Sunday, 1 June 2025
Iphone

ชายชาวอังกฤษเตรียมฟ้อง Apple 232 ล้าน ชี้!! ทำให้ชีวิตแต่งงาน 20 ปี ต้องพังสลาย เหตุเมียจับได้ แอบเที่ยวหญิงบริการ เพราะเจอข้อความที่ลบจาก ‘iPhone’ ใน ‘iMAC’

(15 มิ.ย.67) ชายคนหนึ่ง เตรียมฟ้องบริษัทแอปเปิ้ล 5 ล้านปอนด์ หลังจากที่ภรรยาของเขาไปเจอกับข้อความที่ลบไป ซึ่งเขาได้ส่งไปถึงผู้ขายบริการทางเพศ

สามีที่นอกใจภรรยาคนนี้ อ้างว่า แอปเปิล ขาดความโปร่งใสในข้อความที่ถูกลบ ทำให้ภรรยาของเขาฟ้องหย่า

ริชาร์ด (นามสมมติ) เป็นชายวัยกลางคนจากอังกฤษ เปิดเผยกับ เดอะ ไทมส์ ว่า เขาไปใช้บริการหญิงขายบริการในช่วงปีสุดท้ายของการแต่งงาน โดยติดต่อผ่าน iMessages บน iPhone ของเขาก่อนที่จะลบออก อย่างไรก็ตาม เมื่อภรรยาของเขาใช้ iMac ของครอบครัว ข้อความดังกล่าวย้อนกลับไปหลายปีก็ผุดขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าได้ลบไปแล้วก็ตาม

ภรรยาของเขาฟ้องหย่าภายในหนึ่งเดือน เขาบอกกับเดอะ ไทมส์ว่า หากคุณได้รับแจ้งว่าข้อความถูกลบ คุณมีสิทธิที่จะเชื่อว่ามันถูกลบไปแล้ว

ทุกอย่างค่อนข้างเจ็บปวด และ แผลมันยังสดอยู่ มันเป็นวิธีที่โหดร้ายมากที่พบความจริงแบบนี้ ในความคิดของฉัน หากได้พูดคุยกับเธออย่างมีเหตุผล เธอคงไม่รับรู้เรื่องนี้อย่างโหดร้าย ฉันอาจจะรักษาชีวิตแต่งงานได้อยู่

ริชาร์ด กล่าวว่า ชีวิตแต่งงาน 20 ปี ของพวกเขามีความสุขมาก ก่อนที่ชีวิตแต่งงานที่สวยงามนี้จะถูกทำลายจากสิ่งที่ผู้ชายหลายคนทำ และผู้หญิงบางคนก็ทำ เมื่อพูดคุยกับเพื่อน บางคนมีเรื่องชู้สาว ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการละเมิดความไว้วางใจมากกว่า และ ยังคงแต่งงานกันอยู่แม้เรื่องจะแดงแล้วก็ตาม

ผมคิดว่ามันคงมีทางเป็นไปได้ หากเธอไม่รู้เรื่องอย่างกะทันหัน โหดร้าย และน่าหงุดหงิด

ขณะนี้ ริชาร์ด กำลังดำเนินคดีทางกฎหมาย กับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ด้วยค่าเสียหายกว่า 5 ล้านปอนด์ หรือราว 232,238,000 ที่เขาสูญเสียชีวิตแต่งงาน และค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย โดยอ้างว่า บริษัทไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ข้อความที่ถูกลบสามารถปรากฏบนอุปกรณ์แอปเปิ้ลอื่น ๆ ได้ แม้ว่าจะถูกลบจากโทรศัพท์

นอกจากสูญเสียทางการเงิน ริชาร์ด อ้างว่า มันส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเขาอย่างมาก

ผมคิดว่าผมกำลังจะหัวใจวายจริง ๆ การหย่าร้างเป็นกระบวนการที่ตึงเครียดเป็นพิเศษ และก็มีปัจจัยเรื่องลูกๆ และครอบครัว ที่ต้องคิดอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแอปเปิ้ล บอกว่าข้อความถูกลบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลบจริง ๆ

‘สมาร์ตโฟนจีน’ เขี่ย ‘แอปเปิ้ล’ ร่วง Top 5 ในไตรมาส 2 ‘วีโว่’ ขึ้นแท่นผู้นำในจีน โกย!! ยอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง

(29 ก.ค. 67)  สำนักข่าวซีเอ็นบีซี เผยว่า ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิ้ลในจีนร่วงลงสู่ระดับ 14% ในไตรมาสสองปี 2567 จากระดับ 15% ในไตรมาสหนึ่ง และจากระดับ 16% ในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตไอโฟน ที่ครองส่วนแบ่งตลาดในจีนมากเป็นอันดับที่ 3 ในไตรมาสสองของปีก่อน ร่วงลงไปครองตำแหน่งแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากสุดอันดับที่ 6 ในจีน ซึ่งจากการคำนวณของซีเอ็นบีซี พบว่า แอปเปิ้ลมียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนราว 9.7 ล้านเครื่อง

‘ลูคัส จง’ นักวิจัยจากคานาลิส (Canalys) กล่าวว่า

“นี่ถือเป็นไตรมาสแรกของประวัติศาสตร์ที่แบรนด์ของจีนครองส่วนแบ่งตลาดทั้ง 5 อันดับแรก”

ทั้งนี้ ยอดจัดส่งสมาร์ตโฟนของแอปเปิ้ลลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก ซึ่งร่วงมากถึง 25% สู่ระดับ 10 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

‘แอปเปิ้ล’ กำลังเผชิญกับภาวะคอขวดในตลาดจีน ขณะที่บริษัทพยายามรักษาเสถียรภาพด้านราคาขายปลีก และปกป้องกำไรตามช่องทางการจำหน่ายของพาร์ตเนอร์

คานาลิส ระบุ อีก 12 เดือนข้างหน้าบริการ "แอปเปิ้ล อินเทลลิเจนซ์ " (Apple Intelligence) ท้องถิ่นในจีน จะเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพื่อแข่งขันกับแบรนด์สมาร์ตโฟนจีนที่กำลังพัฒนาการนำเอไอรู้สร้าง หรือเจนเอไอ (GenAI) ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

ตั้งแต่เดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. วีโว่ (Vivo) ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่ครองส่วนแบ่งตลาด 19% และมียอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง อานิสงส์จากยอดขายแพลตฟอร์มออฟไลน์ และออนไลน์แข็งแกร่ง ในช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ 618

ขณะที่ออปโป้ (OPPO) ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 เหมือนเดิม มียอดขาย 11.3 ล้านเครื่อง เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากรุ่น Reno 12 ส่วนออเนอร์ (Honor) ครองอันดับที่ 3 มียอดขาย 10.7 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 %

หัวเว่ย (Huawei) อยู่อันดับที่ 4 ครองส่วนแบ่งตลาด 15% โดยมียอดขาย 10.6 ล้านเครื่อง ขณะที่ปีก่อนหน้าหัวเว่ยยังไม่สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ท็อป 5 ได้ แต่ขณะนี้ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรง (consumer business) ของหัวเว่ยฟื้นตัวได้ดีในจีน หลังออกสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 60

ด้านเสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เพิ่งเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างความฮือฮาอย่าง SU7 ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 5 และยอดขายโทรศัพท์มือถือ K70 และรุ่นเรือธงอย่าง เสียวหมี่ 14 เติบโตแข็งแกร่ง

โดยรวมแล้วตลาดสมาร์ตโฟนจีนเติบโต 10% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบแบบปีต่อปี และมียอดขายมากกว่า 70 ล้านเครื่อง

‘ตำรวจสอบสวนกลาง’ เตือนภัย!! มิจฉาชีพ สาวก ‘iPhone’ ห้ามกดอนุญาตหากพบข้อความให้รีเซ็ตรหัสผ่าน Apple ID

(6 ส.ค.67) ‘มิจฉาชีพออนไลน์’ ถือเป็นภัยสังคมที่เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนโดยเฉพาะในระยะหลังมานี้ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงให้โอนเงิน หรือหลอกให้คลิกลิงก์เพื่อกระทำการต่าง ๆ บนสมาร์ตโฟนของเรา สร้างความเสียหายมาแล้วมากมาย

ด้วยเหตุนี้ ‘ตำรวจสอบสวนกลาง’ ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับหนึ่งในกลวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ สำหรับผู้ใช้งาน ‘iPhone’ พร้อมระบุว่า หากมีการแจ้งเตือนในลักษณะนี้ ห้ามกดอนุญาตเด็ดขาด

โดยตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า ผู้ใช้ iPhone โปรดระวัง หาก iPhone มีข้อความแจ้งเตือนว่า "รีเซ็ตรหัสผ่าน ใช้ iPhone เครื่องนี้เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่าน Apple ID" โดยที่เราไม่ได้ดำเนินการใด ๆ กับโทรศัพท์ หรือ มีข้อความว่า "Apple ID Sign in Requested" มีการแจ้งว่ามีการเข้าระบบของ Apple โดยที่เราไม่ได้เข้าระบบ และมีการแสดงตำแหน่งแปลก ๆ ที่เราไม่เคยไป หรืออยู่ต่างประเทศ

ขอเตือนว่า อย่ากดอนุญาตโดยเด็ดขาด เพราะมีความเป็นไปได้ว่า มิจฉาชีพกำลังพยายามเข้าระบบของเรา

ทั้งนี้ เมื่อกดไม่อนุญาตแล้ว ขอแนะนำให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่าน บังคับให้ทุกเครื่องออกจากระบบ และเปิดการเข้าระบบแบบ 2 ชั้น (2FA) ในทันที

หากพบเจอมิจฉาชีพออนไลน์ ต้องการแจ้งความ หรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับมิจฉาชีพ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วนศูนย์ AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำรวจ 'สเปก-ราคา-สี-ความจุ' iPhone 16 เปิดจอง 13 วางจำหน่ายจริง 20 ก.ย.นี้

(10 ก.ย. 67) TNN Tech เปิดเผยว่า Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPhone 16 ทั้ง 4 รุ่น อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 10 ก.ย. ตามเวลาในประเทศไทย

โดยในปีนี้ iPhone 16 มาพร้อมวัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับอุตสาหกรรมการบินและมีสีใหม่ ๆ มากขึ้น ได้แก่ 'อุลตรามารีน' / 'เขียวอมฟ้า' และสีชมพู 

Apple ยังคงจุดเด่นด้านความทนทานกันน้ำและฝุ่นได้มากขึ้น และมีหน้าจอเซรามิกกระจกแบบใหม่ แข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า 50% และแข็งแกร่งกว่า 'สมาร์ตโฟนอื่น ๆ' ถึงสองเท่า หน้าจอสามารถแสดงความสว่างได้ระหว่าง 2,000 นิตถึง 1 นิต

ขนาดหน้าจอ iPhone 16 มีให้เลือกทั้งขนาด 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้วในรุ่นพื้นฐานและรุ่น Plus ทั้งสองรุ่นจะมีปุ่ม Action ที่ปรับแต่งได้ใหม่ทางด้านซ้าย 

เทคโนโลยีประมวลผลข้อมูลขับเคลื่อนด้วยชิป Apple Silicon รองรับฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ Apple Intelligence พร้อมติดตั้งชิปเปลี่ยนจาก A16 Bionic เป็น A18 บน iPhone 16 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิป A16 Bionic ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เทียบชั้นคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป

การถ่ายภาพยังคงเป็นจุดเด่นด้วย 'ระบบอัจฉริยะด้านภาพ' ที่มาพร้อมกับระบบควบคุมกล้องใหม่ของ iPhone 16

กล้องบน iPhone 16 ติดตั้งเลนส์เทเลโฟโต้ 2x 12MP ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์หลักมารวมกับเลนส์ พร้อมกล้อง Fusion 48MP ถ่ายวิดีโอ 4K 60p พร้อมรองรับ HDR และกล้อง Ultrawide

ความคมชัดกล้องถ่ายภาพหลัก 48MP Fusion Camera กล้อง Tele Photo 12MP รองรับภาพถ่าย Macro และวิดีโอแบบ Spatial Video

การเชื่อมต่อข้อมูลรองรับการส่งข้อมูลไร้สาย Wi-Fi 7 ความจุเริ่มต้น 128GB ทั้ง 2 รุ่น

จุดเด่นมาพร้อมกับปุ่ม Camera Control ช่วยให้ถ่ายภาพและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทันทีทำงานร่วมกับ ChatGPT และ Google กดถ่ายรูปง่ายมากขึ้น 

ราคาจำหน่าย
iPhone 16 
- 128GB: 29,900 บาท
- 256GB: 33,900 บาท
- 512GB: 41,900 บาท

iPhone 16 Plus
- 128GB: 34,900 บาท
- 256GB: 38,900 บาท
- 512GB: 46,900 บาท

โดยจะเริ่มเปิดให้จองสั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 13 กันยายน ตั้งแต่เวลา 19.00 น และ เริ่มวางจำหน่ายจริง 20 ก.ย.นี้

