Monday, 19 May 2025
NewsFeed

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีมอบธงและใบประกาศเกียรติคุณ GLP ให้สถานประกอบกิจการ ที่มุ่งมั่นนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีมาบริหารจัดการ

กระทรวงแรงงานจัดพิธีมอบธงสัญลักษณ์และใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการ และเขตอุตสาหกรรมที่นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (good labour practices: GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงานซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะเป็นประธานในพิธีมอบธงสัญลักษณ์และใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการ และเขตอุตสาหกรรมที่นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (good labour practices: GLP) ไปใช้ ณ ศูนย์การค้า Terminal 21 จังหวัดนครราชสีมา ว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการให้นำนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ นโยบายของรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศ โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานให้ดีขึ้น 

จึงกำหนดนโยบายผลักดันและยกระดับการบริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการให้มีมาตรฐานเพื่อมุ่งสู่งานที่มีคุณค่า (Decent Work) และส่งเสริมให้มีการพัฒนาแรงงานที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายสากล กระทรวงแรงงานจึงกำหนดนโยบายเพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย ได้กำหนดมาตรการถอดรายการสินค้าออกจากรายการที่ถูกขึ้นบัญชีการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ โดยการส่งเสริมการจัดทำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices: GLP) ในอุตสาหกรรมกุ้ง อาหารทะเล และอุตสาหกรรมเรือประมง ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาองค์กรให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี อันนำไปสู่การเสริมสร้างความสามารถทางการค้าของประเทศไทย และเป็นการแสดงออกถึงการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม สามารถเพิ่มโอกาสทางการค้าและภาพลักษณ์ที่ดีแก่ผู้ประกอบการ ในยุคที่กระแสความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 

นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการที่ช่วยกันขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ในด้านการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการค้ามนุษย์

ซึ่งปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการที่นำแนวปฏิบัติ การใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน จำนวน 21,787 แห่ง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตลูกจ้าง 1,337,142 คน โดยในวันนี้ได้มอบธงสัญลักษณ์และใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการจำนวน 138 แห่ง เพื่อประกาศเกียรติคุณและยกย่องสถานประกอบกิจการและเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดนครราชสีมาที่มุ่งมั่นในการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีมาใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงาน ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถเป็นต้นแบบให้กับสถานประกอบกิจการอื่นนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม

นายกฯ หวั่น สถานการณ์ 'เมียนมา'รุนแรง สั่งเกาะติด-ประเมินสถานการณ์ และเตรียมแผนรองรับ

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุมสภากลาโหม โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ซึ่งเน้นย้ำเรื่องการดูแลพื้นที่ชายแดน โดยให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและ เหล่าทัพ บูรณาการการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ฝ่ายปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างประสานต่อเพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายควบคู่ไปกับการบำรุงความต่อเนื่องการสนับสนุนการตรวจคัดกรองประชาชนที่เดินทางเข้ามาในประเทศต่างๆทางน้ำทางอากาศและให้ประเมินสถานการณ์ด้านชายแดนไทยเมียนมาอย่างใกล้ชิดและให้ทุกหน่วยเตรียมแผนการรับรองผู้ที่จะได้รับผลกระทบซึ่งอาจจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

 

กลาโหม ย้ำ ไม่ปิดกั้น ทหารแสดงความเห็นการเมือง วอนใช้ดุลพินิจ และคำนึงหน้าที่ของทหาร

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกกระทรวงกลาโหม  กล่าวถึงกรณีถึงนายทหารยศ "ร้อยโท" สังกัดสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก เข้าไปแสดงความคิดเห็นคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก สนับสนุนการกระทำของ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ที่ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ ว่า เราไม่ได้ปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดของทหาร แต่การแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียหรือสังคมให้ใช้ดุลพินิจเนื่องจากเป็นข้าราชการ การโพสต์ข้อความอะไรลงไปขอให้ใช้ดุลพินิจ ไม่กระทำการเป็นลบกับองค์กรหรือการเป็นข้าราชการที่ดีที่เราได้พยายามเน้นย้ำและการรับรู้รับทราบข้อมูลของใช้ดุลพินิจ เนื่องจากบางครั้งได้ข้อมูลมาไม่ถูกต้องและนำไปส่งต่อในส่วนของรัฐเองที่มีหน้าที่ในการดูแลป้องกัน ขณะที่ทหารดูแลด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ทหารก็ต้องทำหน้าที่ของทหาร

