Sunday, 11 May 2025
Lite

States TOON EP.10

เหตุเกิดจากการฉีดวัคซีน...

การสาธารณสุขไทยมีพัฒนาการมากว่าร้อยปี และวันนี้ก็เป็นวันสำคัญ โดยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานกำเนิด ‘โรงพยาบาลศิริราช’ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีอายุยาวนานที่สุด

ย้อนเวลากลับไป ในปี พ.ศ.2424 เกิดอหิวาตกโรคระบาดหนัก ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวในที่ชุมชนขึ้นรวม 48 ตำบล ภายหลังเมื่อโรคร้ายทุเลา จึงได้ทำการปิดโรงพยาบาลลง แต่ในพระราชหฤทัยทรงตระหนักว่า การมีโรงพยาบาลนั้น จะสร้างประโยชน์สุข ให้แก่พสกนิกรได้ในระยะยาว

ต่อมา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2429 พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้น เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลถาวรแห่งแรก ณ บริเวณวังของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ( วังหลัง) ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา

โรงพยาบาลใช้เวลาก่อสร้างอยู่ราว 2 ปี กระทั่งในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกนี้ และพระราชทานนามว่า ‘โรงศิริราชพยาบาล’ หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ‘โรงพยาบาลวังหลัง’ หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ‘โรงพยาบาลศิริราช’

โรงพยาบาลศิริราช ถือเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของประเทศไทย และดูแลรักษาคนไทยมาเนิ่นนาน โดยช่วงหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์ และเสด็จกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ทรงมีการพัฒนาการรักษาพยาบาลให้เจริญรุดหน้ายิ่งขึ้น รวมถึงยังเปิดเป็นโรงเรียนแพทย์ ผลิตบุคลากรทางสาธารณสุข ออกมาเพื่อดูแลรักษาประชาชนมากขึ้นเช่นกัน

นับถึงวันนี้ โรงพยาบาลศิริราช มีอายุกว่า 133 ปี และยังคงทำหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยตลอดมา แม้กระทั่งในช่วงเวลานี้ ที่ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในสภาวะที่มีโรคระบาดรุนแรง ศิริราชพยาบาลก็ถือเป็นหนึ่งโรงพยาบาลที่ให้การช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด นับเป็นโรงพยาบาลที่เกิดจากจากพระราชปณิธาน และสร้างประโยชน์กับประเทศชาติอย่างแท้จริง

 

ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/โรงพยาบาลศิริราช, http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=250360


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สรยุทธคืนจอเดือนพฤษภาคมนี้ มีเรื่องอะไรบ้างที่ผู้ชมจะได้เจออีกครั้ง?

หลังเปิดตัวว่าจะกลับมาเป็นหนึ่งในพิธีกรข่าวช่อง 3 อีกครั้ง กระแส ‘สรยุทธคัมแบ็ก’ ก็แรงขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ เปิดหน้าฟีดในโซเชี่ยลมีเดีย ก็จะได้เห็นข่าวการคืนจอของกรรมข่าวคนนี้ หรือใครขึ้นรถไฟฟ้า BTS ก็จะได้เห็นแคมเปญโฆษณา การกลับมาของเขาผู้นี้

งานนี้ ‘จัดใหญ่’ สมการรอคอยของบรรดาแฟนคลับสรยุทธ The States Times เลยลองรวบรวมเหล่าเรื่องราวความคุ้นเคย ที่เชื่อแน่ว่า แฟน ๆ ยังจดจำบรรยากาศเดิม ๆ ได้อยู่ ซึ่งหากพิธีกรข่าวคนนี้ กลับมานั่งยังบัลลังก์ของเขาอีกครั้ง เรา ๆ ท่าน ๆ คงจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้อีกครั้งแน่นอน
 

