Friday, 17 May 2024
ElectionTime

‘มณีรัตน์-ภูมิใจไทย’ ชูนโยบาย ‘ส่งเสริมอาชีพคนรุ่นใหม่’  หนุนผู้ค้าธุรกิจออนไลน์ พร้อม 'ลดค่าขนส่ง-ลดภาษี' 

(11 พ.ค. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง บางนา หมายเลข 6 พรรคภูมิใจไทย พูดถึงประสบการณ์การทำงานตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตอนนี้ตนอายุ 40 แล้ว พร้อมเสนอนโยบายส่งเสริมอาชีพคนรุ่นใหม่ และมุ่งเน้นนโยบายต่อเนื่อง โดยระบุว่า…

“อายุ 40 ล่ะ ผ่านมาครึ่งชีวิตแล้วค่ะ 20 ปีที่ผ่านมา เป็น 20 ปีที่มีคุณค่ามากๆ ถ้าเราก้าวข้ามเรื่องการทะเลาะกัน ทำทุกอย่างโดยใช้เวลา 20 ปีนี้ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน”

ต่อข้อคำถาม “จุดยืน และแนวทางการทำงานการเมือง” น.ส.มณีรัตน์ กล่าวว่า “เราอยากทำการเมืองสร้างสรรค์ เราเรียกตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่คือคนที่จะต้องทำงานได้กับทุกคน ผูกมิตร และก็ทำเพื่อประชาชน ให้มีผลลัพธ์ ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงผ่านนโยบายต่างๆ ส่งผลไปถึงคนในพื้นที่ของเรา โดยเฉพาะในเขตพระโขนง” 

“พรรคภูมิใจไทย มุ่งเน้นเรื่องนโยบายต่อเนื่องและสัญญาที่จะทำด้านสาธารณะสุข ต่อยอดนโยบายศูนย์ฟอกไตฟรี ซึ่งก่อนหน้านี้การฟอกไตของเราฟรีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะทำต่อจากนี้ก็คือให้มีศูนย์ฟอกไต ทุกเขต ทุกอำเภอ ล่นระยะเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนที่ต้องพาผู้ป่วยไป”

เข้าใจหัวอกคนวัยทำงาน…ในการที่จะออกไปทำงาน ค่าเดินทางเป็น Cost เป็นต้นทุนอย่างนึงของทุกคน เพราะฉะนั้นเนี่ย ถ้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงาน ก็อยากจะผลักดันให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย ลดความทุกข์พี่น้องประชาชนคนเมือง

พรรคภูมิใจไทย มีนโยบายส่งเสริมอาชีพคนรุ่นใหม่ โดย น.ส.มณีรัตน์ กล่าวว่า “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำที่อยากจะมีอาชีพอิสระ หรือแม้กระทั่งแค่อยากจะมีรายได้เสริม แต่ก็มีอุปสรรคมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าขนส่ง หรือแม้กระทั่งช่องทางที่จะค้าขาย เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่อยากจะช่วยผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าขนส่งต่างๆ เจรจาเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางด้านภาษี เพื่อซัพพอร์ตพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้เดินต่อไปได้”

หากถามถึงกระแสการเลือกตั้งโค้งสุดท้าย “กระแสก็เป็นเรื่องของกระแส แต่ก็อยากจะให้มองที่คุณสมบัติและการตั้งใจจริงในการทำงาน ข้อดีอย่างนึงก็คือเป็นคนที่ทำงานผ่านมาหลายบทบาท 3 ส่วนหลักๆ คือ ภาคประชาชน ภาคเอกชน หรือฝั่งราชการ เราเคยทำงานกับเขา ร่วมมาทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะเห็นภาพรวมต่างๆ และก็ทำงานขับเคลื่อนออกมาให้เป็นผลลัพทธ์แก่ประชาชน”

ต่อข้อคำถาม ‘คนรุ่นใหม่กับการเมืองใหม่’ ในมุมมองของน.ส.มณีรัตน์ เปิดเผยว่า “แน่นอนคนรุ่นใหม่ไม่ได้ตัดสินที่อายุ มันอยู่ที่แนวคิด อยู่ที่ความเข้าใจเขามากกว่า ว่าเขาอยากจะได้อะไร คนรุ่นใหม่เหล่านี้เขามีความฝัน  มีแพชชัน มีความที่อยากจะทำนู้นอยากจะทำนี้ หน้าที่ของเราคืออยากจะเป็นคนที่จะผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสาธารณะสุข ที่เขาจะห่วงใยพ่อแม่เขา แต่ตัวเขาเนี่ยแหละเอฟเฟกโดยตรงในการที่จะต้องดูแลพ่อแม่เรื่องการหาหมอ หายา หรือแม้กระทั่งเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าเดินทาง ในการที่จะไปทำงาน หรือสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เป็นดิจิทัลครีเอเตอร์ เป็นเชฟ หรือเป็นอาชีพต่างๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะผลักดันทั้งเชิงนโยบาย ทั้งเชิงปฏิบัติต่างๆ ก็คืออยากจะให้เขาไปสู่ฝันให้ได้”

ต่อข้อคำถามสุดท้าย ถึงความตั้งใจที่ทำให้มานั่งอยู่ตรงนี้ คืออะไร… “ก็อยากจะทำจริงๆ อยากจะทำให้กับทุกคนในพื้นที่ มีความตั้งใจจริงๆ ที่อยากจะมา มาเป็นทั้งตัวเชื่อม มาเป็นทั้งตัวคนทำงาน ให้ผลประโยชน์ตกกับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในเขตพระโขนง-บางนา อย่างแท้จริง” น.ส.มณีรัตน์ ผู้สมัครส.ส. ภูมิใจไทย กล่าวทิ้งท้าย

เปิดตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2566 แบบแยก Generation พบ 'เจน X' มากสุด 20 ล้านคน!! 

