั้น ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยน คนอ่านหนังสือน้อย ฟัง สนใจโลกออนไลน์เยอะ เวลาคนหมู่มากเชื่ออะไรแชร์อะไรก็คิดว่าผ่านการกลั่นกรองพิจารณามาแล้ว เวลาโดนฟ้องจึงเที่ยวโอดครวญว่าถูกกลั่นแกล้ง เข้าใจผิด ขอขมาด้วยกระเช้าราคาถูกหวังว่าเขาจะยกโทษให้ คุกสิพี่จึงจะดีที่สุด เรียกเงินกันเป็นแสนเป็นล้าน

ฟังอะไรใครมาควรใช้วิจารณญาณอย่างแรกมันเป็นเรื่องคนอื่น อย่างที่สองคุ้มกันไหมเมื่อต้องคดี อย่างที่สามมันเป็นบาปติดตัวใจเศร้าหมอง

ถ้าอยากเสือกกันนักตั้งแต่เรื่องพระเจ้าแผ่นดินยันมาถึงประชาขนอย่างเรา การแสวงหาความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุด

โยก ‘รอย’ ไป สมช. ลดแรงเสียดทาน ‘บิ๊กต่อ’ ขึ้นแท่น!! เชื่อ!! เต็งจ๋าไม่พลิก แม้มีมือดีหาเรื่องดิสเครดิตกันระวิง

ถ้าจำกันได้ เมื่อเดือน ก.ย.เมื่อปี 2554 พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ขณะนั้น ก็เคยถูกคำสั่งของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ไปนั่งตำแหน่งใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาล คือ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยโยกนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.ไปนั่งตบยุ่งในตำแหน่งที่ปรึกษา

ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อเปิดทางให้ พี่สาวของคุณหญิงอ้อ ‘พจมาน ดามาพงศ์’ อย่าง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผงาดขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร.เพราะเหลือเวลาปีเดียว

ไม่น่าเชื่อ… กรณีย้ายนายถวิลโดยมิชอบดังกล่าว ทำให้ เดือน พ.ค. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ พ้นจากตำแหน่งนายกฯ และถูกดำเนินคดี… หนีหมายศาลอยู่จนทุกวันนี้ นอกเหนือจากคดีจำนำข้าว

ร่ายมาซะยาว… เพียงเพื่อจะโยงเข้าเรื่องว่า โยกย้ายตำรวจปีนี้ ‘บิ๊กตู่’ อดีตประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.คนเก่า (คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ) ไม่กล้าทุบโต๊ะเหมือนย้ายทหาร ส่งมอบให้นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธาน ก.ตร.คนใหม่ บริหารจัดการเอง… ว่า 4 แคนดิเดต ผบ.ตร.จะให้ที่ประชุมเลือกใคร… 

มีรายงานข่าวน่าเชื่อถือว่า… รัฐบาลเสี่ยนิดจะโยก พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง ที่อาวุโสสูงสุด แต่จะเกษียณปี 2567 ไปนั่งตำแหน่งเลขาธิการ สมช.แทน พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม ที่จะเกษียณปีนี้… ทำให้แคนดิเดต ผบ.ตร.เหลือ 3 คน มีอาวุโสตามลำดับคือ… 

- พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ‘บิ๊กต่าย’ เกษียณปี 2569
- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ‘บิ๊กโจ๊ก’ เกษียณปี 2574 
- พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บื๊กต่อ’ เกษียณปี 2567

ชื่อ ‘บิ๊กต่อ’ นั้นเป็นเต็งหนึ่งมาโดยตลอด… ถ้า พล.ต.อ.รอย นั่งอยู่ที่เดิมแปลว่าต้องข้ามอาวุโสถึงสามคน แต่พอท่านรองรอยลุกไป ก็จะข้ามแค่สองคน อยู่ปีเดียวแล้วลุกจากไป… ปีหน้าเปิดทางให้ บิ๊กต่าย กับ บิ๊กโจ๊ก และรอง ผบ.ตร.คนใหม่อีกคนไปลุ้นกัน… 