ประโยคคลาสสิก: ใครๆ ก็จำคำพูดอันคุ้นเคยของเฮียยุทธได้แม่น เมื่อไรที่เขาเล่าข่าวจบ หรือไล่เรียงเปิดภาพข่าวให้ดูจนจบ เฮียยุทธจะปิดท้ายเป็นประจำว่า “นั่นละฮะคุณผู้ชม” 

ขยับแว่นตา เวลาสงสัย: เป็นอีกท่วงท่าหนึ่งที่พิธีกรข่าวคนนี้ทำเป็นประจำ เวลาที่ขยับตัวเพื่อจะยิงคำถามอันดุเดือด หรือเวลาที่เตรียมจะเคลียร์ประเด็นการพูดคุยร้อน ๆ เฮียยุทธจะชอบขยับขาแว่นตาให้เห็นเป็นประจำ


 

คำถามเข้ม ๆ: เป็นหนึ่งในจุดขายของพิธีกรข่าวคนนี้ ช่วง 5 ปีที่ไม่ออกหน้าจอทีวี เหมือนคนดูขาดหายรสชาติคำถามแบบเข้ม ๆ โดน ๆ จากเจ้าตัวไปเยอะพอสมควร กลับมาคราวนี้ มีโจทย์ใหญ่คือการกระชากเรตติ้งข่าวคืนสู่ช่อง 3 ดังนั้น ผู้ชมจะได้เห็นการยิงคำถามเด็ด ๆ ของเขาอย่างแน่นอน

รายงานผลลิเวอร์พูล: เรื่องนี้แฟนคลับต่างรู้ดี เฮียยุทธมีทีมฟุตบอลทีมรักคือ ลิเวอร์พูล ถ้าเมื่อไรทีมรักลงสนาม เช้าวันต่อมา เฮียจะจัดการรายงานผล พร้อมแสดงทัศนะเป็นสีสันอยู่เป็นประจำ ตามประสาทีมนี้พี่รัก

คู่ซี้ ‘โก๊ะตี๋’: นอกจากทีมฟุตบอลที่รัก ยังมีน้องรักอีกคน นั่นคือ ‘โก๊ะตี๋’ ที่ห่างหายหน้าไปจากหน้าจอเล่าข่าว เมื่อศิษย์พี่กลับมา ศิษย์น้องรักก็ต้องกลับมาด้วยแน่นอน งานนี้จะคืนฟอร์มเรียกเสียงหัวเราะได้แค่ไหน ต้องติดตาม

แน่นอนว่า พฤษภาคมนี้ได้เจอกัน อย่างที่เจ้าตัวประกาศเอาไว้ แฟนคลับเฮียยุทธคงหายคิดถึงกันไป แต่สมรภูมิการข่าวเวลานี้นั้นร้อนระอุดุเดือด ต้องติดตามกันว่า เฮียยุทธจะกลับมาเรียกความฟิต คืนฟอร์มเก่งของตัวเองได้หรือไม่ ไม่นานรู้กัน!

‘ฝิ่น’ เป็นสารประกอบที่ได้จากยางของผลฝิ่น แต่เนื่องจากจัดว่าเป็นยาเสพติด วันนี้เมื่อกว่า 182 ปีมาแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้มีการพิมพ์ใบปลิวประกาศห้ามสูบและค้าฝิ่น แจกจ่ายไปตามบ้านเรือนประชาชน ถือเป็นการพิมพ์ด้วยตัวอักษรไทยเป็นครั้งแรก

ที่มาของ ‘ฝิ่น’ เกิดจากพ่อค้าชาวอังกฤษ ที่ลำเลียงสินค้าฝิ่นเข้าไปขายในประเทศจีน ต่อมาเมื่อมีชาวจีนอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย จึงมีชาวจีนส่วนหนึ่งนำฝิ่นติดตัวเข้ามาด้วย โดยเริ่มเข้ามาแพร่หลายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จวบจนเข้าสู่แผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ก็ทรงกวดขันและออกบทลงโทษผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดนี้มาโดยตลอด