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เปิดเผยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566 โดยแยกตามช่วงอายุ Generation จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวม 52,241,808 คน ดังนี้ 

1.กลุ่ม Before Baby Boommer เกิดก่อน พ.ศ. 2491 จำนวน 2,956,182 ราย 
2.กลุ่ม Generation Baby Boommer เกิดระหว่างพ.ศ. 2491-2505 จำนวน 9,326,314 ราย 
3.กลุ่ม Generation X เกิดระหว่าง พ.ศ. 2506-2526 จำนวน 20,882,235 ราย 
4.กลุ่ม Generation Y เกิดระหว่างพ.ศ. 2527-2546 จำนวน 17,983,355 ราย 
และ 5.กลุ่ม Generation Z เกิดระหว่าง 2547 จนถึงก่อนวันที่ 16 พ.ค. 2548 จำนวน 1,093,722 ราย 

ทั้งนี้ เมื่อแยกรายละเอียดเป็นรายจังหวัด พบว่า กรุงเทพมหานคร มีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กลุ่ม Generation X มากสุด คือ 1,777,588 ราย รองลงมาคือ กลุ่ม Generation Y จำนวน 1,455,337 ราย กลุ่ม Generation Baby Boommer 869,461 ราย กลุ่ม Before Baby Boommer 295,302 ราย และกลุ่ม Generation Z จำนวน 81,467 ราย 

'สนธิรัตน์' ได้ใจเมืองคอน หลังชู 3 นโยบายเด็ดเสริมแรงผู้สมัครฯ 'เมืองอุตฯ น้ำมันเจ็ต - ดันราคาปาล์ม - แปลง สปก. เป็นโฉนด'

พรรคพลังประชารัฐ เปิดปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายที่หลังสถานีรถไฟชะอวด นครศรีธรรมราช ประกาศนโยบายเด็ด นครศรีฯ เมืองอุตสาหกรรมน้ำมันเจ็ต ใช้น้ำมันปาล์มผลิตน้ำมันเครื่องบิน ย้อนสูตร B-10 ปุ๋ยราคาถูก ดันปาล์มสูงกว่า 10 บาทแน่นอน ด้าน 'อาญาสิทธิ์' ดัน สปก. เป็นโฉนด 

เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66 ที่หลังสถานีรถไฟชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เปิดปราศรัยใหญ่ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.เขต 4 นครศรีธรรมราช โดยมีนายสนธิรัตน์ สนธิจีรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคและทีมงานมาช่วยปราศรัย มีชาวบ้านในพื้นที่เดินทางมาฟังการปราศรัยเกอบ 10,000 คน 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จนมาถึงรมว.พลังงาน มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ในสมัยเป็นรมว.พาณิชย์ ทำได้แค่ราคา 3-4 บาท แต่พอเป็นรมว.พลังงาน นำน้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมบี 10 ราคาปาล์ม จึงขยับเป็นกว่า 10 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาตนไม่ได้ดำรงตำแหน่งนโยบายนี้ ก็ไม่ได้ดำเนินการ ราคาปาล์มจึงลดลงในปัจจุบัน 

"พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่จะช่วยให้พี่น้องชาวสวนปาล์มได้มีโอกาสร่ำรวยอีกครั้ง และเป็นการร่ำรวยที่ยั่งยืน ขอประกาศณ ที่นี้ว่า จะพัฒนาเองนครฯ เป็นนิคมอุตสาหกรรมน้ำมันเจ็ต นำน้ำมันปาล์มมาเป็นส่วนผสมของน้ำมันเครื่องบิน เป็นนโยบายที่ทีมงานคิดค้นขึ้นมา รับประกันว่า ทำได้แน่ เพราะในอนาคตตั๋วเครื่องบินที่เติมน้ำมันสะอาด จะมีราคาถูกกว่า ซึ่งจะทำให้น้ำมนปาล์มไม่เพียงพอแน่นอน เพราะปัจจุบันเราผลิตได้ 3,000 ล้านตัน แต่โรงงานผลิตน้ำมันเครื่องบินเจ็ต จะใช้ปีละเปนหมื่นล้านตัน ราคาปาล์ม จะไม่ต่ำกว่า 10 บาทแน่นอน นโยบายนี้ประกาศที่นครศรีฯ ที่ชะอวดเป็นที่แรก ชาวสวนปาล์ม จะร่ำรวยแน่นอน และจะลดค่าใช้จ่ายโดยมีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง พลังประชารัฐจะผลักดันปุ๋ยราคาถูก" ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ กล่าว 

ขณะที่ด้านนายอาญาสิทธิ์ ศรีสุรรณ ผู้สมัครส.ส.เขต 4 หมายเลข 6 ได้พูดถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ โดยจะลดค่าครองชีพ ลดราคาก๊าซหุงต้ม ลดราคาน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า และจะเพิ่มสวัสดิการแห่งรัฐ สวัสดิการผู้สูงอายุ 3,000-5,000 บาท นโยบายมารดาประชารัฐ จะมีสวัสดิการ แม่ท้องแก่ เด็กแรกเกิด เป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐจะช่วยเหลือพี่น้องผู้ด้อยโอกาส เป็นนโยบายที่พรรคเน้นสร้างคนให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของชาติ

"พรรคมีนโยบายที่จะสร้างที่ดินทำกินที่ยั่งยืนให้พี่น้องเกษตรกร โดยจะแปลงเอกสารสิทธิ์ที่ดินสปก.4-01 เป็นโฉนด ขายได้ จำนองได้ แปลงเป็นทุนได้ พี่น้องจะได้หลุดพ้นเงื่อนไขเดิมๆ จะได้มีฐานะมีอาชีพและฐานะที่มั่นคง" นายอาญาสิทธิ์ กล่าว 

"จากที่เห็นพี่น้องมาฟังการปราศรัยในวันนี้ มีความมั่นใจว่า จะสามารถปักธงพลังประชารัฐ ที่เขต 4 นครศรีธรรมราชอีกครั้ง" อาญาสิทธิ์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ ชวนคนไทยออกไปใช้สิทธิ 14 พ.ค. เลือกกา ‘รทสช.’ สานต่อ แก้ปัญหา คลายทุกข์ให้ ปชช.