กลาโหม ย้ำ ตรวจเลือก “ทหารเกณฑ์” เน้นทัศนคติที่ดี ต่อสถาบันชาติ - ศาสนา - พระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.วีรยุทธ์ น้อมศิริ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม  แถลงผลการประชุมสภากลาโหม โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ซึ่งในที่ประชุมได้กำชับเรื่องการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการ 2564 ในเดือนเมษายน ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ กําหนดการตรวจเลือกเกณฑ์ทหาร ให้เป็นไปด้วย ความเรียบร้อย โดยพิจารณาทั้งในด้านสถานที่ จํานวน ทหารกองเกินที่เข้ารับการตรวจเลือก และห้วงเวลาในการ ดําเนินการที่เหมาะสม รวมทั้งเรื่องทัศนคติของผู้สมัครที่ต่อสถาบันหลักของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

พร้อมให้คํานึงถึงมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กระบวนการตรวจเลือก จะต้องยังคงไว้ ซึ่งความยุติธรรมและโปร่งใส เพื่อคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เข้ามาเป็นทหารกอง
 

ผู้ปกครองแห่แจ้งความเอาผิดผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ภายหลังชักปืนข่มขู่จ่อหัวนักเรียน ขณะที่เจ้าตัวอ้างไม่ใช่ปืนจริงเป็นแค่ปืนยิงนก

ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี รวมตัวกันกว่า 20 คน เดินทางเข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ภายหลังมีนักเรียนชั้น ป.4 และ ป.5 รวม 4 คน ระบุว่าถูกผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ปืนจ่อหัว ขณะนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

การเจรจาครั้งนี้มี นายสันทัศน์ รันดาเว นายอำเภอหนองโดน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหนองโดน เป็นคนกลางเข้าเจรจา ระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียนและกลุ่มผู้ปกครอง

แต่ก็ยังไม่ได้รับการชี้แจงจากทางผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด ทำให้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ปกครองของนักเรียน 3 คนที่ถูกกระทำ จึงชักชวนกันไปแจ้งความที่ สภ.หนองโดน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกเหนือจากร้องเรียนเอาผิดทางวินัย

จากการสอบถามนักเรียนที่ถูกกระทำดังกล่าว ต่างก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด หรือมีความขัดแย้งกับผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด และไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ปืนจ่อหัวในครั้งนี้

ส่วนความคืบหน้าล่าสุด ต้นสังกัดของโรงเรียนที่เกิดเหตุ คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรีเขต 1 ได้ มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนรายนี้ย้ายออกจากพื้นที่แล้ว โดยให้ไปทำหน้าที่ที่สำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรี มีผลตั้งแต่วันนี้หรือวันที่ 25 มีนาคม เป็นต้นไป จนกว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น

.

ที่มา: https://www.bugaboo.tv/news/548391?fbclid=IwAR1cGIbI0-SIKz6FISghs3B6SemTNQPS268Mw-XvcF42993bsX5K_D3bzX0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

รัฐบาลอังกฤษ นำโดยนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ได้ออกกฎใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ทั่วเกาะอังกฤษ ให้สถานที่ราชการทุกแห่งในอังกฤษ เวลส์ และ สก็อตแลนด์ ต้องเชิญธงชาติอังกฤษทุกวัน เพื่อปลุกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในความเป็นชาวอังกฤษ

โดยปกติธงชาติอังกฤษจะมีการเชิญสู่ยอดเสาในสถานที่ราชการเฉพาะช่วงวันสำคัญเท่านั้น อาทิ วันเฉลิมพระชนม์พรรษา สมเด็จพระราชินีนาถอลิซเบธที่ 2 ซึ่งในแต่ละปีจะมีพิธีเชิญธงประมาณ 20 วัน

แต่หลังจากที่อังกฤษได้ Brexit ออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปโดยสมบูรณ์แล้ว จึงต้องการที่จะปลุกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในชาติอังกฤษให้คืนกลับมา โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอให้เชิญธงชาติอังกฤษเป็นประจำทุกวันนับจากนี้ เพื่อให้ธง Union Jack เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ

ขณะเดียวกันหากบางสถานที่ราชการมีเสาเชิญธง 2 เสา ที่บางโอกาสต้องเชิญธงสัญลักษณ์มากกว่า 1 ผืน ก็ต้องให้ธงอังกฤษอยู่สูงกว่าธงชาติอื่นเสมอด้วย

สำหรับธง Union Jack ของอังกฤษ เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1606 ในสมัยพระเจ้าเจมส์ ที่ 1 ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถของไทย ที่ออกแบบโดยการรวมเอาธงชาติอังกฤษ, สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ ไว้ด้วยกัน และใช้เป็นธงชาติของสหราชอาณาจักรมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนเรื่องระเบียบพิธีการเชิญธงอังกฤษเคยมีการถกเถียงกันในสภาอังกฤษมาก่อนในช่วงปี 2008 โดยนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ แห่งพรรคแรงงาน ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐแต่ละแห่งตัดสินใจกันเองว่าช่วงเวลาไหน วันไหน ที่จะเชิญธงชาติขึ้นที่หน้าสำนักงาน โดยไม่จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับ

แต่พอมาถึงสมัยของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน จากพรรคอนุรักษ์ ผู้เป็นแกนนำในการพาอังกฤษออกจากสมาชิกภาพ EU ได้สำเร็จ ต้องการดึงความรู้สึกรัก และความภาคภูมิใจในชาติผ่านสัญลักษณ์ธงชาติ ที่ควรมีการเชิญขึ้นสู่ยอดเสาในสถานที่ราชการทุกแห่งเป็นประจำทุกวัน ทั้งอังกฤษ เวลส์ และ สก็อตแลนด์ ที่ยังมีประเด็นการเคลื่อนไหวเพื่อแยกประเทศออกจากสหราชอาณาจักร

แต่ระเบียบข้อบังคับนี้ ยังไม่ครอบคลุมถึงฝั่งไอร์แลนด์เหนือ ที่ยังคงให้สิทธิ์แก่รัฐบาลท้องถิ่นในการตัดสินใจเรื่องระเบียบการใช้ธงชาติเอง

อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทางผู้แทนฝ่ายพรรคชาติสก็อต หรือ SNP ที่แสดงความไม่เห็นด้วยเรื่องกฏระเบียบการเชิญธงชาตินี้ อย่างเผ็ดร้อนว่า “รัฐบาลพรรคอนุรักษ์น่าจะเน้นเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนมากกว่าจะมาวุ่นวายเรื่องการเชิญธงชาติ และต่อให้มีธง Union Jack ติดให้เห็นทุกเสาไฟฟ้า ก็ไม่ได้ช่วยให้กระแสการต้องการแยกประเทศของชาวสก็อตแลนด์ลดน้อยลงแต่อย่างใด และชาวเวลส์ก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน”

ถึงกระนั้นฟากรัฐบาลอังกฤษ ก็ยังคงมั่นใจในนโยบายเรื่องธงชาติ เพราะเชื่อว่าชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากโหยหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และธง Union Jack ก็มีประวัติศาสตร์อันยานนาน ผ่านร้อน ผ่านหนาวคู่กับชาวอังกฤษมาหลายยุคสมัย ที่ทำให้ชาวอังกฤษได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศ

ก็คงต้องมาดูว่าชาวอังกฤษส่วนใหญ่จะคิดเช่นเดียวกับรัฐบาลหรือไม่ เมื่อเห็นธงชาติโบกสะบัดไหว บนยอดเสาในทุกๆ วันนับจากนี้

.