เรื่องอาวุโสก็เป็นปัจจัยสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่เป็นปัจจัยชี้ขาด ยังมีปัจจัยความรู้ความสามารถความเหมาะสมด้วย… เพียงแต่ระบบราชการไทยโดยเฉพาะแวดวงสีกากี ไม่มีใครไว้ใจใครได้ ถ้ามีโอกาสก็จะต้องคว้าเอาไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน… เพราะปล่อยไปวันหน้าการเมืองเปลี่ยน… ไม่มีอะไรที่แน่นอน… 

แม้แต่กรณีบิ๊กโจ๊กที่จะเกษียณอีก 8-9 ปีข้างหน้า ดูแล้วก็คงไม่พลาด เก้าอี้ ผบ.ตร.ไม่มีไปไหนแน่… 

แต่เอาเข้าจริง… ไม่มีอะไรแน่นอน

ดังนั้น สรุปรวมความนาทีนี้… เต็งจ๋าไม่น่าจะแปรเป็นอื่นก็คือ ‘บิ๊กต่อ’ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม ที่เพิ่งไปดูการวิสามัญ ‘หน่อง ท่าผา’ มือปืนที่ฆ่าสารวัตรทางหลวงอย่างอุกอาจเมื่อไม่กี่วันก่อน…

แต่ล่าสุดสายข่าวตะแล็บแก๊บรายงาน ‘เล็ก เลียบด่วน’ มาว่า ขณะที่เดินหน้าลุยงานโน่น นี่ นั่น ปรากฏว่ามีมือดีพยายามปฏิบัติการเผยแพร่เอกสารโจมตี ‘บิ๊กต่อ’ ข้อหาต่างๆ… โยงใยเรื่องแรงงานต่างด้าว เรื่องชายแดน...เป็นเรื่องเสียๆ หายๆ ในทางลบ...

พร้อมๆ กับจุดกระแสว่า… อาจจะมีการพลิกโผ ผบ.ตร.

เรื่องของเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละครับท่านสารวัตร...แต่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่เชื่อหรอกว่าจะพลิก...

คนที่มาพลิกนั่นแหละ… จะพลิกแทน!!

สวัสดี

‘เศรษฐา’ ส่งสัญญาณ!! ผ่าตัดใหญ่ตลาดหลักทรัพย์  ยกระดับการกำกับดูแลผู้ลงทุนให้มีความเข้มข้นขึ้น

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มีเป้าหมายปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อยกระดับการกำกับดูแลประชาชนผู้ลงทุนให้มีความเข้มข้นขึ้น ทั้งการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในตลาดหุ้น

การปรับโครงสร้างองค์กรตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ โดยกรรมการตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันมีจำนวน 11 คน เป็นกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มาจากการสรรหาและการคัดเลือกของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ 1 คน คือนายภากร ปิตธวัชชัย

อีก 6 คนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอีก 4 คนเป็นตัวแทนจากบริษัทสมาชิกหรือตัวแทนจากบริษัทโบรกเกอร์ โดยมี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ
.
โครงสร้างใหม่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับเปลี่ยนให้มีความหลากหลายขึ้น โดยมีตัวแทนกระจายในแต่ละกลุ่มอาชีพ รวมทั้งตัวแทนของประชาชนผู้ลงทุน ส่วนตัวแทนของโบรกเกอร์อาจลดจำนวนเหลือเพียง 1 คน เพราะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กระจุกตัวในกลุ่มคนแวดวงตลาดทุนและอดีตข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงการคลังหรืออดีตผู้บริหารแบงก์ชาติ

กรรมการตลาดหลักทรัพย์ที่ขาดความหลากหลาย และเป็นกลุ่มผลประโยชน์ในตลาดทุน นำไปสู่ข้อจำกัดแนวความคิดในการแก้ปัญหาตลาดหุ้น และการขาดความกระฉับกระเฉงในมาตรการปกป้องประชาชนผู้ลงทุน ซึ่งเห็นได้ชัดจากความเสียหายกรณีการแต่งบัญชี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ‘STARK’ ซึ่งถือเป็นความหละหลวม บกพร่องร้ายแรงของตลาดหลักทรัพย์ฯ