(11 พ.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ออกมาเชิญชวนพี่น้องชาวไทยออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้ โดยระบุว่า…

“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ผมขอเชิญชวนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566 นี้ อย่างพร้อมเพรียงกัน และอย่าลืมบัตรสีม่วง เลือกผู้สมัครส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 400 เขต และบัตรสีเขียวเลือก ‘ลุงตู่’ หมายเลข 22 เพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้าไปทำงานต่อ เพราะเรายังมีงานที่ต้องสานต่อ ทำต่อ อยู่ต่อ อีกมาก ตามที่ตั้งใจไว้ว่าเราจะทำไว้ ทำอยู่ ผมมั่นใจในนโยบายของพรรคจะสามารถแก้ปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน อย่าลืมนะครับ วันที่ 14 เลือก 2 ใบนะครับ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. ขอนแก่น ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 11 เขตของจังหวัดขอนแก่น ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>>เขต 1 อ.เมืองขอนแก่น (เฉพาะต.ในเมือง ต.เมืองเก่า และต.พระลับ)

>>เขต 2 อ.เมืองขอนแก่น (เฉพาะต.บ้านเป็ด ต.ศิลา ต.โคกสี ต.หนองตูชม ต.แดงใหญ่ ต.บึงเนียม ต.สําราญ และต.สาวะถี)

>>เขต 3 อ.กระนวน อ.ซําสูง อ.น้ําพอง (เฉพาะต.บัวเงิน ต.พังทุย ต.ทรายมูล ต.บัวใหญ่ และต.บ้านขาม) อ.เขาสวนกวาง (เฉพาะต.เขาสวนกวาง และต.คําม่วง)

>>เขต 4 อ.น้ําพอง (เฉพาะต.น้ําพอง ต.สะอาด ต.กุดน้ําใส ต.วังชัย ต.หนองกุง ต.ม่วงหวาน และต.ท่ากระเสริม) อ.อุบลรัตน์ อ.เขาสวนกวาง (เฉพาะต.ดงเมืองแอม ต.นางิ้ว และต.โนนสมบูรณ์) อ.เมืองขอนแก่น (เฉพาะต.บ้านค้อ และต.โนนท่อน)

>>เขต 5 อ.ภูเวียง (เฉพาะต.ภูเวียง ต.บ้านเรือ ต.ดินดํา ต.หว้าทอง ต.ทุ่งชมพู ต.นาหว้า ต.หนองกุงธนสาร ต.นาชุมแสง และต.สงเปือย) อ.สีชมพู (เฉพาะต.สีชมพู ต.บริบูรณ์ ต.ดงลาน ต.บ้านใหม่ ต.ภูห่าน ต.หนองแดง ต.ศรีสุข และต.วังเพิ่ม) อ.หนองนาคํา อ.เวียงเก่า

>>เขต 6 อ.ชุมแพ อ.ภูผาม่าน อ.สีชมพู (เฉพาะต.ซํายาง และต.นาจาน)

>>เขต 7 อ.หนองเรือ อ.บ้านฝาง อ.ภูเวียง (เฉพาะต.หนองกุงเซิน และต.กุดขอนแก่น)

>>เขต 8 อ.มัญจาคีรี อ.พระยืน อ.เมืองขอนแก่น (เฉพาะต.บ้านทุ่ม ต.บ้านหว้า ต.ดอนช้าง ต.ดอนหัน และต.ท่าพระ)

>>เขต 9 อ.พล อ.แวงน้อย อ.แวงใหญ่

>>เขต 10 อ.หนองสองห้อง อ.โนนศิลา อ.เปือยน้อย อ.โคกโพธิ์ไชย อ.ชนบท (เฉพาะต.ห้วยแก ต.วังแสง และต.ปอแดง)

>>เขต 11 อ.บ้านไผ่ อ.บ้านแฮด อ.ชนบท (เฉพาะต.ศรีบุญเรือง ต.ชนบท ต.โนนพะยอม ต.บ้านแท่น และต.กุดเพียขอม)

‘กรณ์’ ลุยภาคใต้ 2 สัปดาห์ติด มั่นใจกระแสดี ปักธงใต้อย่างน้อย 5 คน การันตี!! ผู้สมัคร ‘ชพก.’ เน้นลงมือทำ-แก้ปัญหา พาใต้สู่ยุครุ่งเรืองได้

(11 พ.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ยังคงปักหลักอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เพื่อช่วย 2 ผู้สมัคร นายเทมส์ ไกรทัศน์ เขต 2 เบอร์ 7 และนางสาวอรทัย เกิดทรัพย์ เขต 3 เบอร์ 1 ขอเสียงประชาชนในช่วงท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง

โดยช่วงเช้า นายกรณ์ได้ขึ้นรถแห่พร้อมด้วยนายเทมส์ ไปยัง ต.ฉลอง ต.ราไวย์ อ.เมือง เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมา ตลอดจนผู้ประกอบการร้านค้าสองข้างทาง และหมู่บ้านต่างๆ โดยมีเสียงตอบรับและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งชูมือสัญลักษณ์เลข 7 ตลอดเส้นทาง โดยนายกรณ์ ได้ฝากนายเทมส์ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีจิตสาธารณะ เป็นคนที่เราใฝ่หาคนแบบนี้มาตลอด ทำให้มั่นใจว่าเขาจะเป็นส.ส.ที่ดีให้กับชาวภูเก็ตได้อย่างแน่นอน ขณะที่นายเทมส์ ก็ได้เสริมว่า เพื่ออนาคตของภูเก็ต ถ้าได้เทมน์ ไกรทัศน์ เบอร์ 7 ท่านจะได้ ส.ส.เด็ดๆ ได้ภูเก็ตที่ดีกว่า ได้คนทำงาน ได้คนกล้า เข้าไปแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน    

จากนั้นนายกรณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ กับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้มั่นใจว่า ผู้สมัครทั้ง 2 คนที่พรรคชาติพัฒนากล้า ส่งลงจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เพราะประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง วันนี้ภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามามาก แต่เราไม่ได้มองแค่ตัวเลขนักท่องเที่ยวหรือ หรือ ตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มขึ้น แต่เราต้องไปดูในระดับประชาชนว่าเขาได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างไร ภูเก็ตควรมีโอกาสบริหารตัวเอง การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นธรรม เราพูดแต่แรกว่า ภูเก็ตจะเป็นเมืองระดับโลกที่แท้จริงได้ สาธารณูปโภคต้องอยู่ในระดับมาตรฐานของโลกด้วย และตัวของ ส.ส.ที่จะเข้ามาเป็นตัวแทนของชาวภูเก็ต นอกจากจะพึ่งพาได้แล้ว ยังต้องเป็นคนที่คนภูเก็ตภาคภูมิใจ ว่าเขาเป็นตัวแทนในระดับสากลได้ด้วย นอกจากนี้เรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุเหตุมาจากต้นทุนพลังงาน และค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เราต่อสู้มาโดยตลอด นอกจากนี้ในช่วง 2 ปี ที่ภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงักเพราะสถานการณ์โควิด หนี้สินภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น เราจะเข้ามาช่วยคนตัวเล็กให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม 