เผยผลวิจัย ‘iPhone’ รับกระแสการเปิดตัวรุ่นใหม่ ในไทย Gen Z ชอบซื้อผ่อน Gen Y มองเป็นเครื่องชี้วัด ‘ความสำเร็จ’

(21 ก.ย.67) The 1 Insight เปิดผลวิเคราะห์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค iPhone ในประเทศไทย รับกระแสการเปิดตัว iPhone 16 โดยพบว่า 40% ของผู้ใช้ iPhone ในไทยนิยมเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ทุกปี สะท้อนถึงความสำเร็จในแง่ของตลาดไปจนถึงความสนใจที่มีต่อนวัตกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

จากฐานข้อมูล The 1 ในช่วงปี 2562-2567 ชี้ให้เห็นถึง 5 กลุ่มหลักของผู้ใช้ iPhone ไทย ที่มีเทรนด์พฤติกรรมการซื้อและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

1. กลุ่ม Gen Z มุ่งท่องโลกโซเชียล แต่ยังเน้นความคุ้มค่า
กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-24 ปี ใช้งาน iPhone เพื่อการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียเป็นหลัก รวมถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์

จากข้อมูล พบว่า คนกลุ่มนี้ซื้อ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus รวมไปถึงอาจซื้อรุ่นก่อนหน้าที่ให้ความคุ้มค่ามากกว่า โดยเลือกใช้รุ่นที่มีความจุ 128GB ซึ่งเพียงพอกับการใช้งานและสอดคล้องกับข้อจำกัดด้านรายได้ โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Black กลุ่มวัยรุ่นโซเชียลมักอัปเกรด iPhone ทุกปี และนิยมใช้การผ่อนชำระ 0% ซึ่งช่วยให้เข้าถึง iPhone รุ่นพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น โดยมีแนวโน้มว่าในปีนี้จะซื้อ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus

2. กลุ่ม Gen Y ผู้มอง iPhone เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ
กลุ่มชายวัยทำงานอายุ 25-40 ปี มองว่า iPhone รุ่นท็อปเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและสถานะทางสังคม รวมถึงมีความพร้อมด้านรายได้ที่สูงขึ้นตามความก้าวหน้าทางอาชีพและมีความสนใจในเทคโนโลยีล้ำสมัย ในปี 2023 จึงเลือกซื้อ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่มีความจุ 512GB หรือ 1TB เพื่อรองรับการใช้งานได้ครบครันทั้งด้านการทำงานและความบันเทิง

โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Black และ Natural Titanium หนุ่มออฟฟิศกลุ่มนี้มักอัปเกรด iPhone ทุกปี และเป็นกลุ่มสำคัญที่ขับเคลื่อนยอดขายรุ่นท็อปในไทย และมีแนวโน้มว่าในปีนี้จะซื้อ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max

3. กลุ่ม Millennial Parents เน้นฟังก์ชันใช้งานสำหรับทั้งครอบครัว
กลุ่มคนมีครอบครัวที่มีอายุ 30-45 ปี มักให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้งานจริงและขนาดความจุที่เพียงพอเพื่อรองรับการใช้งานในระยะยาวสำหรับทั้งครอบครัว

ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเลือกซื้อ iPhone 15 หรือ iPhone 15 Plus โดยเลือกรุ่นที่มีความจุ 128GB หรือ 256GB เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Colorful เช่น ฟ้า เหลือง ชมพู เขียว นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีรายจ่ายหลากหลาย จึงไม่เปลี่ยนเครื่องบ่อยนัก โดยมักอัปเกรดทุก 3-4 ปี โดยในปีนี้มีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 หรือ iPhone 16 Plus

4. กลุ่ม Gen X ที่พร้อมลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
กลุ่มผู้บริหารที่มีอายุ 45-60 ปี มักเลือก iPhone ในรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมองว่า เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่ออัปเดตเทคโนโลยีในแต่ละครั้ง จึงเลือกซื้อ iPhone 15 Pro Max ในความจุ 512GB หรือ 1TB เพื่อตอบสนองความต้องการที่ครอบคลุมทั้งการทำงานและการใช้งานส่วนตัว

สีที่นิยมสูงสุดคือ Blue Titanium โดยมีรอบการอัปเกรดอุปกรณ์ทุก 2-3 ปี และไม่เน้นการเปลี่ยนตามกระแสสังคม ในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 Pro Max

