Saturday, 5 July 2025
NewsFeed

อดีต - ปัจจุบัน มองวิวกรุงเทพ จากมุมเดียวกัน ผ่านห้วงเวลา 100 ปี ณ ยอดภูเขาทอง

วิวกรุงเทพจากภูเขาทอง
มุมเดียวกัน ห่างกัน 100 กว่าปี

ภาพบน
วิวกรุงเทพจากภูเขาทองที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่แอดเคยเห็น
สะพานผ่านฟ้ายังไม่มี
ถนนราชดำเนินยังไม่สร้าง
(ถนนราชดำเนิน เริ่มสร้างปี พ.ศ. 2442)

‘ดีพร้อม’ ขยายผล นโยบาย ‘ดีพร้อมแคร์’ ปั้นรายได้ภาคใต้ตอนบนแล้วกว่า 269 ลบ. 

(29 เม.ย. 65) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค ผ่านการดำเนินนโยบายดีพร้อมแคร์ (DIPROM CARE) ยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และการส่งเสริมการตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนมีความพร้อมในทุกมิติ ชูตัวอย่างผลสำเร็จการส่งเสริมผู้ประกอบการทุกระดับผ่านการดำเนินงานของศูนย์ดีพร้อมเซ็นเตอร์ 10 (DIPROM CENTER 10) อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรชุมชน การยกระดับและเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการประมงในการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนเพิ่มขึ้น 15 เท่าจากงบประมาณที่ได้รับคิดเป็นมูลค่ากว่า 269 ล้านบาท

ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องกระจายการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับเศรษฐกิจภูมิภาค อันจะเป็นฟันเฟืองที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบแนวทางให้ ดีพร้อม เร่งขับเคลื่อนภายใต้นโยบายดีพร้อมแคร์ (DIPROM CARE) ที่ได้ปรับประยุกต์การดำเนินการให้สอดคล้องบริบทของพื้นที่ โดยการปรับศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 เป็น ‘ดีพร้อมเซ็นเตอร์ 10’ (DIPROM CENTER 10) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในพื้นที่ที่ส่งเสริมผู้ประกอบการอย่างเข้มข้นในทุกระดับมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้กระจายการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนจนสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 269 ล้านบาท คิดเป็น 15 เท่าจากงบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย…

>> ยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ ผ่านการดำเนินโครงการสำคัญ อาทิ โครงการสร้างเครือข่ายผู้นำธุรกิจพันธุ์ดีพร้อม (DIPROM HEROES) สร้างเครือข่ายผู้นำในชุมชนได้กว่า 25 ราย โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) หรือ DIPROM MINI MBA ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการพร้อมกับสามารถสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการให้มีเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ สร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ให้มีโอกาสทางธุรกิจผ่านการอบรมเชิงลึกในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการปูพื้นฐานไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีศักยภาพ

>> เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ผ่านการดำเนินการของศูนย์แปรรูปเกษตรอุตสาหกรรมและศูนย์ออกแบบดีพร้อมที่มุ่งเน้นการให้บริการเครื่องจักร เพื่อยกระดับกระบวนการผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดอย่างครบครัน ทั้ง 13 ศูนย์ทั่วประเทศ กระจายตัวอยู่ทุกภูมิภาคเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใช้บริการ รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี AI ในทุกกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมให้เข้าถึงเครื่องจักรกลที่ทันสมัย 

>> พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ของชุมชนให้แสดงถึงอัตลักษณ์และสามารถเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่

กทม. ประกาศพร้อมจัดการเลือกตั้ง เล็งถก ศบค. หาแนวทางให้คนติดโควิดได้เลือกตั้ง

กทม.พร้อมจัดการเลือกตั้ง เตรียมหารือ ศบค. แนวทางดำเนินการสำหรับผู้มีสิทธิที่ติดโควิด-19

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 65 นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมการเตรียมเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ณ สำนักงานเขตดินแดง และสำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย โดยมีนายสมชัย สุรกาญจน์กุล ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร และคณะ พร้อมผู้เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่

ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ในการตรวจความพร้อมการเตรียมเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแผนงานที่วางไว้ ได้แนะนำเรื่องการเพิ่มชื่อ-ถอนชื่อ การดูแลประชาชนที่มาติดต่อราชการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ระมัดระวังปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิมาใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงจะมีการจัดทำเว็บไซต์ที่แจ้งรายละเอียดของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าตนจะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่ไหนเพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงสมัครเป็นสมาชิกสำนักงานแห่งหนึ่ง อ้างมีสิทธิพิเศษต่างๆ หลอกลวงเรียกค่าสมัครและค่าอื่นๆ ในหลายพื้นที่

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยตามกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอ แก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงสมัครเป็นสมาชิกสำนักงานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งขึ้นมาเอง อ้างมีสิทธิพิเศษต่างๆ โดยเรียกเก็บค่าสมัครและค่าอื่นๆ มีประชาชนที่ได้รับความเสียหาย มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท

จากกรณีดังกล่าวมีประชาชนในพื้นที่ จว.บุรีรัมย์ ได้เข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวน สภ.พุทไธสง จว.บุรีรัมย์ เมื่อเดือน ธ.ค.64 เพื่อดำเนินคดีกับแก๊งมิจฉาชีพที่ได้หลอกลวงให้ได้รับความเสียหายรวมมูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท จากนั้นพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาในคดีทราบจำนวน 3 ราย ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน  และได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีและผู้ต้องหาไปยัง พนักงานอัยการ จว.บุรีรัมย์ ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.64 เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว โดยมีพฤติการณ์แห่งคดีมิจฉาชีพได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิกสำนักงานแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ชัยบาดาล จว.ลพบุรี ซึ่งตั้งขึ้นมาเอง พร้อมอ้างว่าจะได้รับการช่วยเหลือ มีสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งผู้สมัครจะต้องเสียค่าสมัครรายละ 1,500 บาท ค่าตัดชุดประจำตำแหน่งชุดละ 1,800 บาท ค่าบัตรสมาชิก 200 บาท รวมถึงอ้างว่าจะได้เงินเดือนๆละ 5,000 บาท หากเสียชีวิตก็จะมีค่าปลงศพให้สมาชิกอีกรายละ 60,000 บาท  ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อไปสมัครเป็นจำนวนหลายราย สร้างความเสียหายห้วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส 

ในทางคดีขณะนี้ทางสำนักงานอัยการ จว.บุรีรัมย์ ได้มีหนังสือให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนประเด็นในคดีเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาของทางอัยการ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยถึงปัญหาและภัยจากการหลอกลวงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเกิดเสียหายได้อย่างรวดเร็ว เป็นวงกว้าง จึงกำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงแนวทางป้องกัน หากมีการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลโดยได้สั่งการและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้สร้างการรับรู้ถึงภัยการหลอกลวงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ให้ทำการสืบสวนสอบสวน ปราบปรามอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม การหลอกลวงลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเป็นการตอกย้ำพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หากมีการชักชวนผ่าน  สื่อสังคมออนไลน์ยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยประชาชน ขอให้ตรวจสอบข้อมูลลักษณะดังกล่าวให้ดี โดยปกติแล้วจะไม่มีองค์กรที่ดำเนินการในลักษณะนี้ ที่อ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือไม่ให้ถูกจับกุมเมื่อกระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีอยู่จริง รวมถึงขอฝากแนวทางการหลีกเลี่ยงป้องกันการถูกหลอกลวงจากแก๊งมิจฉาชีพในทุกรูปแบบ อาทิ การฉ้อโกง การหลอกลวงให้ลงทุน โดยเฉพาะกรณีที่หลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ดี หลีกเลี่ยงข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นไปได้หรือมีเงื่อนไขในลักษณะที่ได้ผลตอบแทนสูง ง่าย ไม่ซับซ้อน  หากได้รับความเสียหายให้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สลิปการโอนเงิน ข้อมูลการติดต่อ ทั้งภาพนิ่งหรือคลิปวีดีโอ เพื่อแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

'ตร.' สั่ง ผบช.ภ.1 รายงานชี้แจง เหตุนำภาพผิดมาประกอบการแถลงข่าว คดีแตงโม ยืนยันไม่มีผลต่อสำนวนในคดี เพียงแค่ต้องการสื่อให้ ประชาชนเข้าใจง่าย