นายกรณ์ กล่าวว่า กระแสของพรรคชาติพัฒนากล้าในภาคใต้ดีวันดีคืน ตนมาอยู่ที่ภาคใต้ตลอดสองสัปดาห์ ตระเวณช่วยผู้สมัคร ปราศรัยหาเสียง ตั้งแต่ ภูเก็ต สงขลา หาดใหญ่ พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ฯลฯ แม้เราจะไม่ได้ส่งผู้สมัครครบทุกเขต แต่คะแนนของผู้สมัครเราอย่าในระดับดี ประชาชนให้การยอมรับในท่าทีของเราที่ไม่ขัดแย้งกับใคร เรายึดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก เพราะการลงพื้นที่ไม่เคยมีใครถามว่า เราจะอยู่ฝ่ายไหน มีแต่สะท้อนปัญหาความเดือดร้อนให้เราช่วยผลักดันแก้ไข เราจึงส่งผู้สมัครคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจเปลี่ยนแปลงการเมือง เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าการเมืองไม่เปลี่ยน เพราะปัจจุบันการผูกขาดมันมากขึ้นเรื่อยๆ และครอบงำการเมืองระดับประเทศ พรรคเราเป็นพรรคเล็กที่ปราศจากทุนผูกขาดอุปถัมภ์ เราสู้แบบไม่ต้องเกรงใจใคร และผู้สมัครทุกคนก็มีอิสระทางความคิดของตนเอง 

“ภาคใต้เราส่งผู้สมัคร 19 คน ผมมั่นใจเข้ามาได้อย่างน้อย 5 คน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงสำหรับพรรคขนาดเล็กของเรา และหากเข้ามาได้ จะมีผลต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของภาคใต้ ที่จะกลับไปสู่จุดเดิม ผมเป็นคน กทม.เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาก่อน มีความชื่นชมการเมืองภาคใต้ตลอด รู้สึกว่าการเมืองภาคใต้ เป็นผู้นำทางความคิด และผู้นำในระดับประเทศ แต่ช่วงนี้มันหายไป เราไม่เห็นบุคคลที่โดดเด่นทางความคิดในทางปฏิบัติ เหมือนในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ผมเชื่อว่าชาวใต้เองก็โหยหา ในส่วนของคนรุ่นใหม่พรรคชาติพัฒนากล้าครั้งแรกผมก็ไม่ได้มั่นใจนัก แต่พอเขาแสดงตน มีหลายคนที่จะสามารถนำพาการเมืองกลับไปสู่เหมือนเดิมได้ เพราะมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนคือ ไม่ซื้อเสียง นำความคิด เน้นเรื่องลงมือทำ เน้นการแก้ปัญหา ทั้งเทมส์ – อรทัย ภูเก็ต, จูรี หาดใหญ่ สงขลา, ทนายลิขิต ชุมพร, นายหัวสิทธิ ชะอวด นครศรีธรรมราช คนพวกนี้จะเข้าไปเป็นเชื้อการเมืองที่ดี แนวสร้างสรรค์ นำมาการเมืองภาคใต้ไปอยู่ยุครุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ ผมเชื่อแบบนั้น” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว  

ด้านนายเทมส์ กล่าวว่า การเลือก ส.ส.เขต คือเลือกตัวบุคคล โดยส่วนตัวไม่อยากให้การเมืองใหญ่มาเป็นปัจจัยในการลงคะแนน หยิบปากกาให้มั่น เลือกคนที่คุณมั่นใจจริง ๆ เราไม่ได้เลือกแล้วมีผลต่อการตั้งรัฐบาลทันที แต่สิ่งที่สำคัญคือ ชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน อย่าเลือกด้วยความกลัวว่าใครจะกลับมาหรือใครจะอยู่ต่ออีกกี่ปี แต่อยากให้เลือกด้วยความหวัง ว่าเศรษฐกิจหลังจากนี้จะดีขึ้น ปากท้องดีขึ้น เงินต้องมี สินค้าต้องไม่แพง เราต้องเลือกด้วยความหวังว่า คนไหนที่จะมาแก้ปัญหาให้เราได้ และ ส.ส.เขตคนไหนที่เราพึ่งได้จริงๆ ว่าเขาจะแก้ไขปัญหาให้เราได้ พูดแทนเราได้จริง การเมืองไทยจะดีขึ้น 14 พฤษภาคม เลือกเทมส์ ไกรทัศน์ เบอร์ 7 ไม่ผิดหวังแน่นอน

วิเคราะห์ฉากทัศน์ ‘ทิศทางประเทศไทย’ ภายใต้ขั้วรัฐบาล ‘อนุรักษ์นิยม vs เสรีนิยม’

นับถอยหลังจากนี้เหลือเวลาเพียงไม่อีกกี่วันก็จะถึง 'การเลือกตั้งปี 2566' ที่จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ขณะที่มีการประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างคึกคัก มากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562  

ทั้งนี้ เห็นได้จากการเลือกตั้งนอกเขตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนกว่า 2 ล้านคน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 90%

ขณะที่ ในสนามการเลือกตั้งต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยในภาพใหญ่เป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 ขั้วที่เรียกว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือ พรรคฟากรัฐบาล ที่นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับฝ่ายเสรีนิยม หรือ ฟากฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล

เมื่อดูตามผลโพลของสำนักต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ พบว่าฝ่ายเสรีนิยมมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมสูงกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกระแสความนิยมในตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนนิยมพุ่งอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันฝ่ายเสรีนิยม 2 พรรคที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมรวมกันมากถึง 68-84%

แต่ทว่า การจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพราะพรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อาจไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ซึ่งได้ปรากฏให้เห็นแล้วเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา 

ส่วนการฉากทัศน์หลังการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองประเทศไทยอย่างไร หากพรรคอย่างกระแสแรงอย่าง พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

หากว่ากันตามระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้พรรคมีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นไปได้ที่ พรรคเพื่อไทย จะได้เป็นรัฐบาล แต่จากการประเมินกระแสล่าสุด แม้ว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเยอะที่สุด แต่ก็ยังไม่ถึงกับแลนด์สไลด์ตามเป้า 

ดังนั้น หากเพื่อไทย อยากเป็นรัฐบาล ต้องได้ ส.ส. 376 ขึ้นไป จึงจำเป็นต้องไปดึงพันธมิตรฝ่ายที่คุยกันรู้เรื่องมาก่อน ซึ่งก็น่าจะเป็น ‘ก้าวไกล’ เพราะอย่างน้อยเคยร่วมเป็นฝ่ายค้านมาถึง 4 ปี และถือว่าอยู่ในขั้วเสรีนิยมด้วยกัน รวมถึงพรรคเล็ก ๆ ในฝั่งเดียวกัน แต่หากเสียงยังไม่พอ อาจต้องถึงพรรคต่างขั้วมาร่วม เพราะมีพรรคที่พร้อมเข้าร่วมแต่ขอให้ได้เป็นรัฐบาล