นอกจากนั้น เมื่อพฤติกรรมโกงใน STARK ถูกเปิดโปง ตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับดำเนินการแก้ปัญหาที่ล่าช้า ทั้งที่มีอำนาจในการกำกับ ควบคุมดูแล และจัดการแก้ปัญหาได้ในทันที เพื่อระงับยับยั้งความเสียหายไม่ให้ลุกลามในวงกว้าง

อีกเป้าหมายการจัดโครงสร้างการบริหารงานภายในที่นายเศรษฐา ให้ความสำคัญคือ การรื้อฟื้นบทบาทของฝ่ายกำกับ ซึ่งปัจจุบันต้องอยู่ภายใต้ฝ่ายการตลาด โดยจะยกระดับบทบาทการทำงานของฝ่ายกำกับให้มีความเข้มข้น

แยกเป็นหน่วยงานที่มีความอิสระและมีความคล่องตัวในการทำงาน มุ่งการตรวจสอบบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่เริ่มต้นสัญญาณการเกิดปัญหา และมีฝ่ายที่จะตรวจสอบงบการเงิน รวมทั้งธุรกรรมต่างๆ ของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะ โดยเมื่อพบปัญหาที่อาจสร้างความเสียหายให้ผู้ลงทุนจะเข้าแก้ไขในทันทีตั้งแต่ต้นน้ำ

ไม่ปล่อยให้ปัญหาลุกลาม จนสร้างความเสียหายให้นักลงทุน และกลายเป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดในบริษัทจดทะเบียนหลายกรณี

ตลาดหลักทรัพย์มีสภาพเหมือนองค์กรในแดนสนธยา เพราะสาธารณชนไม่มีโอกาสรับรู้เงินเดือนของกรรมการและผู้จัดการ ไม่รู้อัตราโบนัสพนักงานในแต่ละปี และไม่รู้การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยในการดูแลกรรมการทั้ง 11 คน

รายได้ของกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมแล้วปีละประมาณ 30 ล้านบาท และกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯเดินทางดูงานต่างประเทศบ่อยครั้ง โดยเดินทางสายการบินระดับเฟิร์สคลาส พักโรงแรมหรู กินอาหารชั้นดีราคาแพง

และแม้แต่การจัดเลี้ยงงานประชุมกรรมการ ยังสั่งไวน์ราคาแพงๆมาจิบกันเพลิน ทั้งที่การทำงานของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์มักสายเกินไปเสมอ โดยปัญหาเกิดขึ้นลุกลามบานปลายแล้ว ประชาชนผู้ลงทุนได้รับความเสียหายแล้ว ตลาดหลักทรัพย์จึงลงไปแก้ไข

รวมทั้งการใช้มาตรการกำกับหุ้นที่มีพฤติกรรมการสร้างราคา ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังนักลงทุนรายใหญ่ขายหุ้นทำกำไรออกไปก่อนแล้ว และมีกรณีล่าสุดหุ้นในตลาด MAI ที่ราคาถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะถูกถล่มขายจนราคาดิ่งลงหนัก ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่แห่เข้าไปเก็งกำไรขาดทุนป่นปี้

การรื้อโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ครั้งใหญ่ กำลังคืบคลานเข้ามา และเมื่อการทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา เข้าที่เข้าทาง การเปลี่ยนแปลงในคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์อาจเกิดขึ้นทันที

แน่นอนว่า กรรมการตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 11 คน จะต้องมีใครไปใครอยู่ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

เป้าหมายในการปกป้องประชาชนผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไม่ให้เสียหายจากการซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากตลอดเกือบ 50 ปีถูกกำหนดไว้แล้ว

และการรื้อโครงสร้างคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการปกป้องนักลงทุนไม่ให้ถูกปล้นจากแก๊งมิจฉาชีพในตลาดหุ้นของรัฐบาลเศรษฐา

‘จเรหิน’ เตรียมฟาดซ้ำ!! สั่งสอบวินัย 25 ตร.ร่วมวงสังสรรค์ หลังปล่อยมือสังหารสารวัตรสิวลอยนวล ชี้!! โทษถึงไล่ออก