กระทั่งล่วงเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 การค้าขายฝิ่นยังคงแพร่หลายออกไปมากขึ้น บางรายมีสถานที่ปลูกกันเป็นเรื่องเป็นราว พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จ้างโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน ให้พิมพ์พระราชโองการขึ้น โดยเป็นประกาศเรื่อง ‘ห้ามสูบฝิ่นและค้าฝิ่น’ จัดทำเป็นใบปลิวจำนวนกว่า 9,000 ฉบับ แล้วแจกจ่ายไปตามบ้านเรือนของประชาชนทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ใบประกาศนี้ ถือเป็นเอกสารทางราชการฉบับแรกของประเทศที่ใช้วิธีการตีพิมพ์ โดยทำการสั่งซื้อตัวพิมพ์มาจากประเทศสิงคโปร์ และผลิตออกมาโดยโรงพิมพ์ภายในประเทศเป็นครั้งแรก

ผ่านมากว่า 182 ปี นับจากวันแรกที่มีการใช้โรงพิมพ์ เพื่อตีพิมพ์ประกาศและข่าวสาร ถึงวันนี้เทคโนโลยีก้าวล้ำไปอีกมากมาย แต่ตัวอักษรแรกเริ่มที่ถูกบันทึกในการพิมพ์ ก็ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจดจำอยู่เสมอ


ที่มา: http://www.kingrama3.or.th

https://guru.sanook.com/26137/

รวมพลังน้ำใจจากเหล่าคนดัง ในสถานการณ์วิกฤตโควิดรอบ 3

‘บ่นไปไม่ช่วยอะไร’ เวลานี้ทุกคน ทุกฝ่าย ได้ยินแต่เสียงพร่ำบ่น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียด แต่คงไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ ๆ เพราะโควิด – 19 คงฟังเสียงบ่นไม่เข้าใจ และคงไม่หายไปไหน ถึงตรงนี้ คงไม่มีอะไรดีกว่า ลุกขึ้นมาร่วมมือกัน ใครทำอะไรได้มาก ได้น้อย ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ขอให้ช่วยกัน อย่างเต็มที่ และจริงใจ!  

The States Times ไปรวบรวมผู้คนและหน่วยงานที่แสดงตัวอออกมาช่วยเหลือ มีใคร อย่างไรบ้าง ไปดูกัน! 


เริ่มต้นที่เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ‘เจ๊จง’ หรือ จงใจ กิจแสวง เมื่อตอนโควิด-19 ระบาดรอบแรก ร้านหมูทอดเจ๊จงก็เคยออกมาทำข้าวกล่องแจกคุณหมอ พยาบาล และทีมงานการแพทย์มาแล้วครั้งหนึ่ง รอบล่าสุดนี้ เจ๊จงเพิ่งไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า กำลังเตรียมการช่วยเหลือ สามารถติดตามข่าวสารได้ทางเพจร้านหมูทอดเจ๊จง https://www.facebook.com/JehJong/


อีกรายที่เริ่มมาได้พักใหญ่ มาดามแป้ง – นวลพรรณ ล่ำซำ เจ้าตัวจัดทำโครงการ ‘ครัวมาดาม’ ส่งข้าวกล่องไปช่วยเหลือตาม รพ.สนาม และ รพ.ของรัฐกว่า 19 แห่ง อาทิ พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ภูเก็ต เชียงใหม่ นราธิวาส ฯลฯ โดยตั้งเป้าว่าจะทำข้าวกล่องให้ได้ 28,500 กล่องภายในเดือนเมษายนนี้ ส่วนใครที่อยากร่วมบริจาคสมทบทุน กล่องละ 50 บาท เลขบัญชี 092-2-61340-0 ธ.กสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้ 


อีกหนึ่งเจ้าแม่วงการสื่อ แอน – จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ล่าสุดออกมาโพสต์ประกาศ ขอแจกอาหารให้กับบุคลากรทางการแพทย์ มูลนิธิคนยากไร้ และผู้ป่วยโควิด – 19 จำนวน 1 ล้านกล่อง พร้อมทั้งมีชุดถุงน้ำใจ ภายในบรรจุขนม น้ำดื่ม และวิตามิน มอบให้อีก 1 ล้านชุด ทำติดต่อกันไป 5 เดือนนับจากนี้ โดยสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ที่เพจ Anne Jakrajutatip