ถ้าเสียงยังไม่พอ อาจจะต้องพึ่งเสียง สว.มาเพิ่มอีก เพื่อรวมเสียงทั้งหมดให้ได้ 376 ขึ้นไป แต่อย่างไรก็ดี หากเพื่อไทยได้เก้าอี้ ส.ส. ไม่เยอะจริง อาจจะถูกต่อรองเก้าอี้กระทรวงสำคัญ ไปถึงขั้นเก้าอี้ ‘นายกรัฐมนตรี’ และเป็นไปได้ที่เพื่อไทยอาจจะยอม เพราะต้องการเป็นรัฐบาลไว้ก่อน เนื่องจากห่างหายมานาน และยังมีเรื่องสำคัญคือ การพา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้คือความหวังและอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของทักษิณ หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

ท้ายที่สุด ถ้าเพื่อไทย - ก้าวไกล และพรรคร่วมสามารถตกลงจัดสรรตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้อย่างลงตัว ในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาจจะทำได้ทันที ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะเกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองขนาดเล็ก จากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามบ้างในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาล 

แต่ในกรณีที่ฝั่งอนุรักษ์นิยม นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมเสียงกันได้เกิน 126 เสียง บวกกับ สว.อีก 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเหมือนเมื่อครั้งปี 2562 ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้เป็นนายกฯ ต่อไป เพราะมีแต้มต่ออยู่ที่ สว. เพียงแต่มีเงื่อนไขพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องได้ ส.ส. 25 เสียงขึ้นไป

ถ้าโฉมหน้าการเมืองหลังเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ ในแง่การบริหารราชการแผ่นดินคงไม่ต่างไปจากเดิม แต่จะเกิดการต่อรองทางการเมืองสูง และเสถียรภาพของรัฐบาลจะไม่มั่นคง เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การผลักดันกฎหมายจะทำได้ยาก มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 4 ปี แม้ว่าจะหลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จ จะมี ส.ส.ย้ายพรรคมาร่วมด้วยก็ตาม 

และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า พลเอกประยุทธ์ จะเหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ยกเว้นจะไปแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อครบวาระแล้ว หลังจากนั้นจะให้ใครขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯ แทน ตรงนี้อาจจะต้องกำหนดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

แน่นอนว่า รัฐบาลจะมีความเปราะบางสูง เป็นต้นว่า หาก พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ผ่าน ก็ความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีความเสี่ยงถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจสูง นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เพราะภาพความเป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดของพลเอกประยุทธ์ เชื่อว่าจะไม่ยอมเจรจากับฝ่ายใดง่าย ๆ และหากเกิดภาพเช่นนี้จริง จะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัว

แต่หากฝ่ายอนุรักษ์นิยม มองว่า พลเอกประยุทธ์ เหลือเวลาอีกเพียง 2 ปี ไม่เหมาะนั่งนายกฯต่อ หันมาสนับสนุนให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทน ก็จะเป็นการวนไปสู่ภาพของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ แต่จะต่างกันที่ในครั้งนี้ฐานเสียงไม่แน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะอดีต ส.ส. จำนวนหนึ่งได้ย้ายออกไปสังกัดพรรคอื่นแล้ว 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ การต่อรองทางการเมืองที่สูงมาก เสถียรภาพรัฐบาลไม่มั่นคง และอาจจะมีการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองตามมา แต่ความรุนแรงอาจจะแตกต่างกัน เพราะด้วยบุคลิกของพลเอกประวิตร ที่มีความประนีประนอมมากกว่านั่นเอง  

แต่อย่างไรก็ตาม ผลสรุปของการเมืองหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ และโฉมหน้ารัฐบาลจะออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า อำนาจส่วนหนึ่งอยู่ที่ปลายปากกาของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จะเป็นส่วนสำคัญร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ

‘นุ่น ยศยา’ ตอกย้ำจุดยืนสายมู นิมนต์พระเจิมป้ายเสริมสิริมงคล หวังคว้าชัย เข้าไปผลักดันนโยบาย ‘เศรษฐกิจสายมู’ ของ ‘ชพก.’

(11 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน สีสันการเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้ายการหาเสียงของ ผู้สมัคร ส.ส.อย่างวันนี้ นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ หรือนุ่น ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง บางนา เบอร์ 2 จากพรรคชาติพัฒนากล้า ตอกย้ำจุดยืนความเป็นสาวสายมู นิมนต์พระเกจิอาจารย์มาเจิมและสวดมนต์เอาฤกษ์เอาชัยป้ายเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ป้ายประชาสัมพันธ์ตนเอง ทั่วเขตพระโขนง และเขตบางนา สร้างความฮือฮาแก่ผู้คนที่ละแวกนั้นไม่น้อย นับเป็นสีสันแห่งการทิ้งโค้งช่วงสุดท้ายที่สะท้อนให้เห็นถึงหลักความเชื่อ และศิลปะวัฒนธรรมของชาวไทย เชื้อสายพุทธที่มีมาช้านาน 

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนลงพื้นที่ พบปะพี่น้องประชาชนและขอคะแนนเสียง มาจนถึงวันนี้ มั่นใจเกินร้อยว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่ง ‘นุ่น ยศยา’ เบอร์ 2 เข้าไปทำงานในสภา เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสายมู สร้างแลนด์มาร์คเชิงศรัทธาทั่วไทย 77 จังหวัด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และเพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ใหม่ให้คนไทยทั้งประเทศ

นายสาวยศยา กล่าวว่า แม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่ให้จำสโลแกนที่ใช้หาเสียงมาตลอดคือ “สายมู พร้อมอยู่คู่ประชาชน” ตนพร้อมอาสาเข้ามาทำงานการเมือง หญิงแกร่งคนนี้จบการศึกษาปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจ อาสามาทำงานการเมืองโดยมุ่งทุบทุนผูกขาด สร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้คนไทยทุกคน เพื่อให้คนไทย “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” ทั่วทั้งประเทศ ฝากพี่ ๆ น้อง ๆ เป็นกำลังใจให้น้องนุ่น ยศยา ชิยาปภารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต เขตพระโขนง และเขตบางนา วันที่ 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 2 เพื่อให้นุ่นได้เข้าไปทำงานในสภา และกาเบอร์ 14 เพื่อให้ทีมเศรษฐกิจจากพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าไปแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน

‘ปชป.’ ปล่อยหมัดเด็ดโค้งสุดท้าย ชูแก้หนี้ครัวเรือน ทำได้ใน 90 วัน ยัน!! ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ แนะ ปชช.ดูนโยบายประกอบการตัดสินใจ

(11 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงข่าว ‘มาตรการแก้หนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ 90 วัน ทำได้จริง’ โดย นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบาย นายเกียรติ สิทธีอมร และ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ทีมเศรษฐกิจ

โดยนายพิสิฐ กล่าวว่า แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน กับกลุ่มที่มีเงินเดือนและเกษตรกร ในกลุ่มที่มีเงินเดือนซึ่งถือเป็นปัญหา โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการครู ที่ถูกฟ้องเรียกหนี้ 50,000 ราย พรรคฯ มีแนวทางแก้ไข 6 ประการ แก้ได้ในระยเวลาอันสั้น ทำได้ใน 90 วัน คือ

1.) แก้หนี้ครัวเรือนโดยอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาท
2.) กำกับตรวจสอบการชักจูงให้ประชาชนก่อหนี้ได้ง่ายเกินไป
3.) ลดยอดหนี้โดยหักจากเงินเดือนไม่เกิน 4% เพื่อให้เหลือใช้
4.) ปลดล็อกนำเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ กบข. และกองทุนสำรองเลี้ยงชี้พ เพื่อมาลดหนี้บ้าน
5.) แก้ไข พ.ร.บ.ล้มละลาย ให้ประชาชนฟื้นฟูหนี้ได้ และ แก้ พ.ร.บ.เช็ค ยกเลิกโทษจำคุก กรณีเช็คเด้ง ให้มีเฉพาะคดีทางแพ่ง
6.) ปรับโครงสร้างหนี้แก้ไขกฎหมายเช่าซื้อที่ไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมาการเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ขาย พรรคฯ จะทำให้ความเป็นเจ้าของเป็นของลูกหนี้ สามารถใช้เป็นหลักประกันได้

“เราเชื่อว่าถ้าดำเนิการตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ เราจะสามารถลดหนี้ครัวเรือนได้จากปัจจุบัน 87% ให้เหลือต่ำว่า 80% ของจีดีพี หรือลดได้ 1 ล้านล้านบาท โดยไม่สร้างหนี้สาธารณะ และเราสามารถแก้หนี้ได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย” นายพิสิฐ กล่าว

ด้านนายเกียรติ กล่าวว่า หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจะลดรายจ่ายใน 90 วัน ดังนี้

1.) ลดค่าไฟ 1-1.5 บาท ต่อหน่วย ยกเลิกค่าเอฟทีทั้งหมด
2.) ปรับราคาก๊าซป้อนโรงไฟฟ้าและค่าผ่านท่อให้เป็นธรรม
3.) กำหนดสัดส่วนการผลิตระหว่างฯ กับเอกชน แก้ปัญหากำลังการผลิตสำรองเกิน
4.) ทบทวนราคา สัญญารับซื้อไฟฟ้า และการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนค่าน้ำมัน จะลดได้ 2-3 บาท ต่อลิตร โดยกำกับค่าการกลั่น ค่าการตลาดให้เป็นธรรม
5.) ทบทวนโครงสร้างราคาและภาษีให้สะท้อนต้นทุนจริง
6.) ทบทวนเงินเข้ากองทุน ทบทวนการกำหนดราคาไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์

นายเกียรติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังจะลดก๊าซหุงต้ม โดยลดลง 80-100 บาท ต่อถัง (15 กก.) ตรวจสอบปริมาณการผลิต นำเข้าและใช้ในประเทศจริง ตรวจสอบต้นทุนและปริมาณที่ผลิตในประเทศ ทบทวนสูตรคำนวณราคาทุกกลุ่มผู้ใช้ แก้ปัญหาการลักลอบส่งไปต่างประเทศ ยกเลิกสิทธิพิเศษกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

“ใกล้เลือกตั้งแล้ว อยากฝากถึงประชาชนให้พิจารณาตัวนโยบายของพรรคต่าง ๆ เพราะสะท้อนถึงแนวคิดของพรรคนั้น ๆ ซึ่งนโยบายของประชาธิปัตย์จะทำให้ลดหนี้ครัวเรือนจาก 87% เหลือน้อยกว่า 80% ของจีดีพี โดยไม่สร้างหนี้สาธารณะ ไม่เป็นภาระลูกหลาน เราแก้หนี้ได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณใด ๆ เพราะเราดำเนินการโดยมาตรการทางกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากอีกหลายพรรค” นายเกียรติ กล่าว

ขณะที่ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวว่า 3 มาตรการ ที่ประชาธิปัตย์ทำได้ทันทีเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน คือ 1.) ลดค่าใช้จ่าย 2.) ลดภาระหนี้สินประชาชน และ 3.) เพิ่มรายได้ โดยในส่วนของการเพิ่มรายได้ ภายใน 90 วัน เราสามารถหารายได้เพิ่มจากการค้าชายแดนและการรับนักท่องเที่ยวเข้ามา ซึ่งจากการลงพื้นที่ที่มีการค้าขายทั้งเข้า-ออกสามารถทำได้ดีขึ้น ถ้ามีการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะทำให้การค้าชายแดนภาคใต้เติบโตขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์​กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้นต้องรีบเจรจา หารือกับกลุ่มบริษัททัวร์เอเจนซี โดยเฉพาะเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก และมาพักเป็นเวลานาน ให้กลุ่มบริษัททัวร์เอเจนซีมีความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวในช่องไฮซีซันที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจไปสู่ฐานรากอย่างทั่วถึง รวมทั้งพ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย จะต้องจัดให้กลุ่มนี้มีพื้นที่ในการค้าขาย ยกระดับคุณภาพให้เป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวที่เข้ามา รวมไปถึงการปรับแก้เรื่องการเข้าเมือง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล สร้างงาน สร้างเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน

รู้จัก ‘พลเอกประวิตร’ ในมุมที่คาดไม่ถึง ‘ชีวิต-ความรัก-ความฝัน-ประเทศไทย’

เรียกได้ว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงก็คงไม่ผิด สำหรับ ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แห่งพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งล่าสุดได้เดินทางไปร่วมรายการ Woody FM Candidate เพื่อพูดคุยกับพิธีกรดังอย่าง ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา’