จากกรณีเกิดเหตุนายธนัญชัย หรือ ‘หน่อง ท่าผา’ ได้ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิง พ.ต.ต.ศิวกร  สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล.เสียชีวิต เหตุเกิดที่บ้านของนายของนายปวีณ จันทร์คล้าย หรือ ‘กำนันนก’ ที่ตำบลตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ทั้งๆ ที่มีตำรวจระดับ ผกก. - ผบ.หมู่ อยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุจำนวนถึง 25 นาย ซ้ำร้ายยังปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้อย่างลอยนวล รวมถึงมีการทำลายพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุอีกด้วย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 66 ซึ่งโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงว่า พล.ต.อ.ดำรงศักด์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ จเรตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงทางวินัย

ล่าสุด วันนี้ (9 ก.ย. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยผู้สื่อข่าว ถึงกรณีดังกล่าวว่า…

“ขณะนี้ ยังไม่มีคำสั่งที่เป็นทางการ แต่ก็ได้สั่งการให้เตรียมการในเบื้องต้นไว้แล้ว โดยในส่วนการสอบสวนคดีอาญา ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ก็ได้ลงไปควบคุมสั่งการอยู่แล้ว แต่ในส่วนจเรตำรวจก็เป็นเรื่องทางวินัย ซึ่งตนจะออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการของจเรตำรวจเข้าไปสอบวินัยตำรวจทั้ง 25 นาย โดยจะมีการประสานข้อมูลกับพนักงานสอบสวนคดีอาญาอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน พยานหลักฐานชุดเดียวกัน

โดยเฉพาะประเด็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้คนร้ายหลบหนี ปล่อยให้มีการทำลายที่เกิดเหตุ ทำลายพยานวัตถุ ทำลายหลักฐาน ทำลายระบบการบันทึกระบบวงจรปิดในที่เกิดเหตุ นอกจากนั้น จะสาวข้อมูลให้ลึกลงไปด้วยว่า ตำรวจทั้ง 25 นาย มีการประพฤติตนอันไม่สมควรอื่นๆ ที่เอื้อต่อกำนันรายนี้อย่างไร เช่น การเรียกรับส่วย การรับผลประโยชน์ และการเอื้อผู้มีอิทธิพลที่กระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาของการกล้ากำเริบเหิมเกริมก่อเหตุสังหารตำรวจระดับสารวัตร ต่อหน้าตำรวจที่นั่งกันอยู่เต็มงาน แถมยังมีตำรวจผู้ใหญ่ระดับ ผกก.นั่งอยู่ด้วยถึง 3 นาย ในครั้งนี้ โดยไม่มีตำรวจคนใดกล้าจับกุม หรือขัดขวางการหลบหนี ปล่อยให้เพื่อนตำรวจถูกยิงเสียชีวิตคาตา

พล.ต.อ.วิสนุ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนยืนยันได้ว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานไม่มีการละเว้น และความผิดทางวินัยในเรื่องนี้ มีโทษขั้นสูงสุดคือไล่ออกจากราชการ

‘ยุ้ย จีรนันท์’ ประกาศท้องแล้ว ขึ้นแท่นว่าที่คุณพ่อ-คุณแม่ เผย เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตที่มีลูกมาเติมเต็มครอบครัว

(9 ก.ย. 66) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคู่รักคนบันเทิง ที่ขยันและตั้งใจทำงานกันมาตลอด สำหรับคู่ของ ‘ยุ้ย จีรนันท์’ และ ‘ธัญญ์ ธนากร’ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานธุรกิจ หรืองานไลฟ์สดขายของต่างๆ ที่ได้เงินมาทั้งคู่ทำหมด ล่าสุดวันนี้ 9 กันยายน 2566 ด้าน ‘ยุ้ย’ ออกมาประกาศข่าวดี ตั้งท้องลูกคนแรก ทำเอาคนในวงการบันเทิง รวมไปถึงแฟนคลับเฮลั่นกันสนั่นไอจีเลยทีเดียว

โดยแฟนหนุ่มอย่าง ‘ธัญญ์’ ได้ออกมาโพสต์ภาพตัวเองถ่ายคูกับที่ตรวจครรภ์ พร้อมกับระบุแคปชันเอาไว้ว่า “วันนี้ที่รอคอยเติมเต็มครอบครัวของเรา หนูจะเป็นดวงใจของพ่อกับแม่นะ”