มาถึงอีกราย นพ.เหรียญทอง แน่นหนา เจ้าของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ประกาศนำพื้นที่ 3 ไร่ บริเวณข้างๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดทำเป็นโรงพยาบาลสนามระดับ 3 หรือเรียกว่า ไอซียู สนาม รองรับผู้ป่วยอาการหนักเข้ารับการรักษา เบื้องต้นมีจำนวนกว่า 200 เตียง เริ่มดำเนินการ 28 เมษายนนี้เป็นต้นไป

ยังมีบรรดาพรรคการเมืองที่ลุกขึ้นมาร่วมด้วยช่วยกัน อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 เพื่อช่วยประสานปัญหาผู้ป่วยติดเชื้อตกค้าง ให้เข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด ผู้ป่วยที่ไม่รู้จะติดต่อช่องทางไหน เข้าไปที่ช่องทางโซเชี่ยลมีเดียของพรรคได้เลย เฟซบุ๊ก facebook.com/DemocratPartyTH และทวิตเตอร์ twitter.com/democratTH 

ด้านพรรคเพื่อไทย ก็เป็นอีกพรรคที่ออกมาเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่พร้อมให้การช่วยเหลือ โดยตั้งคณะทำงานเป็น 4 ทีม ทำหน้าที่ทั้งลงพื้นที่ ช่วยประสานหา รพ.สนาม สนับสนุนอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ความรู้ และเก็บข้อมูล ผู้ป่วยสามารถเข้าไปแจ้งความจำนงได้ที่ เฟซบุ๊ก www.facebook.com/pheuthaiparty

อีกพรรคการเมืองที่ออกตัวช่วยเหลือเต็มกำลัง นั่นคือ พรรคกล้า นำโดย กรณ์ จาติกวณิช ตั้งศูนย์ประสานงานชื่อ ‘กล้าสู้โควิด’ เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและช่วยเหลือผู้ป่วยกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อประสานหาเตียง รวมทั้งยังมีหน่วยผู้กล้า ลงพื้นที่ฉีดพ่นน้ำยาป้องกันเชื้อโควิด-19 ตามพื้นที่ต่างๆ สามารถติดต่อไปยังช่องทางของพรรคได้เช่นกัน ที่ https://www.facebook.com/klaparty/

นี่เป็นส่วนหนึ่งของคนดังและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ออกมาให้ความช่วยเหลือ ยังมีสื่อ และหน่วยงานอีกมากมาย ที่ตอนนี้ออกมาร่วมด้วยช่วยกัน เนื่องจากในเวลานี้ ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่า ช่วยกันหยุดปัญหาการระบาดนี้ให้ได้ หยุดบ่น หยุดด่ากันสักนิด แล้วลงมาร่วมมือกัน!
 

วันนี้เมื่อ 71 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญที่ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเป็นวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

โดยหากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ทั้งสองพระองค์ทรงพบกันเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2492 และในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระยศในขณะนั้น) ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) มีโอกาสเข้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ กระทั่งทรงหายประชวร ทั้งสองพระองค์ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

กระทั่งเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2492 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีหมั้นขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2493 ทั้งสองพระองค์เสด็จนิวัติพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้นอย่างเรียบง่าย ณ วังสระปทุม

โดยงานพระราชพิธีถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 ภายในงานมีพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ที่ใกล้ชิด ตลอดจนมีผู้ประกอบพระราชพิธีตามกฎหมาย คือ นายฟื้นบุญ ปรัตยุทธ นายอำเภอปทุมวัน เป็นนายทะเบียน รวมทั้งมีราชสักขี 2 คนคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น และพลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ณ ขณะนั้น ร่วมลงนาม ภายหลังจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ ก็ได้ถ่ายทอดมายังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทั้งสองพระองค์ก็ทรงงานร่วมกันต่อเนื่องตลอดมามิได้ขาด