5. กลุ่ม Silver Spenders ใช้งานเพื่อสื่อสารทั่วไปและฟังก์ชันสุขภาพ
กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมการใช้ iPhone ที่เน้นการใช้งานพื้นฐานและฟังก์ชั่นติดตามข้อมูลสุขภาพ เลือกซื้อ iPhone SE หรือ iPhone 15 หรืออาจเป็นรุ่นก่อนหน้า โดยใช้ควบคู่กับ Apple Watch Series 9 เพื่อเชื่อมต่อฟังก์ชันการติดตามข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียด

ข้อมูลชี้ว่า กลุ่ม Silver Spenders ส่วนใหญ่เลือก iPhone รุ่นความจุ 64GB หรือ 128GB สีที่นิยมสูงสุดคือ Colorful เช่น ฟ้า เหลือง ชมพู เขียว โดยมักอัปเกรดทุก 4-5 ปี และมีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 และ Apple Watch ในปีนี้

‘Xiaomi’ ทำยอดขายแซง iPhone รั้งเบอร์ 2 ของโลกในเดือนสิงหาคม ฟาก 'นักวิเคราะห์' ชี้!! คงเป็นช่วงสั้นๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญพลิกตลาด

(23 ก.ย. 67) ไม่นานมานี้ Counterpoint Research บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ ได้เปิดเผยว่า Xiaomi สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอันดับ 2 ของโลกในเดือนสิงหาคม 2567 โดยมียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนแซงหน้า Apple เป็นครั้งแรก ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Xiaomi ที่มียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม การครองอันดับ 2 ของ Xiaomi อาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เนื่องจากในเดือนต่อมา คือเดือนกันยายน Apple มีกำหนดเปิดตัว iPhone 16 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายของ Apple พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะกลับมาครองตำแหน่งอันดับ 2 อีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ทางด้านของ Samsung ยังคงครองตำแหน่งผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ได้ แม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้จะเคยสูญเสียตำแหน่งให้กับ Apple ไปเป็นเวลาหลายเดือนก็ตาม ปัจจุบัน Samsung สามารถกลับมาครองบัลลังก์อีกครั้งด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน

สำหรับการก้าวกระโดดของ Xiaomi ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเฉพาะในตลาดเอเชียและยุโรป ที่ Xiaomi สามารถนำเสนอสมาร์ตโฟนที่มีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสมาร์ตโฟนประสิทธิภาพสูงแต่ราคาไม่แพงจนเกินไป

นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมมองว่า แม้การขึ้นแท่นอันดับ 2 ของ Xiaomi จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัท และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟนโลก

เมื่อ iPhone ไม่ใช่แค่มือถือล้ำยุค ทำความรู้จักกับ iPhone Index ดัชนีที่จะอธิบายว่าทำไมราคา iPhone ในเเต่ละประเทศถึงไม่เท่ากัน 

(7 ต.ค. 67) เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมราคาของ iPhone รุ่นล่าสุดในแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากันเลย ทั้งๆ ที่มันเป็นสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัทเดียวกัน และทุกเครื่องก็มีฟังก์ชันเหมือนกันทุกประการ เช่น ที่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ iPhone ราคาของ iPhone 16 อยู่ที่ประมาณ $1,000 ดอลลาร์ ที่สวิสเซอร์แลนด์กลับอยู่ที่ราวๆ เกือบ $1,400 ดอลลาร์เพียงเพราะสกุลเงินฟรังก์สวิส มีมูลค่ามากกว่าดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่อินเดียกลับวางขายอยู่ที่ประมาณ $1,300 ดอลลาร์

นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิเคราะห์การเงินและเทคโนโลยีหลายคน ซึ่งได้นำเสนอในสื่อต่างๆ เช่น The Economist เพื่อเปรียบเทียบความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity - PPP) ในประเทศต่างๆ โดยใช้ราคาของ iPhone เป็นตัวชี้วัด และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญจาก Apple ซึ่งถูกขายในกว่า 100 ประเทศ ความสม่ำเสมอของมาตรฐานในแต่ละตลาดทำให้ iPhone เป็นเครื่องมือที่ดีในการเปรียบเทียบความแตกต่างของราคาทั่วโลก

iPhone Index มักจะถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของ นโยบายภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และความแข็งแรงของสกุลเงินท้องถิ่น ประเทศที่มีราคา iPhone สูงมักจะบ่งบอกถึงค่าเงินที่อ่อนหรือภาษีที่สูง ในขณะที่ประเทศที่มีราคาต่ำกว่าอาจสะท้อนถึงกำลังซื้อที่สูงขึ้น ราคาของ iPhone ในแต่ละประเทศจึงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของมูลค่าสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสะท้อนถึงปัจจัยต่างๆ เช่น

- ภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ในบางประเทศ เช่น อินเดียและบราซิล ภาษีนำเข้าและ VAT ทำให้ราคาของ iPhone สูงกว่าที่อื่นมาก ในขณะที่ประเทศอย่างสหรัฐฯ มีภาษีต่ำกว่า ทำให้ราคาถูกกว่า ทำให้ประเทศอย่างบราซิลเป็นประเทศที่มีราคาของ iPhone สูงที่สุดในโลก เนื่องจากภาษีนำเข้าที่สูงมาก ซึ่งอาจสูงถึง 60% ของมูลค่าเครื่อง รวมถึง VAT ด้วย ส่งผลให้ iPhone ในบราซิลมีราคาแพงกว่าสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า

- ค่าครองชีพและกำลังซื้อของประชาชน: ในประเทศที่ค่าครองชีพสูง เช่น สวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นตาม เพราะคนในประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่สูงกว่า รวมถึง Apple เองก็มักจะปรับราคาของ iPhone ในตลาดต่างๆ ตามภาวะเศรษฐกิจท้องถิ่น 

- การปรับอัตราแลกเปลี่ยน: ค่าเงินของแต่ละประเทศมีผลต่อราคาของสินค้าโดยตรง เช่น หากค่าเงินของประเทศหนึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ราคาของ iPhone เมื่อแปลงเป็นสกุลเงินท้องถิ่นจะสูงขึ้น เช่น หากเงินปอนด์ของอังกฤษหรือเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ iPhone จะมีราคาสูงขึ้นในประเทศเหล่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นสินค้าระดับโลกที่มีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน

iPhone Index ถูกนำมาใช้งานก็จริงแต่ก็เป็นไปในแง่มุมขำขันเพื่อใช้เป็นวิธีการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบซับซ้อนให้สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านสินค้าที่คนรู้จักและใช้งานทุกวัน แม้ว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่าง GDP และ CPI จะให้ข้อมูลเชิงกว้างเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ iPhone Index ให้ข้อมูลในระดับผู้บริโภคที่แสดงให้เห็นถึงการค้าโลก ภาษี และความผันผวนของสกุลเงิน ความเรียบง่ายของมันทำให้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่ายในการมองเห็นความแตกต่างของกำลังซื้อทั่วโลก

แม้ว่ามันจะไม่ใช่การวัดทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำและเเน่นอนที่สุด เพราะในหลายประเทศ iPhone ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมันจึงไม่ได้สะท้อนรูปแบบการบริโภคในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ 

ดังนั้นมันอาจไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบค่าครองชีพได้อย่างตรงไปตรงมา เเละราคาของ iPhone อาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น การอุดหนุนจากผู้ให้บริการโทรศัพท์ และการแข่งขันในท้องถิ่น ซึ่งอาจทำให้ดัชนีนี้ถูกบิดเบือนได้ 

อีกทั้งในบางประเทศ Apple อาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการบ่งบอกสถานะ ทำให้ราคาสูงขึ้นจากกลยุทธ์การตั้งราคาพรีเมียมในตลาดที่ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อแบรนด์ที่มีมูลค่า แต่มันก็เป็นวิธีที่สนุกที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายเศรษฐกิจโลกค่ะ

เพจดัง เผย โลกสองค่ายแบ่งข้างชัดเจน ‘พญามังกร-พญาอินทรี’ ทำยอด iPhone ในจีนตกฮวบ จากเหตุใช้งานในจีนลำบาก

(22 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘สะใภ้จีนbyฮูหยินปักกิ่ง’ ได้โพสต์ข้อความแสดงถึงความขัดแย้งทาง ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ อย่างรุนแรงระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ผ่านการใช้มือถือ ความว่า

ตอนนี้โลกแบ่งเป็น2ค่ายอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าใครจะมาทำงาน/เรียนที่จีนแนะนำให้ใช้แอนดรอยด์ทั้งหมด เพราะมันจะมีปัญหามาก …