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. ได้ชี้แจงถึง กรณีที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้แถลงสรุปสำนวนการสอบสวนคดีแตงโม-ภัทรธิดา หรือนิดา พัชรวีระพงษ์ พลัดตกเรือสปีดโบ๊ต และอาจมีความคลาดเคลื่อนเรื่องการนำเสนอด้วยวีดิทัศน์ประกอบการแถลงข่าว

เรื่องนี้ ได้รับคำยืนยันจาก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) ว่าวีดิทัศน์ที่มีการนำภาพผิด มาใช้ประกอบนี้ ไม่ได้อยู่ในสำนวนการสอบสวนที่ส่งมอบให้กับพนักงานอัยการ แต่การจัดทำวีดิทัศน์นี้ทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการแถลงข่าว เพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

'ผบ.ตร.' นำมวลชนปลูกจิตสำนึก 'เฉลิมพระเกียรติ' จิตอาสารักษ์ป่าชายเลนหาดท่าหลา ภูเก็ต

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2565 ที่บริเวณ ป่าชายเลนหาดท่าเฉลิมพระเกียรติ หมู่ 2 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ประธานในพิธี พร้อมด้วย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้  ในโครงการ "จิตอาสารักษ์ป่าชายเลนหาดท่าหลาเฉลิมพระเกียรติ" เพื่อระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยภายในงานมี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายเอกชน ข้าราชการ นักเรียนนักศึกษา และประชาชนจิตอาสา รวมกันกว่า 3,000 คน เข้าร่วม

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมจิตอาสารักษ์ป่าชายเลนหาดท่าหลาเฉลิมพระเกียรติ ทางสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สมาคมชาวภูเก็ต ได้ร่วมกันจัดโครงการดังกล่าวเพื่อระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ตามพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษาและต่อยอดพระราชกรณียกิจของพระราชบิดา ผสานร่วมกับแนวคิดเรื่องจิตอาสา ทั้งยังเป็นการดำเนินกิจกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเป็นการสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่มีความคิดริเริ่มมาจากจิตสำนึกที่ดีที่ต้องการจะฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ผสานกับหลักคิดที่ว่า เราทำความดีด้วยหัวใจ ถือเป็นโครงการที่มีหลายภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและประเทศชาติ ทำให้พื้นที่ป่าในบริเวณป่าชายเลนหาดท่าหลาเฉลิมพระเกียรติมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติให้แก่ประชาชนและเยาวชนในพื้นที่ต่อไป

ทั้งนี้ภายในงานได้จัดให้มีกิจกรรมปลูกต้นไม้จำนวน 2,500 ต้น มีการเก็บขยะมูลฝอยและการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในพื้นที่ เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ บนพื้นที่ ป่าชายเลนหาดท่าหลาเฉลิมพระเกียรติ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นป่าธรรมชาติ 

รออีกไม่นาน!! สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ อลังการคู่ขนานสะพานพระราม 9

รอยลโฉม สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ ที่คู่ขนานสะพานขึงพระราม9

เป็นส่วนหนึ่งของทางด่วนสายพระราม3- ดาวคนอง-วงแหวนรอบนอก 

ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางถนนพระราม 2

กำหนดเปิดใช้งาน พ.ศ. 2567

ถ่ายภาพ 26 มกราคม พ.ศ. 2565


ที่มา : https://web.facebook.com/photo/?fbid=499214318228898&set=a.242244413925891


👍มาหลงกรุงไปด้วยกันได้ที่ : https://thestatestimes.com/tag/หลงกรุง

มองมุมไหนก็งดงาม!! ‘ภูเขาทอง’ ตระหง่านล้ำเหนือกาลเวลา เสริมความงามผ่านฉากหลัง ‘ปักษาวายุภักษ์’

ภูเขาทอง กับฉากหลัง ปักษาวายุภักษ์บนตึกกระทรวงการคลัง ที่อารีย์

เสริมความงดงาม เด่นตระหง่านท่ามกลางป่าคอนกรีต


ที่มา : https://web.facebook.com/photo/?fbid=497382721745391&set=a.242244413925891


👍มาหลงกรุงไปด้วยกันได้ที่ : https://thestatestimes.com/tag/หลงกรุง

'บิ๊กตู่' เผย 8 ข้อหารือนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ส่งทีมศก.ไทยถก 5 บริษัทรถยนต์ ลุยอุตสาหกรรม EV