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส_พุทธศักราช_/2493

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญ โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าธีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเจริญพระชันษา 16 ปี

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าธีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2548 เวลา 18.35 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี (ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร)

โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชหัตถเลขาขนานพระนามว่า ‘พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ’ โดยทรงพระมหากรุณาธิคุณอธิบายพระนามว่า ผู้ทำประทีปคือปัญญาให้สว่างกระจ่างแจ้ง ผู้ทำเกาะคือที่พึ่งให้รุ่งเรืองโชติช่วง

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2562 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ สถาปนาและเฉลิมพระนามพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

วันนี้ถือเป็นวันคล้ายวันประสูติ ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญต่อพสกนิกรชาวไทยสืบไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ_เจ้าฟ้าธีปังกรรัศมีโชติ

 

เอ่ยถึง สงครามโลก หนึ่งใน ‘ตัวละครสำคัญ’ ที่ผู้คนมักจะนึกถึง นั่นคือ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ผู้นำนาซีชาวเยอรมัน ซึ่งในวันนี้เมื่อกว่า 76 ปีมาแล้ว ถือเป็นวันสุดท้ายของผู้นำเยอรมันรายนี้ เมื่อเขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเองด้วยการยิงตัวตาย

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายออสเตรีย เขาเข้าเป็นทหารในกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นจึงมาเป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพรรคสังคมนิมยมแห่งชาติ หรือพรรคนาซี ในช่วงปี ค.ศ. 1921

ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเยอรมัน หลังจากเยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นช่วงที่ประเทศต้องประสบกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก ทำให้ในเวลาต่อมา เขาได้ปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นรัฐเผด็จการ มีพรรคการเมืองเดียว ภายใต้อุดมการณ์นาซี และมีเป้าหมายคือ การจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นเหตุให้เยอรมันเริ่มเข้าไปครอบงำประเทศในยุโรปในเวลาต่อมา

ฮิตเลอร์นำกองทัพเยอรมันยึดครองประเทศในยุโรปมากมาย อาทิ โปแลนด์ ออสเตรีย เชกโกสโลวะเกีย ก่อนจะประกาศสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นที่มาของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้น ฮิตเลอร์ได้นำกองทัพเยอรมันและฝ่ายอักษะยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป พร้อมกับใช้นโยบายด้านเชื้อชาติ ปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนไปอย่างน้อย 11 ล้านคน โดยแบ่งเป็นชาวยิวประมาณถึง 6 ล้านคน

กระทั่งช่วงปี ค.ศ. 1945 (หรือ พ.ศ. 2488) เกิดเหตุการณ์พลิกผัน เมื่อกองทัพสัมพันธมิตร สามารถเอาชนะกองทัพเยอรมันลงได้ ในช่วงเวลานั้นเอง ฮิตเลอร์ตัดสินใจแต่งงานใหม่กับภรรยาที่ชื่อ เอฟา เบราน์ และให้หลังเพียงวันเดียว ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 ทั้งสองคนก็ตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกกองทัพโซเวียตจับกุมตัว โดยฮิตเลอร์ใช้ปืนยิงตัวเองตาย ส่วนเอฟา เบราน์ ดื่มยาพิษเข้าไปจนเสียชีวิต พร้อมกับสั่งให้ทหารเผาร่างของทั้งคู่ไม่ให้เหลือซาก

ไม่นานจากนั้น เยอรมันก็ประกาศแพ้สงคราม ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางฝั่งยุโรปลง แต่เรื่องราวการตายของฮิตเลอร์ยังไม่จบลงแค่นั้น เพราะหลายฝ่ายต่างไม่เชื่อว่า ฮิตเลอร์จะเสียชีวิตจริง มีหลายทฤษฎีสมคบคิดออกมามากมาย บ้างว่าเขาหนีไปอยู่อเมริกาใต้ บ้างว่าหนีไปสเปน หรือแม้แต่เลยเถิดไปยังดวงจันทร์นอกโลกก็ยังมี