อ้างอิง

https://www.bbc.com/news/uk-politics-56514501

https://www.theguardian.com/politics/2021/mar/24/government-buildings-to-fly-union-jack-every-day-under-new-rules

https://www.euronews.com/2021/03/24/union-jack-flag-must-be-flown-on-all-government-buildings-uk-decrees


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ศบศ. ไฟเขียวเปิดประเทศเร็วขึ้น นำร่องภูเก็ต จังหวัดแรก ให้เปิดรับต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 1 เม.ย.นี้ ระบุ ไม่ต้องกักตัว แต่ให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนดช่วง 7 วันแรก คาดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยราว 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ ศบศ.ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว และมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ

โดยจะเริ่มนำร่องตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ ที่จังหวัดภูเก็ตก่อน โดยไม่ต้องกักตัว แต่ให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนดไว้ 7 วัน จากนั้นจึงเดินทางออกไปเที่ยวได้ทั่วประเทศ เบื้องต้นประเมินว่า จะทำมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยได้ประมาณ 1 แสนคน

ทั้งนี้ที่ประชุม ศบศ. ได้มอบหมายให้ ททท.ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจน เช่นเดียวกับแผนการกระจายวัคซีน เพื่อให้เกิดความแน่ใจให้กับประชาชนและบุคลากรในพื้นที่

รวมไปถึงการยกระดับภูเก็ตเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ จากนั้นจึงนำเสนอ ศบค. ชุดใหญ่เห็นชอบแนวทางการดำเนินงาน ภายใน 1 เดือน จากนั้นจึงเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบตามขั้นตอนต่อไป

นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า "ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว หลังจากได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดมานานกว่า 1 ปี ซึ่งการเปิดประเทศได้เร็ว จะทำให้อย่างน้อยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ สทท. จะไปหารือกับสมาชิก เพื่อหาทางขับเคลื่อนการทำงานต่อไป"


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ใบไม้แลกเงิน เชียงใหม่ผุดไอเดียขายใบไม้โลละ 2 บาท นำร่อง 34 หมู่บ้าน หวังช่วงลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

สมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่เกิดขึ้น ทางศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปันหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ได้หาทางจัดการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการชิงเผา การบริหารจัดการเชื้อเพลิง การเฝ้าระวังและจัดเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟป่า แต่ในปีนี้ มีไฮไลท์สำคัญ เพราะนอกเหนือจากการเฝ้าระวังไฟป่าแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงินได้จริ

ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวได้ดำเนินการนำร่องไปแล้วทั้งหมด 34 หมู่บ้าน ในอำเภอต่าง ๆ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใบไม้ที่นำมานั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นใบไม้ที่มาจากพื้นที่ป่า แต่เป็นใบไม้ที่ถูกจัดเก็บมาจากพื้นที่การเกษตรก็ได้ เช่น สวนลำไย นาข้าวและอื่น ๆ เมื่อได้ใบไม้มาเป็นจำนวนมากตามที่ต้องการ ก็เข้าสู่กระบวนการอัดให้เป็นก้อน ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จากนั้นก็นำไปจำหน่ายที่จุดรับซื้อ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บัญชาการฯ หมายเลขโทรศัพท์ 053-112808

สำหรับใบไม้ที่นำมาจำหน่ายจะมีมูลค่ากิโลกรัมละ 2 บาท โดยเริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 - 24 มีนาคม 2564 ขณะนี้ได้ใบไม้อัดแท่งแล้วจำนวน 16.69 ตัน และมีความต้องการของบริษัทฯ ผู้รับซื้อสูงถึงจำนวน 50 ตัน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนใบไม้ที่หาได้ ซึ่งการรับซื้อใบไม้ดังกล่าว ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงนี้ และยังเป็นการลดเชื้อเพลิงที่จะถูกเผาในพื้นที่ป่า ลดเชื้อเพลิงจากพื้นที่การเกษตร และจากการเผาของชาวบ้านในแหล่งชุมชน ที่จะส่งผลทำให้เกิดมลพิษในอากาศ เมื่อสะสมจำนวนมากก็จะทำให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานด้วย

ทั้งนี้หากในอำเภออื่น ๆ นอกเหนือจาก 34 หมู่บ้าน ต้องการดำเนินการรับซื้อขายใบไม้ก็สามารถทำได้ โดยสามารถอัดให้เป็นก้อนและนำมาจำหน่ายได้เช่นกัน หรือหากใครไม่มีเครื่องอัดใบไม้ ก็ให้นำใบไม้ใส่ไว้ในกระสอบ ใส่ถุง หรือบรรทุกด้านหลังรถยนต์กระบะ แล้วเดินทางไปพบกับเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ โดยปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ มีเครื่องอัดใบไม้ให้บริการจำนวน 2 เครื่อง และจะหมุนเวียนไปตามแต่ละอำเภอ เพื่อให้บริการกับพี่น้องประชาชน เมื่อบีบอัดใบไม้และมีการชั่งน้ำหนักที่จุดดังกล่าวแล้ว ก็จะได้รับเงินตามจำนวนใบไม้ที่นำมา

.

ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/local/462015?fbclid=IwAR2DDbOkrwDZev4V4lPkZfGRyYzC33AMRiLfU2EiKmJsr_UfvtZRFZyUveQ


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หรือ KMITL ผนึกต่างชาติ เปิดตัว ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันโปรแกรมเมอร์แห่งแรกของไทย และแห่งที่ 3 ของเอเชีย ใต้แนวคิดเก๋ ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ เร่งผลักดันนโยบาย ‘ส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์’ (Coding) ภายใต้ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยนวัตกรรม (Digital Disruption) ที่มุ่งปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อีกทั้งสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานยุคดิจิทัลได้เต็มศักยภาพ สู่การมีทักษะสำคัญอย่างน้อย 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล คิดเชิงคณิตศาสตร์ และการแก้ไขปัญหาอย่างมีหลักการ 
.
โดย สจล. ถือเป็นต้นสถาบันการศึกษาแห่งอนาคตของไทย ที่มีหัวคิดทันสมัยและปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ภายใต้ความร่วมมือของ ‘เอกอล 42’ (Ecole42) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับโลก เพื่อพัฒนาคนคุณภาพด้านโปรแกรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล อันสอดรับกับนโยบายดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม 
.
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล. เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสของการมี ‘ซุปเปอร์โปรแกรมเมอร์’ เนื่องจากอาชีพดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์อาชีพที่เป็นที่ต้องการจากทุกองค์กรทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล 
.
ดังนั้น การจัดตั้ง ‘42 บางกอก’ (42 Bangkok) สถาบันปั้นโปรแกรมเมอร์ระดับหัวกะทิ แห่งแรกอาเซียน และที่ 3 ของเอเชีย ถือเป็นสนามปั้นสุดยอดโปรแกรมเมอร์ ระดับซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) ภายใต้มาตรฐานการสอนเดียวกับสถาบันต้นกำเนิดจากกรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่ฉีกทุกกฎการเรียนรู้แบบไร้ข้อจำกัด ‘ไม่มีอาจารย์ ไม่มีปริญญา ไม่มีค่าเทอม’ นับเป็นจุดเปลี่ยนแรกของการศึกษาไทย ที่เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดโลกการทำงานระดับสากล ภายใต้เครือข่ายเอกอล 42 ทั่วโลก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะรูปแบบการสอนเดิมเท่านั้น แต่สามารถก้าวสู่โลกการทำงานสายดิจิทัลได้อย่างมืออาชีพ ตอกย้ำการเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง (Change Maker) ของ สจล. อย่างแท้จริง
.
ด้าน ผศ.ดร.ชัยยันต์ เจตนาเสน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ Executive Director of 42 Bangkok กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘42 บางกอก’ มีการเรียนการสอนในรูปแบบ Project Based Learning ที่เน้นการเรียนรู้จริงปฏิบัติเป็น และแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ผ่านการฝึกคิดแก้โจทย์จริงจากภาคธุรกิจชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์-เทคโนโลยี แบบเป็นขั้นตอน ซึ่งจะไต่ระดับจากง่ายไปยากใน 21 ระดับ โดยการเรียนในระยะแรก ผู้เรียนจะต้องเรียนการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และเมื่อเลื่อนขั้นแล้ว ผู้เรียนจะสามารถเลือกทำโปรเจกตามความสนใจ ซึ่งในบางระดับต้องไปฝึกงานเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในสนามจริง
.
ทั้งนี้ เมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จในแต่ละระดับ จะมีคะแนนสะสมเพื่อขอเลื่อนขั้นในระดับต่อไปได้ จนกระทั่งจบการศึกษาภายในระยะเวลา 2-4 ปี เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริง โดยจะปูพื้นฐานด้วยภาษา C และ C++ พร้อมเพิ่มพูนทักษะด้วย Python Javascript เพื่อสร้างเว็บไซต์ หรือกระทั่งทำงานออกแบบเว็บไซต์ (Design) ให้มีฟังก์ชันที่รองรับการงานรูปแบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
“เพราะการเรียนที่ 42 บางกอก เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีอาจารย์สอน ไม่กำหนดเวลาเรียน ดังนั้น กระบวนการคัดเลือกผู้เรียนจึงมีการทดสอบแบบเข้มข้นใน 3 ด่านสำคัญ คือ ทดสอบออนไลน์ (Online Test) เพื่อวัดว่ามีตรรกะด้านการเขียนโปรแกรม ยืนยันสิทธิ์ (Check In) และ ด่านสุดท้าย ทำค่ายโปรเจก เวิร์คชอป (Piscine) การทำงานร่วมกันเป็นทีมแบบ 24/ 7 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่าการเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี ในคณะสายคอมพิวเตอร์ สำหรับในรอบนี้จะคัดเลือกในแต่ละกลุ่มเพียง 150 คน เพื่อเป็นนักศึกษาตัวจริงที่จะได้เรียนใน 42 บางกอก” ผศ.ดร.ชัยยันต์ กล่าว
.
สำหรับคุณสมบัติของผู้เรียนค่อนข้างเปิดกว้าง โดยเป็นบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศ มีอายุอย่างน้อย 18 ปี ไม่ต้องมีวุฒิการศึกษาหรือเคยเรียนเขียนโปรแกรมมาก่อน ขณะเดียวกัน คนที่กำลังศึกษาด้านอื่นหรือทำงานอยู่ก็สามารถเรียนควบคู่ไปได้ และเมื่อเข้ามาเรียนได้ก็สามารถกำหนดรูปแบบการเรียนด้วยตนเองได้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน 42 บางกอก อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้เรียนเข้าศึกษาต่อในเทอมแรก ซึ่งมีผู้สมัครจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่า 1,600 คน ครอบคลุม 81 ประเทศ โดยจะเริ่มเรียนในเดือน กรกฎาคม 2564 
.
ใครสนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ www.42bangkok.com หรือติดต่อ สำนักงานกิจการต่างประเทศ สจล. โทรศัพท์ 02-329-8140 เว็บไซต์ https://oia.kmitl.ac.th, www.kmitl.ac.th หรือ https://m.facebook.com/42Bangkok/
.
ที่มา: https://techsauce.co/news/kmitl-open-42-bangkok-thailand-first-programmer-institute?fbclid=IwAR0Iig2VvOpjYrLGfj5OKuolswfdisBuBGnkcU2apg_CFDDqdC-hLcnfSr0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ตั้งเป้า 2 ปี ดันประเทศไทยติด 1 ใน 10 “ดูอิ้ง บิสเนส”