โดยเฉพาะมือถือ/appในมือถือ/notebookของAppleในจีน
คนที่ทำงานระหว่างไทย-จีน-USA คือต้องมีทุกอย่างx2 เพราะ ปัญหามันเยอะขึ้นทุกวัน…เช่น
ใช้iPhoneเปิดlinkจีนไม่ได้ 
ใช้apple id ต่างชาติโหลดappจีนไม่ได้ 
ใช้iPhoneเปิดเอกสารที่คนจีนส่งต่อ ๆ มาไม่ได้

เวลาติดต่อกับราชการจีน การใช้iPhoneคือตุย แต่พอควักหัวเหว่ย/แอนดรอยด์ออกมา ทุกอย่างแก้ปัญหาได้ในมือถือเครื่องเดียว เครื่องiPhoneรุ่นใหม่ในจีนขายยาก ตัวล่าสุดก็ตัดfeatureเด็ดออก (Open Ai) พอจะเอารุ่นเก่าไปturnก็ไม่ได้ราคา เพราะตลาดมือ 2 คนจีนไม่เอา iPhone แล้ว 

(เราก็เป็นคนนึงที่ใช้iphoneทั้งset ต้องซื้อใหม่ทั้งเซ็ทเช่นกัน)

อินโดนีเซีย กดดัน แอปเปิล หนัก ผลประโยชน์จากทั้งยอดขาย-แร่นิกเกิล

(30 ต.ค. 67) นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัววิเคราะห์ถึงการตัดสินใจแบนไอโฟนในประเทศอินโดนีเซีย ว่า 

ตามที่มีข่าวอินโดนีเซียกดดันไม่ให้ขาย iPhone 16 Series จากการที่ Apple ไม่ได้ลงทุนตามที่ตกลงรับปากรับคำกันเอาไว้กับรัฐบาลก่อน ... หลังจากที่พวกเขาประกาศไป ศุลกากรก็ตรวจกระเป๋าและจับยึดที่สนามบินไปแล้วเกือบหมื่นเครื่อง ... ทำไม Prabowo Subianto ถึงเอาจริง?

ประธานาธิบดีคนก่อน Joko Widodo พบกับ Tim Cook หลายต่อหลายครั้งและได้พูดคุยกันในประเด็นการลงทุนในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตและกำลังจะกลายไปเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกในไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมประชากรสองร้อยกว่าล้านคนที่อายุเฉลี่ยค่อนข้างน้อย ... อินโดนีเซียต้องการที่จะเป็นประเทศ "ต้นทาง" ของการผลิตเทคโนโลยีเพราะพวกเขามีแหล่งนิกเกิลปริมาณมากที่สุดในโลกอยู่ในมือ ... การผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายต้องใช้ Nickle เป็นส่วนประกอบสำคัญ ... วิโดโดจึงประกาศห้ามส่งออกแร่นิกเกิล เพื่อกดดันให้เกิดการลงทุนในอินโดนีเซียเท่านั้น

ด้วยเหตุแหล่งสำรองของนิกเกิลและการห้ามส่งออกแร่ ทำให้ผู้ผลิตของจีนรีบตกลงมาลงทุนทันที, ออสเตรเลียก็มา, แม้กระทั่งเกาหลีและญี่ปุ่น ต่างก็เข้ามาลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน (ผมเขียนเอาไว้ปีที่แล้วว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ มากันหลายหมื่นล้านเหรียญ) ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอุตสาหกรรมต้นน้ำของสินค้ายุคใหม่ ... แอปเปิลก็เช่นกันครับ แอปเปิลตกลงกับวิโดโดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลงทุนสร้าง Developer Centre เพื่อพัฒนาทางเทคนิคให้กับอินโดนีเซีย ถึงตอนนี้พวกเขาก็มีถึง 4 แห่งในประเทศนี้ 

การลงทุนที่ตกลงเอาไว้ขนาด 100+ ล้านเหรียญก็ทำได้จริงราว 90% ถือว่าไม่แย่แต่ในรายละเอียดนั้นยังไม่มีโรงงานประกอบของแอปเปิลในอินโดนีเซีย, ยังไม่มีการ Committed ว่าจะใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 40% ตามที่วิโดโดเคยขอเอาไว้ (แต่ทิมไม่ได้รับปากตรง ๆ ว่าจะทำ) การเอาประชากร 283 ล้านคนของพวกเขาที่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ 354 ล้านเครื่องมาเป็นเดิมพันให้แอปเปิลต้องคิดก็ถือว่า Make Sense ครับ 