แต่ต่อมา มีผลการชันสูตรสุดท้ายยืนยันว่า ฮิตเลอร์และภรรยาถูกเผาร่างไปจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงสร้างความคลางแคลงใจให้กับผู้คนจำนวนมากอยู่ดี ถึงตรงนี้ ไม่ว่าฮิตเลอร์จะเสียชีวิตลงไปแบบใด แต่สิ่งที่ยืนยันได้แน่ ๆ คือ โลกได้ยุติการสูญเสียลงไปอย่างแน่นอน มากไปกว่านั้น คือความสงบสุขหลังยุติการฆ่าแกงกัน


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/อดอล์ฟ_ฮิตเลอร์

วันนี้นอกจากจะเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ยังเป็นวันคล้ายวันเกิดของนักการเมืองหญิงคนดัง ‘คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์’ ประธานกรรมการผู้ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2504 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านการตลาด จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ รวมทั้งสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จากคณะบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

คุณหญิงสุดารัตน์ เริ่มต้นเส้นทางการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร ในนามพรรคพลังธรรม เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2535 ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในช่วงสมัยรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกมากมาย อาทิ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย กระทั่ง พ.ศ.2541 ได้ขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีของพรรคอีกหลายกระทรวง อาทิ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ปัจจุบัน หลังจากลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ก็มาดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการมูลนิธิไทยพึ่งไทย รวมทั้งยังเป็นประธานกรรมการผู้ก่อตั้งสถาบันสร้างไทย และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย นอกจากนี้ยังมีบทบาทขับเคลื่อนสังคมในหลากหลายมิติ

ตลอดระยะเวลากว่า 29 ปี บนเส้นทางการเมืองไทย นักการเมืองหญิงคนนี้ ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองมาแล้วมากมาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือการสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม จนกลายเป็นนักการเมืองหญิงที่มีอิทธิพลต่อแวดวงการเมืองไทยอย่างแท้จริง


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/คุณหญิงสุดารัตน์_เกยุราพันธุ์

‘ปรีดี พนมยงค์’ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ต้องถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในคณะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมถึงยังเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และในวันนี้ ถือเป็นวาระครบรอบ 38 ปี ของการถึงแก่อสัญกรรมของบุคคลท่านนี้

นายปรีดี พนมยงค์ เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบ ก่อนจะเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม จากนั้นจึงสอบชิงทุนไปเรียนต่อด้านกฎหมายจนสำเร็จในระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส

กระทั่งกลับถึงเมืองไทย ก็เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษา และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ในเวลานั้น นายปรีดียังเป็นหนึ่งในคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบบประชาธิปไตย โดยต่อมายังได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย

ช่วงระหว่างปี พ.ศ.2484-2488 นายปรีดีได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล และร่วมเป็นหนึ่งในขบวนการเสรีไทย ต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่นในประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จนเมื่อสงครามสงบลง จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส

นายปรีดี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาสั้น ๆ ในปี พ.ศ.2489 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 รวมทั้งยังมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง จนถูกรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2490 ทำให้ต้องลี้ภัยการเมืองออกนอกประเทศ ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาเดินทางไปพำนักยังประเทศสิงคโปร์ จีน และฝรั่งเศส กระทั่งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2526 เจ้าตัวก็เสียชีวิตลง ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีการนำอัฐิกลับประเทศในปี พ.ศ.2529 และทำพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

นอกเหนือจากเรื่องการเมือง นายปรีดี ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ.2543 องค์การยูเนสโกจึงได้บรรจุชื่อนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ในฐานะบุคคลที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/ปรีดี_พนมยงค์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top