ส่วนทางด้านยุ้ย ก็ได้ออกมาโพสต์ประกาศข่าวดีด้วยเช่นกัน พร้อมระบุแคปชันเอาไว้ว่า “เธอ+ฉัน = เรา 3 คน ทุกปาฏิหาริย์ต้องใช้เวลา… เบบี๋น้อยของเรามาแล้วน๊าาา ดีใจที่สุด… มีความสุขที่สุดเลย”

งานนี้คนในวงการบันเทิง และแฟนคลับต่างเข้ามาแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม อาทิ
“ยินดีกับพี่ทั้ง2มากๆนะคะ”
“กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณพี่ เลิศ ดีใจมากกก อร๊ายยยยยยย”
“ดีใจด้วยนะคะพี่ยุ้ยพี่ธัญ”
“Congratulations to both of u na ka”
“ดีใจสุดๆๆๆ ป๋าป๊า ธัน”
“น้องมาแล้ว ยินดีด้วยนะคะ”
“ในที่สุดรอวันนี้มานานมาก ยินดีกับคุณพ่อคุณแม่แล้วนะคะมีตัวเล็กแล้ว” เป็นต้น

ทีม ‘Alacritas Dart’ 6 เยาวชนอัจฉริยะ ตัวแทนประเทศไทย ไปแข่งใช้ความรู้-ทักษะด้าน STEM สร้างรถแข่งขัน ที่สิงคโปร์

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 6 เยาวชนไทย จากทีม ‘Alacritas Dart’ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเเทนทีมประเทศไทยที่จะไปเเข่งในงาน F1 in School World Final 2023 ณ ประเทศสิงคโปร์ ในระหว่างวันที่ 8-15 กันยายน 2566 ประชันกับทีมเข้าแข่งขันกว่า 68 ทีม จากตัวแทนทั่วโลก

โดยการแข่งขันรายการนี้ จะให้ผู้เข้าแข่งขันใช้ความรู้และทักษะด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์ (STEM) ในการสร้างรถแข่งขัน (ขนาดเล็ก) แข่งบนทางยาว 20 เมตร ภายใต้ข้อกำหนดของคณะกรรมการ ซึ่งจะมีรางวัล 18 ด้านต่างให้กับผู้เข้าแข่งขัน เช่น ด้านความเร็ว การนำเสนอ ความสวยงาม เป็นต้น

Here we go! ✈️ Our team is at the airport, buzzing with excitement as we're about to take off for the competition. Singapore, here we come!! 🏆😄

‘Songwriting Notebook’ สมุดเขียนเพลงอัจฉริยะ ช่วยไกด์ไลน์การแต่งเพลง-กระตุ้นไอเดียสร้างสรรค์

สมุดเขียนเพลง ‘Songwriting Notebook’ ช่วยให้คุณเขียนเพลงได้อย่างไหลลื่นและมีทิศทาง🔥🚀

พร้อมช่วยวางแผนการทำเพลงให้กับคุณอย่างครบวงจร
✅ ช่วยไกด์ไลน์ในการแต่งเพลงให้กับคุณตั้งแต่ขั้นตอนแรก
✅ ช่วยให้คุณหาไอเดียและวางคอนเซ็ปต์ในการเขียนเพลงได้อย่างแม่นยำ
✅ สร้างเรื่องราวของคุณ วิเคราะห์ตัวละครในเพลงได้ผ่านสมุดเขียนเพลงเล่มนี้
✅ มีโครงสร้างในการเขียนเพลง ช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้น
✅ มี 10 แบบฝึกหัดช่วยกระตุ้นไอเดียสร้างสรรค์ในเล่ม 
✅ ช่วยวางแผนการเขียนเพลง การโปรโมท และวางแผนการเงิน
✅ มี Quote เจ๋ง ๆ จากศิลปินและโปรดิวเซอร์ อาทิ คุณจอร์จ Seven Dogs, คุณไกร GK, คุณ พัน พลุแตก ฯลฯ
✅ มีหน้าปกหลากสี หลายสไตล์ให้เลือกตามใจชอบ 
✅ ใช้งานง่าย เขียนเพลงได้ทุกที่ ทุกเวลา
สมุดเขียนเพลงเล่มนี้ออกแบบโดยทีม Artist 247 ที่ผลิตออกมาผ่านการเรียนรู้ทฤษฎีการเขียนเพลง และการลงมือเขียนเพลงจริง