‘บิ๊กตู่’ โพสต์ผลสำเร็จหลังพบหารือกับนายกฯญี่ปุ่น หวังอนาคตก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค และเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ของโลก

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการพบปะหารือร่วมกับ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ว่า ช่วงวันที่ 1-2 พ.ค.นี้ ประเทศไทยได้มีโอกาสให้การต้อนรับการเยือนอย่างเป็นทางการ ของนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และคณะกว่า 100 คน ซึ่งเป็นผู้แทนระดับสูงจากหลายกระทรวงสำคัญของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว รวมทั้งกระทรวงกลาโหม นับเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการในระดับนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกในรอบ 9 ปี เพื่อสานต่อและขยายผลความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ ที่มีมาอย่างยาวนาน 135 ปี ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่จะเรียนให้ทราบถึงความสำเร็จร่วมกัน จากการหารือเพื่อเพิ่มพูนความเป็น "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์" ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างน้อย 8 ด้าน ดังต่อไปนี้

1.) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเสริมสร้างศักยภาพ Startup และ SMEs ให้มีนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งการร่วมมือภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจ BCG ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียว ของทั้งสองประเทศ 

2.) การส่งเสริมการลงทุนจากญี่ปุ่น ในอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า-แบตเตอรี่-อะไหล่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีดิจิทัล และ BCG ทั้งในพื้นที่ EEC และทั่วทุกภูมิภาคของไทย ที่จะต้องพิจารณาส่งเสริมโดยตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง 

รวมทั้งเรื่องเวชภัณฑ์-ยา-เครื่องมือแพทย์ ซึ่งญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในผู้ผลิตยาระดับโลก รัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดการลงทุน การวิจัย หรือขยายธุรกิจ โดยตั้งโรงงานผลิตยาในประเทศไทยให้มากขึ้น โดยไทยก็มีความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อส่งเสริมบทบาทของไทย ให้เป็น "ศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ (Healthcare, Wellness & Medical Hub)" ของโลก

3.) การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายและพื้นที่ EEC การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยส่งเสริมการสร้างแรงงานทักษะสูง ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่รองรับการลงทุนของญี่ปุ่น ผ่านสถาบันโคเซ็นในไทย (KOSEN Education Center) เพื่อมุ่งพัฒนาให้ไทยเป็น "ศูนย์กลางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์" ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 

4.) การเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 

5.) การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ระบบราง โครงข่ายดิจิทัล และ 5G

6.) การส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA : Free Trade Agreement) ต่างๆ ที่สองฝ่ายเป็นภาคีอยู่ รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดของโลก

คึกคัก!! ต่างชาติแห่เข้าไทยหลังเลิก 'เทสต์แอนด์โก' คาดปลายปีจำนวนเที่ยวบินใกล้เคียงก่อนโควิดระบาด

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังรัฐบาลยกเลิกระบบเทสต์แอนด์โก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดประเทศเต็มรูปแบบวันแรก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. รายงานว่ามีจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง พบจำนวนเที่ยวบินขาเข้ารวม 142 เที่ยวบิน จำนวนเที่ยวบินขาออก 156 เที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารขาเข้า 20,606 คน และจำนวนผู้โดยสารขาออก 16,385 คน

นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 2-4 พฤษภาคมนี้ ทอท. คาดการณ์ผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศและเที่ยวบินจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) คาดว่าวันที่ 2 พฤษภาคม มีจำนวน 12,660 คน จำนวน 105 เที่ยวบิน วันที่ 3 พฤษภาคม 12,437 คน จำนวน 106 เที่ยวบิน และวันที่ 4 พฤษภาคม 13,220 คน จำนวน 109 เที่ยวบิน ส่วนท่าอากาศยานภูเก็ต วันที่ 2 พฤษภาคม จำนวน 2,318 คน จำนวน 22 เที่ยวบิน วันที่ 3 พฤษภาคม 2,976 คน จำนวน 27 เที่ยวบิน และวันที่ 4 พฤษภาคม 2,980 คน จำนวน 27 เที่ยวบิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top