จากทุกมุมมอง พวกเขากำลังจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในไม่ช้า และจะเป็นประเทศที่มีอิทธิพลอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดและจำนวน ... คู่แข่งสำคัญของพวกเขาอย่างมาเลเซียก็เล่นแรง ฉกเอาการลงทุนใหญ่ ๆ จากอินโดนีเซียและสิงคโปร์ไปหลายดีลแล้ว ... พวกเขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป

"iPhone ถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่หลังจากนั้น Apple ดูเหมือนไม่มีนวัตกรรมใหม่ออกมาเลย สตีฟ จ็อบส์สร้าง iPhone ไว้ แล้ว 20 ปีผ่านไปก็ยังคงเหมือนเดิม"

(13 ม.ค. 68) มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก วิจารณ์แอปเปิล iPhone ขาดนวัตกรรม - ระบบปิดจำกัดการเติบโตของตลาด

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้ร่วมพูดคุยในรายการพอดคาสต์ Joe Rogan Experience โดยหัวข้อสนทนาครอบคลุมหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม การพบปะกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงประเด็นร้อนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทแอปเปิล  

ระหว่างการสนทนา โจ โรแกนเล่าว่าเขาเปลี่ยนจากการใช้ iPhone ไปเป็น Android เนื่องจากไม่อยากผูกติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง และยังแสดงความไม่พอใจกับนโยบายการเก็บค่าธรรมเนียม App Store ของแอปเปิล  

ซักเคอร์เบิร์กได้เสริมมุมมองว่า แม้ iPhone จะเคยเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก แต่หลังจากนั้น แอปเปิลกลับไม่มีสิ่งใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอีกเลย เขาเปรียบว่า สตีฟ จ็อบส์ได้สร้าง iPhone ไว้แล้ว แต่หลังจากผ่านมา 20 ปี ทุกอย่างยังคงเดิม ทำให้เขาตั้งคำถามว่าแอปเปิลยังคงขาย iPhone ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ เพราะโทรศัพท์มือถือมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แต่คนสร้างอัปเกรดอุปกรณ์ช้าลงเรื่อย ๆ ซักเคอร์เบิร์กยังมองว่าการเก็บค่าธรรมเนียม 30% เป็นวิธีที่แอปเปิลใช้รักษารายได้ให้เพิ่มขึ้นทุกปี  

นอกจากนี้ ซักเคอร์เบิร์กยังวิจารณ์แอปเปิลในเรื่องระบบปิด โดยยกตัวอย่าง AirPods ที่แม้จะเป็นสินค้าคุณภาพสูง แต่ถ้าหูฟังยี่ห้ออื่นสามารถใช้โปรโตคอลเชื่อมต่อกับ iPhone ได้แบบเดียวกัน ผู้บริโภคอาจมีทางเลือกที่หลากหลายและดียิ่งกว่าเดิม เขาเชื่อว่า ถ้าแว่นตา Ray-Ban Meta Glasses สามารถเชื่อมต่อในลักษณะเดียวกันได้ สินค้าจะมีความสะดวกและน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานมากขึ้น  

เขายังทำนายว่าแนวทางของแอปเปิลในปัจจุบันอาจทำให้บริษัทต้องเจอกับความท้าทายจากคู่แข่งในเร็ววัน เพราะขาดการพัฒนานวัตกรรมใหม่มาเป็นเวลานาน  

ซักเคอร์เบิร์กยังกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลในหลายแง่มุม เช่น iMessage ที่มีการแบ่งแยกผู้ใช้ผ่านกล่องข้อความสีน้ำเงิน และวิจารณ์ว่า Apple Vision Pro ที่มีราคาสูงนั้นไม่ได้มอบประสบการณ์ที่คุ้มค่าเทียบเท่ากับ Quest ของ Meta  

ความขัดแย้งระหว่าง Meta และแอปเปิลไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้ Facebook เคยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายใน iOS 14 ที่จำกัดการติดตามโฆษณา จนถึงขั้นซื้อโฆษณาประชดในหนังสือพิมพ์ และเมื่อปีที่ผ่านมา Meta ก็ได้ประกาศขึ้นราคาการบูสต์โพสต์บน iOS หลังจากที่แอปเปิลเริ่มคิดค่าธรรมเนียม 30% ในส่วนนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top