สำหรับการพูดคุยในวันนี้ วู้ดดี้ ได้เริ่มบทสนทนาด้วยการถามถึงชุดที่ใส่มาสัมภาษณ์ ว่าใครเป็นผู้เลือกชุดให้? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ผมเลือกเองนะ และปกติผมก็แต่งแบบนี้ตลอดในวันหยุด ส่วนวันนี้ก็ถือว่ามาพูดคุยแบบไม่ข้องแวะเรื่องของการเมือง ที่สำคัญก็อยากจะให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ด้วย” โดย พลเอกประวิตร ยังพูดติ่งไว้อีกว่า “ผมอยากทำวันนี้ เพื่อให้ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” 

เมื่อถามว่า ในวันปกติ ‘ลุงป้อม’ มักจะทำอะไร? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “เวลาว่างก็ไปคุยกับเพื่อน ไปสนามกอล์ฟบ้าง แต่ก็ไม่ได้ตีกอล์ฟ จะเน้นไปพบปะและพูดคุยกับเพื่อน และส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปทางทานข้าวกับเพื่อน ส่วนเรื่องที่พูดคุยกัน ก็เน้นเรื่องเก่าๆ ประสบการณ์ชีวิตต่างๆ” 

เมื่อถามถึงประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็ก ที่คิดว่าลืมไม่ลง? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ตอนเด็ก ผมเคยเดินข้ามถนน แล้วพอดีรถก็มา จังหวะที่ผมก็กำลังวิ่งกลับ รถก็เกือบจะชน แต่ก็โชคดีที่มีคนมาช่วย” 

เมื่อถามถึงอายุและสุขภาพ? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ตอนนี้ 78 ปีแล้วครับ สุขภาพก็สบายดี ไม่เป็นอะไร มีแต่ขาอย่างเดียวนั่นแหละ เนื่องจากว่าเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทไม่พอ ตอนช่วงประมาณอายุ 72 ปี แต่ผมก็วิ่งทุกวันนะ วันละ 6 กิโลเมตร วิ่งมาตั้งแต่อายุ 20 กว่าปี วิ่งทุกวัน ไม่มีวันหยุด เป็นความต้องการของผมที่อยากจะออกกำลังกายน่ะนะ วิ่งทุกวันจนขาไม่ไหว ตอนเกษียณก็ยังวิ่งอยู่” 

วู้ดดี้ ได้ถามต่อถึงเซอร์ไพรส์ที่ได้ลงมือทำผัดซีอิ๊ว ว่าเป็นคนชอบเข้าครัวงั้นหรือ? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ก็เห็นแม่ทำนะ ทำให้ครอบครัวทานทุกวัน” พร้อมทั้งเล่าต่อว่า “คุณแม่ผมเลี้ยงผมมาแบบพื้นๆ เลย เพราะว่าผมมีพี่น้อง 5 คน เป็นผู้ชายทั้ง 5 คนเลย แต่แม่อยากได้ผู้หญิง แม่ก็เลยเลี้ยงแบบธรรมดาเลย แม่อดทนมากนะครับที่เลี้ยงพวกผมมา” 

เมื่อถามถึงตอนที่ตัดสินใจเป็นทหาร คุณแม่ว่ายังไง? พลเอกประวิตร ตอบว่า “แม่ไม่ว่า ซึ่งตัวผมเองก็อยากเป็นทหารอยู่แล้ว อยากเป็นเหมือนพ่อ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่นานนะ เพราะผมไปราชการสงครามตลอดเลย ตั้งแต่เป็นร้อยตรีถึงพลตรี ก็ไปทุกพื้นที่”

เมื่อถามถึงภาพจำของทหารที่มองไปแล้วรู้สึกว่า ‘ดุ’? พลเอกประวิตร บอกว่า “มันคือระเบียบของผู้บังคับบัญชาจากทางราชการที่จะออกมาให้ทุกคนได้ปฏิบัติตาม เพื่อให้กองทัพมีความเข้มแข็ง ในเชิงปฏิบัติก็ต้องเป็นแบบนี้”

เมื่อถามถึง ในชีวิตจริงลุงป้อมเป็นคนแบบไหน? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ ก็คนธรรมดา ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีอาชีพทหาร โดยผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในผู้คนอย่างมาก นั่นจึงทำให้ใครก็ตามที่มีความจริงใจกับผม ผมก็พร้อมจริงใจกับทุกคน” 

เมื่อถามถึงนิสัยในการตัดสินใจกับเรื่องสำคัญๆ? พลเอกประวิตร ตอบทันทีเลยว่า “ทำเลย ทำทันที ถ้ามีข้อมูลพร้อม”

เมื่อถามถึงวิธีคิดในการแก้ปัญหาของลุงป้อม? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “เวลามีปัญหา ผมจะคิดว่า หากเราตัดสินใจอะไรลงไป ใครจะได้ประโยชน์บ้าง ส่วนตัวผมต้องการที่จะให้ทุกคนได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เพื่อที่จะให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย และก็ต้องตัดสินใจให้ดี เพราะไม่อยากตัดสินใจอะไรที่ทำให้คนถูกลายเป็นคนผิด คนผิดกลายเป็นคนถูก ตรงนี้สำคัญมาก”

เมื่อถามถึง ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มักจะมีข่าวคราวต่างๆ เกิดขึ้น แต่ลุงป้อมก็ไม่เคยออกมาโต้หรือเคลียร์ เป็นเพราะอะไร? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าปล่อยวางนะ แต่ที่ผมไม่ออกมาเพราะมันไม่ใช่ความจริง การที่มีคนโจมตีไปโจมตีมา แล้วผมมัวแต่ไปแก้ตัว ผมก็คงไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี เอาเป็นว่า คนจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ให้รู้ว่าที่ผมมักไม่ออกมา คือ ไม่ใช่ความจริง” 

เมื่อถามถึงกรณีวงดนตรีมักนำคำว่า ‘ไม่รู้ ไม่รู้’ ของลุงป้อมไปทำเป็นเพลง ลุงป้อมได้ฟังหรือไม่? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ฟังแล้วๆ น่ารักดี แต่ยังไม่ได้ดูนะ ยังไม่ได้เต้น”