รูปแบบไฟล์ .PDF สามารถใช้กับแอป Goodnotes และอื่น ๆ ได้

ด้านในประกอบด้วย
- คู่มือการใช้งาน
- ลิสต์ภาพรวม 10 เพลงที่คุณตั้งใจจะเขียนในเล่มนี้
- หน้าออกแบบคอนเซ็ปต์เพลง
- ไกด์ไลน์ในการวางโครงเรื่อง
- โครงสร้างของทั้งเพลง
- หน้าว่างสำหรับเขียนเพลง
- หน้าวางแผนโปรโมทเพลง
- หน้าวางแผนค่าใช้จ่ายในการทำเพลง
- หน้ารีวิวและให้คะแนนเพลงตัวเอง
- แบบฝึกหัดฝึกความคิดสร้างสรรค์
- ข้อคิดดี ๆ จากศิลปิน

📌🔥 พิเศษ !! 🔥📌
ราคาเพียงเล่มละ 199 บาท
(จากราคาปกติ 399 บาท)
ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 เท่านั้น
แถมฟรีสติ๊กเกอร์ตกแต่งสมุดเก๋ ๆ กว่า 30 รูป

‘ชัยวุฒิ’ ร่วมยินดีครบรอบ 5 ปี ‘ทีทรี เทคโนโลยี’ ยกเป็นองค์กรที่มีบทบาทร่วมขับเคลื่อนเทคโนโลยีของไทย

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์  รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิดงานในพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี ของบริษัท ทีทรี เทคโนโลยี จำกัด พร้อมกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานครบรอบ 5 ปีของบริษัทที ทรี เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนระบบเทคโนโลยีของประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับบริษัทที ทรี เทคโนโลยี ในความสำเร็จครั้งนี้ด้วย

ในช่วงระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา บริษัท ที ทรี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรม การเชื่อมต่อระหว่างความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ และการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการส่งเสริมเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองและการเชื่อมโยงโครงข่ายให้ถึงกันในทุกมิติ 

‘บริษัท ที ทรี เทคโนโลยี’ มีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฟิกส์บรอดแบนด์ (FBB), โมบาย บรอดแบนด์ (MBB), Internet of things (IoT), และโซลูชั่นระดับองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานสำคัญซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน  และยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางธุรกิจกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม และมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในโลกยุคดิจิทัลนี้ และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

แผนสกัด ‘แอน JKN’ ปลุกเฟกนิวส์ ยกเลิกประกวด MU กลยุทธ์แห่งเกมธุรกิจ ต้องเอาคนแพ้ให้ถึงขั้นไม่มีที่ยืน

(9 ก.ย. 66) ดูเหมือนว่าในช่วงสัปดาห์นี้ หนทางสู่ ‘จักรวาล’ ของ ‘แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์’ CEO ข้ามเพศพันล้านของ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอลกรุ๊ป (JKN) ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการที่ถาโถมใส่แบบรัวๆ เลยทีเดียว

คือถ้าใจไม่นิ่ง หรือหนักแน่นพอ อาจจะมีสิทธิ์ได้จิตตกกันบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘แอน จักรพงษ์’ อย่างแน่นอน!!

นับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับที่เป็น Talk of The Town กับกรณีที่ทาง JKN แจ้งเรื่องผิดนัดชำระหุ้นกู้ ‘JKN239A’ รวมเงินต้นและดอกเบี้ยกว่า 600 ล้านบาท โดยมีการชำระคืนเงินต้นเพียงบางส่วน พร้อมทั้งดอกเบี้ยรวมกว่า 150 ล้านบาท

ต่อจากนั้น ก็กลายเป็นว่า JKN ต้องออกมาสู้รบปรบมือกับสารพัดข่าวลือข่าวลวง ที่ประเดประดังเข้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการยกเลิกการประกวด Miss Universe เพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน

ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

การจัดประกวด Miss Universe 2023 ที่ แอน ถือลิขสิทธิ์อยู่ในมือนั้น ยังคงดำเนินการตามปกติ โดยจะจัดขึ้นใน วันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 ภายใต้การรับหน้าที่เจ้าภาพของ รัฐบาลเอลซัลวาดอร์

งานนี้ทำเอาจักรวาลสะเทือนถึงขนาดที่จะมีการฟ้องร้องผู้ที่เจตนาปล่อย Fake News นี้

ยังไม่พอ ยังมีการขยี้ย้ำหวังจะซ้ำให้จมดิน ด้วยข่าวการเทขายหุ้น JKN ซึ่งถ้ามองแต่พาดหัวข่าว อาจจะแฝงเจตนาที่ชวนให้คิดว่า คงไปต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงขนาดต้องเทหุ้นออกมาขายแบบนี้

ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว ความผันผวนของตัวเลขหุ้น JKN ในมือของ แอน นั้น มีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ก็เป็นกลไกปกติของตลาดอยู่แล้ว มีขึ้น มีลง มีได้มา มีขายไป

สรุปความก็คือ แอน ขายหุ้นในส่วนของตัวเอง จำนวน 92 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 116 ล้านบาท!!

แต่ก็มีการได้รับโอนหุ้นเพิ่มเติมเช้ามาอีก 77 ล้านหุ้น ซึ่งระบุว่า “เป็นการได้มา ‘โดยเสน่หา’”

เมื่อนำมาหักลบกันแล้ว ก็เท่ากับว่า ณ ปัจจุบัน แอน มีหุ้น JKN อยู่ในมือ จำนวน 392,287,682 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 38 %

นั่นหมายถึงว่า แอน ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ JKN อยู่ ทำให้อำนาจการบริหารยังคงไม่ถูกเปลี่ยนมือ

“ดิฉันยืนยันว่า ดิฉันยังยืดหยัดบริหาร JKN และยังถือครองหุ้น JKN กว่า 38% ส่วนเรื่องหุ้นกู้นั้น บริษัทฯ JKN มีแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว โดยได้ปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายและบริษัทผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย”

ท่ามกลางข่าวลือ ข่าวลวงที่เกิดขึ้น ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการดิสเครดิตครั้งยิ่งใหญ่ ที่ JKN กำลังเผชิญ โดยไม่รู้ว่าเป็นน้ำมือของใคร!?!

เพราะเพียงแค่ความเพลี่ยงพล้ำในครั้งแรกนั้น กลับนำพามาสู่การเจตนาทำร้ายล้าง ราวกับตั้งใจจะสกัดหนทางของ แอน ไม่ให้ – เจิดจรัสจักรวาล - อย่างที่ประกาศกร้าวไว้ ซึ่งแน่นอนว่าข่าวในเชิงลบที่ถูกปล่อยออกมาแปบรัวๆ อย่างนี้ ย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท ความเชื่อมั่นในตัวของผู้บริหาร และแน่นอนว่า ย่อมส่งผลไปถึงการพิจารณาของบรรดาคู่ค้า ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรทั้งรายใหญ่ รายย่อย หรือแม้กระทั่งสปอนเซอร์ โดยเฉพาะเป็นเรื่องของการขายงานระดับจักรวาลแบบนี้ด้วย

คำถามก็คือ ใครอยู่ ‘เบื้องหลัง’ งานนี้?

แน่นอนว่าในทุกแวดวง ย่อมต้องมีคู่แข่งทางธุรกิจที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ ยิ่งการต่อสู้เข้มข้นเท่าไหร่? วิธีการ และกลยุทธ์ต่างๆ ก็จะยิ่งถูกงัดออกมาใช้มากขึ้นเท่านั้น

เพราะในเกมธุรกิจ ไม่มีที่ยืนสำหรับคนแพ้!!

ก็ต้องมาดูว่าใครที่ได้ผลประโยชน์จากข่าวคราวในเชิงลบของ แอน และ JKN !?!?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top