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับทุกส่วนราชการเพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสำหรับการประกอบธุรกิจในประเทศไทยของธนาคารโลก (ดูอิ้ง บิสเนส) โดยได้ตั้งเป้าหมายการทำงานภายในปี 65 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องติด 1 ใน 10 ประเทศแรกของโลกที่ได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการจัดตั้งธุรกิจตามการจัดอันดับของธนาคารโลกให้ได้ จากปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 21 จากการจัดอันดับประเทศสมาชิกของธนาคารโลก ทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก  

“ได้สั่งการในเรื่องของการเชื่อมโยงระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ ในส่วนที่เป็นเนชั่นแนล ซิงเกิล วินโดว์ ที่ได้วางระบบไว้แล้วของทุกส่วนให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้จริงภายในเดือน กันยายนนี้ เพื่อให้ขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง มีความรวดเร็วมากขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ เช่นระบบศุลกากร ที่จะต้องขับเคลื่อน โดยจากการรับทราบข้อมูลก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง จึงได้มีการเร่งรัดงานทุกด้าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ด้วย”

สำหรับการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ที่เป็นการปฏิรูปการทำงานในเรื่องของการทำธุรกิจในประเทศไทย แบ่งเป็น 11 ด้าน คือ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการขอใช้ไฟฟ้ายกเลิกการเรียกเก็บหลักประกันการใช้ไฟฟ้าจากผู้ขอใช้ไฟฟ้ารายใหม่ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ด้านการชำระภาษี ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงโดยเพิ่มช่องทางการเข้าซื้อทรัพย์ของกรมบังคับคดี หรือสำนักงานบังคับคดีจังหวัดหรือสาขา ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย และด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top