เมื่อถามว่า ทำไมลุงป้อมถึงชอบใช้คำว่า ‘ไม่รู้ ไม่รู้’ บ่อยมากๆ? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “คือผมไม่รู้จริงๆ ถ้าผมรู้ ผมก็จะบอกว่าผมรู้เรื่องนี้ แค่นี้ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น ก็ให้ไปถามคนอื่น อย่ามาถามผม เหมือนกับเรื่องการเมือง ที่คนชอบถามผมว่า พรรคการเมืองนี้จะได้เท่าไร ผมจะไปตอบได้ยังไง ต้องรอวันที่ 14 พ.ค. เช่นเดียวกันกับว่าเราจะไปรวมกับใคร ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะทั้งหมดก็ยังต้องดูผลการเลือกตั้งเท่านั้น และผมก็ไม่ชอบตอบว่า ‘ถ้า’ ด้วย เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง” 

แม้จะเป็นการพูดคุยแบบสบายๆ ที่พยายามออกห่างเรื่องการเมือง แต่ วู้ดดี้ ก็ได้ไปถึงเหตุผลของการเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของลุงป้อมด้วย โดย พลเอกประวิตร ตอบคำถามนี้ว่า “เดิมไม่เคยคิด แต่ที่ยอมรับ เพราะลูกพรรคให้การสนับสนุน ถ้าลูกพรรคไม่ให้การสนับสนุน ผมก็ไม่รับ ทุกอย่างแล้วแต่สมาชิกพรรค ว่าเขาลงคะแนนยังไง ว่าเป็นไง ส่วนที่ผมปฏิเสธมาตลอดหลายปี ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากเป็น มันไม่ใช่ว่าเพราะอะไรซับซ้อนหรอก แต่ผมคิดว่ามีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่าเรา คิดว่าอย่างงั้นจริงๆ แต่ว่าเพราะว่าลูกพรรคเขาเห็นว่าสมควรต้องมาเป็นแคนดิเดตฯ ผมก็เลยรับ ส่วนจะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้หวังอะไร แค่ทำเต็มที่ ทำตามที่ลูกพรรคได้ให้”

เมื่อถามถึงคำคมล่าสุดอย่าง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ วู้ดดี้ ได้ขอให้ลุงป้อมช่วยอธิบายภาพให้เห็นว่าหมายถึงอะไร? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้งเนี่ย คือผมเห็นว่าคนไทยทุกคน คนไทยจะต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว จะต้องมีความรักใคร่ ความสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่ว่าในเรื่องของทางการเมือง หรือทางด้านความคิด ทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง ผมคงไม่สามารถไปบังคับว่าจะให้คุณไปเลือกพรรคนู้นพรรคนี้ หรือว่าชอบพรรคนู้นพรรคนั้น แบบนี้ไม่ได้ คุณต้องเป็นคนตัดสินใจเอง เพียงแต่ผมมีความหวังที่จะให้ทุกคนนั้นได้ก้าวข้ามความขัดแย้ง ต้องนึกถึงว่าเราเป็นคนไทย จะร่วมกันทำงานเพื่อคนไทย เมื่อมีความสงบเกิดขึ้น เศรษฐกิจมันก็จะเดินได้ ท่องเที่ยวก็จะเดินได้ รัฐบาลก็ทำงานได้ การค้าขายก็จะเข้ากระเป๋ามากขึ้น เพราะฉะนั้นมันจะดีไปหมด ถ้าประเทศมีความสงบเกิดขึ้น” 

วู้ดดี้ สลับฉากไปยังเรื่องเบาๆ โดยถามลุงป้อมว่า เคยมีแฟนหรือไม่? พลเอกประวิตร ตอบว่า “เคยมีแฟนตั้งแต่เด็ก อยู่เตรียมทหารก็มีแล้ว แต่ก็คบกันเฉยๆ ซึ่งก็มีคุยกัน ไปดูหนังกันบ้าง โดยสมัยนั้นไปปิ๊งกันที่ลานพระรูป และการติดต่อกันก็ใช้วิธีการเขียนจดหมายเอา เพราะสมัยก่อนไม่มีแลกไลน์ โทรศัพท์ยังไม่มี”

เมื่อถามถึงการลงพื้นที่ในประเทศไทย ลุงป้อม เดินสายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ครบหรือยัง? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ครบหมดแล้วทั้ง 77 จังหวัด ในเวลากว่า 2 ปีมานี้ เพราะผมต้องจัดการเรื่องน้ำ เวลาลงไปพื้นที่ก็จะมีชาวบ้านมาบอกกล่าวถึงปัญหาต่าง ๆ เช่น ต้องการที่ดิน ต้องการน้ำ น้ำตรงนั้นท่วม ตรงนั้นน้ำแล้ง แล้วเขาก็มาหาแบบต่อว่าด้วยนะ ซึ่งผมก็รับฟัง และแก้ไขให้ทันทีเลย” 

เมื่อถามว่า ถ้าลุงป้อม ได้เป็นนายกฯ สิ่งแรกที่จัดการคืออะไร? พลเอกประวิตร ตอบว่า “ผมบอกไม่ได้ ให้ผมเป็นก่อนแล้วกันนะครับ ไปบอกก่อน มันก็ไม่มีความหมายอะไร ให้ผมได้เป็นก่อน เป็นก่อนแล้วเดี๋ยวจะจัดการเอง” 

วู้ดดี้ ถามถึงวันเกษียณ ว่าเคยวางเป้าไว้เมื่อไร? พลเอกประวิตร กล่าวว่า “ถ้าไม่มีคนเลือก ไม่มีคนให้ทำงาน ผมก็หยุด ไปเที่ยว ไปทำงานส่วนตัวของผม แต่ว่าคงไม่ไปทำงานอะไรที่ใหญ่โตอีกแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าการเมืองหนนี้ไม่ได้ไปต่อ ก็เกษียณ”

พลเอกประวิตร เสริมด้วยว่า “แต่ถ้าจะให้บอกว่าเกษียณแล้ว ต้องไปเที่ยวไหน ผมก็ยังไม่รู้เลย แต่ถ้าที่อยากไปแล้วยังไม่เคยไป ก็คงเป็น ‘เซอร์เบีย’ เพราะมันสวยดี ประเทศมันมีทะเล สวยมาก ส่วนในเมืองไทยตอนนี้ก็ยอมรับว่าไปมาหมดแล้ว ส่วนตัวชอบทะเล นอนดูทะเลได้ทั้งวันเลย สบายมาก”

สุดท้ายนี้ พลเอกประวิตร ได้ฝากถึงทุกท่านที่รับชม Woody FM ด้วยว่า “อยากให้ประชาชนคนไทย เลือกคนดีคนเก่ง มาทำงานให้กับประเทศชาติ เพื่อที่จะให้ประชาชนของเราไม่ยากจนนะครับ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top